สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ลีซู ฝู่หลู การบรรเลง บทเพลง ความสัมพันธ์กับสังคม เชียงราย
Author ช้างต้น กุญชร ณ อยุธยา
Title ฝู่หลู แคนน้ำเต้าของชาวลีซู : กรณีศึกษาบ้านดอยล้าน ตำบลวาวี อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text -
Ethnic Identity ลีซู, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ห้องสมุดสถาบันวัฒนธรรมและภาษา มหาวิทยาลัยมหิดล
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร 
Total Pages 188 Year 2544
Source วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวัฒนธรรมศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล
Abstract

          งานวิจัยนี้  เป็นงานวิจัยทางมานุษยวิทยาการดนตรี  โดยศึกษาเครื่องดนตรี “ฝู่หลู” ของลีซู เช่น ลักษณะทางกายภาพ การสร้าง รูปแบบการบรรเลง ลักษณะทางดนตรีของบทเพลงที่ใช้ การเต้นรำประกอบการบรรเลงฝู่หลู บทบาทหน้าที่ความสัมพันธ์ของฝู่หลูในสังคมลีซู

Focus

          ลักษณะทางกายภาพ การสร้าง  การบรรเลงฝู่หลู  และเพลงที่บรรเลงฝู่หลูประกอบการเต้นรำของลีซู  ตลอดจนความสัมพันธ์ของฝู่หลูกับสังคมลีซู (หน้า  3)

Ethnic Group in the Focus

ผู้วิจัยเรียก “ลีซู”

Language and Linguistic Affiliations

          ลีซูพูดภาษาตระกูลภาษาทิเบต-พม่า (Tibeto-Burman)  (หน้า 1)  มีแต่ภาษาพูด ไม่มีภาษาเขียน  และใช้แต่ภายในกลุ่มลีซูเท่านั้น  ถ้าต้องสื่อสารกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่น  จะใช้ภาษาลาหู่เป็นภาษากลาง  ลักษณะโครงสร้างภาษาลีซู ประกอบด้วย ประธาน-กรรม-กริยา  กริยาจะอยู่ท้ายประโยคเสมอ เช่น งัว (ฉัน) +ซจา (ข้าว) +ซจะ (กิน) = ฉันกินข้าว  ส่วนคำขยายจะไว้ข้างหลังคำ เช่น อ๊าถะ (มีด) + กุกุ (งอ งอ) = อ๊าถะกุกุ (มีดงองอ)  ตัวอย่างประโยคที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น  นวื (คุณ)  อี๊ มวื (ชื่อ)  อา เล แบ๊ (อะไร) =คุณชื่ออะไร ?,  ซจา (ข้าว)  ต๊า ซจ่า (กิน)  ละ =กินข้าวด้วยกันไหม ?,  อะ คึ โบ มุ =ขอบคุณมาก, อะ ชื้อ หม่า โขะ =ไม่เป็นไร, อา ละ หยะ =ไปไหน, อา ละ เหย ล่า =ไปไหนมา  (หน้า 51-52)

Study Period (Data Collection)

เมษายน 2543 ถึง มีนาคม 2544   (เก็บข้อมูลภาคสนาม)  (หน้า 4, 15)

History of the Group and Community

            ประมาณ 48 ปีก่อน มีลีซูอพยพมาตั้งบ้านเรือนเริ่มแรกในพื้นที่บริเวณดอยล้านประมาณสิบกว่าหลังคาเรือน  ต่อมามีลีซูจากบ้านผาแดง บ้านดอยช้าง  บ้านห้วยส้าน  ตำบลชมพู  อพยพมาตั้งเป็นหมู่บ้านมีจำนวน 82 ครอบครัว  จากนั้นประชากรก็เพิ่มขึ้นจนกลายเป็นหมู่บ้านใหญ่ในปัจจุบัน  (หน้า 25)

Settlement Pattern

          มีแผนผังบ้านดอยล้าน แต่ไม่มีข้อมูลรูปแบบ (Pattern) การตั้งถิ่นฐาน หรือ ลักษณะเฉพาะของการตั้งบ้านเรือนของชุมชนนั้น  (ในแผนผังบอกถึงที่ตั้งบ้านของบุคคลหรือสถานที่สำคัญ เช่น หนี่ผะ  มือมือผะ  ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน  อิ๊ดตาเมาะ อาปาหมู่ฮี  บ่อน้ำ โทรศัพท์สาธารณะ ศูนย์เด็กเล็ก โรงเรียน  เป็นต้น)  (หน้า 26)

Demography

          จากการสำรวจของกองสงเคราะห์ชาวเขาเมื่อปี พ.ศ.2540  มีลีซูในประเทศไทยจำนวน 33,365 คน  แบ่งเป็นสองกลุ่มใหญ่คือ ลีซอจีน หรือ ฮั่นลีซอ  และลีซอแท้ (กองสงเคราะห์ชาวเขา, 2540: 28)  (หน้า 2)  หมู่บ้านดอยล้าน ตั้งอยู่ในตำบลวาวี อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย  มีประชากร 560 คน ผู้ชาย 262 คน ผู้หญิง 298 คน  มี 121 หลังคาเรือน  เป็นลีซู 102 หลังคาเรือน  อาข่า 14 หลังคาเรือน  จีนฮ่อ 5 หลังคาเรือน  (หน้า 24)

Economy

          ลีซูในหมู่บ้านดอยล้าน  ยังอาศัยธรรมชาติเพื่อการดำรงชีวิต เช่น การล่าสัตว์ หาของป่า เพาะปลูก  (หน้า 31)  การเพาะปลูกมีทั้งเป็นการผลิตเพื่อยังชีพและเพื่อขาย ส่วนใหญ่จะปลูกข้าวที่ขึ้นได้บนภูเขาเพื่อยังชีพ  ข้าวที่นิยมปลูกมี 4พันธุ์ ได้แก่ 1. ข้าวเหนียว (ดซา นุ) ปลูกในสภาพดินและอากาศแบบใดก็ได้ 2.ข้าวเจ้าเขียว (ดซา นิ เชอะ) ปลูกในที่อากาศร้อน 3.ข้าวเจ้าแดง (ดซา ฉึ ฉึ) ปลูกในที่อากาศเย็น 4. ข้าวเจ้าขาว (ดซา กู ฟุ) ปลูกในที่อากาศร้อน จะปลูกข้าวพันธุ์ไหนก็ตามแต่ความถนัดของแต่ละคน ในหมู่บ้านมีโรงสีข้าว 1โรง เป็นของจีนฮ่อ คิดค่าสีข้าวปี๊บละ 6บาท รำข้าวเจ้าของโรงสีเก็บไว้เลี้ยงหมู เป็ด ไก่  ส่วนการปลูกพืชเศรษฐกิจเพื่อขาย มักปลูกพืชไร่ เช่น มะเขือเทศ  กะหล่ำปลี  ถั่วแดง เป็นต้น มะเขือเทศทำรายได้ให้มากที่สุด และมีบ้างที่เริ่มหันมาปลูกผลไม้เมืองหนาว เช่น บ้วย ท้อ ลิ้นจี่ เป็นต้น  นอกจากนี้ ยังปลูกข้าวโพดไว้เลี้ยงสัตว์ หรือต้มเหล้า การเลี้ยงไก่ และหมู ก็เพื่อใช้ในพิธีกรรมต่างๆ เท่านั้น  ครอบครัวที่ฐานะดีจะไม่เลี้ยง หากต้องใช้ก็จะซื้อจากคนอื่น  (หน้า 44-45)
         การคมนาคมและการสื่อสาร บ้านดอยล้านมีเส้นทางรถยนต์จากแม่สรวยมาถึงหมู่บ้าน เป็นถนนลาดยาง 6ก.ม. ถนนลูกรัง 12 ก.ม. รวมระยะทาง 18 ก.ม. และมีรถโดยสารแม่สรวย-ดอยช้าง-ดอยล้าน วันละ 3 เที่ยว (หน้า 53)  ส่วนการสื่อสาร  ภายในหมู่บ้านมีหอกระจายข่าว  ใช้โทรศัพท์สาธารณะติดต่อกับคนภายนอก และมีโทรศัพท์ที่บ้านกำนัน สำหรับรับโทรศัพท์จากภายนอก ถ้าติดต่อทางจดหมายต้องไปรับที่ไปรษณีย์อำเภอแม่สรวย หรือฝากชาวบ้านหรือรถโดยสารมา (หน้า 52)

Social Organization

โครงสร้างทางสังคมลีซู 
          เป็นสังคมแบบเครือญาติ  ยกย่องผู้ชายเป็นใหญ่  สืบทอดตระกูลฝ่ายชาย หลังแต่งงานผู้หญิงใช้นามสกุลหรือแซ่ตามสามี  ผู้อาวุโสจะมีความสำคัญและบทบาททางสังคมต่อชุมชนตามวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมา (หน้า 31-32)  โดยเฉพาะผู้อาวุโสของแต่ละแซ่ตระกูล มีบทบาทในการตัดสินข้อพิพาทในหมู่บ้าน ตัดสินใจเรื่องสำคัญๆ ที่มีผลกับคนทั้งหมู่บ้าน ลูกหลานจะได้รับการอบรมให้เคารพนับถือผู้ที่อาวุโสกว่าตัวเองขึ้นไปเป็นลำดับขั้น และสมาชิกที่เป็นเครือญาติแซ่เดียวกันจะอาศัยพึ่งพากัน  จึงเกิดความรู้สึกรักใคร่ผูกพันกับผู้ที่อยู่ในแซ่ตระกูลเดียวกัน (หน้า 31-33)
          ลีซูบ้านดอยล้าน  ส่วนใหญ่เป็นครอบครัวเดี่ยว รูปแบบ “ผัวเดียวเมียเดียว” (monogamy)  แต่ยังตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้ๆ กับบ้านเดิม อยู่กันเป็นกลุ่มตระกูล  การมีสมาชิกเครือญาติเดียวกันจำนวนมากอยู่กันเป็นกลุ่ม จะทำให้มีความเท่าเทียมกับกลุ่มตระกูลอื่น เพื่อไม่ให้ถูกดูถูกข่มเหง  ดังนั้น  จึงมีความพยายามชักชวนญาติพี่น้องหรือลูกเขย (เป็นคนต่างแซ่สกุล) ให้เข้ามาอยู่ในกลุ่มของตน (หน้า 35, 36)
ลีซูแต่งงาน 
          พ่อแม่ให้อิสระแก่ลูกในการเลือกคู่ครองเอง (หน้า 48)  เมื่อผู้หญิงมีอายุ 15 ปีขึ้นไป ผู้ชาย 17ปีขึ้นไป เริ่มต้นด้วยการเกี้ยวพาราสีกันไปมาหาสู่กัน เมื่อชอบพอรักใคร่กัน ฝ่ายชายจะให้เงินหรือสิ่งของเป็นการหมั้นหมาย จากนั้นจะชักชวนฝ่ายหญิงหนีไปอยู่กับตน แล้วจึงจัดคนกลางไปเจรจาเรื่องสินสอด เมื่อตกลงกันได้แล้ว จึงจัดพิธีแต่งงาน หลังแต่งงานฝ่ายหญิงไปอยู่บ้านฝ่ายชาย หรือจะแยกไปอยู่ต่างหากก็ได้ ข้อห้ามในเรื่องการแต่งงานของลีซู คือ ห้ามแต่งงานกับคนในตระกูลเดียวกัน (แซ่เดียวกัน)  แต่หากเป็นลูกของพี่น้องผู้ชายสามารถแต่งงานกับลูกของพี่น้องผู้หญิงได้ (เรียกว่า “เสี่ยว” คือคู่ชายหญิงที่สามารถแต่งงานกันได้) หญิงลีซูที่ตั้งท้องก่อนแต่งงานถือเป็นความผิดร้ายแรง  ต้องไปทำพิธีล้างมลทินที่ “อาปาหมุ” ในพิธีจะมีการตระโกนประจานตัวเองให้รู้สึกอับอาย เพื่อล้างมลทิน หญิงลีซูนั้นต้องออกค่าใช้จ่ายในการทำพิธีเองทั้งหมด นอกจากจะมีผู้ชายรับเป็นพ่อของเด็ก ผู้ชายนั้นจะเป็นคนออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด  (หน้า 36)

Political Organization

ระบบการปกครอง 
          เดิมสังคมลีซูใช้ระบบผู้อาวุโสเป็นระบบการปกครอง  โดยผู้อาวุโสของแต่ละตระกูล  จะมีบทบาทในการไกล่เกลี่ยตัดสินข้อพิพาทต่างๆ หากตกลงกันไม่ได้ ก็จะเชิญผู้อาวุโสตระกูลอื่นที่เคารพนับถือมาร่วมเจรจา ปัจจุบัน แม้มีผู้ใหญ่บ้านซึ่งเป็นระบบการปกครองที่เป็นทางการแล้วก็ตาม ระบบผู้อาวุโสของแซ่ตระกูลก็ยังมีความสำคัญ เนื่องจากชาวบ้านให้ความเคารพนับถือและเชื่อถือมากกว่า  (หน้า 34-35)
ผู้มีบทบาทสำคัญในหมู่บ้าน  (หน้า 32-33)
          1. ผู้อาวุโส หรือ “ทู่หมู่” เป็นผู้ที่ชาวบ้านยกย่องนับถือว่ามีความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ และความน่านับถือ มีบทบาทในการรักษากฎเกณฑ์ทางจริยธรรมของหมู่บ้าน เป็นผู้ตัดสินคดีความของชาวบ้าน เป็นต้น
          2. ผู้ใหญ่บ้านและกรรมการหมู่บ้าน  เป็นการจัดตั้งตามระบบของทางการ  ชาวบ้านมักเลือกผู้ที่สามารถติดต่อสื่อสารประสานงานกับทางราชการได้  ซึ่งทุกเดือนจะมีการประชุมที่อำเภอ ทำหน้าที่ต่อรองกับทางการและชี้แจงกับชาวบ้าน และตั้งกฎระเบียบขึ้นมาให้สมาชิกปฏิบัติตาม โดยเฉพาะเรื่องการรักษาทรัพยากรและพื้นที่ป่า
          3. ผู้นำทางความเชื่อและพิธีกรรม  “มือมือผะ” ไม่มีบทบาทด้านการปกครอง หรือตัดสินคดีในหมู่บ้าน มีบทบาทด้านความเชื่อและพิธีกรรมเท่านั้น
          4. บุคคลภายนอกที่มีบทบาทต่อหมู่บ้าน เช่น หน่วยงาน NGO  เข้ามาในหมู่บ้านเมื่อ พ.ศ.2539  ส่วนใหญ่เป็นบทบาทด้านวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม ไม่มีบทบาทด้านการปกครอง นอกจากนี้ ยังมีหน่วยราชการต่างๆ มาช่วยเหลือ เช่น  ธกส. , กรมปศุสัตว์, ตชด. , และสาธารณสุข เป็นต้น

Belief System

ลีซูบ้านดอยล้านนับถือผี 
          มีความเชื่อว่ามีผีอยู่ในสิ่งแวดล้อมรอบตัวมนุษย์  ซึ่งได้รับอิทธิพลจากการพึ่งพิงธรรมชาติ  มีส่วนน้อยที่นับถือศาสนาคริสต์ ผีที่ลีซูให้ความสำคัญ ได้แก่ 
          1) ผีบรรพบุรุษ ลีซูนับถือผีบรรพบุรุษของตระกูลมาก เพราะเชื่อว่าผีบรรพบุรุษจะมาปกป้องคุ้มครองคนในครอบครัว ในบ้านจะมีหิ้งบูชาบรรพบุรุษ (ตาเบี่ยะ)  แขวนไว้ตรงกับประตูทางเข้า บนหิ้งจะมีถ้วยน้ำวางเรียงไว้  จำนวนถ้วยน้ำและการเรียงจะแตกต่างกัน ขึ้นกับผีบรรพบุรุษที่แต่ละตระกูลนับถือ 
          2) “อาปาหมุ”  คือ ผีที่ดูแลหมู่บ้านให้มีความสงบสุข ศาล อาปาหมุ เรียกว่า “อาปาหมู่ฮี” มีแท่นบูชาทำด้วยไม้เรียบง่าย มีที่นั่งสำหรับคนเซ่นไหว้  มีรั้วไม้ไผ่สานล้อมไว้ ตั้งอยู่บริเวณที่มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นอุดมสมบูรณ์ ผู้หญิงไม่สามารถเข้าไปในบริเวณรั้วได้ การเซ่นไหว้อาปาหมุทำเกือบทุกเทศกาล ที่สำคัญมี 4ช่วง  คือ ปีใหม่ลีซู, หลังปีใหม่ 37วัน (เออยี่ปา),  เดือน 5ลีซู  และเดือน 10  นอกจากนี้ ชาวบ้านยังไปเซ่นไหว้อาปามุ เพื่อขอพร หรือเมื่อเจ็บป่วย หรือทำผิด 
          3) “อิ๊ดดาเมาะ” เป็นผีที่ใหญ่กว่า “อาปาหมุ” แต่ใกล้ชิดกับชาวบ้านน้อยกว่า มีพิธีเซ่นไหว้ในเทศกาลปีใหม่ครั้งเดียว ชาวบ้านมักเซ่นไหว้ “อิ๊ดดาเมาะ” เพื่อขอฝน หรือขอให้คุ้มครองเมื่อเข้าป่าล่าสัตว์ ของเซ่นไหว้ “อิ๊ดดาเมาะ” ต้องไหว้ด้วยดอกไม้ที่ทำจากกระดาษสา มีห่อใบชาและยาสูบวางไว้ข้างใน (หน้า 32, 36-37)
          ผู้นำทางความเชื่อและพิธีกรรมของลีซู  คือ “มือมือผะ” ซึ่งเป็นแต่ผู้นำทางความเชื่อและพิธีกรรมเท่านั้น  ไม่มีบทบาทในการปกครอง หรือตัดสินคดีใดๆ ปัจจุบัน “มือมือผะ” ของบ้านดอยล้าน คือ นายสมคิด แซ่จู  (หน้า 32, 33)
         “หนี่ผะ” เป็นหมอผีรักษาโรค เรียกขวัญ สะเดาะเคราะห์ บ้านดอยล้านมีหมอผี 3คน จาก 3 ตระกูล คือ แซ่มี่     แซ่ย่าง และแมวป่า ตระกูลเดียวกันมีหมอผีได้เพียงคนเดียว มีความเชื่อว่าหากมีสองคนพร้อมกัน อีกคนหนึ่งจะต้องตาย หมอผีเป็นจนตาย ก่อนตายจะเตรียมผู้สืบทอด ซึ่งเป็นใครก็ได้ ที่มีลักษณะพิเศษจากคนทั่วไป และไม่จำเป็นต้องเป็นคนในตระกูลเดียวกัน (หน้า 38)
พิธีกรรมของลีซู
          1.พิธีเรียกขวัญ เป็นพิธีที่หมอผี (หนี่ผะ) ใช้มากที่สุดในการรักษาโรค ลีซูเชื่อว่า “ขวัญ” ประจำตัวอยู่ที่กระหม่อม (เด็กลีซูจึงมี “อูลุ” หรือการโกนผมโดยเหลือปอยผมตรงกระหม่อมไว้) เมื่อเจ็บป่วย แสดงว่าขวัญไม่อยู่กับตัว จะต้องให้หมอผีทำพิธีเรียกขวัญกลับมา มีสองวิธี คือ 1.1) พิธีสร้างสะพานเรียกขวัญ (กวู่ ยวือ กั๊วะ) หมอผีจะสร้างสะพานไม้ เพื่อให้ขวัญข้ามอุปสรรคกลับมาถึงบ้านได้ง่าย โดยการวางสายสิญจน์พาดไว้บนสะพาน แล้วดึงเข้ามาหาตัว เหมือนเป็นการดึงขวัญให้กลับมาสู่บ้าน สะพานจะเล็กหรือใหญ่ขึ้นกับว่าขวัญหายไปอยู่ไกลมากน้อยแค่ไหน  1.2) พิธีเรียกขวัญโดยการแลกเปลี่ยน (ลื้อ ฮา ป๊ะ)  หมอผีจะใช้แถบผ้าพาดบนไม้ไผ่จากหลังบ้านเข้ามาที่ “ตาเบี่ย” เสมือนสะพานเพื่อให้ขวัญเดินทางกลับมาที่บ้าน และทำพิธีต่อรองกับผู้ที่เอาขวัญไป ให้คืนขวัญกลับมา โดยเอาเงินแถบไปแลกเปลี่ยน (เงินแถบ เป็นเหรียญเงินที่อังกฤษผลิตใช้ในอินเดีย ปัจจุบัน เป็นของมีค่ามากสำหรับลีซู นิยมใช้เฉพาะในพิธีกรรม หรือในงานสำคัญ เช่น เป็นสินสอดในงานแต่งงาน เป็นต้น)  (หน้า 38-40)
            2.พิธีสะเดาะเคราะห์หมอผี (หนี่ผะ) เป็นผู้ทำพิธี มีสองรูปแบบ คือ 2.1) พิธีสร้างศาลาสะเดาะเคราะห์ ในพิธีจะมีการเรียกขวัญควบคู่ไปด้วย ศาลาสะเดาะเคราะห์จะเล็กหรือใหญ่ขึ้นกับเคราะห์ที่มี แบ่งเป็น 3รูปแบบ จากเล็กไปหาใหญ่  ก) ลาปาตือ ที่นั่งพักของผี  ใครเดินผ่านไปผ่านมาจะนั่งพักได้ ทำเมื่อฝันไม่ดี เป็นไข้ ปวดหัว เป็นพิธีเล็ก  มีเครื่องเซ่นเป็น ธูป เทียน ข้าวโพดคั่ว และน้ำสองถ้วย  ข) ซาลาปาติ๊ ศาลาที่มีเสาเดียวเหมือนร่ม เป็นที่นั่งพักของผี จะทำเมื่อเจ็บป่วยเล็กน้อย เป็นพิธีเล็กเช่นกัน  ค) ศาลาลั๊วะ เป็นการสร้างศาลาที่พักของคน จะเล็กหรือใหญ่ขึ้นกับฐานะ เป็นการสะเดาะเคราะห์พิธีใหญ่ และนิยมทำมากที่สุด 2.2) พิธีส่งเคราะห์ (ขู่ ผื่อ ซุ)  สะเดาะเคราะห์อย่างเดียว  ไม่มีการเรียกขวัญ ทำเพื่อส่งเคราะห์หรือความโชคร้ายออกจากบ้าน จะทำเป็นประจำปีละครั้ง โดยการนำเสื้อผ้า หรือเครื่องมือ เครื่องใช้ เช่น จอบ เสียม ใส่ตะกร้าแล้วนำไปทิ้งนอกหมู่บ้าน ซึ่งมีสามรูปแบบ คือ ก) ส่งเคราะห์ด้วยผ้าชิ้นเล็กๆ จะทำเมื่อไหร่ก็ได้  ข) ส่งเคราะห์ด้วยเสื้อผ้า เป็นการสะเดาะเคราะห์ใหญ่ต้องทำทุกปี ค) ส่งเคราะห์ด้วยเสื้อผ้า และมีข้อห้าม ไม่ให้เดินไปในทิศที่นำเสื้อผ้าไปทิ้งเป็นเวลา 3วัน  (หน้า 41)
ประเพณีในรอบปีของลีซู
         1. “กู่เฉีย”  ประเพณีขึ้นปีใหม่ของลีซู ตรงกับช่วงตรุษจีน ประมาณต้นเดือนกุมภาพันธ์ มีการเลี้ยงฉลอง เต้นรำ เฉลิมฉลอง 4 วันเป็นอย่างน้อย บางปีอาจถึง 10วัน ขึ้นกับผลผลิตและรายได้ ตามนิทานที่เล่าสืบกันมา (ดูหัวข้อ 25Folklore) วันปีใหม่ถือเป็นวันแสดงถึงความเสมอภาค ความอุดมสมบูรณ์  ความสนุกสนานร่าเริง มีแต่ความยินดี ไม่มีความขัดแย้ง  การเตรียมการสำหรับปีใหม่ ผู้หญิงจะตัดเย็บเสื้อผ้าชุดใหม่ ส่วนผู้ชายตัดใหม่แต่กางเกง ส่วนเสื้อลีซูจะใส่ของเดิมที่มีอยู่ หนุ่มสาวจะใส่ชุดตัดเย็บใหม่ หญิงสาวจะใส่เครื่องประดับครบชุด ส่วนผู้ใหญ่และคนแก่ไม่ใส่เครื่องประดับ ผู้ชายใส่แต่เสื้อกางเกงลีซูเท่านั้น ไม่ได้ใส่ชุดลีซูอย่างครบชุด  ก่อนปีใหม่ 15วันลีซูทุกครัวเรือนจะต้มเหล้าข้าวโพดไว้รับรองแขก เตรียมภาชนะสำหรับรับประทานอาหารให้พอเพียง เตรียมเนื้อหมูไว้ใช้ในพิธีกรรม ทำขนม “เบี่ยป๊ะป๊ะ” วันสิ้นปี ใช้เป็นของเซ่นไหว้ในทุกพิธีกรรม และเลี้ยงแขก
          การทำขนม “เบี่ยป๊ะป๊ะ” เริ่มด้วยการแช่ข้าวเหนียวไว้คืนก่อนวันสิ้นปี โดยก่อนแช่ต้องรอ “มือมือผะ” ประกาศให้แช่ข้าวเหนียว แล้วทำพร้อมกันทุกบ้าน วันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันสิ้นปี  จุดธูปที่ข้างเตา นำข้าวเหนียวที่แช่ไปนึ่งให้สุก จากนั้นนำไปตำในครกที่เตรียมไว้ โดยต้องรอให้ “มือมือผะ” เริ่มตำก่อน ทุกบ้านจึงตำพร้อมกัน มีขั้นตอนดังนี้ คั่วงาดำให้สุกหอม แล้วตำให้ละเอียด จุดธูปปักข้างครก 1 คู่ เทเหล้ารอบครก เริ่มตำข้าวเหนียว ผู้ชายเป็นคนตำ ระหว่างตำโรยงาดำใส่ด้วย ตำจนเป็นเนื้อเดียวกัน ปั้นเป็นก้อน กดให้แบน แล้วเก็บใส่ใบตอง รับประทานได้เลย ถ้าเก็บไว้สองวันต้องปิ้งก่อนกิน ถ้าเก็บไว้สิบวันต้องทอดก่อนกิน
          ช่วงบ่ายของวันสิ้นปี ต้องเตรียมลานเต้นรำหน้าบ้าน ปักต้นไม้ปีใหม่หรือต้น “กู่ฉวึแลดสึ” ไว้บนลาน แล้วผูกขนมเบี่ยป๊ะป๊ะและเนื้อหมูดิบไว้บนต้น กลางคืนจะมีการเต้นรำส่งท้ายปีเก่าตลอดคืน เรียกว่า “ปีใหม่ผู้ชาย” โดยผู้ชายจะไปรวมตัวที่บ้าน “มือมือผะ” เวลาประมาณ 19.00 น. – 20.00นาฬิกา  จะเริ่มเต้นรำที่บ้านมือมือผะเป็นที่แรก แล้วย้ายไปเต้นที่บ้านอื่นๆ จนครบทุกบ้าน ลีซูมีความเชื่อว่า การเต้นรำส่งท้ายปีเก่าเป็นการขับไล่ความชั่วร้ายออกไปจากบ้านก่อนขึ้นปีใหม่ จึงต้องเต้นให้ครบทั้งหมู่บ้าน เมื่อวงเต้นรำถึงบ้านไหน เจ้าของบ้านก็จะนำเหล้ามาเลี้ยงรับรอง เมื่อเต้นได้อย่างน้อยสามรอบ เจ้าของบ้านจะนำธูปไปปักไว้บนต้น “กู่ฉวึแลดสึ” เป็นสัญญาณว่าสิ่งชั่วร้ายได้ออกจากบ้านแล้ว วงเต้นรำก็จะย้ายไปบ้านอื่นต่อๆ ไป  (หน้า 42, 145-150)
         วันปีใหม่  ตอนเช้าของวันปีใหม่มีพิธีสำคัญ คือ พิธีไหว้ “อาปาหมุ”  ตอนเช้ามืดผู้ชายที่เป็นตัวแทนแต่ละบ้าน เดินทางไปที่อาปาหมู่ฮี  พร้อมกับนำ เนื้อหมูสุก  ขนมเบี่ยป๊ะป๊ะ เหล้า และธูป ไปด้วย คนที่ไปถึงก่อนจะฟังเสียงนกที่ร้องตอนเช้าว่าเป็นนกอะไร เพื่อทำนายว่าปีใหม่นี้ปริมาณน้ำที่ใช้ทำการเกษตรจะเพียงพอหรือไม่อย่างไร เมื่อมากันครบแล้ว  7.00นาฬิกา  มือมือผะเริ่มทำพิธีเซ่นไหว้อาปาหมุ แล้วเต้นรำในบริเวณอาปาหมู่ฮีเล็กน้อยจึงเสร็จพิธี จากนั้นก็ทำพิธีไหว้ผีบรรบุรุษที่ “ตาเบี่ยะ” ของแต่ละบ้าน จากนั้นก็เชิญเด็กชายสองคนที่ไม่ใช่ญาติมาเป็นแขกที่บ้าน เลี้ยงดูด้วยอาหารอย่างดี แล้วให้ของขวัญแก่เด็กนั้น ลีซูเชื่อว่า เด็กชายเป็นสัญลักษณ์ของความโชคดี การมอบของขวัญให้เด็กชายนั้น จึงเป็นสิริมงคลแก่ครอบครัวของตน หลังจากนั้น ชาวบ้านทุกคนก็ไปรวมตัวเต้นรำที่บ้านมือมือผะ เพื่อแสดงความเคารพ มือมือผะจะฆ่าหมูและเตรียมอาหารเลี้ยง งานเต้นรำที่บ้านมือมือผะนี้ เป็นงานฉลองที่ใหญ่ที่สุดในช่วงปีใหม่ คนทั้งหมู่บ้านจะเต้นรำที่บ้านมือมือผะจนถึงเที่ยงคืน แล้วจึงเคลื่อนย้ายไปเต้นรำที่บ้านอื่นๆ จนฟ้าสว่าง
          เช้าปีใหม่วันที่สอง จะมีพิธีเซ่นไหว้ “อิ๊ดดาเมาะ” ชาวบ้านจะนำ หมู  ขนมเบี่ยะป๊ะป๊ะ เหล้า ธูป ไปไหว้ที่ศาลอิ๊ดดาเมาะ โดยมือมือผะเป็นผู้ทำพิธี จากนั้นก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน เวลา 10.00นาฬิกา  ชาวบ้านรวมตัวกันนำดอกไม้ ขนมเบี่ยะป๊ะป๊ะ เนื้อหมู เหล้า ธูป ไป “ดำหัว” พ่อหลวง (ผู้ใหญ่บ้าน) พอไปถึงก็ถือของเต้นไปรอบต้น กู่ฉวึแลดสึ สามรอบ แล้วนำของวางรวมไว้กลางวงเต้นรำ แล้วเต้นต่อไปเรื่อยๆ จนชาวบ้านมากันครบแล้ว แต่ละคนเอาของที่ตนนำมาตั้งขบวนเข้าไปคารวะพ่อหลวงในบ้าน โดยมีฝู่หลูนำขบวน แล้วเต้นรำสักพัก จากนั้นนำของไปวางไว้หน้าตาเบี่ยะ ผู้อาวุโสของแต่ละตระกูลซึ่งนั่งรออยู่แล้วจะร้องเพลง มีเนื้อหาว่า  “วันนี้ชาวบ้านทุกคน มาร่วมดำหัวพ่อหลวง เพื่อขอพรปีใหม่จากพ่อหลวงให้ทุกคนมีแต่ความโชคดี” จากนั้นพ่อหลวงจะเอาใบ “ลุขั่วะ” พรมน้ำมนต์ให้ทุกคน แล้วโปรยข้าวสารผสมเหรียญบาท ให้เก็บกลับบ้านไปเป็นสิริมงคล แล้วเลี้ยงฉลองและเต้นรำกันที่บ้านพ่อหลวงจนเที่ยง แล้วแยกย้ายกันกลับ หรืออาจมีย้ายกันไปเต้นรำที่อื่นอีก ตามประเพณีปกติ งานฉลองปีใหม่จะสิ้นสุดในวันที่สอง หลังจากนั้นจะเป็นพิธีดำหัวบุคคลสำคัญในหมู่บ้าน หรือถ้าใครประสงค์จะเลี้ยงฉลองที่บ้านของตนก็จะบอกชาวบ้าน จนไม่มีผู้ประสงค์เป็นเจ้าภาพแล้ว เทศกาลปีใหม่ก็สิ้นสุดลง โดยปกติเจ้าภาพวันสุดท้ายของเทศกาลปีใหม่ คือ โรงเรียน ตชด.  (หน้า 151-152)
          2.“อือยี่ปา” พิธีขอพรจาก “อาปาหมุ” ทำพิธีหลังปีใหม่ลีซู 37วัน พิธีเริ่มด้วยการที่ชาวบ้านร่วมกันทำความสะอาดศาลอาปาหมุ ทำรั้วใหม่ เสร็จแล้วทำพิธีเซ่นไหว้  เครื่องเซ่นไหว้ประกอบด้วย ไก่ตัวผู้และตัวเมียอย่างละ 2ตัว หมู 2ตัว  “มือมือผะ” เป็นผู้ทำพิธีนำเครื่องเซ่นไปไหว้ เสร็จแล้ว นำหมูและไก่ไปฆ่าที่ศาลอาปาหมุ แล้วต้มเกลือ จากนั้น นำไก่ต้ม หัว ขา ซี่โครง และหางหมูที่ต้มแล้วไปทำพิธีไหว้อีกครั้งหนึ่ง เนื้อหมูชาวบ้านนำไปแบ่งกันกิน ส่วนของไหว้ครั้งที่ 2 จะให้ “มือมือผะ” และตอนกลางคืนจะไปเต้นรำที่บ้าน “มือมือผะ”  (หน้า 42)
          3.พิธี “หลี่ฮีชะ”  จะทำหลังปีใหม่ลีซู 93 วัน เป็นพิธีทำบุญให้พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ที่ล่วงลับไปแล้ว ทำพิธีทุกปีตลอด 3ปีหลังการล่วงลับ หลังจากสามปีแล้วจะทำหรือไม่ทำก็ได้ ผู้ทำพิธี “หลี่ฮีชะ” ต้องเป็นผู้ชายเท่านั้น ถ้าผู้ตายไม่มีลูกชาย ก็จะไม่มีการจัดพิธีให้ (หน้า 42)
          4.พิธี “ซือแป๊ะกั๊วะ” พิธีกินข้าวโพดใหม่ จะทำในวันที่ 13ของเดือน 8เป็นพิธีที่ลีซูจะนำผลผลิต เช่น ข้าวโพด แตงกวา อ้อย กะหล่ำปลี ฯลฯ มาไหว้ผีบรรพบุรุษ (หน้า 42)
การทำนายกระดูกไก่ และตับหมู 
          คนลีซูไม่ว่าจะทำพิธีกรรมอะไรก็ตาม หลังเสร็จพิธีกรรมแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้คือการทำนายกระดูกไก่ ด้วยการนำกระดูกขาของไก่ที่ใช้ในพิธี ซึ่งฆ่าและต้มแล้ว มาทำนายในเรื่องต่างๆ ที่ผู้จัดทำพิธีต้องการจะรู้ โดยต้องอธิษฐานว่าอยากรู้เรื่องอะไร  คำทำนายจึงจะออกมาตามเรื่องที่อธิษฐาน วิธีการคือ นำก้านธูปมาเหลาให้แหลม แล้วเสียบไปตามรูที่กระดูกไก่ จากนั้นนำไปให้ผู้อาวุโสทำนาย ส่วนในพิธีกรรมที่มีการฆ่าหมู จะมีการทำนายตับหมูด้วย คือเมื่อฆ่าหมูแล้วก็นำตับหมูมาให้ผู้อาวุโสทำนาย โดยตับใหญ่จะแทนหมู่บ้านและคนในตระกูล ส่วนตับเล็กแทนครอบครัวของเจ้าบ้านเอง (หน้า 42-43)
          นอกจากนี้ ลีซู ยังมีพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวข้าว  ลีซูจะทำพิธี “อามีเหน่” ในช่วงข้าวเริ่มตั้งท้อง ประมาณช่วงเดือนสิงหาคม โดยเอาไก่ไปเซ่นไหว้ เป็นการขอขมาผีไร่ ช่วงเดือนตุลาคมจะเป็นวลาเกี่ยวข้าว หลังเก็บเกี่ยวเสร็จจะต้องทำพิธี “ดซา ฮา ปั๊วะ” หรือ “เรียกขวัญข้าว” ทำพิธีที่ไร่ เครื่องเซ่นไหว้เป็นไข่ดิบและข้าวเปลือก ทำพิธีเสร็จจึงขนข้าวกลับมาไว้ที่บ้าน (หน้า 47)

Education and Socialization

          บ้านดอยล้านมีโรงเรียน 1 แห่ง คือ โรงเรียน ตชด.บ้านดอยล้าน สอนชั้น อนุบาล 1ห้อง  และ ป.1 ถึง ป.6  ตามหลักสูตร พ.ศ.2533  มีนักเรียน 126คน ชาย 73คน หญิง 53คน มีครูตชด. 8 คน เมื่อจบ ป.6แล้ว ถ้าจะเรียนต่อ ต้องไปเรียนนอกหมู่บ้าน เช่น โรงเรียนแม่สรวยวิทยาคม หรือโรงเรียนสงเคราะห์ชาวเขา  ที่อำเภอแม่จัน หรือที่จังหวัด พะเยา  แม่ฮ่องสอน  แพร่  น่าน  หรือเรียนสายอาชีพที่อำเภอเมือง  ส่วนระดับอุดมศึกษามักเรียนที่สถาบันราชภัฏ จังหวัดเชียงราย  เชียงใหม่  เป็นต้น  นอกจากนี้ ยังมีสอนภาษาจีนกลางโดยครูจีนฮ่อหนึ่งคน มีนักเรียนประมาณ 20-25คน  ส่วนใหญ่เป็นเด็กที่พ่อแม่ให้มาเรียน เพื่ออนาคตเผื่อไปทำงานที่ไต้หวัน เพราะถ้ารู้ภาษาจีนกลางแล้วจะได้เปรียบ  (หน้า 47-48)
         การขัดเกลาทางสังคม  เมื่อเป็นเด็ก  เด็กลีซูจะได้รับการเลี้ยงดูแบบไม่แยกเพศ แต่เมื่ออายุได้ 14-15ปี  จะเริ่มแยกเพศชายหญิงอย่างชัดเจน  โดยพ่อจะเป็นผู้อบรมลูกชาย ในเรื่องที่เกี่ยวกับบทบาทและความรู้ของผู้ชาย เช่น การดักสัตว์ ล่าสัตว์ เพาะปลูก หาอาหาร หาสมุนไพร ความรู้เกี่ยวกับพิธีกรรม การดูกระดูกไก่เสี่ยงทาย การสวดในพิธีกรรม  เป็นต้น  ส่วนผู้หญิงแม่จะอบรมสั่งสอนเรื่องงานบ้านเรือน การเลี้ยงลูก หุงหาอาหาร  ทอผ้า ตัดเย็บเสื้อผ้า เลี้ยงสัตว์ ทำไร่ เป็นต้น  นอกจากนี้ มีวิชาหนึ่งซึ่งผู้เป็นจะถ่ายทอดให้แก่ลูกสาวที่สนใจเท่านั้น คือ ความรู้เกี่ยวกับยาสมุนไพรเฉพาะที่ใช้รักษาโรคสุขภาพของผู้หญิง ซึ่งเป็นสูตรเฉพาะของแต่ละตระกูล ที่สืบทอดจากแม่สู่ลูกสาวที่อยากสืบทอดต่อไปเท่านั้น ไม่ถ่ายทอดให้คนอื่น (หน้า 48) 
         ลีซูจะอบรมลูกหลานให้รู้จักใช้ความคิด มีความเชื่อมั่นในตัวเอง กล้าใช้วาทะโต้ตอบด้วยเหตุผล  กล้าแสดงออก แม้กับผู้ใหญ่ก็ตาม พ่อแม่หรือผู้ใหญ่จะไม่ห้ามในเรื่องการพูดแสดงความคิดเห็น และยังมีสุภาษิตคำสอนต่างๆ ในการอบรมลูกหลาน เช่น ลูกๆ ที่ดีต้องไม่ทิ้งพ่อแม่ ต้องดูแลพ่อแม่, หมาดีไม่กัดเจ้าของ, คนเราน่ารัก หน้าตาดี ต้องนิสัยดีด้วย, ถ้าลูกสาวเราดีพร้อม ถึงจะเก็บไว้กับบ้าน ก็ต้องมีคนมาขอ, เด็กกับผู้อาวุโสหัวเข่าไม่เท่ากัน, เวลามีพี่ น้อง ผู้อาวุโสอยู่ จะพูดเรื่องลามก การมีเพศสัมพันธ์  การคลอดลูกไม่ได้, ห้ามเก็บเสื้อผ้าผู้หญิงอยู่บนเสื้อผู้ชาย (แต่ซักรวมกันได้) ฯลฯ  (หน้า 40-50)
          ด้านการรับรู้ข่าวสารความรู้จากภายนอก ลีซูดอยล้านฟังวิทยุภาคภาษาไทยและภาษาลีซูจากวิทยุ คลื่น AMความถี่ 914กิโลเฮิรตซ์ สถานีวิทยุ ก.ร.ป. กลางแม่จัน และสถานีวิทยุ ป.จ.ส. เชียงใหม่  ทั้งสองสถานีจะเป็นรายการของชาวเขาหลายชาติพันธุ์ เช่น กะเหรี่ยง ลีซู อาข่า เย้า ม้ง ไทยใหญ่  เป็นต้น  แบ่งกันเป็นช่วงเวลา (หน้า 53)

Health and Medicine

         ไม่มีข้อมูลด้านสาธารณสุขและการรักษาพยาบาล  ในงานวิจัยมีกล่าวถึงว่า ลีซูบ้านดอยล้านมีหมอผีรักษาโรค เรียกว่า  “หนี่ผะ”  รักษาโรคภัยไข้เจ็บด้วยการเข้าทรง (หน้า 38)  และมีการทำพิธีเรียกขวัญเพื่อรักษาอาการเจ็บป่วย เช่น การทำพิธีกรรมสร้างสะพานรียกขวัญ เป็นต้น  (ด้วยความเชื่อว่า แต่ละคนมีขวัญประจำตัว อาการเจ็บป่วยเกิดจากการที่ขวัญไม่อยู่กับตัว ดูรายละเอียดที่หัวข้อ 22  Belief Systems) (หน้า 39)   

Art and Crafts (including Clothing Costume)

เครื่องแต่งกาย
         เครื่องแต่งกายของผู้หญิงลีซู :  เสื้อคอป้ายตัวใหญ่ ชายเสื้อยาวถึงน่อง แขนเสื้อทรงกระบอก สีเสื้อที่นิยม ได้แก่ สีน้ำเงิน  สีเขียวอ่อน  สีเขียว  หรือใช้ผ้าที่มีลวดลายก็ได้ แต่แขนเสื้อต้องเป็นสีแดง ชมพู  หรือสีบานเย็น คอเสื้อเย็บด้วยผ้าสีดำ ถัดลงมาเป็นผ้าสีต่างๆ เย็บทับซ้อนกันเป็นริ้วยาว สวมเสื้อทับกางเกง โดยกางเกงต้องเป็นสีดำเท่านั้น  ผู้หญิงลีซูสวมกางเกงตัวใหญ่ ขากว้าง ยาวประมาณคลุมเข่า เป้ากางเกงกว้างเกือบเท่าความยาวของขากางเกง  มีผ้าคาดเอว  สวมปอกขาทรงกระบอกที่หน้าแข้ง สีออกแดง ชมพู  หรือบานเย็น  และจะใส่เครื่องประดับเฉพาะในพิธีกรรมสำคัญ เช่น ปีใหม่  แต่งงาน  เท่านั้น  เครื่องประดับ ได้แก่ หมวก (อู๊ดึเมียกุ)  เสื้อกั๊กสีดำประดับเงินหรือเหรียญเงิน (หลี่กั๊ว) พวงพู่สำหรับห้อยข้างหลัง (หยี่คือเมี๊ยะ)  สร้อยคอชั้นล่าง (ลีหวุเปีย)  และสร้อยคอชั้นบน (อาคู้ซวูหลุ) (หน้า 27-28)
         เครื่องแต่งกายของผู้ชายลีซู : ผู้ชายลีซูสวมเสื้อกำมะหยี่คอป้ายสีดำตัวใหญ่  แขนยาวทรงกระบอก มีกระดุมเงินติดประดับบนบ่า ไหล่ทั้งด้านหน้า ด้านหลัง  และกลางหลังของเสื้อ  กางเกงทรงเดียวกับผู้หญิง  สีอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่สีดำและสีแดง (ผู้เฒ่าชายใส่กางเกงสีดำได้) ใช้ผ้าคาดเอวผูกเป็นปมด้านหน้าตัวเสื้อ สวมปอกขาสีดำที่หน้าแข้ง ไม่มีลวดลาย และพันผ้าโพกศีรษะสีขาว  ปัจจุบันผู้ชายลีซูใส่เสื้อเชิ้ตหรือเสื้อยืดเหมือนคนพื้นราบ  แต่ยังคงสวมกางเกงลีซู  จะแต่งกายครบชุดเมื่อมีงานประเพณีปีใหม่ หรืองานพิธีแต่งงานเท่านั้น  (หน้า 28)
บ้านเรือนของลีซู
         บ้านลีซู  เป็นบ้านชั้นเดียว ภายในแบ่งเป็นสามส่วน ส่วนซ้ายและขวาเป็นห้องนอน โดยผู้อาวุโสหรือพ่อแม่นอนห้องทางขวา ลูกๆ นอนห้องทางซ้าย ตรงกลางวางแท่นบรรพบุรุษ จะต่อแคร่นอนหน้าแท่นบรรพบุรุษก็ได้ ครัวอยู่ด้านซ้ายในตัวบ้าน หรืออาจแยกจากตัวบ้านอยู่ทางซ้าย  ภายหลังเริ่มมีบ้านสองชั้น ชั้นบนแบ่งเป็นสามส่วนเหมือนบ้านทั่วไป มีระเบียงอยู่ด้านหน้า ประตูอยู่ตรงกลางตรงกับประตูข้างล่าง บันไดอยู่ด้านข้าง ไม่ให้อยู่ด้านหน้าหรือในบ้าน หิ้งบูชาบรรพบุรุษอยู่ชั้นบน  (หน้า 45, รูปภาพหน้า 46หลังคาบ้านชั้นเดียวมุงด้วยหญ้าคา)
เครื่องดนตรีและบทเพลง
         ลักษณะของดนตรีลีซู คือ ไม่มีหน้าที่ในพิธีกรรม จะใช้บรรเลงประกอบการเต้นรำในงานรื่นเริงเท่านั้น และไม่มีการบรรเลงรวมหมู่  เพราะเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นมีระดับเสียงที่แตกต่างกัน  เครื่องดนตรีลีซู  มี 4ชนิด  ได้แก่  1.มากวุ” เป็นแท่งไม้ไผ่ เจาะลิ้นเอาไว้ตรงกลาง มีที่ดีดตรงปลาย ปัจจุบันไม่มีเล่นแล้ว (หน้า 53)  2. “หยื่อหลุ” เป็นขลุ่ยมี 6รู  แต่ก่อนมีลักษณะเป็นขลุ่ยผิว ปัจจุบันใช้แบบขลุ่ยธรรมดา หยื่อหลุมีเสียงเบาและนุ่มนวล  มักใช้กล่อมเด็ก หรือบรรเลงประกอบการเต้นรำก็ได้ การบรรเลงจะไม่มีการขับร้องตาม ปัจจุบันมีคนเป่าได้น้อยมาก คนรุ่นหลังไม่นิยม เพลงของหยื่อหลุที่เหลือส่วนมากเป็นเพลงกล่อมเด็ก (หน้า 53, 161)  3.“ซือบึ” เป็นพิณของลีซู มี 3สาย  ใช้บรรเลงประกอบการเต้นรำ เวลาบรรเลง มีการตั้งสายสามแบบ คือ แบบที่ 1เป็นแบบพื้นฐาน ใช้เล่นกับเพลง “โต๋ โบ่ เมีย ขุ”  “ลา เป๋”  “ดซา เบ่ กั๊วะ”  “กวา ซือ ชึ”  แบบที่ 2  ปรับสายกลางขึ้นมา เป็นแบบที่นิยมมากที่สุดใช้เล่นกับเพลง “ยี่ หล”  “จา ลิ ซา กุ กุ”  และใช้กับเพลงประยุกต์ที่นำเอาเพลงจีนมาทำ  แบบที่ 3ปรับสายบนให้เท่ากับสายกลางของแบบที่สอง ใช้กับเพลง “จา ซึ จา กา” (ปรับสายธนู)  “อ๊า กู หลู่ ต๊ะ” (อ้ายบ่าวสุดที่รัก)  (หน้า 54-55)   “ซือบึ” มีเสียงเบาและนุ่มนวล  จึงเป็นเครื่องดนตรีที่นิยมใช้เกี้ยวสาว (หน้า 160)  4.ฝู่หลู  เป็นเครื่องดนตรีชนิดเป่าของลีซู  ลักษณะคล้ายแคนของคนอีสาน มี 5 ท่อเสียง  ตัวแคนทำจากผลน้ำเต้าแห้ง  เป็นเครื่องดนตรีที่มีมาแต่โบราณ ความเป็นมาไม่แน่ชัด  ใช้เล่นในการเต้นรำในเทศกาลปีใหม่ของลีซู (หน้า 4,56)
ฝู่หลูกับสังคมลีซู
          ทำนองเพลงฝู่หลูไม่มีแบบแผนตายตัว อาจเล่นเร็วหรือช้าก็ได้ จะเพิ่มทำนองก็ได้ แปรทำนองไปตามผู้เล่น  ฝู่หลูเป็นเครื่องดนตรีที่เน้นความเป็นปัจเจกชน ไม่เน้นระเบียบแบบแผนที่เคร่งครัด  สะท้อนสังคมลีซูที่ค่อนข้างมีความเท่าเทียมกัน ไม่มีการรวมศูนย์อำนาจ แต่ละกลุ่มตระกูลจะดูแลปกครองกันเอง หากมีปัญหาส่วนรวมจะมีคณะผู้อาวุโสหมู่บ้านตัดสินใจร่วมกัน ไม่ได้มีกฎระเบียบแบบแผนที่เคร่งครัด นอกจากนี้  การบรรเลงฝู่หลูเดี่ยวๆ ในวงเต้นรำ  สะท้อนให้เห็นลักษณะนิสัย มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง และรักความเป็นอิสระ ซึ่งสอดคล้องกับการเลี้ยงดูเด็กลีซู พ่อแม่จะดุว่ากล่าวแต่จะไม่เฆี่ยนตี  ผู้ใหญ่จะรับฟังความคิดเห็นของเด็ก เลี้ยงลูกหลานให้มีความเชื่อมั่นในตนเอง สามารถแสดงความคิดเห็นโต้แย้งผู้ใหญ่ได้ (หน้า 159)  ฝู่หลูมีบทบาทในสังคมลีซู เช่น เป่าร่วมกับการเต้นรำในงานฉลองเทศกาลต่างๆ เป็นการนันทนาการที่สำคัญ ฝู่หลูกับการเต้นรำเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การทำพิธีกรรมมีความสมบูรณ์ เป็นสัญลักษณ์ของการเฉลิมฉลองยินดีปรีดา อันจะนำมาซึ่งโชคลาภและสิ่งดีงามต่างๆ การเป่าฝู่หลูและการเต้นรำ ยังเป็นการสร้างความสามัคคี ความผูกพัน และความยึดเหนี่ยวในชุมชนและชาติพันธุ์  ฝู่หลูยังเป็นเครื่องธำรงเอกลักษณ์ทางชาติพันธ์ ฝู่หลูแคนน้ำเต้าของลีซู สามารถบ่งบอกความเป็นลีซู โดยผ่านวิธีการบรรเลง ทำนองเพลง บันไดเสียง และบทบาทหน้าที่ของฝู่หลู (หน้า 160-163)    
ฝู่หลู  แคนน้ำเต้าของลีซู เป็นเครื่องดนตรีโบราณ ไม่ทราบต้นกำเนิดแน่ชัด  แบ่งเป็น 3ประเภท ได้แก่  1.“ปาลิฝู่หลู”  แคนน้ำเต้าขนาดเล็ก ไม่กินลมมาก เป่าได้เป็นเวลานานติดต่อกันโดยไม่เหนื่อย สามารถเป่าและดูดสลับกันไปได้  ฝึกหัดง่าย  และได้รับความนิยมที่สุด เพลงที่ใช้เป่าเป็นเพลงทำนองฟังง่าย สนุกสนาน  2.“ฝู่หลูและและ” มีขนาดกลาง ขนาดใหญ่และยาวกว่าปาลิฝู่หลู มีระดับเสียงทุ้มต่ำกว่า เวลาบรรเลงต้องดูดอย่างเดียว ปัจจุบันไม่ค่อยนิยมกัน เนื่องจากฝึกหัดยาก  เวลาเล่นประกอบการเต้น จะเหนื่อยง่าย  เพราะมีขนาดใหญ่ต้องใช้แรงมาก วัยรุ่นเห็นว่าเพลงของฝู่หลูและและฟังยาก เสียงทุ้มต่ำ ไม่เร้าใจ แต่ยังมีผู้เฒ่าผู้แก่ที่นิยมใช้ฝู่หลูและและ ด้วยเห็นว่า ทำนองเพลงและท่าเต้น มีรายละเอียดและลีลาที่สวยงาม  3. “ฝู่หลูนาอุ”  เป็นแคนน้ำเต้าขนาดใหญ่ ใช้ดูดเพื่อให้เกิดเสียง มีเสียงเบาและต่ำ เพลงที่ใช้บรรเลงกับฝู่หลูนาอุจะยากที่สุด ยังมีผู้เฒ่าผู้แก่ที่นิยมอยู่บ้าง เพราะเพลงของฝู่หลูนาอุ มีท่าเต้นที่สวยงามและสนุกสนาน  ฝู่หลูทั้งสามประเภทมีขนาดแตกต่างกัน ระบบเสียงก็แตกต่างกัน ทำให้ทำนองเพลงที่ใช้บรรเลงก็จะแตกต่างกันด้วย เป็นเพลงเฉพาะของฝู่หลูแต่ละประเภท ไม่ซ้ำกัน แต่มีบางเพลงที่บรรเลงด้วยฝู่หลูทั้งสามประเภท เช่น กวา ตวึ ตวึ  เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ทำนองที่บรรเลงออกมาก็จะแตกต่างกัน ในขณะที่ท่าเต้นเหมือนเดิม (หน้า 56-58)  การหัดเป่าฝู่หลู ต้องเริ่มหัดปาลิฝู่หลูให้ได้ครบทุกเพลงก่อน จึงจะไปหัดฝู่หลูและและ และฝู่หลูนาอุ ต่อไป (หน้า 74)
ลักษณะทางกายภาพของฝู่หลู
          มีส่วนประกอบ 3ส่วน ได้แก่  1. น้ำเต้า  มีน้ำเต้าพันธุ์ก้านสั้นผลกลม ผลใหญ่ แข็งแรง หักยาก  และพันธุ์ก้านยาว ผลกลมรี บอบบาง หักง่าย  แต่คนนิยมมากกว่า เพราะก้านเรียวยาวดูสวยงามกว่า  2.ท่อเสียง ทำจากไม้เฮียะ มี 5ท่อ สอดเข้ากับด้านข้างของน้ำเต้า ยาด้วยขี้ชันโรง แต่ละท่อมีชื่อเรียก คือ  “อี้มะมะ”  หรือเสียงแม่  เป็นท่อเสียงที่ยาวที่สุด มีเสียงต่ำสุด,  “อี้ผะ”  หรือเสียงพ่อ ท่อยาวเท่ากับอี้มะมะ แต่เสียงสูงกว่า, “อี้และและ”  หรือเสียงต่ำ  ท่อสั้นกว่าอี้ผะ และเสียงสูงกว่าอี้ผะ, “อี้ฮะฮะ”  หรือเสียงกลาง  ท่อสั้นกว่าอี้และและ  และเสียงสูงกว่าอี้และและ, “อี้ลิลิ”  หรือเสียงสูง ท่อสั้นที่สุด และเสียงสูงที่สุด  แต่ละท่อเสียงจะเจาะรู้นิ้วไว้ท่อละ 1 รู  3.ลิ้น  มีลักษณะเป็นลิ้นอิสระ (free reed)  ในแต่ละท่อเสียงจะมีลิ้นอยู่หนึ่งอัน ซึ่งมีขนาดแตกต่างกันตามระดับเสียงของแต่ละท่อเสียง โดยท่อที่มีระดับเสียงต่ำจะมีลิ้นขนาดใหญ่ ท่อที่มีระดับเสียงสูงจะมีลิ้นขนาดเล็ก เป็นส่วนประกอบที่สำคัญที่สุดของฝู่หลู คุณภาพของเสียงฝู่หลูขึ้นอยู่กับลิ้นของฝู่หลู ไม้ที่ใช้ทำลิ้นคุณภาพดีมีเสียงไพเราะ คือไม้ไผ่ “หว่ามะ” ไม่มีขึ้นเองตามธรรมชาติ ต้องปลูกเอาไว้  และต้องมีช่างทำลิ้นฝู่หลูที่มีความชำนาญด้วย (หน้า 59-61)
          นอกจากนี้ ผู้วิจัยยังได้ศึกษา ระบบเสียง โดยวัดเสียงและค่าความถี่เสียงของฝู่หลู บันไดเสียงฝู่หลู ลักษณะการบรรเลง และการสร้างฝู่หลู  ตลอดจนไปถึงรายละเอียดอื่นๆ เช่น ช่างผู้สร้างฝู่หลู  การดูแลรักษา เป็นต้น  (หน้า 64-84)
บทเพลงของฝู่หลูและท่าเต้นรำในบางบทเพลง 
          ของลีซูบ้านดอยล้านส่วนใหญ่เป็นเพลงโบราณ  บทเพลงเท่าที่ผู้วิจัยสามารถรวบรวมได้มีทั้งหมด 12เพลง  ดังนี้ 
          1.“กวา ตวึ ตวึ”  แปลว่า “เต้นไปตรงๆ” หรือ “เดินไปตรงๆ” ท่าเต้นของเพลงนี้มีลักษณะเดินไปเรื่อยๆ ธรรมดา  ผู้ชายเดินกระทืบเท้าไปข้างหน้า ผู้หญิงเดินหน้าเฉยๆ  มีจังหวะการก้าวถอยหลังและหยุดอยู่กับที่ในช่วงกลางเพลงไปจนถึงท้ายเพลง สมัยก่อนจะใช้เพลงนี้เป็นเพลงแรกในการเต้นรำปีใหม่ เป็นเพลงพื้นฐานแรกของผู้เริ่มหัดเป่าฝู่หลู และเป็นเพลงที่เป็นเอกลักษณ์ของคนลีซู  เพลง กวา ตวึ ตวึ  เป็นเพลงฝู่หลูเพลงเดียวที่มีทำนองและท่าเต้นเหมือนกันทุกหมู่บ้าน คนลีซูรู้จักกันแพร่หลาย (หน้า 85, 87, 136) 
          2.“โต๋ โบ่ เมีย ขุ”  แปลว่า “ตาโบ๋” หรือ “ตาบอด” เพลงนี้ท่าเต้นส่วนใหญ่เดินไปข้างหน้า  ช่วงกลางเพลงมีการถอยหลังบางจังหวะ ส่วนช่วงท้ายเพลงย่ำเท้าอยู่กับที่  (หน้า 85, 94, 137) 
          3.“กวา ซวื ชวึ”  แปลว่า “เต้นแบบมีลีลา” หรือ “เดินอย่างมีลีลา” ท่าเต้นจะก้าวไปข้างหน้าอย่างเดียว ไม่มีการถอยหลัง แต่ท่าเต้นจะมีลีลา คือ เพลงนี้มีท่าเต้นที่มีความยาวเที่ยวละ 2ห้องเพลง ก้าวซ้าย – ขวา – ขวา – หยุด เต้นซ้ำไปเรื่อยๆ และในจังหวะที่ก้าวเท้าขวาติดกันสองครั้ง ผู้เต้นอาจเปลี่ยนเป็นกระโดดสองครั้งติดกันแทนการก้าวเท้าขวาก็ได้ เพื่อให้เกิดความสนุกสนาน ครึกครื้น  (หน้า 85, 100, 139) 
          4.“ลา เป๋” แปลว่า “หมู่บ้าน ลา เป๋” เพลงนี้ท่าเต้นมีการเดินหน้าสลับถอยหลัง มีลักษณะสนุกสนาน (หน้า 85, 142) 
          5.“ลัด จึ ติ๊ กั๊วะ”  แปลว่า “ตำน้ำพริก” 
          6.“ดซา เบ่ กั๊วะ”  แปลว่า “แบ่งข้าวกันกิน” 
          7.“ลู ขู่ เงีย หละ”  แปลว่า “นกน้ำ” 
          8.“โม หล่า แต๊ะ สึ”  แปลว่า “หมู่บ้านดอยล้าน” 
          9.“หย่า จา หลู่ เมะ”  แปลว่า “ลูกคนสุดท้องของตระกูลหยาง” 
          10.“เป กั๊วะ”  แปลว่า “หยอกล้อกัน” เพลงนี้มีทั้งจังหวะเดินหน้าและถอยหลัง การเต้นมีลักษณะเดินๆ หยุดๆ เพลงนี้มีท่าเต้นสนุกสนาน  (หน้า 85, 140) 
          11.“ล้า ข่า น้า คั๊วะ”  แปลว่า “อวัยวะเพศชาย” 
          12.“สึด สือ หงี่ เถอ ติ๊ กั๊วะ” แปลว่า “72ท่าเต้น”  (หน้า 85)
          นอกจากนี้ ผู้วิจัยได้เลือกบทเพลงที่เป็นเพลงพื้นฐานสำคัญและเป็นที่นิยม 5 บทเพลง มาวิเคราะห์เชิงระบบ (Systematic method)  เพื่อให้เห็นลักษณะสำคัญทางดนตรีของบทเพลงฝู่หลู โดยวิเคราะห์องค์ประกอบ  ดังนี้  1.  ประวัติและที่มาของเพลง  2. โครงสร้างเพลง  3.เนื้อเพลง  4. การประสานเสียง  5.จังหวะ  6. วลีเพลง  ห้าเพลงที่เลือกมาวิเคราะห์  ได้แก่  เพลง กวา ตวึ ตวึ,  เพลง โต๋ โบ่ เมีย ขุ,  เพลง กวา ซวื ชวึ (แบบ 1และแบบ 2),  เพลง ลา เป๋   (หน้า 85-86, 94, 100, 108, 115) สรุปโดยรวมคือ
          1.บทเพลงที่บรรเลงโดยฝู่หลู ส่วนใหญ่เป็นเพลงที่ร้องประกอบการเต้นรำในอดีต แล้วนำทำนองเพลงร้องนั้นมาทำเป็นทำนองเพลงฝู่หลู  ส่วนชื่อเพลงส่วนใหญ่มาจากต้นตอของเพลงนั้นและลักษณะท่าเต้นรำ 
          2.โครงสร้างเพลงฝู่หลู  เป็นเพลงท่อนเดียว  บรรเลงซ้ำวนไปมาเรื่อยๆ  ส่วนใหญ่จะมี 3 ส่วน  คือส่วนวลีต้นเพลง วลีกลางเพลง  และวลีท้ายเพลง โดยแต่ละวลียังสามารถแบ่งออกเป็นทำนองย่อยได้อีก
          3. เนื้อเพลง หรือทำนองหลัก มีการเคลื่อนเป็น 3ลักษณะคือ การเคลื่อนที่ตามลำดับขั้น (Conjunct Motion)  การเคลื่อนที่แบบกระโดดข้าม  (Disjunct Motion)  และการเคลื่อนที่แบบซ้ำโน้ต (Repetition Motion) 
          4. การประสานเสียง  ฝู่หลูไม่มีการเป่าโน้ตตัวเดียว เสียงที่เป่าจะเป็นเสียงประสาน มี 2 แบบ คือ ประสานเสียงแบบ 2เสียง ซึ่งพบมากที่สุด และการประสานเสียงแบบ 3 เสียงและ 4เสียง เป็นการเพิ่มสีสันให้กับบทเพลง  จะพบเฉพาะบางเพลง
          5. จังหวะ บทเพลงที่บรรเลงโดยฝู่หลู มีการกำกับจังหวะ (Rhythmical accompaniment) อยู่ในทำนองเพลง ไม่ต้องอาศัยเครื่องประกอบจังหวะอื่นๆ 
          6.วลีเพลง  เพลงฝู่หลู ส่วนใหญ่มี 3 วลีเพลง คือ วลีต้นเพลง วลีกลางเพลง วลีท้ายเพลง ยกเว้นเพลง เป กั๊วะ  และ ลา เป๋ จะมี 4วลีเพลง  การลงจบของทุกเพลงเป็นการจบแบบสมบูรณ์ (Perfect Cadence)  (หน้า  171-172)
ท่าเต้นประกอบการบรรเลงฝู่หลูของลีซู 
         ในแต่ละเพลงมีท่าเต้นแตกต่างกันไป  โดยท่าเต้นจะมีความสัมพันธ์กับทำนองเพลง คือท่าเต้น 1 รอบ  จะเท่ากับความยาวของเพลง 1 เที่ยวพอดี (ยกเว้นเพลง กวา ซวือ ชวึ)  และการเปลี่ยนท่าเต้นในแต่ละช่วงก็จะสัมพันธ์กับการเปลี่ยนวลีเพลง  เป็นต้น  ส่วนการเต้นของนักดนตรี จะคล้ายกับเป็นเนื้อเพลง ที่คอยบอกว่า เพลงจะเริ่มต้นและจบลงตรงไหน อย่างไร  และแต่ละช่วงมีทำนองอย่างไร  (หน้า 172)         
          เพลงร้องลีซู  ส่วนใหญ่เป็นเพลงร้องโต้ตอบกันไปมา ส่วนใหญ่เป็นเพลงเกี้ยวสาว ชายหญิงร้องโต้ตอบกันทำนองเดียวแต่เปลี่ยนเนื้อร้องไปเรื่อยๆ หรือที่เรียกว่า “ร้อยเนื้อ ทำนองเดียว” มีคนที่ชำนาญเป็นต้นเสียง 1 คน ที่เหลือเป็นลูกคู่  ปัจจุบันยังคงใช้ร้องในเทศกาลต่างๆ นอกจากเพลงจีบสาวแล้ว ยังมีเพลงที่ร้องในโอกาสอื่น เช่น งานศพ ระหว่างที่เก็บศพไว้ที่บ้านก่อนเอาไปฝัง เนื้อหาเป็นการบอกทางคนตายให้ไปสวรรค์ ไปหาปู่ย่าตายาย ไปแล้วอย่าให้เจ็บป่วย และให้กลับมาปกปักรักษาคุ้มครองลูกหลานที่บ้าน เพลงร้องในงานปีใหม่ ร้องรำเชิญชวนให้ลีซูมาสนุกกัน และเพลงร้องกล่อมเด็ก มีเนื้อหาสั่งสอนลูกด้วย แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้สอน ร้องกล่อมให้หลับ (หน้า 55)  
       

Folklore

         นิทานเกี่ยวกับที่มาและความสำคัญของวันปีใหม่ (กู่เฉีย) และพิธีกินข้าวโพดใหม่ (ฉือแปกั๊วะ) ผู้เขียนอ้างงานของ ทวิช จตุวรพฤกษ์ (2541 :196-197)  นิทานเล่าว่า  กาลครั้งหนึ่ง มีพี่น้องสองคนต้องการเป็นผู้ปกครองลีซอ แต่มีแนวทางในการปกครองต่างกัน คนพี่ต้องการให้มีความเสมอภาค ทั้งทางร่างกาย จิตใจ และฐานะ ส่วนคนน้อง ยอมให้มีคนรวยคนจน คนโง่คนฉลาด คนแข็งแรงคนพิการ ทั้งสองจึงตกลงกัน ปลูกต้นไม้คนละต้น เช้ารุ่งขึ้นถ้าต้นของใครออกดอกเป็นโลหะเงิน ผู้นั้นเป็นผู้ชนะ  วันรุ่งขึ้นน้องชายมาดูต้นไม้ของตนไม่มีดอก ของพี่ชายมีดอกไม้เงิน จึงเด็ดมาเสียบไว้ที่ต้นไม้ของตน น้องชายจึงได้เป็นผู้ปกครองคนลีซอ ส่วนพี่ชายขอเวลาปีละ 7  วัน เพื่อเป็นผู้ปกครองลีซอตามวิถีทางของเขา นั่นคือ 4 วันของปีใหม่  และ 3  วันของพิธีกินข้าวโพดใหม่ ที่ทำให้คนลีซอทั้งหมดมีความเสมอภาคกัน  (หน้า 144)

Social Cultural and Identity Change

         การเต้นรำของลีซูเป็นกิจกรรมในโอกาสสำคัญต่างๆ โดยเฉพาะในเทศกาลปีใหม่ ยกเว้นพิธีศพกับพิธีไหว้บรรพบุรุษ เพราะการเต้นรำเป็นกิจกรรมสนุกสนาน แต่ปัจจุบัน ในพิธีไหว้บรรพบุรุษก็อนุโลมให้มีงานเต้นรำได้ในเวลากลางคืน การเต้นรำจะขาดบทเพลงของฝู่หลูไม่ได้ การบรรเลงฝู่หลูจะบรรเลงร่วมกับการเต้นรำ ลักษณะการเต้นรำ จะจับมือกันเป็นวงกลม ถ้าคนน้อยก็อาจจับมือกันเป็นแถวหน้ากระดานหรือครึ่งวงกลม ถ้าคนมากก็อาจจับมือกันล้อมวงเป็นสองวงหรือสามวง โดยมีผู้เล่นฝู่หลูอยู่กลางวงเป็นผู้นำ การเต้นรำจะสนุกหรือไม่ ก็ขึ้นกับผู้บรรเลงฝู่หลูและการนำเต้น การจับมือกันของชายหญิงลีซูในการเต้นรำ มีกฎเกณฑ์ข้อห้ามอยู่บ้าง คือชายหญิงที่เป็นญาติแซ่เดียวกัน หรือเป็นลูกของพี่น้องผู้ชาย จับมือกันเต้นรำไม่ได้ หรือชายหญิงต่างแซ่กัน แต่มีแม่เป็นพี่น้องกัน ก็ห้ามเช่นกัน (กรณีนี้ปัจจุบันอนุโลมให้ทำได้) ซึ่งสอดคล้องกับข้อห้ามในการเลือกคู่ครองของลีซู (หน้า 135-136)         
          ปัจจุบัน  มีความบันเทิงในรูปแบบอื่นจากภายนอกเข้ามามีอิทธิพลในสังคมลีซูมากขึ้น ประกอบกับเด็กรุ่นใหม่เดินทางไปเรียนหนังสือนอกหมู่บ้าน ทำให้ไม่ได้ซึมซับวัฒนธรรมและวิถีชีวิตในสังคมลีซูแบบคนรุ่นก่อน  วัยรุ่นชายหันมาเล่นกีตาร์ร้องเพลงสตริงในยามว่าง การเข้าร่วมเต้นรำในงานพิธีต่างๆ  ลดน้อยลง  มักเห็นแต่รุ่นผู้ใหญ่และผู้เฒ่าเท่านั้นมาเต้นรำในพิธีต่างๆ บทบาทของฝู่หลู่ในการสร้างความบันเทิงและความเป็นปึกแผ่นให้กับชุมชนจึงลดบทบาทลงไปมาก บทบาทของฝู่หลูในการทำให้หนุ่มสาวได้พบปะเกี้ยวพาราสีกันแม้จะยังมีอยู่  แต่ก็ลดน้อยลงเช่นกัน  เนื่องจากการออกไปเรียนหนังสือนอกหมู่บ้าน ทำให้หนุ่มสาวมีโอกาสได้พบปะและใกล้ชิดกันบ่อยๆ ไม่จำเป็นต้องเกี้ยวพาราสีกันในวงเต้นรำเหมือนในอดีต  (หน้า 164-165)
          การปรับตัวของฝู่หลูในปัจจุบัน นายศักดา แซ่ย่าง ได้เป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงรูปแบบในการบรรเลงฝู่หลู มีการเปลี่ยนโครงสร้างเพลง  เปลี่ยนสไตล์การเป่า ปรับเปลี่ยนทำนอง (โดยยังรักษาทำนองหรือคำพูดสำคัญเอาไว้) ตลอดจนการแต่งเพลงขึ้นมาใหม่  เพื่อทำให้เด็กรุ่นใหม่หันกลับมาสนใจฝู่หลูและการเต้นรำ อันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของลีซู โดยการเปลี่ยนโครงสร้างทำนองเพลงบางเพลงให้สั้นลง กระชับ และฟังง่ายขึ้น  เร้าใจขึ้น  ซึ่งจะทำให้เต้นรำได้สนุกกว่าเดิม การเปลี่ยนแปลงอีกอย่างคือ การประยุกต์ท่าเต้นรำ โดยเน้นความสนุกสนานเป็นหลัก  การเปลี่ยนแปลงที่เห็นชัด คือ ท่าเต้นที่มีลีลาโลดโผน เร้าใจ  และเร็วขึ้น  (หน้า  166-167) 

Map/Illustration

สารบัญภาพ:รูปที่ 4.1 แผนที่แสดงที่ตั้งบ้านดอยล้าน (หน้า 25)  4.2แผนผังบ้านดอยล้าน (หน้า 26)  4.3เครื่องแต่งกายฯ ของชายลีซู (หน้า 29)  4.4  เครื่องแต่งกายฯ ของหญิงลีซู (หน้า 30)  4.5  การแต่งกายของลีซู (หน้า 31) 4.6 อูลุ ทรงผมของเด็กลีซู (หน้า 39)  4.7 พิธีสร้างสะพานเรียกขวัญ (หน้า 40)  4.8 การทำนายกระดูกไก่ (หน้า 43)  4.9 การแบ่งพื้นที่ใช้สอยภายในบ้าน (หน้า 46)  4.10 การ “เป๊อะ” เด็ก (หน้า 49)  4.11 ซือบึ และหยื่อหลุ (หน้า 54)  5.1 ปาลิฝู่หลู และฝู่หลูและและ (หน้า 58) 5.2 ฝู่หลูนาอุ (หน้า 59)  5.3 ฝู่หลูที่ทำจากน้ำเต้าพันธุ์ก้านสั้นและก้านยาว (หน้า 60)  5.4 การเรียกชื่อท่อเสียงแต่ละท่อ (หน้า 62)  5.5 ลิ้นฝู่หลู (หน้า 63)  5.6 ลิ้น ฝู่หลู (หน้า 63)  5.7 ท่อเสียงที่ติดลิ้นเรียบร้อยแล้ว (หน้า 63)  5.8-10 การจับฝู่หลู (หน้า 72)  5.11 การใช้นิ้วโป้ง “ตี” ท้ายท่ออี้ผะ (หน้า 73)  5.12 นายหล้า แซ่ย่าง ช่างสร้างฝู่หลู (หน้า 76)  5.13 มีดตัดลิ้น(หน้า 78)  5.14  มีดแต่งลิ้น (หน้า 79)  5.15 รายละเอียดลิ้นฝู่หลู (หน้า 81)  7.1 การตัดเย็บเสื้อผ้าเพื่อใช้ในช่วงปีใหม่ (หน้า 146) 7.2 การต้มเหล้า (หน้า 147) 7.3 การตำขนม เบี่ยป๊ะป๊ะ (หน้า 149) 7.4 ต้น กู่ฉวึแลดสึ (หน้า 149)  7.5 การเต้นรำในคืนวันสิ้นปี (หน้า 150) 7.6 ลักษณะการเต้นรำ (หน้า 153)  7.7 การเต้นรำภายในบ้าน (หน้า 154)  7.8 การเต้นรำตอนกลางวัน (หน้า 155)  7.9 การเต้นรำกลางคืน (หน้า 156)
สารบัญแผนภูมิ:แผนภูมิที่ 5.1 แสดงค่าเซ็นระบบแบ่งเท่า (หน้า 64)  5.2แสดงระบบเสียงของฝู่หลู (หน้า 70)  6.1 โครงสร้างของเพลง กวา ตวึ ตวึ  (หน้า 87)  6.2โครงสร้างเพลงโต๋โบ่เมียบขู่ (หน้า 95)  6.3-4โครงสร้างเพลง กวา ซวือ ชวึ  (หน้า 101, 108)  6.5โครงสร้างเพลง เป กั๊วะ (หน้า 116)  6.6โครงสร้างของเพลง ลา เป๋  (หน้า 125)
สารบัญตาราง :ตารางที่ 4.1การปลูกพืชหมุนเวียนในรอบ 1ปี (หน้า 45)  5.1  การหาค่าเซ็นต์ของฝู่หลู่ (หน้า 66)  5.2 แสดงโน้ต ค่าความถี่ ค่าเซ็นต์ (หน้า 66)  5.3ค่าความถี่ของเสียงของฝู่หลู (หน้า 67) 5.4 แสดงโน้ต ค่าความถี่ใน 1 Octave ที่สูงขึ้น (หน้า 68)  5.5ค่าความถี่เสียงฝู่หลูที่ต่างบันไดเสียง (หน้า 68)  6.1คู่เสียงในเพลง กวา ตวึ ตวึ  (หน้า 89) 6.16  การประสานเสียงแบบสี่เสียงทั้งหมด (หน้า 133)

Text Analyst บุญสม ชีรวณิชย์กุล Date of Report 21 เม.ย 2559
TAG ลีซู, ฝู่หลู, การบรรเลง, บทเพลง, ความสัมพันธ์กับสังคม, เชียงราย, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง