|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลาหู่ การเปลี่ยนแปลงทางสังคม การอพยพข้ามถิ่น(translocal migration) เครือข่ายหมู่บ้านข้ามถิ่น เชียงใหม่ ประเทศไทย |
Author |
Tan Brian Aik Lye |
Title |
Translocal Village Networks: A Study of the Lahu People in Northern Thailand. |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
ลาหู่ ลาหู่ ละหู่ ลาฮู,
|
Language and Linguistic Affiliations |
- |
Location of
Documents |
|
Total Pages |
145 หน้า |
Year |
2551 |
Source |
|
Abstract |
การศึกษานี้สำรวจเครือข่ายหมู่บ้านข้ามถิ่น (translocal village network) ของคนลาหู่ในภาคเหนือของไทย ผู้เขียนได้นำแนวความคิดเรื่องการข้ามถิ่น (translocalities มาปรับใช้ในการศึกษาหมู่บ้านข้ามถิ่น 4แห่งได้แก่ หมู่บ้านสันติ หมู่บ้านพญากองดี หมู่บ้านดอกแดงและหมู่บ้านปาทุนิเวศน์ ผู้เขียนเห็นว่าความนึกคิดข้ามถิ่น (translocal imageries )ถูกสร้างจากความหวังความปรารถนาของพ่อแม่ การเข้ามาของสถาบัน/องค์กรต่างประเทศและการขยายตัวเข้าสู่การศึกษาของเด็กๆ ปัจจัยทั้งสามประการนี้ได้ถักทอเข้าด้วยกันซึ่งแสดงให้เห็นถึงความนึกคิดข้ามถิ่นที่ข้ามพ้นพรมแดนของชีวิตหมู่บ้านนำไปสู่การให้ทรัพยากรและการเชื่อมโยงทางโครงสร้างที่ประกอบด้วยสถาบัน/องค์กรข้ามชาติและข้ามถิ่นอื่นๆ และเช่นเดียวกันกับที่อิทธิพลของครูและการเรียนภาษาไทยช่วยลดกำแพงกั้นการเข้าสู่ศูนย์กลางเมือง ดังนั้นหมู่บ้านข้ามถิ่นจึงไม่ได้ถูกแยกโดดเดี่ยวจากการเชื่อมโยงภายนอก แต่ได้เกี่ยวพันกับจุดต่ออื่นๆ (nodes) ด้วยการเชื่อมกับเครือข่ายข้ามถิ่น
ผู้เขียนได้สำรวจแก่นสำคัญของการบำรุงรักษากระแสข้ามถิ่นและเครือข่ายในรูปของการส่งเงินกลับไปหมู่บ้านและการติดต่อสื่อสารข้ามถิ่นระหว่างพ่อแม่กับเด็กๆที่อพยพ และพบว่าเงินส่งกลับนี้มีประโยชน์ทั้งต่อครอบครัว หมู่บ้านและรวมถึงเพื่อนบ้าน ทำให้ครอบครัวและชุมชนมีความมั่นคงและเสถียรภาพทางรายได้จากเด็กที่อพยพ ส่วนการติดต่อสื่อสารข้ามถิ่นระหว่างพ่อแม่กับเด็กที่กระทำสม่ำเสมอเป็นช่องทางการส่งถ่ายการดูแลและการใกล้ชิดกัน เทคโนโลยีของการเดินทางและการสื่อสารทำให้สามารถรักษาความผูกพันทางสังคมและความสัมพันธ์ข้ามพื้นที่ (relationships across space) ซึ่งเห็นได้จากการดูแลและความใกล้ชิดในรูปแบบใหม่ที่พ่อแม่กระทำผ่านเทคโนโลยีการสื่อสาร ซึ่งก็อาจจะยังไม่เพียงพอที่จะรักษาความผูกพันพ่อแม่-ลูกให้เข้มแข็ง การกลับมาเยี่ยมบ้านจึงมีความสำคัญในการสร้างและทำให้ความสัมพันธ์สดชื่นมีชีวิตชีวา
ผู้เขียนเห็นว่า แม้การเชื่อมต่อข้ามถิ่นจะสำคัญเพิ่มมากขึ้น แต่หมู่บ้านข้ามถิ่นยังคงเก็บรักษาดูแลส่วนที่เป็นอดีตและวิถีชีวิตแต่ก่อนเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและเสถียรภาพให้แก่ชีวิตครอบครัวและชุมชน ความโหยหาและความทรงจำถูกสร้างโดยการดูแลรักษาสถานที่พิเศษ เช่น ห้องของเด็กที่อพยพไม่อยู่บ้าน พ่อแม่ที่อยู่ข้างหลังยอมรับความสัมพันธ์รูปแบบนี้เพื่อให้อารมณ์ความรู้สึกเกิดความมั่นคงมีเสถียรภาพเพื่อจะได้สืบทอดท้องถิ่นไว้ต่อไป หมู่บ้านท้องถิ่นเป็นผลผลิตของการเดินทางและการปฏิสัมพันธ์กันระหว่างอิทธิพลข้ามถิ่นกับพลังอำนาจท้องถิ่น การสืบทอดท้องถิ่นต่อไปทำให้เข้าใจในสิ่งที่ท้องถิ่นเป็น (น.vii-viii) |
|
Focus |
สนใจศึกษาบทบาทเชิงการกระทำ(active roles)ในการดำรงรักษาการเชื่อมโยงข้ามถิ่นกับเด็กๆที่อพยพไปนอกหมู่บ้านและในการสืบสร้างชีวิตชุมชนและครอบครัวท้องถิ่นต่อไป (น.4) ในการศึกษานี้ผู้เขียนเน้นกระบวนการอพยพและคนที่อยู่ข้างหลัง(the left behind)ของคนลาหู่ในภาคเหนือของไทย (น.33) โดยมองว่าพ่อแม่ของเด็กๆที่อพยพไปทำงานหรือเรียนนอกหมู่บ้านเกี่ยวข้องกับกระบวนการอพยพออกนอกหมู่บ้านทุกขั้นตอน พวกเขาเริ่มยอมรับอิทธิพลที่ไม่ใช่ท้องถิ่น และจากการเชื่อมต่อข้ามถิ่นที่สำคัญ พวกเขาเป็นตัวกระทำที่สำคัญของการเปลี่ยนแปลง นั่นคือ เป็นผู้แปล (translate) ผลกระทบข้ามถิ่นและทรัพยากรมาเป็นการจัดรูป(shaping)และการสืบสร้างท้องถิ่นต่อไป (reproducing) (น.4-5) |
|
Theoretical Issues |
ผู้เขียนเห็นว่า การทำความเข้าใจหมู่บ้านและวิถีชีวิตของคนลาหู่ที่กำลังเปลี่ยนแปลงอยู่ในบริบทปัจจุบันนั้นไม่สามารถใช้วิธีการแบบเดิมได้ จึงได้ใช้แนวความคิดของแอพพาดูไร (Appadurai:1991)เรื่อง“การข้ามถิ่น” (translocalities) ซึ่งมองการข้ามถิ่นว่าเป็นสถานที่ (places) ที่เกี่ยวโยงกับสถานที่แห่งอื่นๆที่แตกต่างหลากหลายผ่านความสัมพันธ์ เช่น การแต่งงาน การทำงาน และธุรกิจ ซึ่งความสัมพันธ์เหล่านี้ไม่จำเป็นต้องผูกติดกับสถานที่ นอกจากนั้นแนวความคิด “การข้ามถิ่น” ยังเน้นที่ความสัมพันธ์ทางครอบครัว สังคมและวัตถุสิ่งของในชีวิตประจำวันที่เกี่ยวโยงกับสถานที่ (น.5) ในการศึกษาผู้เขียนเห็นว่าความนึกคิดข้ามถิ่น (translocal imageries)เกิดจากความหวังความปรารถนาของพ่อแม่ การเข้ามาของสถาบัน/องค์กรต่างประเทศและการขยายตัวเข้าสู่การศึกษาของเด็กๆ ปัจจัยทั้งสามประการนี้ได้ถักทอเข้าด้วยกันซึ่งแสดงให้เห็นถึงความนึกคิดข้ามถิ่นที่ข้ามพ้นพรมแดนของชีวิตหมู่บ้านนำไปสู่การให้ทรัพยากรและการเชื่อมโยงทางโครงสร้างที่ประกอบด้วยสถาบัน/องค์กรข้ามชาติและข้ามถิ่นอื่นๆ และเช่นเดียวกันกับที่อิทธิพลของครูและการเรียนภาษาไทยช่วยลดกำแพงกั้นการเข้าสู่ศูนย์กลางเมือง ดังนั้นหมู่บ้านข้ามถิ่นจึงไม่ได้ถูกแยกโดดเดี่ยวจากการเชื่อมโยงภายนอก แต่ได้เกี่ยวพันกับจุดต่ออื่นๆ(nodes)ด้วยการเชื่อมกับเครือข่ายข้ามถิ่น (น.140)
ผู้เขียนสรุปว่าในบริบทของหมู่บ้านที่อยู่ข้างหลังมีกระบวนการอพยพเคลื่อนย้ายระหว่างชนบท-เมืองที่ซับซ้อน หมู่บ้านข้ามถิ่น (translocal village) จึงเป็นวิธีการเชิงทฤษฎีแบบใหม่ที่เปลี่ยนชุดความคิด/กระบวนทัศน์ในการศึกษาการอพยพจากความสนใจผู้อพยพไปสู่ชุมชนที่อยู่ข้างหลัง (the left behind community) แนวคิดนี้ทำให้ไม่วิเคราะห์ “หมู่บ้านที่ส่งผู้อพยพ” (the “sending village”) ในแง่สังคมข้างหลังที่ถูกโดดเดี่ยว แต่เป็นการวิเคราะห์หมู่บ้านในฐานะเป็นภาพที่ “ถูกประกอบสร้างทางสังคม” (“a social construct”) ซึ่งรวมความหมายของท้องถิ่นเข้ากับการพัฒนาของเครือข่ายข้ามถิ่น ผู้เขียนกล่าวว่าการวิเคราะห์เช่นนี้ช่วยให้เข้าถึงลักษณะประจำวันของชีวิตหมู่บ้านในอันที่จะเข้าใจวิธีการผลิตซ้ำ (reproduce) ภาพสร้างของหมู่บ้าน (น.143-144) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ลาหู่ในจังหวัดเชียงใหม่ 4หมู่บ้าน คือ หมู่บ้านสันติ (Santi village) หมู่บ้านพญากองดี(Phayakorngdee village) หมู่บ้านปาทุนิเวศน์ (Pathuniwet village) และหมู่บ้านดอกแดง (Dok Daeng village) หมู่บ้านทั้งสี่นี้อยู่ตามแนวทางหลวงหมายเลข 118ระหว่างเชียงใหม่-เชียงราย(น.50) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
คนลาหู่ในประเทศไทยพูดภาษาถิ่นลาหู่ต่างกันแบ่งได้ 2กลุ่มใหญ่ คือ ภาษาลาหู่นะ (Lahu Na) และลาหู่ซิ (Lahu Shi) ทั้งนี้ภาษาถิ่นของลาหู่นะใช้พูดกันกว้างขวางและเป็น “ภาษากลางในการติดต่อ” (“the lingua franca”)ของคนลาหู่ (น.47)
คำว่า “ลาหู่”(Lahu) หมายถึง ล่าสัตว์และกินเสือ ในภาษาลาหู่ คำว่า”ลา” หมายถึง เสือ แต่คนพม่าและคนไทยใช้คำ “มูเซอ” (Mussur) ซึ่งหมายถึง นายพราน เรียกคนลาหู่ (น.49) |
|
Study Period (Data Collection) |
ค.ศ.2002-2007 (น.ii) โดยก่อนการศึกษาชิ้นนี้ ผู้เขียนได้เก็บข้อมูลที่บ้านสันติและบ้านพญากองดีสำหรับทำวิทยานิพนธ์(an Honours Thesis) และหลังจากนั้นก็ได้เข้าไปในพื้นที่และพักในหมู่บ้านเป็นครั้งคราวในฐานะคณะคริสต์จักรสิงคโปร์(a Singapore Church team)และสำหรับการศึกษานี้ผู้เขียนอยู่ในพื้นที่เกือบ 2เดือน (น.67) |
|
History of the Group and Community |
บ้านสันติ หมู่บ้านเพิ่งตั้งได้ 12ปี หัวหน้าหมู่บ้านพาครอบครัวและญาติแยกออกมาตั้งหมู่บ้านนี้เนื่องจากขัดแย้งกับคนในหมู่บ้านเดิม ต่อมาก็มีคนอื่นๆย้ายเข้ามาอยู่เพิ่ม ในช่วง 2-3ปีแรกมีหมอสอนศาสนาคริสต์เข้ามาพักและทำงานกับหมู่บ้าน หลังจากนั้นระยะหนึ่ง ก็มีคณะมิชชันนารีจากสิงคโปร์เข้ามาร่วมกับหมอสอนศาสนาทำกิจกรรมพัฒนา ได้แก่ การสร้างถังเก็บน้ำให้หมู่บ้าน(น.51-53) ทั้งนี้หมู่บ้านสันติเป็นหมู่บ้านแรกที่องค์กรคริสตจักรสิงคโปร์เข้ามาทำงานพัฒนา(น.94)
บ้านพญากองดี หมู่บ้านแห่งนี้ตั้งมาหลายปีแล้ว(น.57) |
|
Demography |
จำนวนประชากร บ้านสันติมี 27ครัวเรือน เป็นคนไทย 1ครัวเรือน ลาหู่ญีหรือลาหู่แดง 23ครัวเรือน และลาหู่นะหรือลาหู่ดำ 2ครัวเรือน อายุของประชากรส่วนมากต่ำกว่า 30ปี ประชากรโดยทั่วไปไม่รู้หนังสือ ยกเว้นคนที่เรียนชั้นประถมและผู้ใหญ่ที่อายุน้อยกับเด็กๆที่มีโอกาสไปโรงเรียน (น.53)
บ้านพญากองดี อายุของประชากรในหมู่บ้านต่ำกว่า 40ปี ประชากรส่วนใหญ่เป็นลาหู่ญีหรือลาหู่แดง นอกนั้นเป็นลาหู่นะหรือลาหู่ดำ และคนไทย (น.56-57)
บ้านปาทุนิเวศน์ จำนวนครัวเรือนมีมากกว่า 200ครัวเรือน ประกอบด้วยคนลาหู่ คนไทยและคนบนพื้นที่สูงอื่น ประชากรส่วนใหญ่ยากจน (น.60-61)
บ้านดอกแดง มีจำนวนครัวเรือนมากกว่า 100ครัวเรือน ส่วนใหญ่เป็นคนลาหู่ ซึ่งในจำนวนนี้ส่วนมากนับถือศาสนาคริสต์ (น.61)
การอพยพนอกหมู่บ้าน ผู้เขียนกล่าวว่า แต่ก่อนการอพยพของชาวบ้านในหมู่บ้านทั้งสี่จะไม่ไกลเกินอาณาบริเวณพื้นที่รอบหมู่บ้าน และไม่ใช่เหตุผลทางการศึกษา อย่างน้อยก็ที่หมู่บ้านสันติและพญากองดีไม่มีคนรุ่นพ่อแม่คนใดอพยพเพื่อไปเรียนหนังสือ แต่ปัจจุบันการอพยพข้ามถิ่น(translocal migration)ของประชากรในหมู่บ้านมีเพิ่มขึ้น และเมื่อ 2-3ปีก่อนองค์กรคริสต์ศาสนาได้เช้ามาหมู่บ้านทำงานพัฒนาและให้ทุนการศึกษาแก่เด็กๆ ทำให้การมีการอพยพเพื่อการศึกษาสูงขึ้น (น.94) |
|
Economy |
การเพาะปลูก ผู้เขียนกล่าวว่า นโยบายของรัฐและจำนวนประชากรในชุมชนที่เพิ่มขึ้นทำให้ปัจจุบันลาหู่หันมาเพาะปลูกบนที่ดินผืนเดิม (a sedentary form of agriculture) แทนการเพาะปลูกดั้งเดิมแบบถางเผา (swidden agriculture) พืชที่ปลูกได้แก่ ข้าวไร่ ข้าวโพด ข้าวฝ่าง และถั่ว ในการเพาะปลูกแบบเดิมนั้นชาวบ้านเลี้ยงสัตว์ ล่าสัตว์และเก็บหาของป่าในบริเวณพื้นที่รอบหมู่บ้านด้วย แต่ปัจจุบัน ผลกระทบของตลาดและความยากจน ทำให้ผู้ชายลาหู่เดินทางเข้าไปในเมืองเพื่อทำงาน (น.49) ปัจจุบันหมู่บ้านที่ศึกษาทั้งสี่แห่งมีการเพาะปลูกดังนี้
หมู่บ้านสันติ ชาวบ้านปลูกข้าวไร่ ข้าวโพดถั่วแดง เลี้ยงวัวและหมู และช่วงนอกฤดูการเพาะปลูกชาวบ้านบางคนจะไปหางานทำ(น.53) หมู่บ้านพญากองดีชาวบ้านส่วนใหญ่ปลูกข้าวไร่ ข้าวโพดเป็นหลัก และปลูกผักแปลงเล็ก รวมทั้งเลี้ยงวัวควายและหมู (น.57) หมู่บ้านปาทุนิเวศน์และหมู่บ้านดอกแดง ชาวบ้านปลูกข้าวไร่และข้าวโพดเป็นหลัก และปลูกข้าวนาลุ่มด้วย ทำสวนผลไม้ และเลี้ยงสัตว์ ผลผลิตที่ได้มีทั้งเก็บไว้บริโภคและนำไปขายในตลาดที่เชียงใหม่หรือดอยสะเก็ด(น.62)
รายได้จากการทำงานอื่นๆ นอกจากเพาะปลูกแล้ว ชาวบ้านมีกิจกรรมอื่นๆที่เป็นรายได้ ดังนี้ ที่หมู่บ้านสันติ นอกจากรายได้จากการทำงานนอกฤดูเพาะปลูกแล้ว ชาวบ้านยังมีรายได้จากการขายสินค้าหัตถกรรมประมาณ 2,000-4,000บาทต่อครัวเรือน(น.54) ขณะที่หมู่บ้านพญากองดีชาวบ้านที่ไม่ได้เพาะปลูกจะไปทำงานในโรงเรียนใกล้หมู่บ้าน หรือไปทำงานในตัวเมืองของตำบล เช่น ทำงานขายผลผลิตในไร่ ทำงานรับจ้างอุตสาหกรรมก่อสร้าง (น.57) ส่วนหมู่บ้านปาทุนิเวศน์และหมู่บ้านดอกแดง ชาวบ้านทำงานหลากหลายมีทั้งทำงานก่อสร้าง ทำธุรกิจเล็กๆขายของอาหารและใช้ประจำวัน ทั้งนี้ผู้เขียนบ้านปาทุนิเวศน์และบ้านดอกแดงมีฐานะทางเศรษฐกิจดีกว่าบ้านสันติและพญากองดี ชาวบ้านปาทุนิเวศน์และบ้านดอกแดงส่วนมากมีโทรทัศน์และตู้เย็น เดินทางเข้าไปในตัวเมืองเชียงใหม่อย่างน้อย 2-3เดือนต่อครั้ง และเข้าไปในตัวเมืองตำบลดอยสะเก็ดอย่างน้อยเดือนละครั้ง (น.62-63)
เงินที่ส่งกลับบ้าน (remittance) เป็นเงินที่ลูกๆที่ออกไปทำงานในเมืองส่งกลับไปให้พ่อแม่ เป็นรายได้สำหรับครอบครัวซื้อสิ่งของที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน ปุ๋ย อาหารสัตว์ และเก็บไว้ใช้ในยามขาดแคลนตอนราคาพืชผลตกต่ำ เก็บเกี่ยวไม่ได้ผล และพ่อแม่ยังนำเงินนี้ไปให้เพื่อนบ้านที่ขาดแคลนยืมด้วย นอกจากครอบครัวแล้ว เงินนี้ยังนำไปใช้พัฒนาหมู่บ้านด้วย เช่น ในปี ค.ศ.2006 โบสถ์คริสต์ในหมู่บ้านสันติได้ริเริ่มโครงการสร้างถังเก็บน้ำขึ้น ชาวบ้านได้ร่วมกิจกรรมการพัฒนาพร้อมทั้งช่วยกันบริจาคเงินก่อสร้างด้วยโดยใช้เงินที่ส่งกลับบ้าน จำนวนเงินที่ส่งกลับบ้านนี้มีตั้งแต่ 100บาทถึง 2,000บาทต่อเดือน การส่งเงินไม่ได้ส่งทุกเดือน บางคนรวบรวมเป็นเงินก้อนแล้วจึงส่งให้ บางคนก็ซื้อเสื้อผ้าสิ่งของส่งกลับให้ครอบครัวแทนการให้เงิน (น.106-109) |
|
Social Organization |
ครอบครัว ในหมู่บ้านลาหู่ที่ครอบครัวมีลูกๆอพยพข้ามถิ่นไปทำงานหรือเรียนในเมือง พ่อแม่ที่อยู่ในหมู่บ้านกลายเป็น “คนที่อยู่ข้างหลัง” (“the left behind”) ความห่างไกลกันทำให้ไม่ได้ทำให้การดูแลและการใกล้ชิดกันระหว่างพ่อแม่และลูกที่อพยพไปทำงานหรือเรียนห่างเหินกัน ผู้เขียนกล่าวว่าการดูแลและการใกล้ชิดยังคงมีอยู่แต่ได้เปลี่ยนรูปแบบไป โดยอยู่ในรูปของการส่งเงินกลับไปให้พ่อแม่และการติดต่อสื่อสารข้ามถิ่น พ่อแม่ใช้โทรศัพท์พูดคุยไต่ถามสุขภาพความเป็นอยู่ของลูก ตักเตือนการดำเนินชีวิตประจำวัน และสอบถามการกลับมาเยี่ยมบ้าน การโทรศัพท์พูดคุยกันนี้จะทำสม่ำเสมอและมีช่วงเวลาแน่นอน ซึ่งผู้เขียนกล่าวว่าเป็น “เวลาครอบครัว” (“family time”) และเป็นรูปแบบในการดูแลและการใกล้ชิดกันในครอบครัวแบบใหม่ที่พ่อแม่ปรับตัวให้เข้ากับสภาพครอบครัวที่เปลี่ยนไป (น.113-116)
การกลับบ้าน ผู้เขียนกล่าวว่าการกลับบ้านมีความสำคัญเพราะเป็นการสร้างและบำรุงรักษาความสัมพันธ์กับครอบครัวและเพื่อนๆในหมู่บ้าน เด็กๆที่ไปทำงานหรือเรียนในเมืองบางคนกลับบ้านเดือนละครั้ง แต่ส่วนมากกลับบ้านทุกสี่เดือนถึงหกเดือนตามปฏิทินการศึกษา วันหยุดและลักษณะของงานและเหตุผลทางการเงิน (น.121-122) |
|
Belief System |
ศาสนาความเชื่อ ชาวบ้านในหมู่บ้านที่ศึกษาทั้งสี่แห่งมีทั้งที่นับถือศาสนาพุทธ คริสต์และผี แต่ละหมู่บ้านมีความแตกต่างกันดังนี้
ลาหู่บ้านสันติส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์ ส่วนที่เหลือนับถือพุทธและผี (น.53)
ลาหู่บ้านพญากองดีส่วนใหญ่นับถือผี มีนับถือคริสต์จำนวนหนึ่ง ในหมู่บ้านมีทั้งคนทรง(shaman)และหมอสอนศาสนาคริสต์(น.59)
ลาหู่บ้านดอกแดงส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์ โดยมีองค์กรคริสต์ที่เรียกว่า “the Pentecostal Assembly of Tribes (PAOT)” เข้ามาเผยแพร่ศาสนาและชักชวนให้นับถือคริสต์ (น.62) |
|
Education and Socialization |
การศึกษาในหมู่บ้าน เนื่องบ้านพญากองดีเป็นศูนย์กลางการบริหารเครือข่ายหมู่บ้านในพื้นที่รอบๆ จึงมีโรงเรียนประถมและมัธยมสำหรับเด็กที่ในพื้นที่รอบๆ นอกจากนี้ยังการสอนนักศึกษาผู้ใหญ่(“Adult Classes”)สำหรับคนที่ต้องการเรียนต่อด้วย โดยมีครูเข้ามาสอนในหมู่บ้าน 2-3 เดือนต่อครั้ง (น.59) ส่วนบ้านปาทุนิเวศน์และบ้านดอกแดงซึ่งอยู่ไม่ไกลกันมีโรงเรียนประถมและมัธยมหนึ่งโรงสำหรับสอนเด็กๆของทั้งสองหมู่บ้าน (น.63)
ทุนการศึกษา เด็กๆในหมู่บ้านได้รับทุนการศึกษาจากองค์กรคริสต์จักรสิงคโปร์ที่เข้ามาทำงานพัฒนา ทุนการศึกษานี้เริ่มมา 10ปีแล้ว มอบให้แก่เด็กที่ต้องการเรียนต่อในโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษาโดยไม่กำหนดคุณสมบัติใด มีเด็กจำนวนหนึ่งจบมัธยมปลายและได้ศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาและประกาศนียบัตร ทั้งนี้ผู้เขียนเห็นว่าการที่องค์กรให้ทุนการศึกษานี้ได้สร้างเครือข่ายซึ่งก่อให้เกิดความนึกคิดข้ามถิ่น(translocal imageries)และการเชื่อมต่อกับองค์กรคริสตจักรสิงคโปร์ทำให้เกิดความนึกคิดข้ามถิ่นง่ายขึ้นในหมู่ชาวบ้านลาหู่(น.94-96) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ลาหู่กลุ่มย่อย ลาหู่มีกลุ่มย่อยหลายกลุ่ม ได้แก่ ลาหู่นะ(Lahu Na)หรือลาหู่ดำ(Black Lahu) ลาหู่ญี(Lahu Nyi)หรือลาหู่แดง(Red Lahu) ลาหู่ซิ(Lahu Shi) หรือลาหูเหลือง(Yellow Lahu) และลาหู่เชเล(She-Leh Lahu) ลาหู่แต่ละกลุ่มเหล่านี้ต่างกันที่เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ซึ่งเห็นได้จากสีของแถบผ้าที่ใช้ตกแต่งเสื้อ(น.47) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การเปลี่ยนแปลงในครอบครัว ระยะทางที่ห่างไกลทำให้รูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างลูกๆที่อพยพกับพ่อแม่ที่อยู่ข้างหลังเปลี่ยนไปจากการพบปะเผชิญหน้า(face to face)เป็นการติดต่อสื่อสารข้ามถิ่น (ดูหัวข้อ 20.Social Organizationเรื่อง ครอบครัว ) |
|
Other Issues |
องค์กรคริสตจักรสิงคโปร์ (the Singapore Church) เข้ามาทำกิจกรรมการพัฒนาและสร้างเครือข่ายข้ามถิ่นและข้ามชาติ มีเป้าหมายระยะยาวคือ การพัฒนาปรับปรุงชุมชนในทุกๆด้าน กิจกรรมการพัฒนาได้แก่ ให้ทุนการศึกษาแก่เด็กๆในหมู่บ้าน ดำเนินกิจกรรมโครงการชุมชน เช่น การเกษตร งานหัตถกรรม องค์กรจะส่งคณะทำงานซึ่งมีประมาณ 10-20คนเข้ามาในหมู่บ้านอย่างน้อยปีละครั้ง (น.95-96) |
|
Map/Illustration |
ตาราง 4.1 ประวัติของผู้ให้สัมภาษณ์ หน้า 71
ภาพ 3.1 แผนที่การอพยพมุ่งทางใต้ของลาหู่ หน้า 38
ภาพ 3.3 แผนที่การกระจายตัวของลาหู่ หน้า 48
ภาพ 3.4 แผนที่ทางหลวงแผ่นดินหมาเลข 118และพื้นที่วิจัย หน้า 51
ภาพ 3.5 ภาพขยาย A:ที่ตั้งหมู่บ้านสันติ หน้า 52
ภาพ 3.7 ภาพขยาย B:ที่ตั้งหมู่บ้านพญากองดี หน้า 58
ภาพ 4.2 การกระจายตัวของเด็กที่ทำงานหรือศึกษา หน้า 99
รูปภาพ 3.2 การปลูกข้าวไร่ที่หมู่บ้านสันติ หน้า 42
รูปภาพ 3.6ถนนสายหลักของหมู่บ้านสันติ หน้า 56
รูปภาพ 3.8หมู่บ้านพญากองดี หน้า 60
รูปภาพ 3.9หมู่บ้านปาทุนิเวศน์ หน้า 61
รูปภาพ 3.10หมู่บ้านดอกแดง หน้า 62
รูปภาพ 6.1ถังเก็บน้ำที่หมู่บ้านสันติ หน้า 110
รูปภาพ 7.1จะนาดสอนร้องเพลงที่แม่น้ำ หน้า 130
รูปภาพ 7.2บ้านของนะมาที่หมู่บ้านปาทุนิเวศน์ หน้า 135 |
|
|