|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ไทดำ,ไทยโซ่ง, ไทยทรงดำ, ไตดำ, ผู้ไตซงดำ, ผู้ไทยดำ, ลาวโซ่ง,ลาวโซ่งดำ, รัฐชาติ, ชาติพันธุ์, อัตลักษณ์, รัฐชาติไทย, ความสัมพันธ์เชิงอำนาจ,งานประจำปีไทดำ, งานวันประเพณีไทยทรงดำ |
Author |
ณรงค์ อาจสมิติ |
Title |
รัฐชาติ ชาติพันธุ์ และอัตลักษณ์ไทดำ |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
- |
Ethnic Identity |
ไทดำ ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ไทยทรงดำ ไทดำ ไตดำ โซ่ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
25 |
Year |
2555 |
Source |
ณรงค์ อาจสมิติ. (กรกฎาคม-ธันวาคม 2555). รัฐชาติ ชาติพันธุ์ และอัตลักษณ์ไทดำ. วารสารสังคมวิทยามานุษยวิทยา(มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์), ปีที่3, ฉบับ2, น.53-78. |
Abstract |
บทความนี้ต้องการเสนอสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงการแสดงออกอัตลักษณ์ของชาติพันธุ์ไทดำ ที่เกิดจากความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างผู้ปกครองและผู้ถูกปกครอง และแนวคิดรัฐชาติ
จากการศึกษาของผู้เขียนโดยการลงพื้นที่และศึกษาจากเอกสารที่เกี่ยวข้องทำให้พบว่าการแสดงออกอัตลักษณ์ของชาติพันธุ์ไทดำมีการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากระบบความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างผู้ปกครองและผู้ถูกปกครองในบริบทของสังคมและเวลาที่แตกต่างกันไป ทั้งการที่เป็นคนลาวตามกำเนิด การถูกทำให้เป็นกลายเป็นคนไทยในบริบทของรัฐชาติ และการถูกสร้างให้เป็นคนไทยที่ต้องแสดงอัตลักษณ์ไทดำจากงานกิจกรรมประจำปี การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ในอดีตไทดำถูกกำหนดให้เป็น แต่ในปัจจุบันชาวไทดำเลือกที่จะเป็น ความสัมพันธ์เชิงอำนาจนี้ยังคงดำเนินต่อมาเรื่อยๆ และจะดำเนินต่อไป ซึ่งหมายถึงการแสดงออกทางอัตลักษณ์ของชาติพันธุ์ที่เปลี่ยนแปลงไปมาก็ยังคงดำเนินต่อไปเช่นกัน และไม่มีใครรู้ได้ว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อใด
|
|
Focus |
ศึกษาสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงการแสดงอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ไทดำ |
|
Theoretical Issues |
ผู้เขียนใช้แนวคิดความสัมพันธ์เชิงอำนาจของรัฐ-ชาติที่มีผลต่อการแสดงอัตลักษณ์ ความสัมพันธ์เชิงอำนาจนี้เองได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการแสดงออกทางอัตลักษณ์ของไทดำ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างคนไทยและไทดำ ในอดีตคนไทยและไทดำไม่ได้รู้สึกเป็นพลเมืองเดียวกัน ไทดำถูกกดให้เป็นชนชั้นแรงงานในไร่นาเป็นทาสของสยาม
นอกจากนี้ยังใช้แนวคิดของธงชัย วินิจจะกูล เรื่อง คนอื่นภายในชาติเดียวกัน และ ชาวบ้านนอกที่ทำให้เป็นคนไทย มาใช้ในการอธิบาย และวิเคราะห์ในบทความนี้ มาจำแนกประเภทชนชั้นผู้ปกครอง และผู้ถูกปกครองโดยอาศัยพื้นที่ และระยะห่างจากศูนย์กลางอำนาจ เป็นตัวแบ่งแยกกลุ่มคน กล่าวคือ ชนชั้นปกครองจะเป็นจุดศูนย์กลาง คนทิ่อยู่ชายขอบของศูนย์กลางการปกครอง ซึ่งก็คือ กลุ่มชาวนาจัดให้เป็นกลุ่มคนบ้านนอก กลุ่มสุดท้าย คือ กลุ่มคนชาวเขา ถูกจัดให้เป็นกลุ่มคนป่า คือ คนที่อยู่ห่างไกลความเจริญไม่มีโอกาสในการพัฒนา ทำให้สูญเสียวัฒนธรรมประเพณี อัตลักษณ์ และการแสดงออกทางอัตลักษณ์ของชาวไทดำเปลี่ยนไป เนื่องจากไทดำถูกทำให้มองว่าล้าหลัง
|
|
Ethnic Group in the Focus |
ลาวโซ่ง, ไทดำ,ไทยโซ่ง, ไทยทรงดำ, ไตดำ, ผู้ไตซงดำ, ผู้ไทยดำ, ลาวซ่ง, ลาวซ่งดำ (หน้า57) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ไทยทรงดำ/ไทดำ/ลาวโซ่ง แต่เดิมตั้งถิ่นฐานอยู่ที่สิบสองจุไทหรือสิบสองเจ้าไท การอพยพเข้ามาในประเทศไทย(ซึ่งตอนนั้นยังเป็นสยามอยู่) ไม่มีรายละเอียดการอพยพปรากฏ ปรากฏเพียงแต่ว่าเมื่อมีการอพยพมาที่ประเทศไทย เข้ามาอยู่ในบริเวณตำบลท่าแร้ง สะพานยี่หน และวังตะโก ต่อมาได้ขออพยพมาตั้งอยู่บริเวณเขตอำเภอเขาย้อย จ.เพชรบุรี อำเภอเมือง อำเภอท่ายาง และมีการย้ายไปอีกหลายจังหวัดภายหลังจากการเลิกทาส |
|
Settlement Pattern |
มักจะตั้งถิ่นฐานอยู่ตามชนบท(หน้า66) |
|
Demography |
ชาวไทดำมีความต้องการที่จะตั้งที่อยู่อาศัยในชนบทมากกว่าที่จะตั้งถิ่นฐานในเมือง จึงมีรูปแบบการอพยพจากชนบทแห่งหนึ่งไปชนบทอีกแห่งหนึ่ง เนื่องจากชาวไทดำต้องการพื้นที่ทำกิน (หน้า66) |
|
Economy |
เดิมชาวไทดำเพาะปลูกข้าวเพื่อเก็บไว้กิน ไว้ทำบุญ ไม่ได้ปลูกไว้ขาย แต่ในปัจจุบันเมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ทำให้วิถีการผลิตของชาวไทดำเปลี่ยนเป็นผลิตเพื่อขาย มีการเร่งการเติบโตของพืชโดยใช้ปุ๋ยและยากำจัดศัตรูพืช ให้ความสำคัญกับระบบเงินตรา มีการตั้งโรงงานอุตสาหกรรมในเขตชานเมือง ทั้งหมดเป็นผลมาจากความเป็นรัฐชาติ ทำให้เกิดวาทกรรมการสร้างคนอื่นให้กลายเป็นไทย นำมาสู่วาทกรรมการพัฒนา นอกจากนี้ยังทำให้เกิดค่านิยมใหม่ โดยเฉพาะคนหนุ่มสาวที่ได้รับการศึกษา สนใจที่จะทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมมากกว่าเป็นชาวนา (หน้า68) |
|
Social Organization |
การประกอบพิธีกรรมเกี่ยวกับบรรพบุรุษ ที่บุคคลที่นับถือผีเดียวกันจะต้องมาร่วมงาน เป็นการสะท้อนระบบความสัมพันธ์ทางเครือญาติที่มีการสานสัมพันธ์ไม่ให้ไม่ให้สัมพันธ์เครือญาติขาดหายไป นอกจากระบบความสัมพันธ์ทางเครือญาติแล้ว ผู้เขียนยังได้กล่าวถึงความเป็นเครือข่ายหรือสายใยที่เชื่อมต่อกันของชาวไทดำในแต่ละชุมชน ปรากฏเด่นชัด ในงานวันไทยทรงดำร่วมใจว่าเป็นพื้นที่ในการเชื่อมโยงความเป็นไทดำไว้ด้วยการ ทำให้เกิดเป็นพลังของกลุ่มชาติพันธุ์ (หน้า73) |
|
Political Organization |
ในสมัย ร.5 มีการเปลี่ยนแปลงชื่อมณฑลเทศาภิบาลที่มีคำว่าลาวทั้งหมด ในปีพ.ศ.2442 เช่น มณฑลลาวพวนเปลี่ยนเป็นมณฑลฝ่ายเหนือ ต่อมาเปลี่ยนเป็นมณฑลอุดร เป็นต้น เนื่องจากกลัวคำว่า ลาว จะทำให้คนบริเวณนั้นไปเข้ากับฝ่ายฝรั่งเศส และในปีเดียวกันนี้เองทรงประกาศให้เลิกคำเรียกว่า ลาว กับคนลาวและกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ให้เรียกว่า ชาติไทยในบังคับของสยาม นอกจากนี้หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ได้เปลี่ยนชื่อจากสยามมาเป็นไทย เมื่อ พ.ศ. 2482 คนทุกชาติพันธุ์ในประเทศไทยต้องเป็นคนไทย ทำให้เห็นอิทธิพลของรัฐชาติ ที่ทำให้คนกลุ่มต่างๆกลายเป็นคนไทย ชาวไทดำก็ถูกทำให้กลายเป็นคนไทยเช่นเดียวกัน เพราะถูกมองว่าไม่ได้รับการพัฒนา ขาดการศึกษา น่ากลัว นับถือผี แม้ว่าจะซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ ไม่เป็นภัยต่อระบบการปกครองแต่ก็ควรได้รับการพัฒนา ที่เป็นผลมาจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตั้งแต่ฉบับที่1 เป็นต้นมา (หน้า60-61) ความสัมพันธ์เชิงอำนาจของผู้ปกครองและผู้ถูกปกครอง ผู้เขียนได้กล่าวถึงตั้งแต่ช่วง พ.ศ.2428-2453 เริ่มมีแนวคิดความเป็นรัฐชาติ ทำให้ผู้ปกครองมองกลุ่มชาติพันธุ์ว่าเป็น “คนบ้านนอก” ช่วงแรกของการอพยพเข้ามาของชาวไทดำ สถานภาพทางสังคมของชาวไทดำเป็นผู้ถูกปกครอง ถูกควบคุมโดยคนไทย รับใช้ผู้ปกครอง โดยเฉพาะไพร่ที่ได้มาจากการทำสงครามอย่างไทดำนี้ ในสมัยกรุงธนบุรีและต้นรัตนโกสินทร์ ขุนนางได้รับไพร่เข้าสังกัดเป็นบำเหน็จในการทำงาน สามารถสั่งให้ไพร่ทำอะไรก็ได้ ไพร่ไทดำในสังกัดของเจ้าเมืองเพชรบุรีเป็นแรงงานในการก่อสร้างพระราชวังพระนครคีรี การเป็นไพร่นั้นต้องอยู่ในปกครองของมูลนาย รับใช้บ้านเมืองด้วยการเข้าเวร การอยู่ในสังกัดอย่างนี้ก็เพื่อความง่ายต่อการควบคุมและการเก็บผลประโยชน์ ดังนั้น ไพร่จึงถือว่าเป็นผู้ผลิตและให้ผลประโยชน์แก่นายผู้ปกครอง ในมุมมองของผู้ปกครองนั้นไพร่ไทดำเป็นเพียง วัตถุแรงงานในฐานะผู้ผลิต จะยกให้ใครก็ได้ ลูกสาวบ้านใดถูกใจจะขอไปเป็นเมียก็ต้องได้ อย่างเช่น ไทดำที่บ้านหนองกะโล้ เป็นความสัมพันธ์ระหว่างมูลนายกับไพร่ ทำให้ผู้ถูกปกครองยอมถูกเอาเปรียบ ข่มเหง รังแก เพื่อแลกกับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของตนและครอบครัว ซึ่งต้องอดทน อดกลั้น การหลบหนีก็เป็นไปได้ยากเนื่องจากระบบสักเลกไพร่ นอกจากมุมมองของผู้ปกครองที่มองชาวไทดำเป็นแค่เพียงข้าในสังกัดเท่านั้น คนไทยเองยังมองว่าคนไทดำเป็นพลเมืองชั้นสอง เห็นได้ชัดจากภายหลังการยกเลิกระบบไพร่ปี พ.ศ.2438 ทำให้คนกลุ่มชาติพันธุ์เป็นอิสระไม่ขึ้นกับมูลนาย สามารถไปทำมาหากินในพื้นที่อื่นๆได้ ในช่วงที่ผ่านมาผู้ปกครองไม่สร้างความพึงพอใจให้แก่ชาวไทดำเลย ซึ่งสังเกตได้จาก หลังการเลิกทาส ชาวไทดำอพยพจากชนบทสู่ชนบทอีกที่ เพื่อต้องการที่ดินทำกินไม่ได้ต้องการอยู่ในเมืองใหญ่หรืออยู่ในเมืองแต่อย่างใด พื้นที่ที่ชาวไทดำอพยพไปอยู่หลังจากการเลิกทาสนั้นมักอยู่ในป่าลึก เนื่องจากพื้นที่ราบอื่นๆจะมีคนที่อาศัยอยู่ก่อนแล้ว คนที่มาทีหลังก็ต้องเข้าไปหาที่ดินทำกินในป่าลึก ความสัมพันธ์ไม่ได้ราบรื่น มักโดนคนไทยแกล้ง ขโมยควายและอุปกรณ์ทำมาหากิน ถึงแม้ว่าจะเป็นหมู่บ้านไทดำที่มีคนเยอะแต่ยังโดนแกลังอยู่ ทั้งทำร้ายร่างกาย ข่มขู่ ผู้หญิงถูกล่วงเกินทางเพศ คนไทยมักชอบดูถูกคนลาว ว่าเป็นคนเกียจคร้าน ยากจน หาเช้ากินค่ำ เป็นต้น (หน้า65-67)
|
|
Belief System |
ไทดำ มีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องผี และสิ่งเหนือธรรมชาติ ว่าสามารถปกป้องคุ้มครองตน ให้แคล้วคลาดจากภัยต่างๆ มีการนับถือผีบ้านผีเรือนว่าเป็นผีบรรพบุรุษมีการเซ่นไหว้บวงสรวงชาวไทดำเรียกการทำบุญให้กับบรรพบุรุษ อุทิศส่วนบุญให้กับบรรพบุรุษ ว่าปาดตงหรือการเสนเรือนหรือเสนผีเรือน ในพิธีกรรมอาจจะมีการใช้ควายหรือหมูมาเป็นเครื่องเซ่น ทำให้ดูน่ากลัว แต่อีกนัยหนึ่งคนไทดำถือว่าเป็นการสอนให้รู้จักเคารพผู้ใหญ่ อ่อนน้อมถ่อมตน
ผู้เขียนยังกล่าวถึง พิธีปาดตงข้าวใหม่ ว่าเป็นพิธีกรรมที่ทำหลังจากเกี่ยวข้าวเสร็จ เพื่อเป็นการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับบรรพบุรุษที่เสียชีวิตไปแล้วได้ร่วมกินข้าวใหม่กับลูกหลาน ยังเป็นการขอบคุณสิ่งเหนือธรรมชาติที่คอยป้องกันรักษาให้ข้าวออกผลผลิตงอกงาม (หน้า62)
|
|
Education and Socialization |
ระบบการศึกษาไทยในอดีตมีผลต่อการสูญเสียอัตลักษณ์ทางภาษาและวัฒนธรรมชาติพันธุ์เป็นอย่างมาก สิ่งที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือการสูญเสียอัตลักษณ์ทางภาษา ได้แก่ การกำหนดให้นักเรียนพูดและใช้ภาษาไทยเพื่อการสื่อสารในโรงเรียน ผู้เขียนพบว่าที่ จ.สุพรรณบุรี เด็กไทดำระดับประถมไม่พูดภาษาไทดำและเสียงเหน่อที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นก็ไม่มีแล้ว เด็กๆใช้ภาษาไทยสำเนียงกรุงเทพกัน งานของกรกิต (2552) ศึกษาแบบเรียนประถมศึกษาและมัธยมศึกษาของไทย หลักสูตรปี2503-2544 แสดงให้เห็นว่าเป็นการสร้างความรับรู้แก่ผู้เรียนว่า ลาวเป็นประเทศที่มีสถานภาพต่ำกว่าไทย เป็นปัญหาของไทย สิ่งเหล่านี้เกิดจากความต้องการปลูกฝังให้ผู้เรียนเกิดความรักชาติ เป็นพลเมืองที่ดี ตามจุดมุ่งหมายของกรมวิชาการ |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ผู้เขียนได้กล่าวถึงประเพณีลงข่วงแอ่วสาวของชาวไทดำ จะมีการเล่นคอน-รำแคนในภาษาไทดำเรียกว่า อิ่นก๊อน รำแก๊น เป็นเรื่องของคนหนุ่มสาว หนุ่มๆจะไปเที่ยว/แอ่ว สาวต่างหมู่บ้าน เพื่อทำความรู้จัก เกี้ยวพาราสีกันจนไปถึงขั้นแต่งงาน/กินดอง เป็นกุศโลบายของคนสมัยก่อน ที่ต้องการให้หนุ่มสาวได้มีโอกาสเจอกัน เวลาไปแอ่วสาวมักจะไปกันเป็นกลุ่มๆ ผู้ชายรวมกันมีหลายวัย ตั้งแต่วัยรุ่นขึ้นมา ไปแต่ละครั้งไปกันเป็นเดือนๆ ไปหมู่บ้านโน้นต่อหมู่บ้านนี้ จะมีหมอแคนไปด้วย แต่สมัยนี้หนุ่มสาวเขาไม่เจอกันแบบนี้แล้ว แต่เจอกันที่โรงงานแทน การพัฒนาของประเทศทำให้ความหมายของการเล่นคอน-รำแคนเปลี่ยนไป เนื่องจากคนหนุ่มสาวนิยมทำงานในโรงงานมากกว่าทำไร่นา ประเพณีแอ่วสาวก็เลยหมดไป |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ในจังหวัดเพชรบุรี(โดยเฉพาะอำเภอเขาย้อย) เป็นพื้นที่ที่ชาวไทดำอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก และเป็นแหล่งวัฒนธรรมประเพณีไทดำ ในอดีตการจัดงานเล่นคอนมีการจัดกันเป็นประเพณีปฎิบัติ ต่อมาศึกษาธิการต้องการที่จะรวบรวมงานที่จัดกันอย่างกระจัดกระจายนั้นให้จัดกันในวันเดียว เพื่อจะได้ไม่ต้องแย่งคนที่มาเที่ยวงานและต้องการเชิญข้าราชการผู้ใหญ่ของจังหวัดให้มารับรู้การจัดงานนี้ และต่อมาศึกษาธิการอำเภอเขาย้อยในขณะนั้นได้คิดคำว่า “ไทยทรงดำ” ขึ้นมาเพื่อใช้เป็นชื่องานเนื่องจากไม่ต้องการใช้คำว่าลาวโซ่ง เพราะคำว่า ลาว ทำให้เกิดอคติทางชาติพันธุ์ จึงกลายเป็นชื่องาน “วันไทยทรงดำร่วมใจ” พร้อมกำหนดให้วันที่10 เมษายนของทุกปี เป็นวันจัดงานวันไทยทรงดำร่วมใจ ที่บ้านหนองปรง อำเภอเขาย้อย ภายในงานเน้นความสนุกสนานให้คนทุกเพศทุกวัยได้มาพักผ่อน ฟ้อนรำกันอย่างสนุกสนานซึ่งก็ไม่ได้พิเศษไปจากงานเล่นคอนรำแคนปกติ(หน้า70)
งานวันไทยทรงดำนี้กลายเป็นพื้นที่ที่ไทดำใช้เป็นกลไกในการสร้างอัตลักษณ์ ความหมายของชาติพันธุ์ตนเอง แม้ว่าในอดีตรัฐพยายามสร้างความเป็นคนไทยให้ ผ่านคำว่า “ไทยทรงดำ” แต่ชาวไทดำได้ช่วงชิงพื้นที่ในงานไทยทรงดำมาเป็นพื้นที่ในการฟื้นฟูความเป็นชาติพันธุ์ ในงานมีการแสดงออกอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ไทดำ เช่น การแต่งกายชุดไทดำ ชุดไทดำประยุกต์ พูดคุยกันด้วยภาษาไทดำ เป็นต้น ผู้คนจากหมู่บ้านอื่นไม่ว่าคนเหล่านั้นจะเป็นเชื้อสายไทดำหรือไม่ก็มาร่วมงานร่วมแต่งกายด้วยชุดไทดำบ้าง ในระยะหลังนี้ ภายในงานหลายหมู่บ้านมีการจัดนิทรรศการความเป็นมาของชาวไทดำ และวิถีชีวิต มีการใช้สัญลักษณ์ความเป็นไทดำ เช่น ภาพเรือนไทดำในอดีต ลวดลายผ้าปัก ตัวอักษรไทดำ มาใช้ในการตกแต่งเวที สะท้อนให้เห็นว่าในปัจจุบันงานดังกล่าวแฝงไปด้วยการแสดงออกความเป็นคนไทยที่มีอัตลักษณ์ที่แตกต่าง ดังจะเห็นได้จากขั้นตอนพิธีเปิดงานที่จะมีพิธีถวามเครื่องสักการะพระบรมสาทิสลักษณ์พระเจ้าอยู่หัวเป็นการแฝงการประกาศถึงความเป็นพลเมืองไทย สามารถกล่าวได้ว่างานวันไทยทรงดำร่วมใจถือเป็นเวทีของกระบวนการต่อรอง การแสดงออกของชาวไทดำจึงแฝงไปด้วยนัยของความเป็นคนมีศักดิ์ศรี นอกจากงานประจำปีจะเป็นพื้นที่ของการฟื้นฟูอัตลักษณ์ชาติพันธุ์แล้ว ยังเป็นการสร้างความภาคภูมิใจในความเป็นชาติพันธุ์ให้กับคนรุ่นใหม่ และแสดงตัวตนให้ผู้อื่นรับรู้ว่ามีกลุ่มชาติพันธุ์ไทดำอยู่อีกด้วย (หน้า72-74) การจัดงานประจำปีของชาวไทดำยังเป็นกลไกในการรักษามรดกทางวัฒนธรรม เพื่อเป็นการสืบทอดส่งต่อให้คนรุ่นหลังต่อไป(หน้า75)
|
|
Social Cultural and Identity Change |
สังคมและวัฒนธรรมของชาวไทดำนั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปบริบทของสังคมและกาลเวลา เช่น การเปลี่ยนแปลงวิถีการผลิตของชาวไทดำที่ทำนาปลูกข้าวเพื่อบริโภคในครัวเรือนไปสู่การผลิตเพื่อจำหน่าย ให้ความสำคัญกับมูลค่าการแลกเปลี่ยนตามระบบเงินตรา การพัฒนาระบบคมนาคมยิ่งทำให้การเดินทางสะดวกมากขึ้นจึงมีการตั้งโรงงานอุตสาหกรรมในเขตชานเมืองใหญ่ เป็นเหตุที่ทำให้ผู้คนออกจากภาคเกษตรกรรมเข้าสู่ระบบโรงงานที่มีค่าตอบแทนเป็นรายเดือนที่แน่นอน ส่งผลให้เกิดค่านิยมใหม่ โดยฉพาะหนุ่มสาวจะทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมมากกว่าทำงานในหมู่บ้านทำให้วัฒนธรรมประเพณีเริ่มสูญหายไป นอกจากนี้ ความทันสมัยทำให้การแสดงออกทางอัตลักษณ์เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เช่น การแต่งกายและทรงผมที่มีเอกลักษณ์ของไทดำก็หมดความนิยมไป ประเพณีการลงข่วง-แอ่วสาวก็ได้รับผลกระทบเนื่องจากเป็นประเพณีที่เป็นไปตามปฎิทินการเกษตร แต่เมื่อหนุ่มสาวนิยมทำงานในโรงงานประเพณีเหล่านี้ก็หมดหน้าที่ไป เพราะหนุ่มสาวก็เจอกันตามโรงงาน(หน้า68-69)
ผู้เขียนกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงของงานประจำปี ในแง่ของรายละเอียดของการจัดงานและจุดประสงค์ในการจัดงาน กล่าวคือ งานประจำปีของชาวไทดำได้ถูกพัฒนามาจากประเพณีการลงข่วง-แอ่วสาว ซึ่งประเพณีการลงข่วง-แอ่วสาวนั้นแต่เดิมเป็นการพบกันของหนุ่มสาว โดยคนหนุ่มจะไปเที่ยวเยี่ยมสาวตามหมู่บ้านต่างๆ เพื่อทำความรู้จัก เกี้ยวพาราสี ผูกสมัครรักใคร่ จนไปถึงแต่งงานกัน เป็นโอกาสที่ทำให้หนุ่มสาวได้รู้จักพบเจอกัน ในประเพณีการลงข่วงแอ่วสาวจะมีการเล่นคอน-รำแคนด้วย แต่ในปัจจุบันหนุ่มสาวพบรักกันตามโรงงาน จึงไม่จำเป็นต้องมีการแอ่วสาว แต่ยังหลงเหลือแต่เพียงความสนุกสนานของการได้มาฟ้อนรำกันในเทศกาลนี้ เพื่อผ่อนคลายความเหน็ดเหนื่อยจากการทำงาน ทำให้จุดประสงค์ของงานกลายมาเป็นการจัดงานเพื่อความสนุกสนาน โดยใช้ชื่องานว่า วันไทยทรงดำร่วมใจ ซึ่งถูกกำหนดโดยภาครัฐ และวันไทดำนี้เองก็กลายเป็นพื้นที่ในการฟื้นฟูความเป็นชาติพันธุ์ไทดำ สร้างความภาคภูมิใจให้แก่ลูกหลานในการที่จะแต่งกายด้วยชุดประจำกลุ่ม และการจัดงานยังเป็นการประกาศให้คนในสังคมทราบถึงความเป็นอัตลักษณ์ของชาติพันธุ์ของไทดำอีกด้วย (หน้า69-71)
|
|
Map/Illustration |
ภาพผู้นำชุมชนไทดำร่วมร้องเพลงสดุดีมหาราช ในงานวันไทยทรงดำร่วมใจ เมื่อวันที่ 14 เมษายน 2554 (หน้า74) |
|
Text Analyst |
ปุณสิตา แย้มโอวาท |
Date of Report |
18 พ.ค. 2559 |
TAG |
ไทดำ, ไทยโซ่ง, ไทยทรงดำ, ไตดำ, ผู้ไตซงดำ, ผู้ไทยดำ, ลาวโซ่ง, ลาวโซ่งดำ, รัฐชาติ, ชาติพันธุ์, อัตลักษณ์, รัฐชาติไทย, ความสัมพันธ์เชิงอำนาจ, งานประจำปีไทดำ, งานวันประเพณีไทยทรงดำ, |
Translator |
- |
|