|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
อาข่า เพศวิถี เพศสภาวะ เชื้อชาติ ความทันสมัยนิยม สุขภาพ ประเทศลาว |
Author |
Chris Lyttleton, Douangphet Sayanouso |
Title |
Cultural Reproduction and “Minority” Sexuality: Intimate Changes among Ethnic Akha in the Upper Mekong |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
- |
Ethnic Identity |
อ่าข่า,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
20 |
Year |
2554 |
Source |
Lyttleton, C., Sayanouso, D. 2011. Cultural Reproduction and “Minority” Sexuality: Intimate Changes among Ethnic Akha in the Upper Mekong. Asian Studies Review 35:169-188. |
Abstract |
อาข่าลาวมีแนวทางปฏิบัติทางเพศเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ซึ่งผู้หญิงสามารถมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงานได้ รวมทั้งชายอาข่าลาว และชาวอาข่าจีนสามารถมีเพศสัมพันธ์กับหญิงอาข่าลาวที่มิใช่คู่ของตนได้ จึงเกิดการเข้ามาหาผลประโยชน์เชิงเพศด้วยการคบชู้กับหญิงอาข่าลาวในลักษณะของการค้ามนุษย์ขึ้น โดยความเชื่อของอาข่าเองก็คือ หญิงโสดที่โตเต็มวัยแล้วถือเป็นสมบัติของส่วนรวม และไม่ได้มีไว้เพื่อความพอใจทางเพศของผู้หนึ่งผู้ใดเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม อาข่ามีข้อห้ามสำหรับเรื่องเพศด้วย โดยห้ามการแต่งงานกับญาติพี่น้องของตนเอง ซึ่งด้วยวิถีชีวิตทางเพศของชาวอาข่าในตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศลาว ณ ปัจจุบัน ส่งผลให้เกิดสิ่งที่น่าสนใจในด้านการพัฒนาของโครงสร้างพื้นฐานทางประชากรตลอดจนปฏิสัมพันธ์กับประชากรบริเวณที่ราบลุ่ม และกองทุนอุดหนุนทางสุขภาพที่จัดสรรไปยังพื้นที่ของชนเผ่าซึ่งเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของชาวอาข่าเป็นอย่างมาก โดยแทรกแซงความเป็นอยู่ในเรื่องเพศ ตลอดจนวิธีการต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อการรวมแว่นแคว้น อีกทั้งยังมีกระบวนการเปลี่ยนแปลงสู่ความทันสมัยของชนเผ่าอาข่า ซึ่งกระทบต่อจำนวนประชากรและสุขภาพ |
|
Theoretical Issues |
ผู้เขียนแย้งกรอบวิเคราะห์ของ Malinowski ที่กล่าวว่าสังคมมนุษย์มีรูปแบบเกี่ยวกับหลักปฏิบัติทางเพศ (Sexual norms) และการคบหากันของชายหญิงที่แตกต่างกัน แต่ก็มีส่วนที่เหมือนกันอยู่ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นกฎเกณฑ์ตามหลักความชอบธรรม (หน้า 169) และสนับสนุนแนวคิดของ Weeks ที่แย้งว่ากิจกรรมเกี่ยวกับเพศมิได้เป็นประเด็นที่เปลี่ยนแปลงน้อยที่สุดในบรรดาปรากฏการณ์ทางสังคมอีกต่อไปแล้ว ในทางกลับกัน อาจเป็นประเด็นที่อ่อนไหวที่สุดต่ออิทธิพลทางสังคม (หน้า 170)
ผู้วิจัยเสนอว่ากรณีของอาข่าในลาวนั้น การผลิตซ้ำทางวัฒนธรรมรวมทั้งกิจกรรมเกี่ยวกับเพศไม่ได้เกิดขึ้นอย่างลอยๆ โดยในประเทศลาวที่ชนกลุ่มน้อยมีจำนวนเกือบครึ่งหนึ่งของประชากร การสร้างถนนเส้นใหม่ การเพิ่มปฏิสัมพันธ์กับคนบนพื้นราบ และโครงการต่าง ๆ จากผู้ให้ทุน ทำให้วิถีชีวิตของชาติพันธุ์ต่าง ๆ ถูกแทรกแซงและเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว (หน้า 170) และทำให้เพศวิถีของอาข่าในทางตะวันออกเฉียงเหนือของลาว ถูกแสวงประโยชน์และทำให้กลายเป็นส่วนน้อย (Minoritised) ภายใต้กระบวนการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความทันสมัย องค์การระหว่างประเทศผลักดันเรื่องการควบคุมประชากร ทำให้มีโปรแกรมที่จะควบคุมพฤติกรรมทางเพศของผู้หญิงอาข่าในฐานะที่เป็นผู้ตั้งครรภ์ |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาอาข่าจัดอยู่ในภาษาตระกูลทิเบต-พม่า (หน้า 169)
ในอดีตความไม่คุ้นเคยทางภาษาเป็นอุปสรรคในความสัมพันธ์เชิงเพศระหว่างหนุ่มอาข่าจีน กับสาวอาข่าลาว โดยที่ทั้งกลุ่มวัยรุ่นชาย(ซึ่งเป็นตัวกลางในการจัดหาคู่) และสาวอาข่าต่างก็ไม่พยายามเรียนรู้ภาษาจีน ซึ่งชาวจีนเองก็ไม่สามารถสื่อสารภาษาอาข่าได้เช่นกัน ขณะที่ชาวลาวในเมืองที่เข้ามาทำงานในหมู่บ้านอาข่าก็รู้ภาษาอาข่าไม่กี่คำเท่านั้น ทั้งนี้ การสร้างความคุ้นเคยทางภาษาจะเกิดขึ้นในกรณีที่สาวอาข่าลาวต้องการจะแต่งงานกับผู้ที่ไม่ใช่ชาวอาข่า ในทางตรงกันข้ามนั้น ชายอาข่าลาวก็ไม่มีคุณสมบัติที่ดึงดูดใจสาวอาข่าจีนอยู่แล้ว และก็ไม่สามารถมีรักหรือความสัมพันธ์เชิงเพศข้ามพรมแดนได้ (หน้า 181) |
|
Study Period (Data Collection) |
งานวิจัยชิ้นนี้เก็บข้อมูลโดยนักมานุษยวิทยาทางการแพทย์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 และนักศึกษาปริญญาเอกเก็บข้อมูลเรื่องสุขภาวะการเจริญพันธุ์ในปี ค.ศ. 2005-2007 (หน้า 175) |
|
History of the Group and Community |
อาข่าอพยพมาจากตอนใต้ของจีนในช่วงศตวรรษที่ 19และต้นศตวรรษที่ 20 โดยในจังหวัดหลวงน้ำทาของลาวนั้น อาข่าเป็นประชากรหลักของอำเภอเมืองสิงห์และอำเภอเมืองลอง ตั้งแต่ปลายทศวรรษ 90 อาข่าย้ายจากแถบภูเขาไปอยู่พื้นที่ที่ลาดชันน้อยกว่าหรือบริเวณหุบเขา ซึ่งส่วนหนึ่งมีสาเหตุจากต้องการเข้าถึงบริการจากรัฐและโอกาสทางเศรษฐกิจ ขณะที่ส่วนหนึ่งมาจากการปฏิบัติตามคำสั่งของรัฐที่ห้ามปลูกฝิ่นตั้งแต่ปี 2003 (หน้า 172)
ในปี 2009 อาข่าลาวเป็นส่วนหนึ่งในการบูรณาการของรัฐชาติในเรื่องระบบการศึกษาและสุขภาพ เนื่องจากกลุ่มคนเหล่านี้ส่วนใหญ่อ่านหรือพูดภาษาลาวได้ไม่คล่อง (หน้า 172) |
|
Settlement Pattern |
อาข่าในลาวอพยพมาจากตอนใต้ของจีนในช่วงศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 ปัจจุบันมีอยู่กว่า 60,000 คนที่อาศัยอยู่ในประเทศลาว ตั้งแต่ปลายทศวรรษ 90 อาข่าย้ายจากแถบภูเขาไปอยู่พื้นที่ที่ลาดชันน้อยกว่า หรือบริเวณหุบเขา ซึ่งส่วนหนึ่งมีสาเหตุมาจากต้องการเข้าถึงบริการจากรัฐ และโอกาสทางเศรษฐกิจ ขณะที่ส่วนหนึ่งมาจากการปฏิบัติตามคำสั่งของรัฐที่ห้ามปลูกฝิ่นตั้งแต่ปี 2003 (หน้า 172)
โดยอาข่าในเมืองสิงห์และเมืองลองย้ายไปอยู่ใกล้ชนกลุ่มน้อยในเขตเมืองมากขึ้น เพื่อเพิ่มปริมาณการค้าขายไม้ และสินค้าในครัวเรือนมากขึ้น (หน้า 180) |
|
Demography |
อาข่ามีจำนวนประมาณ 6 หมื่นคนในประเทศลาว โดยอาข่าเป็นประชากรหลักของอำเภอเมืองสิงห์ และอำเภอเมืองลอง จังหวัดหลวงน้ำทา โดยอาศัยอยู่กับชาวลาว ไทยลื้อ ไทยดำ และชนกลุ่มน้อยต่าง ๆ ในพื้นที่ราบ เช่น ม้ง และลาหู่ (หน้า 172)
การเพิ่มขึ้นของประชากรอาข่าลาวทำให้พวกเขาเข้าสู่ระบบการดูแลของรัฐบาล ธรรมเนียมปฏิบัติสากลในเรื่องการค้าและการเคลื่อนย้ายแรงงาน ตลอดจนอยู่ในโครงการของหน่วยงาน(บุคคล) ที่บริจาคเงินเพื่อพัฒนาประเทศในด้านวัฒนธรรม และการผลักดันในเรื่องเพศ (หน้า 173)
อาข่าลาวไม่ได้อพยพเข้าเมืองไปจัดตั้งกลุ่มชนย่อยในฐานะแรงงานเขตเมือง เนื่องจากข้อจำกัดทางภาษา และขาดเครือข่ายสายสัมพันธ์ทางครอบครัวที่นั่น (หน้า 181) |
|
Economy |
ระบบเศรษฐกิจในชีวิตประจำวันมีความเกี่ยวข้องอย่างแนบชิดกับความเปลี่ยนแปลงทางวัตถุนำไปสู่ความทันสมัยในชีวิตของอาข่า (หน้า 173) โดยการลงทุนในธุรกิจแตงโม น้ำตาลและยางพารา นำไปสู่การมีอาข่าจีนเข้ามาใกล้ชิดชีวิตในหมู่บ้านอาข่าลาวมากขึ้น (หน้า 180) ขณะเดียวกัน อาข่าลาวบางคนก็ข้ามไปทำงานที่ประเทศจีน แม้จะมีหญิงอาข่าลาวบางส่วนย้ายกลับจากฝั่งจีน เพราะทนต่อสภาพชีวิตที่หยาบกระด้างของจีนไม่ได้ แต่พ่อแม่ชาวอาข่าก็สนับสนุนให้ลูกสาวของตนแต่งงานกับชาวจีน ซึ่งในอดีตชาวจีนที่แต่งงานกับอาข่าลาวได้ประโยชน์จากการมีสายสัมพันธ์ทางครอบครัวในการเข้าถึงและยึดกุมธุรกิจยางพารา โดยทุกครัวเรือนตามแนวชายแดนจีนที่ผู้วิจัยสำรวจนั้น ปัจจุบันมีธุรกิจยางพาราบนฝั่งลาว (หน้า 180)
หมู่บ้านอาข่าลาวนั้นไม่แตกต่างจากชุมชนอื่น เพราะการขยายตัวของระบบทุนนิยม และการเกิดขึ้นของวัฒนธรรมบริโภคนิยมเป็นกระแสที่ที่เกิดอย่างรวดเร็วในลาวตอนตะวันตกเฉียงเหนือ อันเนื่องมาจากการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ การไหลเข้าของเงินช่วยเหลือจากต่างประเทศ และการลงทุนในธุรกิจยางพาราของจีนจึงเกิดขึ้น เช่นเดียวกับรูปแบบใหม่ด้านความสัมพันธ์ทางสังคมของคนต่างชาติพันธุ์ (หน้า 181) |
|
Social Organization |
การแต่งงานเป็นผลมาจากการที่คบหากับคู่รักแต่ละคนได้สักระยะหนึ่ง ซึ่งพ่อแม่ไม่มีอิทธิพลมากนักสำหรับการเลือกคู่ครอง โดยที่การแต่งงานเกิดขึ้นเมื่อคนทั้งสองตกลงปลงใจที่จะมีความสัมพันธ์แบบอยู่กินด้วยกันก่อนจะมีลูก อย่างไรก็ตาม เมื่อหญิงโสดตั้งท้องขึ้นก็จะต้องมีการจัดงานแต่งงานอย่างรีบด่วน เพราะลูกที่เกิดก่อนแต่งงานจะถือเป็นลูกที่ไม่อยู่ในตระกูลของทางฝ่ายชาย และจะถือเป็นกาลกิณีของหมู่บ้านด้วย (หน้า 178)
ภาวการณ์มีลูกยากเกิดขึ้นแพร่หลายในสังคมอาข่าลาว แม้ว่าครอบครัวอาข่ามีค่านิยมให้มีลูกจำนวนมาก โดยเฉพาะลูกชายซึ่งมีความจำเป็นในการประกอบพิธีกรรมเซ่นไหว้บรรพบุรุษ (หน้า 170) โดยใน 12หมู่บ้านชาวอาข่า พบว่าค่าเฉลี่ยของการมีลูกยากของคู่สมรสเท่ากับ 10.96% และในภาพรวมระดับหมู่บ้านเท่ากับ 27% ทั้งนี้ ความสามารถในการมีลูกถือเป็นเรื่องที่อาข่าให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะหญิงอาข่าที่ไม่สามารถมีลูกได้ก็จะถูกฝ่ายชายขอหย่าในที่สุด และนำไปสู่การมีภรรยาคนถัดไป (หน้า 179) ด้วยเหตุนี้เอง การมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน และการมีเพศสัมพันธ์แบบหลายคู่ จึงมีบทบาทที่ช่วยคลี่คลายปัญหาการมีลูกยากในสังคมอาข่าได้ (หน้า 180)
อาข่าลาวใช้ความเข้าใจในวัฒนธรรมอย่างแยบยล โดยไม่เพียงแค่มิติทางศาสนาและการท่องเที่ยว แต่เชื่อมโยงกับกิจกรรมเกี่ยวกับเพศ โดยชายอาข่าสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับชาวจีน และชาวลาวผ่านบริการทางสังคมด้วยการแนะนำหญิงสาวให้ ในขณะเดียวกัน บางครั้งหญิงอาข่าก็สร้างสัมพันธ์กับชายนอกหมู่บ้าน โดยปราศจากการควบคุมดูแลของกลุ่มวัยรุ่นชายเช่นกัน ดังนั้น การเปิดกว้างทางวัฒนธรรมไม่ได้มีผลแค่เพียงมิติของที่ดินและแรงงาน แต่ส่งผลไปยังเรือนร่างและอารมณ์ความต้องการด้วย (หน้า 182)
โดยที่วัยรุ่นหญิงชายอาข่าจะมีการจัดตั้งกลุ่มในหมู่บ้านขึ้นมา โดยมีการเลือกหนุ่มอาข่าขึ้นมาหัวหน้ากลุ่มเพื่อทำหน้าที่ต่าง ๆ เพื่อส่วนรวม แม้ไม่ใช่สาวอาข่าทุกคนจะเข้าร่วมกลุ่มดังกล่าว แต่ส่วนใหญ่แล้วล้วนเป็นสมาชิกของกลุ่ม ทั้งนี้ สาววัยรุ่นจะถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อย ๆ ตามรุ่นอายุ กลุ่มแรกอยู่ในช่วง 13-15 ปี ซึ่งถูกจำกัดให้มีแฟนได้เพียงกับหนุ่มอาข่าในหมู่บ้านเดียวกันเท่านั้น ขณะที่ช่วง 16-18 ปี มีสิทธิ์คบหากับหนุ่มอาข่านอกหมู่บ้านได้ (หน้า 175)
กลุ่มวัยรุ่นดังกล่าวข้างต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งชายที่เป็นหัวหน้ากลุ่ม จะทำหน้าที่เป็นพ่อสื่อให้เกิดการรู้จักกันเชิงชู้สาวระหว่างสาวโสด กับชายจากหมู่บ้านอื่น (หน้า 176-177) ปัจจุบันกลุ่มเพื่อนเป็นสื่อในการเจรจาพูดคุยระหว่างพรมแดนทั้งด้านพันธมิตรทางสังคม และการแลกเปลี่ยนสินค้า ซึ่งเชื่อมต่อไปถึงชายจากจีนและคนลาวในเมืองได้
ขณะที่ชายอาข่าบางส่วนก็ตั้งใจเดินทางไปพื้นที่อื่นเพื่อหาคู่นอน และบางส่วนก็เข้าไปทำธุรกิจ โดยชายอาข่าอาจทำการเข้าหา หรือได้รับการติดต่อจากผู้นำวัยรุ่นในพื้นที่อื่นในเรื่องการจัดหาหญิงสาวเป็นคู่นอนให้ โดยเขาจะจ่ายค่าตอบแทนให้กลุ่มวัยรุ่นในพื้นที่นั้นเป็นเหล้าหรือบุหรี่ (ซึ่งคิดเป็นมูลค่า 1.5 ดอลล่าร์ หรือ 15,000กีบ) แต่ถ้าไม่เจอหญิงสาวที่ถูกใจ ก็สามารถไปพร้อมกับกลุ่มวัยรุ่นเพื่อเลือกดูสาวรอบ ๆ หมู่บ้านได้ โดยสถานที่หลับนอนพลอดรักกันอาจเป็นกระท่อมเล็ก ๆ หรือเสื่อปูแบบง่าย ๆ บริเวณรอบหมู่บ้าน อย่างไรก็ดี การจัดหาพบเจอกันระหว่างหนุ่มสาวในลักษณะข้างต้นนี้ อาจนำไปสู่การแต่งงานกันในที่สุด (หน้า 177)
ในอดีตนั้นหญิงอาข่าไม่ค่อยมีทางเลือกมากนัก แต่จะต้องยอมอยู่กับผู้มาเยือนซึ่งเป็นชาย อาข่า โดยหญิงคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า “ถ้าไม่ไปกับผู้ชายจะถูกทำโทษด้วยการให้ยืนใกล้กองไฟ หรือให้ยกของหนัก ๆ หรือไม่อนุญาตให้อยู่กับแฟนหนุ่ม ขณะที่บางกรณีก็ไม่เลวร้ายนัก เพราะหญิงอีกคนหนึ่งเล่าว่าชีวิตก่อนแต่งงานของเธอสนุกสนาน โดยหากชายหนุ่มผู้มาเยือนเป็นหนุ่มหล่อ เธอก็จะเต็มใจไปกับชายคนนั้น (หน้า 177)
แม้เครือข่ายการติดต่อเชิงเพศในลักษณะดังกล่าวสูญหายไปแล้วในหลายหมู่บ้าน แต่ในหมู่บ้านที่ห่างไกลยังมีรูปแบบนี้อยู่ เนื่องจากระยะหลัง ๆ นี้หญิงวัยรุ่นไม่มีข้อผูกมัดให้ต้องรับแขก หรืออาจออกไปเที่ยวด้วยกันโดยไม่ต้องมีเพศสัมพันธ์ หากชายมีท่าทีขู่บังคับ เธอสามารถหนีจากออกมาโดยไม่ต้องถูกทำโทษแล้ว โดย S ซึ่งเป็นผู้ให้ข้อมูลคนหนึ่งกล่าวว่า ในบางครั้งอาจมีการต่อสู้กันขึ้นในกรณีที่ผู้ชายจากที่อื่นต้องการตัวหญิงสาวซึ่งมีแฟนเป็นคนในหมู่บ้านนั้น และเธอผู้นั้นมีพันธะ (หน้า 177)
ผู้ชายในหลายหมู่บ้านยังคงรวมกลุ่มในลักษณะเช่นนี้อยู่ แม้ว่าจะมีแรงกดดันจากหน่วยงานส่วนท้องถิ่นให้เลิกเสีย ทั้งนี้ เพราะเห็นว่าเครือข่ายการรวมตัวกันแบบนี้จะทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนหญิงชายระหว่างกัน และช่วยสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายต่างหมู่บ้านผ่านการช่วยเหลือเกื้อกูลกันในเรื่องเพศ (หน้า 177-178) |
|
Belief System |
ตามประเพณีอาข่าในลาวอนุญาตให้หญิงมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงานได้ แต่มีข้อกำหนดว่าจะต้องแต่งงานก่อนที่เด็กจะเกิด (หน้า 170)
เพศสภาพเป็นถูกหยิบยกเป็นประเด็นสำคัญในหลายด้านสำหรับอาข่าในอำเภอเมืองสิงห์ และอำเภอเมืองลอง รวมทั้งในพื้นที่อื่นที่พวกเขามีปฏิสัมพันธ์ด้วย โดยรูปแบบปฏิบัติเรื่องเพศถูกแนะนำให้แก่อาข่าในลักษณะที่เป็นเรื่องจำเป็นสำหรับการเข้าพวกเข้ากลุ่มกับผู้อื่น(หน้า 173)
อาข่าจีนมองอาข่าลาวเป็นเป้าหมายในการขยายโอกาสทางเศรษฐกิจผ่านการสนับสนุนจากพันธมิตรประเทศต่าง ๆ ที่มีพื้นฐานความใกล้ชิดสนิทสนมทางเพศสภาพ โดยอาข่าลาวและอาข่าจีนที่อาศัยบนพื้นราบมีวิถีคิดทางเพศในการมีเพศสัมพันธ์แบบหลายคู่เหมือนต่างชาติ ในขณะที่องค์กรความช่วยเหลือต่าง ๆ มุ่งแทรกแซงให้เกิดการลดโรคติดต่อทางเพศ แต่การช่วยเหลือดังกล่าวก็กลายเป็นการสื่อถึงระบบความคิดแบบใหม่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ให้อาข่ามีวิถีของการปฏิบัติที่มากกว่าการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย (หน้า 173)
เพศสภาพเป็นประเด็นทางสังคมที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ขณะที่ข้อยกเว้นก็ถูกตั้งขึ้นตามผู้ทรงภูมิที่ยึดตามรูปแบบการผ่อนผันให้อภัยเชิงสังคม แต่ไม่มีข้อห้ามใด ๆ ในการมีเพศสัมพันธ์ก่อนสมรส ในทางตรงกันข้าม ความสัมพันธ์ในเชิงเพศกลายเป็นก้าวสำคัญของการสร้างความสัมพันธ์ในการสมรส (หน้า 173)
แต่หากเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านแล้วนั้น ก็มีความแตกต่างทางสังคมเช่นกัน โดยที่ในประเทศจีนถือว่าเสรีภาพในการมีเพศสัมพันธ์ของชนกลุ่มน้อยที่กำลังแพร่หลายอยู่นั้นเป็นความประพฤติที่ผิดศีลธรรม (หน้า 173-174)
แม้อาข่าหลายต่อหลายรุ่นจะถูกสอนไม่ให้มีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน แต่หนุ่มสาวอาข่าส่วนมากในเมืองสิงห์และเมืองลองก็ยังไวต่อเรื่องเพศในช่วงวัยรุ่น และมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงานหลายปี (หน้า 175) โดยภายหลังการแต่งงานนั้น สาวอาข่าถูกคาดหวังให้มีเพศสัมพันธ์เฉพาะกับสามีของตนเอง (หากไม่มีการหย่าร้างเกิดขึ้น) ในทางตรงกันข้าม หนุ่มอาข่าที่แต่งงานแล้วสามารถมีเพศสัมพันธ์กับสาวที่ยังไม่แต่งงานได้ ในลักษณะที่เป็นภรรยาคนที่สองโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเกิดการตั้งครรภ์ขึ้นมาแล้ว (หน้า 175)
อาข่ามีข้อห้ามในการแต่งงานกับญาติพี่น้องของตนเอง ซึ่งเป็นภาระหน้าที่ของหนุ่มอาข่า(มากกว่าสาวอาข่า) ในการคัดกรองคู่ครองที่เหมาะสมแก่ตนเอง (หน้า 175) หลักการสำคัญเกี่ยวกับข้อต้องห้ามของการมีคู่ระบุว่า หญิงโสดที่โตเต็มวัยแล้วถือเป็นสมบัติของส่วนรวม และไม่ได้มีไว้เพื่อความพอใจทางเพศของผู้หนึ่งผู้ใดเท่านั้น โดยพ่อแม่ผู้ปกครองไม่ค่อยจะได้พูดคุยเรื่องเพศกับลูกของตน และไม่ค่อยกล่าวถึงการมีคู่ช่วงวัยแรกรุ่น (หน้า 176)
ไม่เพียงแต่ความสัมพันธ์เชิงเพศภายในสังคมอาข่าจะมีเอกลักษณ์เฉพาะอย่างที่เกิดจากปฏิสัมพันธ์ทางสังคม แต่การมีเพศสัมพันธ์กับคู่รักหลายคนก็เป็นลักษณะเชิงโครงสร้างของวัฒนธรรมวัยรุ่นของอาข่าด้วย ซึ่งก็ทำให้การเกี้ยวพาราสีระหว่างหมู่บ้านเกิดขึ้นในพื้นที่ห่างไกล และวัฒนธรรมการบริโภคยังเข้าไปไม่ถึง อันเป็นข้อจำกัดไม่ให้วัยรุ่นมีทางเลือกในกิจกรรมอื่นใด (หน้า 176)
ในสังคมอาข่านั้น มีความสัมพันธ์ทางเพศก่อนแต่งงานเกิดขึ้นในบริบทที่หลากหลายตามช่วงอายุเจริญวัยของหนุ่มสาว ซึ่งในเรื่องนี้เกิดขึ้นตามการตัดสินใจรายบุคคลเสียเป็นส่วนใหญ่ แม้จะไม่ใช่ทั้งหมด ชุมชนอาข่าลาวหลายแห่งไม่อนุญาตให้แต่งงานกับผู้ที่ตนมีความสัมพันธ์ทางเพศด้วยเป็นคนแรก ดังนั้น การมีความสัมพันธ์ทางเพศครั้งแรกไม่ได้เป็นเพราะเหตุผลการรักใคร่กัน แต่เป็นการสนับสนุนให้ผู้ชายโตเต็มวัยในช่วงอายุเจริญพันธุ์มีกิจกรรมทางเพศนั่นเอง องค์ประกอบของการล่วงพรหมจรรย์ และพลังแห่งการเจริญพันธุ์ของอสุจิเป็นไปเพื่อการสนับสนุนภาวะการเริ่มมีประจำเดือน และช่วยให้ผู้หญิงโตเต็มวัย การมีเพศสัมพันธ์ถูกทำให้เชื่อว่าเป็นการส่งเสริมให้เกิดการเจริญเติบโตทางกายภาพของผู้หญิง ด้วยเหตุนี้ การมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกจึงเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์แก่คนวัยแรกรุ่น อีกทั้งยังมีความเชื่อที่ว่าการมีเพศสัมพันธ์กับหญิงวัยที่มีประจำเดือนแล้ว ถือเป็นช่วงที่ผ่านความสมบูรณ์ไปแล้ว (หน้า 176)
ความสัมพันธ์เชิงเพศ และการแต่งงานของสังคมอาข่ายังคงมีกระบวนการเชิงจารีตสำหรับหญิงสาวเมืองสิงห์และเมืองลองในการเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ซึ่งชายจีน และแม้กระทั่งชาวลาวนำทุนนิยมไปครอบงำระบบวัฒนธรรมแบบหลวม ๆ และเข้าไปมีส่วนร่วมเชิงเพศกับหญิงอาข่าลาว โดยใช้เงินทอง หรือการให้สัญญาว่าจะแต่งงานเป็นตัวล่อให้เกิดการกระทำดังกล่าว (หน้า 181)
หญิงอาข่าสามารถระบุชายที่ต้องการจะแต่งงานด้วยได้ แต่ชายผู้นั้นก็สามารถที่จะยินยอมหรือไม่ยินยอมแต่งงานกับเธอ ในกรณีนี้พ่อแม่ของฝ่ายหญิงก็อาจจะช่วยลูกสาวในการหาคู่ครองคนอื่น ๆ ซึ่งโดยทั่วไปอาจจะนำไปสู่การตกลงเป็นภรรยาน้อยของชายที่แต่งงานแล้ว
ทั้งนี้การเจรจาต่อรองในเรื่องการแต่งงาน อาจทำให้ทางฝ่ายหญิงเสียหน้าได้ในกรณีที่ถูกฝ่ายชายปฏิเสธในการให้เป็นภรรยาน้อย เพราะชายที่ต้องการมีภรรยาน้อยมักให้ความสำคัญกับการมีลูกมากขึ้นจากปัญหาการมีลูกยากในครอบครัวของตนเอง อีกทั้งการมีภรรยาน้อยยังกระทบต่อภาระในครอบครัว และเกี่ยวข้องกับสัญลักษณ์ของสถานะความเป็นชายด้วย (หน้า 178)
ในลาวนั้นการสนับสนุนให้มีเพศสัมพันธ์แบบหลายคู่เป็นเครื่องมือของการผลิตซ้ำทางสังคมและวัตถุ และการจัดหาคู่ครองในระยะยาวผ่านการคบชู้กันในช่วงสั้น ๆ โดยหญิงอาข่าถูกกำหนดให้ปฏิบัติตามกฎของหมู่บ้านในเรื่องการสืบพันธุ์สร้างทายาท ในขณะเดียวกัน พวกเธอก็พบรอยร้าวในระบบวัฒนธรรมซึ่งยอมให้มีการเพิ่มขึ้นของระบบการมีคู่นอนหลายคน(หน้า 183)
กิจกรรมและความเชื่อในเรื่องเพศของอาข่าเป็นประเด็นที่ฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณแห่งเอกลักษณ์ของพวกเขา ซึ่งข้อปฏิบัติแบบจารีตที่หลากหลายช่วยให้ปรับตัวไปสู่สภาพสังคมที่ทันสมัยได้ ทั้งนี้ ทางแยกของความแตกต่างทางวัฒนธรรม และระบบเศรษฐกิจเป็นการสนับสนุนความสัมพันธ์เชิงสังคมในรูปแบบใหม่ และประสบการณ์ที่แตกต่างกันของแต่ละคนก็ช่วยขับเคลื่อนไปสู่ทิศทางที่หลากหลายด้วย (หน้า 184)
ส่วนอาข่าจีนซึ่งตระหนักถึงความเชื่อเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน จะเข้ามาหา ผลประโยชน์เชิงเพศด้วยการคบชู้กับหญิงอาข่าลาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่บริเวณชายแดน ซึ่งผู้ให้ข้อมูลสำคัญได้เล่าว่าชายอาข่าจีนส่วนใหญ่มีเพศสัมพันธ์กับหญิงอาข่าลาวในลักษณะความสัมพันธ์ชั่วคราว หรือระยะสั้น แม้ว่าอาจมีบางส่วนที่แต่งงานกันในที่สุด โดยมีชายอาข่าจีน 19คนที่แต่งงานกับหญิงอาข่าลาว (หน้า 180)
แต่ทรรศนะของชายอาข่าจีนโดยภาพรวมก็คือ ต้องการแสวงหาสาวอาข่าลาวเพียงเพื่อสนองความต้องการชั่วคราวให้แก่ตนเอง โดยบางคนให้ข้อมูลว่าพวกเขาไม่ได้ตั้งใจจะแต่งงานกับอาข่าลาว เพียงแต่หวังที่จะตักตวงความสุขในเชิงเพศมากกว่า ในขณะที่ผู้นำหมู่บ้านอาข่าลาวก็ออกกฎข้อห้ามการคบชู้กับอาข่าจีน เนื่องจากเกรงว่าจะทำให้หมู่บ้านสูญเสียหญิงสาว และลูกหลานไปให้อาข่าจีนในการนี้(หน้า 180) |
|
Education and Socialization |
ในปี 2009 อาข่าลาวเป็นส่วนหนึ่งในการบูรณาการของรัฐชาติในเรื่องระบบการศึกษา เนื่องจากกลุ่มคนเหล่านี้ส่วนใหญ่อ่าน หรือพูดภาษาลาวได้ไม่คล่อง (หน้า 172) |
|
Health and Medicine |
ในปี 2009 อาข่าลาวเป็นส่วนหนึ่งในการบูรณาการของรัฐชาติในเรื่องสุขภาพ (หน้า 172) โดยที่หน่วยงานให้ทุนช่วยเหลือจากต่างประเทศพยายามให้ความรู้เรื่องเอดส์ และแนะนำเกี่ยวกับข้อห้ามต่าง ๆ ในการมีเพศสัมพันธ์ รวมทั้งการใส่ถุงยางอนามัยซึ่งก็สามารถเร้าอารมณ์ได้เช่นกัน แต่หนุ่มสาวอาข่าก็มิได้นำความรู้เหล่านี้ไปใช้ทั้งหมด แต่เลือกปฏิบัติตามความพอใจของตนเอง (หน้า 183) อย่างไรก็ดี เนื่องจากภาวการณ์มีลูกยากในสังคมอาข่าที่เป็นเหตุให้เกิดความเชื่อยินยอมชายอาข่าทั้งที่โสด และที่สมรสแล้วมีเพศสัมพันธ์กับหญิงอาข่าที่ยังไม่แต่งงานได้ นำไปสู่การแพร่ระบาดของโรคที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (หน้า 180) นอกจากนั้น สิทธิทางเพศในปัจจุบันอยู่คนละขั้วกับโครงการส่งเสริมสุขภาพของการเจริญพันธุ์ ซึ่งมุ่งไปยังสาธารณสุขแบบง่าย ๆ ที่พยายามลดจำนวนการเกิดของเด็ก และหลักปฏิบัติในการมีคู่ครองคนเดียว แนวทางของโครงการดังกล่าวไม่สอดคล้องกับกลวิธีของอาข่าที่พยายามเพิ่มจำนวนบุตรให้มากที่สุดในครัวเรือนของตน (หน้า 184)
ความยุ่งยากของหน่วยงานรัฐ และหน่วยงานให้ทุนช่วยเหลือจากต่างประเทศไม่ใช่อยู่ที่การช่วยเหลือกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ให้ปฏิบัติตนเชิงศีลธรรมในลักษณะที่ถูกสุขอนามัยตามความเปลี่ยนแปลงไปสู่ความทันสมัย แต่เป็นการประกันให้เกิดความปลอดภัยทางสังคม และในเรื่องเพศสัมพันธ์ซึ่งเป็นมิติที่มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงทางวัตถุ (หน้า 184) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
อาข่าไม่มีการแบ่งแยกบทบาททางสังคมอย่างชัดเจน และผู้หญิงมีโอกาสที่หลากหลายในการแสดงสถานะทางสังคม (หน้า 172) ในอดีตสาวอาข่าลาวจะไม่ไปมีสัมพันธ์กับคนที่พูดอาข่าไม่ได้ แต่ด้วยความสนิทสนมคุ้นเคยกับอาข่าจีนที่เข้ามาทำมาหากิน รวมทั้งชาวลาวในเมืองที่สามารถพูดอาข่าได้บางคำ ก็ทำให้พวกเธอยินยอมแต่งงานกับคนเหล่านี้ได้ (หน้า 181) |
|
Social Cultural and Identity Change |
อาข่าลาวได้เปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมที่ให้ความสำคัญแก่การสะสมเงินตรา และบริโภคนิยมหญิงอาข่าในปัจจุบันถูกมองว่าเป็นสินค้าที่ซื้อขายกันได้ในความคิดของคนภายนอก โดยการพัฒนาสู่ความทันสมัยทำให้เรื่องทางเพศในชุมชนกลายเป็นราคาที่สามารถต่อรองได้ไปเสียแล้ว ซึ่งผลวิจัยนี้สอดคล้องกับแนวคิดของผู้วิจัย ทั้งนี้ เครือข่ายเพศสัมพันธ์ของหญิงโสดอาข่า เป็นประเด็นที่มากกว่าเรื่องชาติพันธุ์และพรมแดนของประเทศ แต่เกี่ยวโยงไปถึงเรื่องสุขอนามัยทางเพศในลักษณะของการแพร่เชื้อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากการเคลื่อนย้ายแรงงาน และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (หน้า 178) อย่างไรก็ดี กิจกรรมทางเพศยังคงเป็นปัจจัยสำคัญ และท้าทายสำหรับหนุ่มสาวอาข่าที่จะก้าวสู่การเป็นประชาชนที่ทันสมัย แต่การจัดการ การบังคับ และการบูรณาการทั้งในเชิงความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและการบริหารเชิงรุกในเรื่องเพศไม่ใช่เรื่องง่ายเลยในสังคมร่วมสมัยของชีวิตอาข่าลาว (หน้า 185)
เนื่องจากกลุ่มวัยรุ่นชายเสียบทบาทการจัดหาคู่นอนให้คนเมือง ทำให้หญิงอาข่าเกิดการเข้าถึงชายชาวจีนได้โดยตรง กล่าวคือผู้หญิงเริ่มที่จะปฏิเสธระบบซึ่งปล่อยให้ผู้นำกลุ่มวัยรุ่นมาหาประโยชน์จากเรือนร่างของตน แต่ภาวะเช่นนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าเกิดการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจแบบไม่บูชาวัตถุแต่อย่างใด เพราะของรางวัลหรือเงินทองยังคงมีบทบาทมากขึ้นในฐานะสิ่งแลกเปลี่ยนในการจัดหาคู่ให้ระหว่างชาวจีนและหญิงอาข่าในหมู่บ้าน (หน้า 181)
โดยชายอาข่าจีนค้าเงินและสินค้าต่าง ๆ เพื่อแลกกับทรัพยากรป่าไม้ สินค้าเกษตร และสินค้าที่เกี่ยวกับร่างกาย (เช่น เส้นผมของผู้หญิง) รวมทั้งการได้เข้ามามีเพศสัมพันธ์กับหญิงอาข่าลาว ขณะเดียวกัน หญิงอาข่าลาวเองก็เข้าถึงการพัฒนาเชิงวัตถุในยุคที่สังคมเปิดกว้างผ่านความสัมพันธ์ข้ามพรมแดน และการแต่งงาน แต่สำหรับหญิงสาวบางคนนั้นไม่ได้รับผลประโยชน์ใด ๆ เลย เพราะกลุ่มวัยรุ่นชายเป็นฝ่ายที่ได้เงินจากการจัดหาผู้หญิง เพื่อความสัมพันธ์ชั่วพริบตาระหว่างสาวในหมู่บ้านกับแขกผู้มาเยือน (หน้า 184) แต่ความสัมพันธ์ในลักษณะนี้ก็ถูกเข้าใจว่าเป็นรูปแบบทางสังคมปกติที่เกิดขึ้น และเป็นเพียงการคบหากันระหว่างชายหนุ่มหญิงสาว มากกว่าเป็นเรื่องของการสร้างประเพณีในลักษณะที่เอาเงินตราไปแลกกับการจัดหาบริการทางเพศ (หน้า 182)
อาข่าลาวได้รับผลกระทบจากนโยบายที่ห้ามปลูกฝิ่นและห้ามทำไร่เลื่อนลอย แต่พวกเขาก็ไม่อพยพไปเป็นแรงงานในเมือง เพราะมีข้อจำกัดทางภาษา และขาดเครือข่ายคนรู้จักในครอบครัวที่จะเข้าไปอยู่ในเมือง ขณะเดียวกันอาข่าก็ไม่เปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ เนื่องจากการควบคุมเรื่องการเปลี่ยนศาสนา และการจัดการท่องเที่ยวแบบฉาบฉวยในหมู่บ้านเมืองสิงห์และเมืองลอง (หน้า 182) อย่างไรก็ตาม ปัญญาทางวัฒนธรรมของอาข่าแสดงให้เห็นถึงพื้นฐานเชิงปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ด้วยเหตุนี้ ทุนวัฒนธรรมจึงถูกใช้อย่างสูงสุดเพื่อความทะเยอทะยานในด้านต่าง ๆ ขณะที่ผู้ชายทำสัญญาขายที่ดิน ฝ่ายหญิงก็หาวิธีใหม่ ๆ ในการเพิ่มโอกาสของตน เช่น การเลือกแต่งงานข้ามพรมแดน (หน้า 182) |
|
Other Issues |
อาข่ามีปัญหาในเรื่องการค้ามนุษย์ซึ่งสาวอาข่าจากเมืองสิงห์และเมืองลองที่ถูกขายตัวให้สามีคนจีน และหายตัวไป เช่น กรณีปี 2009ที่ผู้วิจัยได้ยินเรื่องราวของสองสาวจากเมืองลองที่ถูกส่งตัวไปยังจีนผ่านนายหน้าโดยไม่รู้จุดหมายปลายทาง และต้องใช้เวลาหลายวันในการเดินทางโดยมีการเปลี่ยนเสื้อผ้าและตัดผมเสียใหม่ หลังจาก 5วันผ่านไปสองสาวผู้นี้จึงแจ้งตำรวจจีนที่พวกเธอพบเจอตามท้องถนนให้ช่วยเหลือ จึงได้กลับมาเมืองลองในที่สุด (หน้า 182) แต่ในการเก็บข้อมูลงานวิจัยชิ้นนี้อาข่าสาวโสดจะสงวนท่าทีในการสนทนาเรื่องความสัมพันธ์เชิงชู้สาว ขณะที่ชายอาข่า และหญิงที่แต่งงานแล้วยินดีให้ข้อมูลถึงประสบการณ์ของตนเอง (หน้า 174)
ไม่เพียงอาข่าจีนเท่านั้นที่เกี่ยวข้องกับประเด็นความรู้สึกเชิงศีลธรรม แต่โครงการรณรงค์ด้านศีลธรรม สุขภาพ และพัฒนาสังคมถูกเผยแพร่ออกไปอย่างกว้างขวาง โดยที่หน่วยงานส่วนท้องถิ่นของลาวเองก็แนะนำให้สาวอาข่าเลิกสวมกระโปรงพื้นเมืองซึ่งสั้น และโป๊เกินไป อีกทั้งยังแนะนำไม่ให้สร้างกระท่อมขนาดเล็กซึ่งดูจะเสื่อมโทรม และไม่ได้มาตรฐานแบบสมัยใหม่ นอกจากนั้น หน่วยงานต่าง ๆ ยังพยายามให้ความรู้ในการดำรงชีวิตแก่อาข่า โดยรัฐบาลลาวมีการรณรงค์ และกลยุทธ์ด้านสาธารณสุขที่มุ่งเรื่องข้อปฏิบัติทางเพศ (หน้า 175) |
|
|