สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ม้ง แม้ว สังคม การปกครอง การใช้อำนาจ สถาบันผู้นำ จังหวัดน่าน
Author ภักดี ชมพูมิ่ง
Title สถาบันผู้นำและการปกครองตัวเองของชาวเขาเผ่าแม้ว:บทศึกษาเฉพาะกรณีแม้วที่บ้านขุนสถาน อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ม้ง, Language and Linguistic Affiliations -
Location of
Documents
Total Pages 81 Year 2510
Source คณะรัฐประศาสนาศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
Abstract

          ในการศึกษานี้ ผู้เขียนมองสถาบันผู้นำและการปกครองตนเองของชาวเขาเผ่าแม้วบ้านขุนสถานในลักษณะโครงสร้างอำนาจทางการปกครอง 3ฝ่าย ซึ่งได้แก่ อำนาจการบริหาร อำนาจนิติบัญญัติและอำนาจตุลาการ  ผู้เขียนได้จำกัดขอบเขตประเด็นการศึกษาที่รูปและลักษณะของการปกครองตนเอง ที่มาของอำนาจในการปกครองผู้ที่ใช้อำนาจในการปกครองสภาพของหัวหน้าเผ่า รวมทั้งสถาบันต่างๆในการปกครองและฐานะทางการปกครองของประชาชน  ผู้เขียนเห็นว่า ในการปกครองตนเองของแม้วบ้านขุนสถาน “โหล่วย่าว”หรือหัวหน้าหมู่บ้าน และ”น่าจือเหว่าฮูเจ”หรือกลุ่มผู้อาวุโสในแสนเป็นผู้ใช้อำนาจในเชิงอำนาจบริหาร “จือเป้เส่งชั่วเต่อ”หรือที่ประชุมหมู่บ้านเป็นองค์การที่ใช้อำนาจแบบอำนาจนิติบัญญัติ และ”น่าจือเหว่าฮูเจา”หรือกลุ่มผู้อาวุโสในแสนกับ”โหล่วตัวเหน่งซาโปล้ว”หรือคณะกรรมการตัดสินข้อพิพาทขัดแย้งใช้อำนาจแบบอำนาจตุลาการ  ซึ่งลักษณะการใช้อำนาจทั้งสามนี้เกี่ยวพันกัน ไม่ได้แยกจากกันโดยเด็ดขาด 

Focus

          ศึกษารูปแบบและลักษณะการปกครองตนเอง ที่มาของอำนาจในการปกครอง ผู้ที่ใช้อำนาจในการปกครอง สภาพของหัวหน้าเผ่ารวมทั้งสถาบันต่างๆในการปกครองและฐานะทางการปกครองของประชาชนแม้ว (น.4-5)

Theoretical Issues

         ในการศึกษานี้ ผู้เขียนมองสถาบันผู้นำและการปกครองตนเองของแม้วบ้านขุนสถานในลักษณะที่เป็นโครงสร้างอำนาจทางการปกครอง 3ฝ่าย ได้แก่ อำนาจการบริหาร อำนาจนิติบัญญัติและอำนาจตุลาการ  ทั้งนี้ผู้เขียนเห็นว่า  “โหล่วย่าว”หรือหัวหน้าหมู่บ้าน และ”น่าจือเหว่าฮูเจ”หรือกลุ่มผู้อาวุโสในแสนเป็นผู้ใช้อำนาจในเชิงอำนาจบริหาร “จือเป้เส่งชั่วเต่อ”หรือที่ประชุมหมู่บ้านเป็นองค์การที่ใช้อำนาจแบบอำนาจนิติบัญญัติ และ”น่าจือเหว่าฮูเจา”หรือกลุ่มผู้อาวุโสในแสนกับ”โหล่วตัวเหน่งซาโปล้ว”หรือคณะกรรมการตัดสินข้อพิพาทขัดแย้งใช้อำนาจแบบอำนาจตุลาการ  ซึ่งลักษณะการใช้อำนาจทั้งสามนี้เกี่ยวพันกัน ไม่ได้แยกจากกันโดยเด็ดขาด(น.72-73)  

Ethnic Group in the Focus

ม้ง/แม้วดำ บ้านขุนสถาน อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน 

Study Period (Data Collection)

เก็บข้อมูลระหว่าง 25 มีนาคม – 12เมษายน พ.ศ.2509และ 17เมษายน – 10พฤษภาคม พ.ศ.2509

History of the Group and Community

          แม้วบ้านขุนสถานอพยพมาจากประเทศลาวข้ามมายังบริเวณอำเภอเชียงของ แล้วอพยพลงมาทางใต้ ตอนแรกอาศัยอยู่บริเวณขุนน้ำงาวหรือต้นน้ำงาว ต่อมาย้ายมาอยู่บริเวณขุนน้ำลี้แล้วจึงย้ายมาอยู่ที่ขุนสถานหรือต้นน้ำของห้วยสถาน ระยะที่อยู่ในบริเวณขุนสถานนี้ ได้เคลื่อนย้ายกลับไกลับมาตามสันปันน้ำของแม่น้ำยมกับแม่น้ำน่านหลายครั้ง  ผู้เขียนสันนิษฐานว่าอาศัยอยู่ในบริเวณขุนสถานมาประมาณ 40-50ปี (น.23-24)

Settlement Pattern

          ลักษณะบ้านเรือนของแม้วบ้านขุนสถานเหมือนกับบ้านคนจีนที่ทำสวนผักแถวชานกรุง เป็นบ้านชั้นเดียวติดพื้นดิน หลังคามุงด้วยใบปาล์มชนิดหนึ่งเรียกว่า “ก้อ” ฝาเรือนมีทั้งที่ใช้ไม้กระดาน ใช้ฟาก (ไม้ไผ่สับแผ่ออกเป็นแผ่น) แต่ส่วนมากใช้ใบก้อเช่นเดียวกับหลังคา บ้านส่วนใหญ่ไม่มีหน้าต่าง ตรงกลางหมู่บ้านมีโม่หินขนาดใหญ่ตั้งอยู่สำหรับให้ชาวบ้านใช้โม่แป้งข้าวโพด ข้างล่างลงไปมีบ่อน้ำสองบ่อมีหินก่อคร่อมบ่อ (ภาคผนวก ข. ,น.9-10)

Demography

          ประชากรบ้านแม้วขุนสถานมี 53หลังคาเรือน จำนวนประชากรระหว่างเดือนมีนาคม-พฤษภาคม พ.ศ.2509 มี  564คน เป็นคนในตระกูลหรือแสนโซ้ง 40%ของจำนวนประชากรทั้งหมด รองลงมาเป็นคนในแสนยั้งประมาณ 20%แสนเฮ้อประมาณ 14%แสนห่างประมาณ 12%  และแสนกือประมาณ 5% (น.22)

Economy

          การเพาะปลูก  แม้วใช้ที่ดินเพาะปลูกประมาณ 3-5ปี เมื่อดินเสื่อมความอุดมสมบูรณ์ก็จะละทิ้งที่ดินไม่ปลูกพืช ย้ายไปถางป่าแห่งใหม่สำหรับเพาะปลูก(น.7) แม้วบ้านขุนสถานทุกครอบครัวจะมีไร่อย่างน้อยหนึ่งแห่ง อยู่ห่างจากหมู่บ้านอย่างน้อย 2กิโลเมตร ไร่ของบางคนอาจจะห่างจากหมู่บ้านถึง 10กิโลเมตร ช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนชาวบ้านจะเริ่มถางป่าโค่นต้นไม้แล้วปล่อยให้แดดเผาจนแห้งจึงเผาไฟ ประมาณเดือนพฤษภาคม-มิถุนายนเมื่อฝนเริ่มตกก็จะปลูกพืชโดยปลูกข้าวเป็นพืชหลัก นอกจากนั้นก็ปลูกข้าวโพด ข้าวฝ่าง มันเทศ มันสำปะหลัง และผักต่างๆ เช่น ฟักแฟง แตงโม ผักกาด ผักกะหล่ำ (น.26)
          การแลกเปลี่ยนสินค้า  เมื่อแม้วบ้านขุนสถานต้องการสินค้าจากคนไทยพวกเขาจะนำสิ่งของที่มีอยู่มาแลกกับพ่อค้าในจังหวัดแพร่ แม้วบางคนนำของป่า เช่น หนังสัตว์ กล้วยไม้ น้ำผึ้ง หวาย ผลไม้ป่า มาแลก สินค้าที่แม้วต้องการได้แก่ เกลือ ถ่านไฟฉาย น้ำมันเบนซินสำหรับใส่ไม้ขีดไฟ น้ำมันก๊าด ผ้าด้าย ตะกั่วดินปะสิว (น.27)

Social Organization

          ครอบครัวเครือญาติ  ผู้เขียนกล่าวว่าคำว่า “แสน”ในสังคมแม้วแสดงถึงความเป็นญาติ แม้วถือว่าคนที่เป็นสมาชิกหรืออยู่ในแสนเดียวกันนับถือผีเรือนข้างพ่อร่วมกันเป็นญาติกัน แม้วเรียกญาติพี่น้องข้างพ่อว่า“กือตี้”ถือว่าเป็นคนในแสนเดียวกัน ส่วนญาติพี่น้องข้างแม่เรียกว่า“เหน้งจัง”เป็นคนในแสนอื่น ทั้งนี้ในแต่ละแสนจะมีกลุ่มผู้อาวุโสเรียกว่า “น่าจือเหว่าฮูเจ” ดูแลสมาชิกในแสน สำหรับครอบครัวหนึ่งๆจะมีผู้ชายที่อาวุโสสุดเป็นเป็นผู้นำครอบครัว  บุตรชายที่แต่งงานแล้วจะอยู่เรือนพ่อแม่จนเมื่อพ่อแม่เสียชีวิต บุตรชายคนรองจึงจะแยกครอบครัวไปปลูกเรือนของตน ส่วนบุตรชายคนโตจะอยู่เรือนเดิมของพ่อแม่ (น.23,37-38)
          การแต่งงาน แม้วห้ามคนในแสนเดียวกันแต่งงานกัน ผู้ชายแม้วมีภรรยาได้หลายคน ภรรยาทุกคนมีฐานะเท่ากัน พ่อฝ่ายชายจะเจรจาสู่ขอและตกลงค่าสินสอดกับพ่อฝายผู้หญิง เมื่อตกลงกันได้จึงจัดพิธีแต่ง การแต่งงานจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายจ่ายค่าสินสอดให้พ่อแม่ฝ่ายหญิงพร้อมทั้งทำพิธีกรรมตามประเพณี นอกจากการสู่ขอแล้ว การลักพาผู้หญิงหนีไปแล้วพากันกลับมาขอขมาและจ่ายค่าสินสอดให้ฝ่ายหญิงก็เป็นประเพณีการแต่งงานอีกแบบหนึ่งที่ปฏิบัติในสังคมแม้ว หลังแต่งงานฝ่ายชายจะพาภรรยาไปอยู่เรือนพ่อแม่ของตน  ผู้ชายจะหย่าร้างกับภรรยาได้ในกรณีที่ภรรยาเกียจคร้านไม่เชื่อฟังสามี และในกรณีที่จับได้ว่าภรรยามีชู้   (น.43-44, 62-63)
          การแบ่งมรดก  ในกรณีที่ผู้ชายมีภรรยาคนเดียว ทรัพย์สมบัติทั้งหมดตกเป็นของภรรยา ลูกสาวที่ยังไม่แต่งงานและลูกชายทุกคนต้องอยู่กับมารดาต่อไปยังแยกเรือนไม่ได้ ต่อมาเมื่อมารดาตาย ทรัพย์สมบัติจะแบ่งให้บุตรคนละเท่าๆกัน ยกเว้นลูกสาวที่แต่งงานแล้วไม่มีสิทธิในมรดก  แต่ถ้าคู่สมรสไม่มีบุตร ทรัพย์สมบัติจะตกเป็นของพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกับฝ่ายชาย โดยแบ่งคนละเท่าๆกัน 
          ในกรณีที่ผู้ชายมีภรรยาหลายคน ทรัพย์สมบัติจะแบ่งให้ภรรยาทุกคนเท่าๆกัน ถ้าภรรยาคนใดเสียชีวิตก่อนสามี บุตรของภรรยาคนนั้นจะมีสิทธิในทรัพย์สินส่วนของมารดาตน  และในครอบครัวที่มีภรรยาหลายคน เมื่อหัวหน้าครอบครัวเสียชีวิต ภรรยาแต่ละคนจะพาบุตรคนแรกไปตั้งเรือนใหม่ ส่วนเรือนหลังเดิมเป็นของมารดาของบุตรชายที่มีอายุสูงสุด (น.64)

Political Organization

          หัวหน้าหมู่บ้าน  มีคำในภาษาแม้วสองคำที่ใช้เรียกหัวหน้าหมู่บ้าน คำแรก “”โหล่วย่าว”ใช้เรียกหัวหน้าหมู่บ้านที่ได้รับเลือกจากที่ประชุมของหมู่บ้านหรือ”จือเป้เส่งชั่วเต่อ” คำที่สอง ส่วนอีกหนึ่งคำคือ “ตุ๊เฮ่าเหย่า”เป็นคำที่ใช้เรียกผู้นำหมู่บ้านที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ใหญ่บ้านตามกฎหมายลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ.2457  ผู้เขียนกล่าวถึงการเลือก ”โหล่วย่าว” ว่า ที่ประชุมจะเลือก”ตั้วเหน่งโหล่ว”หรือผู้อาวุโสคนหนึ่งเป็นประธานการประชุม ซึ่งมักจะเป็นผู้อาวุโสในแสนที่มีสมาชิกมากที่สุดในหมู่บ้าน ในการออกเสียงเลือกหัวหน้าหมู่บ้านนั้น สมาชิกในแสนเดียวกันจะออกเสียงตามกลุ่มผู้อาวุโสของแสน และโดยทั่วๆไป บุตรชายของหัวหน้าหมู่บ้านคนก่อนมักจะได้รับเลือกเพราะหัวหน้าคนก่อนมักมาจากแสนที่มีสมาชิกจำนวนมากของหมู่บ้าน ในการปกครองหมู่บ้าน หัวหน้าหมู่บ้านจะมีกลุ่มผู้อาวุโสหรือน่าจือเหว่าฮูเจเป็นที่ปรึกษา(น.45-51)
          น่าจือเหว่าฮูเจ  คือ กลุ่มผู้ชายที่มีอายุสูงสุดของแต่ละแสน ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของหัวหน้าหมู่บ้าน มีอิทธิพลและมีบทบาทสำคัญในการประชุมหมู่บ้าน ทั้งยังทำหน้าที่ตัดสินกรณีความขัดแย้งระหว่างสมาชิกภายในแสนของตนด้วย (น.62) 
          การตัดสินข้อพิพาทความขัดแย้ง แม้วจะมีกลุ่มหรือคณะผู้ตัดสินตามกรณีที่เกิดเหตุการณ์ กล่าวคือ ในกรณีที่เป็นข้อพิพาทระหว่างคนในแสนเดียวกัน การพิจารณาตัดสินความแย้งเป็นหน้าที่ของ“น่าจือเหว่าฮูเจ”หรือกลุ่มผู้อาวุโสในแสน หัวหน้าหมู่บ้านจะไม่เข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ถ้าเป็นข้อพิพาทขัดแย้งระหว่างคนต่างแสน การตัดสินข้อพิพาทเป็นหน้าที่ของ“โหล่วตัวเหน่งซาโปล้ว”หรือคณะกรรมการตัดสิน ซึ่งมีหัวหน้าหมู่บ้านเป็นประธาน  ส่วนกรรมการได้รับการแต่งตั้งจากหัวหน้าหมู่บ้าน ซึ่งจะเป็นใครก็ได้ ยกเว้นคนในแสนเดียวกับคู่กรณี ปกติมักเป็น“ปั้วกะโหล่ว”หรือผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้าน และไม่จำกัดจำนวนกรรมการ หรือคู่กรณีจะเลือกกรรมการตัดสินเองก็ได้ โดยแต่ละฝ่ายต้องเลือกจำนวนเท่ากัน และเลือกคนในแสนเดียวกับตนไม่ได้ แต่สามารถเลือกคนในแสนเดียวกับอีกฝ่ายหนึ่งได้(น.56-61)    

Belief System

          การนับถือผีตามความเชื่อของแม้ว ผีมีหลายระดับ ได้แก่ ผีฟ้าซึ่งเรียกว่า “ตรั้งคู้” ถือว่ามีฐานะมีอำนาจสูงสุด เป็นผู้สร้างสรรพสิ่งในจักรวาล  ผีหมู่บ้านซึ่งเรียกว่า “ดรงเช้ง”มีฐานะอำนาจรองลงมา ทำหน้าที่ปกป้องดูแลหมู่บ้าน ต่อจากนั้นเป็นผีเรือนหรือผีบรรพบุรุษซึ่งเรียกว่า “ตรั้งครัวฮูเจ” ที่คอยปกป้องดูแลสมาชิกในครอบครัว นอกจากนี้ก็มีผีอีกกลุ่มหนึ่งที่ทำหน้าที่ดูแลสิ่งต่างๆ ที่ผีฟ้าสร้าง ได้แก่ ผีไร่ ผีน้ำ เป็นต้น (น.29-30)

Health and Medicine

          สุขอนามัย  ผู้เขียนเห็นว่าสภาพความเป็นอยู่ของแม้วบ้านขุนสถานไม่ถูกสุขลักษณะ บ้านทุกหลังคาเรือนพื้นบ้านเป็นดิน มีแคร่สูงประมาณ 50เซนติเมตรเป็นที่นอนอากาศในบ้านมีกลิ่นอับและทึบเพราะไม่มีหน้าต่าง  ไม่มีส้วมใช้ ส่วนความสะอาดของร่างกายผู้เขียนกล่าวว่าแม้วไม่นิยมการอาบน้ำ (น.31-32)
          การรักษาอาการเจ็บป่วย  ใช้ยากลางบ้านและเซ่นไหว้ผีโดยเริ่มจากไหว้ผีเรือนก่อน ถ้าไม่หายก็ไหว้ผีหมู่บ้านเป็นลำดับต่อไป  และถ้าอาการยังไม่หายก็จะไปหาคนทรงให้ทำพิธีทรงแล้วไหว้ผีฟ้า (น.33)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

          แม้วในประเทศไทยจำแนกได้ 3กลุ่มย่อยโดยพิจารณาจากการแต่งกายและการเรียกชื่อกลุ่มตนเอง ได้แก่ ฮ-โม้ง น-จือ(H’Moong Njua)หรือแม้วดำ ฮ-โม้ง ดิว(H’Moong Deaw)หรือแม้วขาว และ ฮ-โม้ง กัว ม-บ้า(H’Moong Gua M-ba)กลุ่มนี้มีอยู่เพียง 2หมู่บ้าน จำนวนประมาณ 200คน (น.15)

Other Issues

          ผู้เขียนเห็นว่า การปกครองในระดับชุมชนของแม้วมีลักษณะเป็นประชาธิปไตย เนื่องจาก 1. มีการเลือกตั้งโดยเสรี แม้ว่าจะต้องเป็นไปตามความเห็นของกลุ่มผู้อาวุโสในแสน แต่เมื่อเปรียบเทียบกับการเมืองระบบพรรคในระบอบประชาธิปไตย ความเห็นของกลุ่มผู้อาวุโสในแสนก็คือความเห็นของบรรดาผู้นำพรรคการเมือง ซึ่งสมาชิกในพรรคมักจะเชื่อฟังและปฏิบัติตาม 2.ประชากรแม้วทุกคนมีสิทธิคัดค้านการใช้อำนาจของหัวหน้าหมู่บ้านโดยผ่านแสนของตน  3.การปกครองของแม้วเป็นไปตามหลักปกครองโดยกฎหมายในรูปจารีตประเพณี 4.ชาวแม้วทุกคนมีสิทธิเข้าร่วมประชุมและแสดงความคิดที่เกี่ยวกับการปกครองและกิจกรรมที่เกี่ยวกับผลประโยชน์ของพวกเขาได้ และ 5.ลักษณะการปกครองของแม้วเป็นการปกครองโดยคนกลุ่มใหญ่และคำนึงถึงสิทธิของคนกลุ่มน้อย แสนใดคุมเสียงส่วนมากในที่ประชุมหมู่บ้าน ก็เป็นผู้ใช้อำนาจในการปกครอง อย่างไรก็ตาม การปกครองของแม้วก็ยังมีลักษณะบางประการที่ไม่เป็นประชาธิปไตย เช่น การจำกัดสิทธิสตรี การที่กลุ่มผู้อาวุโสในแสนมีอำนาจมากทำให้สิทธิในการออกเสียงของสมาชิกในแสนคนอื่นๆลดน้อยลง  (น.65-68)  

Map/Illustration

รูปที่ 1ทิวทัศน์หมู่บ้านแม้วบ้านขุนสถาน                                               หน้า  IV 
รูปที่ 2 หญิงชราชาวแม้ว                                                                       หน้า (4)
รูปที่ 3ชายชราชาวแม้ว                                                                       หน้า (4)
รูปที่ 4หญิงสาวชาวแม้ว                                                                        หน้า (4)
รูปที่ 5เด็กหญิง ผู้หญิงชาวแม้ว                                                              หน้า (4)
รูปที่ 6สมาชิกของครอบครัวใหญ่ครอบครัวหนึ่ง                                         หน้า (5)
รูปที่ 7การไหว้ผีบรรพบุรุษ                                                                    หน้า (5)
รูปที่ 8เด็กผู้ชายชาวแม้ว                                                                       หน้า (5)
รูปที่ 9นักเรียนแม้วที่หน้าโรงเรียน ชด. บำรุง 50                                         หน้า (5)
รูปที่ 10นักเรียนดูการสตาฟนก                                                               หน้า (6)
รูปที่ 11หัวหน้าหมู่บ้านกับผู้เขียน                                                            หน้า (6)
รูปที่ 12หญิงชรากลับจากไร่                                                                   หน้า (6)
รูปที่ 13เด็กๆชาวแม้ว                                                                            หน้า (6)
ตารางที่ 1แสดงจำนวนหมู่บ้านและประชากรแม้ว                                         หน้า 18
ตารางที่ 2แสดงรายได้เฉลี่ยต่อครอบครัวในหนึ่งปีและที่มาของรายได้              หน้า 19
แผนภูมิที่ 1แผนที่แสดงที่ตั้งของชาวเขาเผ่าแม้ว                                          หน้า III
แผนภูมิที่ 2แสดงความสูงของหมู่บ้านชาวเขาเผ่าต่างๆ                                   หน้า 17
แผนภูมิที่ 3แสดงความสัมพันธ์ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อแม้ว                    หน้า 30
แผนภูมิที่ 4แสดงถึงกระบวนการรักษาความยุติธรรมระหว่างคนต่างแสน            หน้า 57
แผนภูมิที่ 5แสดงถึงกระบวนการรักษาความยุติธรรมระหว่างคนแสนเดียวกัน       หน้า 61

Text Analyst อธิตา สุนทโรทก Date of Report 21 เม.ย 2559
TAG ม้ง, แม้ว, สังคม, การปกครอง, การใช้อำนาจ, สถาบันผู้นำ, จังหวัดน่าน, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง