|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
มลาบรี (Mla Bri) การเปลี่ยนแปลงทางสังคม การควบคุมทางสังคม ความขัดแย้ง รูปแบบการตั้งชุมชน ข้อมูลทางประชากร ระบบเครือญาติ การแต่งงาน แพร่ น่าน ประเทศไทย |
Author |
Mary Long, Eugene Long, Tony Waters |
Title |
Suicide among the Mla Bri Hunter-Gatherers of Northern Thailand |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
มละบริ ยุมบรี มลาบรี มละบริ มลา มละ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไม่ระบุ |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) |
Total Pages |
22 |
Year |
2556 |
Source |
Journal of the Siam Society (JSS), Vol. 101, 2013, pp.155-176. |
Abstract |
งานเขียนชิ้นนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและวิเคราะห์สาเหตุของปรากฏการณ์การฆ่าตัวตายในสังคมมลาบรีในช่วงหลังปีค.ศ.1980 เป็นต้นมา คณะผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยวิธีการสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วม (participatory observation) บันทึกการพยายามฆ่าตัวตายและการฆ่าตัวตายในกลุ่มมลาบรี เพื่อที่จะวิเคราะห์บริบททางสังคมและวัฒนธรรมที่ผลักดันให้เกิดการฆ่าตัวตาย ผู้วิจัยให้ข้อสรุปว่าการฆ่าตัวตายเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตอย่างฉับพลันในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา การอยู่อาศัยเป็นหลักแหล่งทำให้วิธีการเลี่ยงความขัดแย้งตามธรรมชาติของสังคมมลาบรีนั้นไม่สามารถทำได้ นอกจากนี้ ปัญหาและความกดดันต่างๆ ผลักดันให้มลาบรีดื่มสุราทำให้เกิดความรุนแรงมากขึ้นไปอีก ในที่สุด มลาบรีจึงต้องหาทางออกด้วยการฆ่าตัวตาย |
|
Focus |
งานเขียนชิ้นนี้วิเคราะห์และอธิบายปรากฏการณ์การฆ่าตัวตายในกลุ่มชาวมลาบรี ซึ่งเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างฉับพลันในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา วิถีชีวิตของมลาบรีเปลี่ยนแปลงจากสังคมเร่ร่อนเก็บของป่าล่าสัตว์มาอยู่เป็นหลักแหล่งในบ้านที่สร้างแบบกึ่งถาวร ทำให้มลาบรีมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นแต่ในขณะเดียวกันการอยู่เป็นหลักแหล่งนั้นได้ขัดขวางกลไกการจัดการความขัดแย้งในสังคมมลาบรีหรือ “paluh” ทำให้เกิดความกดดัน สิ้นหวังไร้ทางออกซึ่งนำไปสู่ปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการดื่มสุรา การหย่าร้างและการฆ่าตัวตายในที่สุด |
|
Theoretical Issues |
ผู้เขียนได้เชื่อมโยงปรากฏการณ์ฆ่าตัวตายในหมู่ชาวมลาบรีว่ามีความสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและสังคมของชาวมลาบรีอย่างฉับพลันในช่วง 30 ปีที่ผ่านมาโดยเฉพาะการที่มลาบรีตั้งบ้านเรือนอยู่อาศัยเป็นหลักแหล่งนั้นส่งผลกระทบต่อวิธีการจัดการความขัดแย้งในสังคมมลาบรี ผู้เขียนได้ศึกษางานเขียนของ Emile Durkheim นักสังคมวิทยาชาวฝรั่งเศสที่เสนอว่าการอพยพของชาวนาในชนบททางภาคเหนือของยุโรปมาสู่เมืองอุตสาหกรรมนั้นสัมพันธ์กับอัตราการฆ่าตัวตายที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว Durkheimระบุว่าสังคมแบบนี้ความสัมพันธ์ระหว่างคนสังคมจะเป็นแบบหลวมๆ ทำให้คนรู้สึกโดดเดี่ยว ซึ่ง Durkheim เรียกภาวะผิดปกติของสังคมเช่นนี้ว่า “anomie” (หน้า 162) “anomie” สะท้อนให้เห็นสภาวะสังคมที่พัฒนาทางด้านวัตถุแต่กลับมีอัตราการฆ่าตัวตายเพิ่มสูงขึ้นและเกิดปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การติดสุรา การหย่าร้าง การทำผิดกฎหมายของวัยรุ่น อาการป่วยทางจิตและการมีเพศสัมพันธ์ที่ผิดจารีตประเพณี โดยมีกรณีเปรียบเทียบคือกรณีของชาวม้งที่อพยพจากค่ายผู้อพยพในไทยไปสหรัฐอเมริกาในช่วงปี 1980 ที่มีอัตราการฆ่าตัวตายสูงในหมู่เด็กวัยหนุ่มสาวซึ่งส่วนใหญ่ติดสุรา (หน้า 162)
ผู้เขียนได้เสนอให้เชื่อมโยงการฆ่าตัวตายของมลาบรีกับ “paluh” ซึ่งหมายถึงการทำร้ายด้วยคำพูดที่อาจเทียบได้กับคำว่า “ดุด่า” “วิจารณ์” “กังขา” “กล่าวหา” “ขัดเคือง” โดยทั่วไปคำว่า paluh ในภาษามลาบรีใช้เป็นคำกริยาหรือคำนามก็ได้แล้วแต่บริบท จัดเป็นวิธีควบคุมทางสังคม (social control) และเป็นวิธีจัดการความขัดแย้งของชาวมลาบรี (หน้า 162) ในอดีตมลาบรีจะรับมือกับการถูก paluh หรือถูกตำหนิด้วยการหนีเข้าไปในป่าหรือย้ายจากที่พักเดิมของตนเอง แต่ต่อมาเมื่อมลาบรีต้องอยู่อาศัยเป็นหลักแหล่งเมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้นมลาบรีไม่สามารถหนีไปอยู่ที่อื่นได้ ซึ่งเป็นสาเหตุที่นำไปสู่การฆ่าตัวตายในสังคมมลาบรี (หน้า 156-157) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ผู้เขียนงานชิ้นนี้เรียกกลุ่มชาติพันธุ์ว่า “มลาบรี” (Mla Bri) มลาบรีมีวิถีชีวิตเร่ร่อนในป่าโดยจะสร้างเพิงที่พักชั่วคราวที่มุงด้วยใบตอง วิถีชีวิตของมลาบรีที่มักย้ายที่อยู่ภายในหนึ่งถึงสองสัปดาห์ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ใบตองที่มุงเพิงกลายเป็นสีเหลืองทำให้คนนอกกลุ่มเรียกว่า “ผีตองเหลือง” (Spirits of the Yellow Leaves)ซึ่งเป็นชื่อ ที่ชาวมลาบรีไม่ยอมรับ (หน้า 156) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษามลาบรีอยู่ในตระกูลภาษามอญ-เขมร (หน้า 155, 158) ในปัจจุบันเด็กชาวมลาบรีพูดภาษาไทยได้และจะพูดภาษามลาบรีที่บ้าน ส่วนผู้ใหญ่ใช้ภาษามลาบรีเป็นภาษาหลักในการสื่อสารกับมลาบรีคนอื่นๆ (หน้า 159) มีข้อสังเกตว่าภาษามลาบรีมีคำว่า “สุรา” ซึ่งไม่ใช่คำยืมจากภาษาอื่น แม้ว่าในช่วงต้นปี 1980 ก่อนนั้นไม่พบว่ามีมลาบรีที่ติดสุราหรือมีการต้มสุราดื่มเองก็ตาม (หน้า 160) |
|
Study Period (Data Collection) |
เป็นการเก็บข้อมูลในช่วงระหว่างปี 1984-2012 |
|
History of the Group and Community |
ความเป็นมาของกลุ่มมลาบรีมาจากกลุ่มชาติพันธุ์ที่พูดภาษาตระกูลมอญ-เขมร ซึ่งเป็นบรรพบุรุษเดียวกันกับชาวถิ่นและชาวขมุ (หน้า 158) สันนิษฐานว่าในอดีตนั้นมลาบรีแยกตัวออกมาจากชาวถิ่นซึ่งเป็นกลุ่มชุมชนเล็กๆอยู่บนที่ราบสูงในพื้นที่ห่างไกลในจังหวัดน่าน จากหลักฐานทางภาษาศาสตร์และพันธุกรรมพบว่ามลาบรีมีความคล้ายคลึงกับชาวถิ่นเป็นอย่างมาก (หน้า 158) |
|
Settlement Pattern |
ในช่วงก่อนปี ค.ศ. 1993 มลาบรีอยู่เป็นกลุ่มเล็กๆในป่า ดำรงชีวิตด้วยการเก็บของป่าล่าสัตว์ บางครั้งก็ทำงานในไร่นาของชาวนาที่ราบสูงเช่นชาวม้ง มลาบรีจะย้ายที่อยู่เพื่อหนีหนี้หรือไปช่วยญาติชดใช้หนี้ เมื่อมีการตายเกิดขึ้นในกลุ่มและเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง (หน้า 160-161) ตั้งแต่ปี 1993 เป็นต้นมารัฐบาลไทยมีนโยบายให้มลาบรีมีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่งใน 4 พื้นที่ในจังหวัดแพร่และจังหวัดน่าน (หน้า 155, 158 และ 160) ปี 2001 เป็นปีสำคัญเนื่องจากเป็นปีที่หมู่บ้านได้ทะเบียนบ้านและมลาบรีได้รับการรับรองสถานะบุคคลตามกฎหมาย ได้รับสัญชาติไทย (หน้า 161) รัฐบาลไทยสนับสนุนให้มีการพัฒนาหลายประการ เช่น การกำจัดไข้มาลาเรีย สร้างโรงเรียน สถานพยาบาล พัฒนาระบบไฟฟ้าและถนน ซึ่งเป็นวิธีพัฒนาสู่สังคมสมัยใหม่ (หน้า 159) ในตอนแรกมลาบรีอยู่ใน 3 พื้นที่คือ อำเภอร้องกวาง จังหวัดแพร่ อำเภอสอง จังหวัดแพร่ และในอำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน จากนั้นในปี ค.ศ.2009 จึงมีการสร้างหมู่บ้านมลาบรีแห่งใหม่ขึ้นที่ศูนย์ภูฟ้าพัฒนา อำเภอบ่อเกลือ จังหวัดน่านซึ่งเป็นศูนย์ที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งขึ้น (หน้า 161) |
|
Demography |
ในช่วงปี 2012 มีมลาบรีประมาณ 400 คนใน 4 พื้นที่ในจังหวัดแพร่และน่าน (หน้า 155) ในช่วงปีค.ศ.1980 ไม่พบว่ามีการฆ่าตัวตายเกิดขึ้น สาเหตุการเสียชีวิตที่สำคัญคืออุบัติเหตุ โรคที่เกิดจากติดเชื้อ เช่น มาลาเรียและโรคบิด รวมทั้งการทำร้ายร่างกายซึ่งพบไม่บ่อยนักเนื่องจากมลาบรีมักจะเลี่ยงการปะทะด้วยการหนีเข้าไปในป่า (หน้า 159-160) แต่ในช่วงหลังจากที่มลาบรีมาอยู่เป็นหมู่บ้านพบว่ามีฆ่าตัวตายและความพยายามที่จะฆ่าตัวตายในช่วงปี ค.ศ. 1984-2012 ถึง 15 ราย (หน้า 163) |
|
Economy |
ก่อนหน้าที่มลาบรีมีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่งนั้นมลาบรีดำรงชีวิตด้วยการเก็บของป่าล่าสัตว์ (หน้า 155) เครื่องมือล่าสัตว์ของมลาบรีมีแหลน กับดักสัตว์ หนังสติ๊กยิงนก ใช้ปืนแก๊ปเป็นบางครั้ง สัตว์ที่ล่ามีทั้งสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก สัตว์เลื้อยคลาน ตัวอ่อนของแมลง นอกจากนี้มลาบรีเก็บน้ำผึ้ง พืชหัวต่างๆ ผลไม้ หน่อไม้และของป่าอื่นๆตามฤดูกาล มลาบรีไม่เพาะปลูกหรือเลี้ยงสัตว์ แลกเปลี่ยนของป่ากับของที่ต้องการจากชาวนาในที่ราบ รวมทั้งรับจ้างทำงานในไร่นาซึ่งในปัจจุบันยังพบมลาบรีรับจ้างทำไร่นาอยู่เป็นจำนวนมาก (หน้า 156)ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 และ 20 ประชากรในสังคมกสิกรรมเช่น ชาวม้งและกลุ่มอื่นๆในจังหวัดแพร่และน่านเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้พืชและสัตว์ที่มลาบรีกินเพื่อดำรงชีพนั้นหาได้ยากขึ้น แหล่งอาหารในป่าลดลงเนื่องจากป่าถูกทำลายเพื่อการทำนาและเพาะปลูกพืชอื่นๆ ทำให้การรับจ้างทำไร่ทำนามีความสำคัญต่อความอยู่รอดของมลาบรี (หน้า 159) มลาบรีจึงต้องมารับจ้างในไร่นาของชาวม้งและชาวไทยภูเขาทางภาคเหนือ เนื่องจากในขณะนั้นไม่มีกฎหมายคุ้มครองสิทธิกลุ่มชาติพันธุ์มลาบรีจึงต้องหนีเข้าไปอยู่ในป่าลึกเมื่อนายจ้างเหล่านี้ข่มขู่ทำร้ายและเพื่อป้องกันไม่ให้ถูก paluh ซึ่งเป็นสิ่งที่ร้ายแรงตามความเชื่อของมลาบรี (หน้า 158-159) |
|
Social Organization |
มลาบรีเป็นคนชายขอบทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจและการเมืองการปกครองในพื้นที่ซึ่งมีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวนาชาวไร่ (หน้า 155) มลาบรีแต่งงานตั้งแต่ตอนเป็นวัยรุ่นโดยสามีภรรยาจะอาศัยร่วมชายคากันหลังจากที่พ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายอนุญาตแล้ว มลาบรีมองว่าการแต่งงานเป็นสิ่งสำคัญแม้ว่าการแต่งงานของมลาบรีนั้นจะเป็นแบบไม่เป็นทางการ ไม่มีงานฉลอง การจดทะเบียนสมรสหรือการมอบสินสอดให้แก่พ่อแม่ของฝ่ายหญิง (หน้า 161) มลาบรีจะแต่งงานกันภายในกลุ่มเท่านั้น การแต่งงานกับคนนอกกลุ่มหรือแต่งงานกับพี่น้องร่วมบิดามารดาเป็นสิ่งต้องห้ามและความผิดร้ายแรงโดยจะถูกสมาชิกในกลุ่ม paluh(หน้า 159, 174) ข้อห้ามเหล่านี้ทำให้การหาสามีหรือภรรยานั้นทำได้ยากเนื่องจากมลาบรีมีจำนวนน้อยอยู่แล้ว การมีภรรยาหลายคนในช่วงเวลาเดียวกันนั้นพบเห็นได้บ่อยครั้งและมีอัตราการหย่าร้างสูง การเป็นหม้ายและการแต่งงานใหม่เป็นเรื่องปกติในสังคม มลาบรี มลาบรีไม่นิยมแต่งงานกับชาวม้งหรือคนไทยภาคเหนือเพราะมีความเชื่อว่าจะนำมาซึ่งความโชคร้าย(หน้า 161) |
|
Belief System |
มลาบรีมีความเชื่อเรื่องวิญญาณและผี (หน้า 156) และเชื่อว่าการว่ากล่าว (paluh) นั้นส่งผลร้ายต่อทั้งคนที่เป็นฝ่ายว่าและคนที่ถูกว่า ส่วนใหญ่แล้วคนที่ถูก paluh จะออกจากหมู่บ้านเพื่อให้คนที่ paluh ตนเองกลายเป็นฝ่ายผิด (หน้า 173) นอกจากนี้มลาบรีมีความเชื่อว่าหากแต่งงานกับคนนอกกลุ่มแล้วเกิดโชคร้าย (หน้า 161) |
|
Education and Socialization |
ตั้งแต่ค.ศ. 2000 เป็นต้นมาเด็กชาวมลาบรีได้มีโอกาสเข้าเรียนหนังสือที่โรงเรียน และสามารถอ่านเขียนภาษาไทยได้ (หน้า 159) |
|
Health and Medicine |
ก่อนที่มลาบรีจะมีที่อยู่เป็นหลักแหล่งนั้นมลาบรีรับจ้างทำไร่ทำนาให้กับชาวเขากลุ่มอื่นๆ จึงมีการติดต่อกลุ่มประชากรในพื้นที่ราบสูงของไทยซึ่งทำให้ติดโรคภัยต่างๆ (หน้า 159) ในช่วงปี 1993 เป็นต้นมามลาบรีได้อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่งตามนโยบายของรัฐบาล มีภาวะโภชนาการที่ดีขึ้น มีการรักษาและป้องกันไข้มาลาเรีย ได้อยู่ในบ้านเรือนที่สะดวกสบายขึ้น รวมทั้งมาตราการทางสาธารณสุขอื่นๆ เมื่อเจ็บป่วยก็สามารถรักษาที่สถานีอนามัยหรือโรงพยาบาล ซึ่งทำให้อัตราการเสียชีวิตของมลาบรีลดลงมาก (หน้า 159) |
|
Folklore |
ตำนานที่เล่าต่อกันมาเกี่ยวกับชาวมลาบรีที่ถูกผู้อื่น paluh ซึ่งเป็นการควบคุมทางสังคมอย่างหนึ่ง (หน้า 157) มีเรื่องเล่าว่าผู้หญิงมลาบรีคนหนึ่งฆ่าสามีของตนเองด้วยการให้กินหน่อไม้ที่เป็นพิษเพื่อที่จะแต่งงานกับชายอีกคน และมีเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับคนนอกกลุ่มที่ฆ่ามลาบรี (หน้า 158) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
มลาบรีมีวิถีชีวิตแบบเก็บของป่าล่าสัตว์เป็นอาหารและไม่เพาะปลูก มลาบรีย้ายที่อยู่ทุกๆ 2 สัปดาห์ ซึ่งในปัจจุบันวิถีชีวิตแบบนี้เปลี่ยนแปลงไปบ้างแต่ก็ยังมีอยู่ (หน้า 156) และแม้ว่ามลาบรีจะมีจำนวนประชาการไม่มากนักและอยู่แบบกระจัดกระจาย มลาบรียังคงรักษาอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ ภาษาและวัฒนธรรมไว้ได้ (หน้า 159) |
|
Social Cultural and Identity Change |
เดิมนั้นมลาบรีเป็นกลุ่มคนเร่ร่อนในป่าที่ดำรงชีวิตด้วยการเก็บของป่าล่าสัตว์ ต่อมาด้วยบริบททางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ผืนป่าถูกทำลายเพื่อการทำนาและเพาะปลูกพืช ทำให้มลาบรีต้องออกจากป่ามารับจ้างทำไร่ทำนา มลาบรีเริ่มอยู่อาศัยเป็นหลักแหล่งตั้งแต่ค.ศ. 1990 เป็นต้นมาตามนโยบายของรัฐบาลไทยที่ต้องการพัฒนาความเป็นอยู่ของประชากรที่เป็นชุมชนชายขอบที่สุดในประเทศและต้องการรักษาพื้นที่ป่าไว้ (หน้า 155, 158 - 160) มลาบรีได้รับการรับรองสถานะบุคคลในสถานะคนสัญชาติไทยในปีค.ศ. 2001 (หน้า 161) เมื่อมีบัตรประชาชนแล้วมลาบรีสามารถขึ้นศาลและได้รับสวัสดิการสังคม เช่น การรักษาพยาบาล การเข้าศึกษาในโรงเรียนและสวัสดิการอื่นๆของรัฐบาล (หน้า 159, 161) มลาบรีพักอาศัยอยู่เป็นหมู่บ้าน บ้านที่อาศัยเป็นที่พักกึ่งถาวรสร้างจากอิฐบล็อกถ่าน ไม้ ไม้ไผ่และแผ่นสังกะสี (หน้า 159) มีชีวิตความเป็นอยู่และภาวะโภชนาการที่ดีขึ้น อัตราการเสียชีวิตลดลง (หน้า 159) ตั้งแต่ค.ศ. 2000 เป็นต้นมาเด็กชาวมลาบรีได้เรียนหนังสือที่โรงเรียนและเริ่มอ่านเขียนภาษาไทยได้ (หน้า 159) มลาบรีทำงานรับจ้างได้เงินมาซื้อเครื่องใช้ เช่น วิทยุและโทรทัศน์ สิ่งเหล่านี้เกิดในช่วงที่การขยายตัวของสังคมชนบทชะลอตัวลงและการอพยพย้ายถิ่นจากชนบทสู่เมืองนั้นเพิ่มสูงขึ้น (หน้า 159)
การเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างรวดเร็วในช่วงปี 1980-2010 ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างมากในสังคมมลาบรี นอกเหนือจากวิถีชีวิตความเป็นอยู่และโอกาสที่จะได้รับสวัสดิการต่างๆ แล้ว ยังพบว่าเริ่มมีคนติดสุรา ก่อนหน้าที่มลาบรีจะอยู่อาศัยเป็นหลักแหล่งนั้นไม่พบว่ามีมลาบรีคนใดติดเหล้าหรือต้มเหล้าดื่มเอง ชายชาวมลาบรีดื่มเหล้าเป็นบางครั้งบางคราวเท่านั้น ส่วนผู้หญิงไม่ดื่มเหล้า (หน้า 159-160) และไม่พบว่ามีการฆ่าตัวตายในหมู่ชาวมลาบรีมาก่อน (หน้า 155) แต่ปัจจุบันนี้มลาบรีจำนวนไม่น้อยติดเหล้าเรื้อรังซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการทะเลาะวิวาทและการฆ่าตัวตายในสังคมมลาบรี (หน้า 174) |
|
Map/Illustration |
งานวิจัยนี้มีตารางที่สำคัญดังนี้
ตารางที่ 1 ตารางสรุปการฆ่าตัวตายและความพยายามฆ่าตัวตายของชาวมลาบรีในช่วงปี 1984 ถึง 2012 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าชาวมลาบรีที่ฆ่าตัวตายหรือพยายามฆ่าตัวตายนั้นส่วนใหญ่เป็นชายที่แต่งงานแล้วและมักใช้วิธีฆ่าตัวตายด้วยยาพิษ พบว่ามีการขู่ฆ่าตัวตายในปี 1999 แต่พบว่ามีการเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายในปี 2005 ถึง 2008 ในบางกรณีการฆ่าตัวตายเกิดขึ้นห่างกันเพียงไม่กี่วัน (หน้า 163)
ตารางที่ 2 ความสัมพันธ์ในระบบเครือญาติระหว่างคนที่ฆ่าตัวตาย ในจำนวนผู้ที่ฆ่าตัวตาย 15 รายนั้นมีจำนวนถึง 10 รายที่มีความสัมพันธ์ทางเครือญาติกัน (หน้า 172) |
|
Text Analyst |
พิมลวรรณ บุนนาค |
Date of Report |
03 ต.ค. 2567 |
TAG |
มลาบรี, การเปลี่ยนแปลงทางสังคม, การควบคุมทางสังคม, ความขัดแย้ง, รูปแบบการตั้งชุมชน, ข้อมูลทางประชากร, ระบบเครือญาติ, การแต่งงาน, แพร่, น่าน, ประเทศไทย, |
Translator |
- |
|