สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject อาเค๊อะ อาข่า การสร้างอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ เชียงตุง ประเทศไทย ห้วยน้ำขุ่น
Author Kaisa Niemi
Title Changing Minds, Changing Hats Construction and Expression of Akeu Ethnic Identity in Thailand and Myanmar
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาอังกฤษ
Ethnic Identity อาเคอะ อ่อเหงี่ยก๊อคือ, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 93 Year 2557
Source Niemi, kaisa, Changing Minds, Changing Hats Construction and Expression of Akeu Ethnic Identity in Thailand and Myanmar. University of Oulu, Master’s Thesis, 2014.
Abstract

          อาเค๊อะเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ย่อยของอาข่าซึ่งไม่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางนักในสังคม ดังนั้น การสร้างอัตลักษณ์และตัวตนจึงเป็นประเด็นสำคัญ อัตลักษณ์ของอาเค๊อะเกิดจาก ความสัมพันธ์ทางสายโลหิต วิถีชีวิตและวัฒนธรรม อาทิ เครื่องแต่งกาย ภาษาพูด จารีต ประเพณี และพิธีกรรม รวมทั้งสภาพแวดล้อม
          ในเมียนมาร์ บัตรประจำตัวของชาวอาเค๊อะมักระบุว่าพวกเขาเป็นชาวอาข่า เนื่องจาก หน่วยงานราชการไม่รู้จักอาเค๊อะ นอกจากนี้ พวกเขายังถูกนับรวมเป็นหนึ่งเดียวกับอาข่าซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใหญ่กว่า โดยเรียกว่า อาเค๊อะ-อาข่า ชาวอาเค๊อะจำนวนมากจึงต้องการแสดงตัวตนว่าพวกเขาต่างจากอาข่า แต่คงมีชาวอาเค๊อะส่วนหนึ่งที่ยอมรับว่าพวกเขามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดทางชาติพันธุ์กับกลุ่มอาข่า
          ตัวอย่างข้อมูลจากการลงพื้นที่ภาคสนาม พบว่า ชาวอาเค๊อะมีความกังวลต่อสายตาของบุคคลภายนอกที่มักมองมายังกลุ่มของพวกเขาว่าเป็นกลุ่มเดียวกับอาข่า จึงมีการชุมนุมและรวมตัวกันเพื่อหารือถึงปัญหาดังกล่าว ชาวอาเค๊อะมีความมุ่งหมายในการสร้างตัวตนให้เป็นที่ประจักษ์และรับรู้ในสังคมภายนอก ดังเห็นได้ว่า พวกเขาปฏิเสธการจัดงานเฉลิมฉลองปีใหม่รวมกับอาข่า เป็นต้น
          อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม เป็นอีกปัจจัยสำคัญ ก่อให้เกิดการพยายามสร้างอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ด้วยเช่นกัน กล่าวคือ  การที่ชาวอาเค๊อะเปลี่ยนวิถีชีวิตจากการทำไร่เลื่อนลอยเป็นเพาะปลูกเพื่อจำหน่าย และอพยพเข้าไปทำงานในเมือง เพราะต้องการเงิน ทำให้มีปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มชาติพันธ์อื่นมากยิ่งขึ้น นำมาสู่การแต่งงานข้ามกลุ่มและผสมผสานทางวัฒนธรรม  ยิ่งไปกว่านั้น ระบบการศึกษาและสื่อต่างๆ  ยังลบเส้นเขตแดนระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ลง การสร้างอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์จึงเป็นสิ่งจำเป็น นอกจากนี้ พวกเขายังต้องการสร้างอัตลักษณ์ใหม่ว่าเป็นกลุ่มที่มีการศึกษาและมีภาษาเขียน เพื่อยกระดับสถานภาพและภาพลักษณ์ในสังคมให้ดีขึ้น ผู้วิจัย สรุปว่า อาเค๊อะอยู่ในระหว่างกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่การทำให้เป็นสมัยใหม่ (modernization) โดยมองหาวิธีการรักษาอัตลักษณ์ดั้งเดิมของตนไว้ด้วย 

Focus

          งานวิจัยนี้มุ่งศึกษาและสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับอาเค๊อะ เนื่องจากเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่
มิค่อยเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ตลอดจนศึกษาการสร้างอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของพวกเขา ในสภาวะที่แวดล้อมด้วยกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ที่หลากหลาย
          โดย ผู้วิจัยจะศึกษาองค์ประกอบทางวัฒนธรรมทั้งในเชิงรูปธรรมและนามธรรมซึ่งเป็นดั่งสัญลักษณ์ของการสร้างอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ และการนำสัญลักษณ์เหล่านั้นมาใช้ในการนิยามความหมายของชาวอาเค๊อะ ในแถบประเทศไทย และเชียงตุง ประเทศเมียนมาร์

Theoretical Issues

          ผู้วิจัยทำการเก็บข้อมูลภาคสนามจากหมู่บ้านอาเค๊อะหลายแห่งทั้งในประเทศไทยและ
เมียนมาร์ ข้อมูลที่ได้มีทั้งจากการสัมภาษณ์ การเขียนรายงานบันทึกการสำรวจ ภาพถ่าย และการบันทึกเทปวีดีโอ
          ทั้งนี้ ในการสัมภาษณ์นั้น ผู้วิจัยได้ทำการสัมภาษณ์ชาวอาเค๊อะจำนวน 17 คน และคำถามที่ใช้มีหลากหลายประเด็น แต่มักเกี่ยวข้องกับด้านวัฒนธรรมเป็นหลัก อาทิ ปฏิทินของ
อาเค๊อะ เทศกาลและพิธีกรรมสำคัญ (หน้า 10)
          ผู้วิจัยใช้แนวคิดของ Barthที่แย้งว่าการปฏิสัมพันธ์กับภายนอกมากขึ้นนั้นไม่ได้นำไปสู่การกลืนกลายเสมอไป และเสนอว่า การปฏิสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมกลับเป็นการสร้างกลุ่มและสร้างความแตกต่างเพื่อแบ่งแยก “ตัวเรา” ออกจากผู้อื่น อีกทั้งใช้แนวคิด “constructionism” เป็นแนวหลัก ซึ่งเสนอว่า ลักษณะทางวัฒนธรรมที่สร้างความแตกต่างระหว่างกลุ่มมักถูกนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์ทางชาติพันธุ์เพื่อขีดเส้นแบ่งขอบเขตของกลุ่ม (หน้า 44)
          งานวิจัยนี้จึงให้ความสำคัญในเรื่องความแตกต่างระหว่างการนิยามตนเองของชาวอาเค๊อะกับการจัดจำแนกจากภายนอก การเปลี่ยนแปลงทางสังคม ว่ามีผลกระทบต่ออัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของอาเค๊อะอย่างไร (หน้า 9-10) และผู้วิจัยสรุปว่า อาเค๊อะอยู่ในระหว่างกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่การทำให้เป็นสมัยใหม่ (modernization) โดยมองหาวิธีการรักษาอัตลักษณ์ดั้งเดิมของตนไว้ด้วย  

Ethnic Group in the Focus

          กลุ่มชาติพันธุ์ที่ศึกษาในงานวิจัยนี้ คือ “อาเค๊อะ”  ทั้งนี้ ชาวอาเค๊อะ นิยมเรียกตนเองว่า ก๊กคือ (Gaolkheel) ซึ่งเป็นชื่อสายตระกูล 1 ใน 12 สายตระกูล ตามตำนานเล่าว่า เมื่อครั้งอยู่ที่ทิเบต พวกเขาอยู่ในหมู่บ้านใหญ่ซึ่งสมาชิกทั้งหมดสืบเชื้อสายจากสายตระกูลดังกล่าว ดังนั้น คำนี้จึงถูกนำมาใช้เรียกแทนพวกเขาทั้งหมด 
          ส่วนคำว่า “อาเค๊อะ” เป็นคำที่จีนเรียก ที่มาของคำแบ่งได้เป็น 2 แนวทาง  คือ 1) เมื่อครั้งที่ชนเผ่าต่างๆซึ่งอาศัยอยู่ในมณฑลยูนนานเริ่มอพยพลงไปทางตอนใต้ ชาวอาเค๊อะไม่ยอมอพยพตาม เนื่องจากไม่รู้ว่าจะไปที่ใด ชาวจีนจึงเริ่มเรียกพวกเขาว่า เคอ โล (keu lo) แปลว่า “ไปให้พ้น” 2) รัฐบาลจีนต้องการตั้งชื่อที่เป็นทางการให้กับกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ จึงเรียกพวกเขามาลงทะเบียนรายชื่อ แต่ตัวแทนของอาเค๊อะมาช้ากว่ากำหนดและสำนักงานได้ปิดเรียบร้อยแล้ว จึงถูกไล่ว่า “ไปให้พ้น” อันเป็นที่มาของชื่อ
          ในงานวิจัยนี้ ผู้วิจัยจะใช้คำว่า “อาเค๊อะ” ซึ่งเป็นคำที่เป็นทางการ และชาวอาเค๊อะนิยมใช้คำดังกล่าว เมื่อมีการติดต่อสื่อสารกับบุคคลภายนอกโดยใช้ภาษาอื่น (หน้า 9)

Language and Linguistic Affiliations

          ภาษาพูดของอาเค๊อะ จัดอยู่ในสาขา Southern Ngwi ในตระกูลทิเบต-พม่า (Tibeto-Burman)  เช่นเดียวกับภาษาอาข่า (หน้า 3)
          ทั้งนี้ มีการประดิษฐ์ภาษาเขียนขึ้นราวต้น ค.ศ. 2000 โดยมีวัตถุประสงค์หลัก คือ ใช้ในการแปลคัมภีร์ไบเบิลของผู้นับถือคริสต์ แต่ผู้อาวุโสที่รู้ภาษาเขียนหวังว่าจะใช้ภาษาเขียนดังกล่าวในการบันทึกและถ่ายทอดประเพณีดั้งเดิม มีการสอนภาษาให้เด็กๆ แต่ในหมู่บ้านที่มี
อาเคอะและอาข่าปนกัน เด็กๆ มักเรียนภาษาอาข่าเป็นภาษาหลัก  (หน้า 36) 

Study Period (Data Collection)

          ผู้วิจัยเก็บข้อมูลภาคสนาม ณ ประเทศไทยและประเทศเมียนมาร์ ในระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม ค.ศ.2012 (หน้า 4)   โดยใช้เวลาราว 6 สัปดาห์ สำหรับประเทศไทยได้เยี่ยมเยือนหมู่บ้านอาเค๊อะ 2 แห่ง หลังจากนั้นจึงสำรวจหมู่บ้านอาเค๊อะอีก 6 แห่ง ในประเทศ
เมียนมาร์ (หน้า 10) 

History of the Group and Community

          อาเค๊อะมีถิ่นกำเนิดเดิมอยู่บริเวณทิเบต ต่อมาประสบภาวะสงคราม จึงต้องลี้ภัยจากทิเบต และอพยพสู่มณฑลยูนนาน ตอนใต้ของจีน ที่ซึ่งพวกเขาอยู่อาศัยมาจนถึงปลายศตวรรษก่อน แต่สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนไปในช่วงทศวรรษ 1940 เมื่อรัฐบาลจีนมีนโยบายรวมชาติและพยายามกลืนกลายวัฒนธรรมชาติพันธุ์ต่างๆ ให้เป็นหนึ่งเดียว ชาวอาเค๊อะบางกลุ่มได้ช่วยต่อสู้ในกองทหารก๊กมินตั๋งจึงทำให้รัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์มีทัศนคติเชิงลบต่อพวกเขา นำมาซึ่งการถูกรัฐบาลจีนกดดันให้ละทิ้งหมู่บ้าน อาเค๊อะหลายกลุ่มจึงอพยพออกจากจีนและมุ่งตั้งถิ่นฐานใหม่ในประเทศเมียนมาร์ ลาว และไทย
          อาเค๊อะกลุ่มแรกเข้ามาตั้งถิ่นฐานในดินแดนไทยราว ปี 1960  และกลุ่มอื่นๆ ค่อยๆ ทยอยอพยพตามมา เนื่องจากสงครามกลางเมือง และความไม่สงบทางการเมืองโดยเฉพาะในประเทศเมียนมาร์ (หน้า 7) 

Settlement Pattern

          หมู่บ้านอาเค๊อะตามแบบดั้งเดิมมักตั้งอยู่ในระดับความสูงระดับปานกลางของภูเขา (mid-altitude of the mountain) สร้างบ้านเป็นเรือนยกพื้น ผนังและพื้นทำด้วยไม้ไผ่ (split of bamboo) ไม่มีหน้าต่าง หลังคามุงด้วยใบจาก
          ทั้งนี้ ในปัจจุบันหมู่บ้านอาเค๊อะได้อพยพลงมายังพื้นราบ บ้านเรือนแบบดั้งเดิมเริ่มถูกแทนที่ด้วยเรือนตามแบบสมัยใหม่ หลังคาสังกะสีเริ่มเป็นที่แพร่หลายแทนหลังคาใบจากซึ่งต้องเปลี่ยนทุก 2-3 ปี ดังเห็นได้จาก ในประเทศไทย บ้านเรือนอาเค๊อะที่สร้างใหม่มักสร้างตามแบบสมัยนิยม คือ หลังคามุงด้วยสังกะสี ผนังทำจากไม้  และใช้เสาซีเมนต์ มีที่เก็บสิ่งของใต้ถุนเรือน (หน้า 31)  ส่วนเรือนอาเค๊อะในประเทศเมียนมาร์นิยมปลูกสร้างจากอิฐแนบติดพื้นดิน
         หมู่บ้านอาเค๊อะในประเทศไทยมักมีการทำประปาภูเขา และหลายหมู่บ้านที่ผู้วิจัยเข้าไปเก็บข้อมูลภาคสนามพบว่า มีไฟฟ้าและอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ เพื่อใช้สอยเรียบร้อยแล้ว อาทิ หลอดไฟ เครื่องทำน้ำอุ่น เครื่องซักผ้า จานดาวเทียม เป็นต้น แต่ยังนิยมก่อไฟกับพื้นในการประกอบอาหาร (หน้า 31-32) 

Demography

         จำนวนประชากรอาเค๊อะมาจากหลายแหล่งข้อมูล การสำรวจของ Ethnologue เมื่อปี 2013 สันนิษฐานว่า มีประชากรอาเค๊อะจำนวนราว 12,400 คน กล่าวคือ มี 1,000 คน  อยู่ในรัฐฉาน ประเทศเมียนมาร์ 1,000 คน  อยู่ในลาว 400 คน ในภาคเหนือของไทย และที่เหลืออยู่ในจีน (หน้า 7)
         ทั้งนี้ Chazée ยังได้กล่าวถึงกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งที่มิค่อยเป็นที่รู้จักและตั้งถิ่นฐานอยู่อย่างโดดเดี่ยว ในประเทศลาว เรียกว่า “เคอ” มีจำนวนประชากร 2,000คน อย่างไรก็ตาม Schliesinger  ระบุว่า “Keu” ในลาว ถูกเรียกว่า  “อาเค๊อะ”หรือ “Khir”และผู้ให้ข้อมูลบางคนยังระบุว่ามีบ้าน
อาเค๊อะในเวียดนามด้วย (หน้า 7)

Economy

         ในอดีตชาวอาเค๊อะดำรงชีพด้วยการทำไร่แบบเลื่อนลอยเป็นหลัก แต่เนื่องด้วยความจำกัดของพื้นที่เนื่องจากมีการตั้งถิ่นฐานอย่างหนาแน่นขึ้นทั้งในเชียงตุง และภาคเหนือของไทย ประกอบกับการทำไร่เลื่อนลอยถือว่าผิดกฎหมาย ตลอดจนภาครัฐมีความเคร่งครัดในการใช้และถือครองที่ดิน เป็นเหตุให้ชาวอาเค๊อะต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตจากการทำไร่เลื่อนลอยแบบเดิมเป็นการทำไร่หมุนเวียนและปลูกพืชเศรษฐกิจเพื่อจำหน่าย อาทิ ชา กาแฟ ถั่วลิสง และสัปปะรด นอกเหนือจากการเพาะปลูกข้าวซึ่งเป็นพืชหลัก (หน้า 30) ณ หมู่บ้านห้วยน้ำขุ่น ชาวอาเค๊อะใช้พื้นที่เพียง 3 ไร่ ปลูกพืชหมุนเวียนในรอบ 3 ปี คือ ปลูกข้าว 1 ปี และพืชผลอื่นๆ 2 ปี หลังจากนั้นจึงทำการเผาเพื่อเพิ่มแร่ธาตุให้กับผืนดิน (หน้า 40)   
         กฎหมายและจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น ถือเป็นปัจจัยสำคัญนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของกลุ่มชนในเขตพื้นที่สูง ทั้งรูปแบบการเพาะปลูกดังที่ได้กล่าว นอกจากนี้ยังทำให้เกิดการขายแรงงาน ชาวเขาจำนวนมากรวมทั้งอาเค๊อะมีการอพยพเข้าสู่เมืองเพื่อหางานทำ แต่ก็เป็นได้เพียงแรงงานระดับล่างซึ่งได้รับค่าตอบแทนในอัตราต่ำ  (หน้า 67) 

Social Organization

         ชาวอาเค๊อะให้ความสำคัญกับระบบเครือญาติ การบูชาบรรพบุรุษ และระบบอาวุโส ซึ่งสะท้อนผ่านประเพณีพิธีกรรมต่างๆ อาทิ ในพิธีบูชาบรรพบุรุษช่วงเทศกาลปีใหม่ ผู้อาวุโสชายสูงสุดในครอบครัวต้องเป็นผู้นำการประกอบพิธีเซ่นไหว้ และหลังเสร็จพิธีเมื่อมีการรับประทานอาหารร่วมกันจะมีการจัดลำดับการนั่งตามความอาวุโส
         ด้านการแต่งงาน ชาวอาเค๊อะมักแต่งงานตั้งแต่อายุยังเยาว์ โดยทั่วไป ระหว่าง 15-16 ปี ช่วงเทศกาลปีใหม่ เป็นช่วงที่เปิดโอกาสให้หนุ่มสาวได้เกี้ยวพาราสีกัน โดยฝ่ายหญิงมีอิสระในการเลือกคู่ (หน้า 56) อย่างไรก็ตาม ตามประเพณีดั้งเดิมอาเค๊อะมีการเคร่งครัดเรื่องการแต่งงานเฉพาะในหมู่พวกพ้องเดียวกัน การแต่งงานข้ามชาติพันธุ์เป็นเรื่องต้องห้าม (หน้า 64)                    
         นอกจากนี้ อาเคอะในพื้นที่ซึ่งผู้วิจัยเข้าไปเก็บข้อมูล พบว่ามีการใช้โรงเรียน บริการสาธารณสุข  และศาสนสถาน ร่วมกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ยกเว้นเพียงโบสถ์คริสต์ซึ่งมีการบริหารจัดการตามสายชาติพันธุ์ (ethnic line) และคริสต์ศาสนายังดูเหมือนเป็นสื่อในการผนวก
อาเค๊อะเข้ากับอาข่า เนื่องจากคริสต์ศาสนิกชนชาวอาเค๊อะมีจำนวนน้อยจึงต้องอาศัยโบสถ์ของ
อาข่าในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา มีชาวอาเค๊อะในเมียนมาร์เพียงจำนวนไม่มากที่ใช้โบสถ์ของชาวฉาน (หน้า 69)
          ยิ่งไปกว่านั้น ชาวอาเค๊อะยังมีการรวมกลุ่มกันระหว่างหมู่บ้าน ในช่วงเทศกาลปีใหม่จะมีการประชุมผู้นำจากหลายๆ หมู่บ้าน โดยพวกเขาจะมารวมตัวกันเพื่อวางแผนความร่วมมือระหว่างหมู่บ้านในด้านต่างๆ แม้แต่ละหมู่บ้านจะมีการบริหารจัดการภายในของตนเอง แต่ก็มีโครงการร่วมมือกันบ้าง เช่น มีการไปเยี่ยมเยือนหมู่บ้านอาเค๊อะในประเทศจีน การร่วมมือเช่นนี้ต้องอาศัยความเข้มแข็งและศักยภาพของกลุ่มชาติพันธุ์ ที่จะเชื่อมโยงอาเค๊อะ มิใช่เฉพาะในระดับหมู่บ้าน ในเขตเชียงตุงเท่านั้น แต่รวมถึงชุมชนอาเค๊อะพื้นที่อื่นๆ ที่ห่างไกล หรือข้ามประเทศด้วย (หน้า 78) ผู้ให้ข้อมูลรายหนึ่งเน้นย้ำกับผู้วิจัยว่าอาเค๊อะมีการรวมตัวกันเป็นเอกภาพ ซึ่งผู้วิจัยเห็นว่าความเป็นเอกภาพของอาเค๊อะ (Akeu unity) การร่วมมือระหว่างหมู่บ้านของอาเค๊อะ(trans-local)ได้สร้างความรู้สึกเป็นเอกภาพ ความเป็นหนึ่งเดียวกัน ให้เกิดขึ้นในหมู่อาเค๊อะ (หน้า 78) 

Political Organization

        สังคมของอาเค๊อะ ประกอบด้วยผู้นำทั้งทางโลกและทางศาสนา ซึ่งทั้งสองต่างได้รับการสนับสนุนจากผู้อาวุโสของหมู่บ้านผู้มีองค์ความรู้ในเรื่องขนบธรรมเนียมประเพณีที่ถ่ายทอดสืบต่อกันมาแบบมุขปาฐะ (oral tradition) ทั้งนี้ ผู้นำทั้งสองแบบต่างมีบทบาทและหน้าที่ความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน  กล่าวคือ หมู่บ้านใดที่นับถือผีจะมีพ่อหมอประจำบ้านทำหน้าที่ดูแลเรื่องต่างๆ ในทางจิตวิญญาณและประกอบพิธีกรรมสำคัญ อาทิ หากมีการอพยพโยกย้ายหมู่บ้านพ่อหมอต้องดูว่าจะย้ายไปที่ใด เวลาใด ส่วนผู้ใหญ่บ้านจะดูแลรับผิดชอบออกกฎและจัดการความขัดแย้ง แต่ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับส่วนรวมของหมู่บ้าน ผู้นำทั้งสองฝ่ายจะหารือกัน ผู้ใหญ่บ้านจะดูแลในทางปฏิบัติ และติดต่อกับหน่วยราชการของไทย จึงต้องสามารถสื่อสารภาษาไทยได้
         ณ หมู่บ้านห้วยน้ำขุ่น ประเทศไทย ซึ่งผู้วิจัยเข้าไปสำรวจพบว่าเป็นหมู่บ้านที่มีการนับถือผี แต่ไม่มีพ่อหมอประจำหมู่บ้าน เนื่องจาก พ่อหมอคนก่อนได้เสียชีวิตลงเมื่อ2 ปี ก่อน และยังหาผู้ที่เหมาะสมมารับหน้าที่ดังกล่าวมิได้  อีกทั้งกลุ่มผู้อาวุโสมีจำนวนน้อยลง และคนรุ่นใหม่ไม่มีความรู้เรื่องประเพณีจึงไม่สามารถแทนที่ผู้อาวุโสที่เสียชีวิตไป (หน้า 32)

Belief System

        ชาวอาเค๊อะส่วนมากนับถือผีและบูชาบรรพบุรุษซึ่งนับย้อนกลับไป 3 รุ่น อันถือเป็นสิ่งที่เคารพสูงสุด นอกจากนี้ยังเคารพเทพแห่งแผ่นดิน เนื่องจากเชื่อว่าเป็นผู้นำพืชผลอันอุดมสมบูรณ์ และความอยู่ดีมีสุขมาสู่ผู้คนและสรรพสัตว์ทั้งหลายในโลก ยิ่งไปกว่านั้น ชาวอาเค๊อะยังเชื่อในความมีอยู่ของพระผู้สร้าง แต่พระผู้สร้างไม่มีบทบาทสำคัญในการประกอบพิธีทางศาสนา พิธีกรรมส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการบูชาเทพท้องถิ่น หรือ บรรพบุรุษ ซึ่งเชื่อว่าเป็นสื่อกลางระหว่างคนกับเทพเจ้าและความอุดมสมบูรณ์ของผืนดินเป็นหลัก ( หน้า 33)
         กลุ่มอาเค๊อะที่อาศัยอยู่ในเมืองและใกล้เมืองเริ่มมีการเปลี่ยนไปนับถือพุทธและคริสต์
นอกจากนี้ ทั้งไทยและเมียนมาร์ถือว่าพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ตลอดจนเป็นส่วนหนึ่งของการกลืนกลายชนกลุ่มน้อย รัฐบาลเมียนมาร์มองว่าการเปลี่ยนไปนับถือพุทธเป็นการลดการแบ่งแยกอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ ในประเทศไทย บางวัดมีการจัดรายการพิเศษสำหรับกลุ่มชาวเขา หรือโรงเรียนประจำโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายให้กับเด็กๆ ตลอดจนมีคณะสงฆ์ไปเทศนาในหมู่บ้านต่างๆ (หน้า 33-34)
         ทั้งนี้ จากการเก็บข้อมูลภาคสนามพบว่า ชาวอาเค๊อะ ที่เมืองเชียงตุง ประเทศเมียนมาร์ นับถือพุทธศาสนา ในขณะที่หมู่บ้านห้วยน้ำขุ่น จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย นับถือผีอย่างเดียว อย่างไรก็ตาม คงมีชาวอาเค๊อะบางจำนวนทั้งในไทยและเมียนมาร์ที่เปลี่ยนมานับถือคริสต์ศาสนาด้วยเช่นกัน แต่ในการเปลี่ยนมานับถือคริสต์ศาสนา โดยเฉพาะนิกายโปรเตสแตนต์นั้น ผู้ที่เข้ารีตแล้วจะไม่นับถือผีร่วมด้วยต่างจากคนที่นับถือพุทธซึ่งยังเซ่นไหว้บูชาผีด้วย เนื่องจากคริสต์ศาสนาเคร่งครัดในเรื่องดังกล่าว  (หน้า 35)
         นอกจากนี้ ชาวอาเค๊อะยังมีความเชื่ออื่นๆ อาทิ หากหญิงอาเค๊อะให้กำเนิดลูกแฝดจะต้องฆ่าทารกทิ้ง และขับไล่พ่อแม่ของเด็กออกจากหมู่บ้าน (หน้า 54) 
         ด้านประเพณีพิธีกรรม ชาวอาเค๊อะยังมีประเพณีปีใหม่จัดขึ้นในวันที่เหมาะสมต่างกันไปในแต่ละหมู่บ้าน ตามปฏิทินของอาเค๊อะมี 13 เดือน เดือนที่ 13 คือ เดือนที่ฉลองปีใหม่  ในประเพณีปีใหม่นี้จะมีการไหว้บรรพบุรุษ ผู้เฒ่าผู้แก่จะไปเยี่ยมเยือนทุกครัวเรือนในหมู่บ้านเพื่อทำพิธีให้พร เทศกาลนี้จึงถือเป็นช่วงเวลาแห่งการแสดงความเคารพต่อผู้อาวุโสและบรรพบุรุษ
         ในประเพณีปีใหม่นี้ ผู้หญิงจะตื่นแต่เช้าก่อนพระอาทิตย์ขึ้น เพื่อเตรียมนึ่งข้าวเหนียวซึ่งมีส่วนผสมพิเศษจากข้าวหลากหลายชนิด และถือเป็นอาหารประจำเทศกาล โดยจะนำข้าวใส่ลงในหม้อ แล้วผู้หญิง 2 คน ช่วยกันตำด้วยสากไม้ ในความเป็นจริงชาวอาเคอะเรียกเทศกาลนี้ว่า“aol thaol thaol nail”แปลว่า ตำข้าวเหนียว ชาวอาเค๊อะเชื่อว่าพวกเขาสามารถเชื่อมโยงกับบรรพบุรุษโดยผ่านข้าวซึ่งเป็นต้นกำเนิดแห่งชีวิต ชาวบ้านส่วนใหญ่จะมีส่วนร่วมในการตำข้าวดังกล่าว เมื่อได้ข้าวตามที่ต้องการหลังจากนั้นจะนำไปทำเป็นก้อนเล็กๆ ห่อด้วยใบตองเพื่อใช้ไหว้บรรพบุรุษ ทั้งนี้ มี 2 ก้อน ที่ห่อแยกต่างหากใบตองเล็กๆ ส่วนที่เหลืออีก 9 ก้อน ห่อรวมกันด้วยใบตองยาว นอกจากนี้ ยังมีการเซ่นด้วยหมูและไก่อีกด้วย
         ทั้งนี้ ในการไหว้บรรพบุรุษ ผู้ชายที่อาวุโสที่สุดในครอบครัวจะเป็นคนนำการประกอบพิธี โดยเขาจะนำข้าว เนื้อ น้ำชา เหล้า เกลือ และขิง ไปเซ่นที่หิ้งบูชาบรรพบุรุษ และเชิญให้บรรพบุรุษมารับของที่เซ่นไหว้ จากนั้นขอให้บรรพบุรุษอวยพรให้กับลูกหลาน นอกจากนี้ ภาษาที่ใช้ในการประกอบพิธียังเป็นภาษาระดับสูงซึ่งเป็นองค์ความรู้เฉพาะ ไม่สามารถเข้าใจได้โดยทั่วไป โดยเฉพาะผู้เยาว์ ดังนั้น ผู้อาวุโสจึงมีความสำคัญในการติดต่อระหว่างครอบครัวกับบรรพบุรุษ
         เมื่อเสร็จพิธี ผู้อาวุโสจะร่วมกินข้าวกับสมาชิกอื่นๆ ในครอบครัว ผู้หญิงกับผู้ชายนั่งล้อมวงแยกกันคนละโต๊ะ และเรียงตามลำดับอายุ ข้าวสองก้อนที่ห่อแยกเป็นของพ่อและแม่ ส่วนที่เหลืออีก 9 ก้อน เป็นของสมาชิกคนอื่นๆ แต่ทั้งนี้ยังมีข้าวที่เตรียมไว้อีก ระหว่างกินข้าวร่วมกัน ผู้อาวุโสจะขอให้บรรพบุรุษและเทพเจ้าทั้งหลายอวยพรให้แก่ครอบครัว ขอบคุณเทพแห่งแผ่นดินที่มอบพืชพันธุ์อันสมบูรณ์ และขอให้ปกป้องคุ้มครอง ปราศจากโรคภัยซึ่งเกิดจากสิ่งชั่วร้าย ตลอดจนมีการเสี่ยงทายอนาคตจากตับหมูและกระดูกไก่ที่นำมาใช้เซ่น
          ในลำดับสุดท้ายของพิธี จะมีการนำข้าวจำนวนหนึ่งใส่ลงในกระบอกไม้ไผ่ แล้วราดด้วยชาและเหล้าลงบนกระบอก จากนั้น ผู้อาวุโสจะพรรณนาถึงฤดูการเพาะปลูก และขอให้
บรรพบุรุษปกป้องคุ้มครอง นำผลผลิตที่ดีมาสู่ ตลอดพิธีการทั้งหมดใช้เวลารวมหลายชั่วโมง เมื่อเสร็จสิ้นผู้อาวุโสจึงย้ายไปประกอบพิธียังบ้านอื่นๆ ต่อไป สำหรับหมู่บ้านขนาดใหญ่ สามารถประกอบพิธีโดยแบ่งย่อยเป็นกลุ่มเล็กๆ เพื่อลดระยะเวลา
          ทั้งนี้ ในช่วงเย็นพวกเขายังมีการเฉลิมฉลอง ร้องเพลง เต้นรำ ดื่มสุรา ร่วมด้วย และเป็นช่วงเวลาของหนุ่มสาวในการหาคู่ อย่างไรก็ตาม เมื่อทุกบ้านเสร็จสิ้นพิธีกรรมเรียบร้อยแล้ว เทศกาลปีใหม่ก็จะสิ้นสุดลงด้วยการออกไปกินข้าวในป่าร่วมกัน(หน้า 40, 55, 56)  การร้องรำทำเพลงและเกี้ยวพาราสีคงดำเนินต่อไป
          นอกจากประเพณีปีใหม่ อีกเทศกาลสำคัญ คือ “เทศกาลไข่”ในเดือน 2 ซึ่งจะเฉลิมฉลองกันด้วยการทำเค้กข้าว (rice cake) ซึ่งมีลักษณะคล้ายไข่ รับประทานร่วมกับน้ำตาลและเครื่องเทศ ทั้งนี้ มีการต้มไข่และทาสีแดงมอบให้กับเด็กๆ ซึ่งไข่ถือเป็นสัญลักษณ์ของความสมบูรณ์ ช่วงเวลานี้ยังเป็นเวลาที่ดีและเหมาะสมในการจัดพิธีแต่งงาน และสร้างบ้านใหม่ (หน้า 40)
          ทั้งนี้ หมู่บ้านอาเค๊อะที่นับถือผียังมีพิธีกรรมเกี่ยวกับประตูหมู่บ้านซึ่งมี 2 ประตู ประตูหนึ่งผู้คนจะใช้ในการเข้าออกหมู่บ้าน ในขณะที่อีกประตูใช้สำหรับเคลื่อนย้ายศพไปยังป่าช้า ประตูเหล่านี้ถือเป็นสัญลักษณ์แบ่งเขตระหว่างโลกมนุษย์กับป่าที่เชื่อว่าปกครองด้วยภูตผี เป็นสาเหตุของโรคภัยและความโชคร้าย ในช่วงเดือน 4 ของทุกปี ก่อนที่จะทำการเพาะปลูกข้าว จะมีพิธีเซ่นไหว้ประตูหมู่บ้าน เริ่มจากการบูรณะประตูและประดับตกแต่งประตูเพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้ายออกไปจากหมู่บ้าน โดยผู้ชายทั้งหมู่บ้านจะรับผิดชอบหน้าที่ในการบูรณะยกเว้นเพียงผู้ชายที่ภรรยากำลังตั้งครรภ์ เมื่อสร้างเสร็จจะมีการทำพิธีบูชาเทพแห่งแผ่นดินและบวงสรวงด้วยหมู 1 ตัว ไก่ 2 ตัว ข้าว เหล้า และเกลือ ครั้นเสร็จพิธีพ่อหมอประจำหมู่บ้านจะนำเมล็ดข้าวเมล็ดแรกไปปลูกในไร่นาเป็นคนแรก จากนั้นชาวบ้านคนอื่นๆ จะเพาะพืชพันธุ์อื่นๆ เช่น ดอกไม้ลงในไร่นาด้วย
         สำหรับประตูที่สร้างใหม่นี้จะอยู่ด้านขวาถัดจากประตูเดิมและหันเข้าหาหมู่บ้าน ดังนั้น ประตูดังกล่าวจะขยับเข้าใกล้หมู่บ้านยิ่งขึ้นในทุกๆ ปี เช่นเดียวกับ ประตูอีกด้านหนึ่งซึ่งจะขยับเข้าใกล้ป่าช้ายิ่งขึ้นในทุกๆ ปี เช่นกัน จนกระทั่งเมื่อประตูเข้าใกล้เรือนที่อยู่อาศัย หรือป่าช้าที่สุด ชาวอาเค๊อะจะทำการย้ายหมู่บ้านซึ่งมักปรากฏในรอบ 100 ปี (หน้า 41) ปัจจุบัน ณ หมู่บ้านห้วยน้ำขุ่น แม้ชาวอาเค๊อะจะไม่ได้เข้าออกโดยผ่านประตู แต่ประตูดังกล่าวยังถือเป็นสัญลักษณ์แบ่งเขตคุ้มครองหมู่บ้านจากสิ่งชั่วร้ายภายนอก (หน้า 41)
        นอกจากนี้ยังมีพิธีอื่นๆ ในฤดูเก็บเกี่ยวข้าว ช่วงเดือน10 -11 ครอบครัวอาเค๊อะจะทำการเฉลิมฉลองโดยการเลือกวันที่ดีแล้วกินข้าวใหม่ที่ได้จากการเก็บเกี่ยวครั้งใหม่นี้ร่วมกัน และอาจเซ่นสังเวยด้วยหมูหรือไก่ (หน้า 42)
         ความรู้เกี่ยวกับประเพณีและปฏิทินเหล่านี้มีการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น อย่างไรก็ตาม องค์ความรู้ดังกล่าวยังคงประสบปัญหาในเรื่องการสืบสานเช่นเดียวกับองค์ความรู้อื่นๆ กล่าวคือ เด็กรุ่นใหม่ ไม่มีความรู้เรื่องวันสำคัญและรายละเอียดเกี่ยวกับพิธีกรรม แต่ยังคงรู้วันเกิดของตนเองตามปฏิทินอาเคอะแบบดั้งเดิม และยังคงมีการใช้ปฏิทินเหล่านี้ซึ่งพิมพ์เป็นภาษาอาข่าตามบ้านเรือนทั่วไป ทั้งนี้ การเปลี่ยนศาสนาเป็นอีกปัจจัยหนึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของการใช้ปฏิทิน อาทิ ผู้ที่หันไปนับถือคริสต์แม้ยังคงให้ความสำคัญกับปฏิทินแบบดั้งเดิมเรื่องการนับเวลา แต่จะไม่ประกอบพิธีกรรมตามที่ปฏิทินกำหนด พิธีกรรมต่างๆ ในรอบปีดั้งเดิมมักถูกแทนที่ด้วยการเฉลิมฉลองตามแบบคริสต์ (หน้า 42-43) 

Education and Socialization

         โรงเรียนทั้งหลายเปิดโอกาสให้กับกลุ่มชาติพันธุ์ในการเข้ารับการศึกษา แต่ภาษาที่ใช้ในการเรียนการสอนมักเป็นภาษาราชการ เช่น ภาษาไทย และภาษาพม่า อย่างไรก็ตาม นักเรียนจำนวนมากคงพูดภาษาดั้งเดิมของตน  เด็กๆ ทั้งในประเทศไทยและเชียงตุงต่างเข้ารับการศึกษาในโรงเรียนซึ่งใช้ภาษาราชการเป็นภาษาหลักดังที่ได้กล่าวเช่นกัน ทั้งนี้ การศึกษาถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกับรัฐชาติ และวัฒนธรรมหลักสามารถแผ่อิทธิพลอย่างสัมฤทธิ์ผลผ่านระบบการศึกษานี้
         ในกรณีไม่มีโรงเรียนบริเวณใกล้เคียงหมู่บ้าน เด็กๆ มักถูกส่งไปโรงเรียนและอยู่หอพักซึ่งตั้งอยู่ห่างไปกว่าร้อยกิโลเมตร พวกเขาจึงเติบโตขึ้นโดยตัดขาดจากวัฒนธรรมและภาษาดั้งเดิมของตน สำหรับหมู่บ้านอาเค๊อะะส่วนมากที่ผู้วิจัยเข้าไปสำรวจมักมีโรงเรียนระดับประถมศึกษาตั้งอยู่ แต่ผู้อาวุโสทั้งหลายคงตำหนิเรื่องภูมิปัญญาและองค์ความรู้เดิมที่เลื่อนหายไป (หน้า 70)
         อย่างไรก็ตาม ยังมีการสอนภาษาเขียนของอาเคอะให้กับเด็กๆ ซึ่งภาษาเขียนดังกล่าว ถือเป็นสิ่งซึ่งแสดงอัตลักษณ์อีกประการของอาเค๊อะ ในอดีตชาวอาเค๊อะมักถูกดูหมิ่นว่ายากจน ไม่มีการศึกษา อยู่ในสถานภาพที่ต่ำเมื่อเทียบกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ การมีภาษาเขียนทำให้อาเค๊อะขยับสถานะขึ้นมาเท่าเทียมกับพวกอาข่า ฉาน หรือแม้กระทั่งเมียนมาร์ จากการเก็บข้อมูลภาคสนาม ผู้ให้ข้อมูลรายหนึ่งกล่าวว่า มีความภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่ปัจจุบัน เด็กๆ อาเค๊อะสามารถไปโรงเรียนและมีผลการเรียนดีกว่าเด็กฉาน (หน้า 79-80) 

Art and Crafts (including Clothing Costume)

          อาเค๊อะถือว่าการแต่งกายเป็นอัตลักษณ์สำคัญ การแต่งกายของอาเค๊อะที่ถูกต้องตามแบบแผน คือ ผู้ชายต้องใส่กางเกงขากว้างและเสื้อคลุมแขนยาวสีดำแบบจีน ในขณะที่ผู้หญิงจะนุ่งซิ่น สวมที่ครอบขา ใส่เสื้อแขนกุดตัวสั้น และเสื้อคลุมแขนยาว ยิ่งไปกว่านั้น เอกลักษณ์การแต่งกายที่โดดเด่นของผู้หญิงอาเค๊อะ คือ การโพกผ้าคลุมศีรษะสีดำ เครื่องประดับศีรษะ และการเจาะหูเพื่อใส่ต่างหูขนาดใหญ่
         นอกจากนี้ ผู้ชายมักแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีดำมีการประดับตกแต่งตามชายขอบเพียงเล็กน้อย ส่วนผู้หญิงจะสวมเสื้อผ้าที่มีสีสันสดใสกว่าโดยเฉพาะซิ่น และมีการสวมเครื่องประดับเงิน  สร้อยคอลูกปัด เข็ดขัดทำจากหอยเบี้ย ตลอดจนเครื่องประดับอื่นๆ อย่างไรก็ตาม การแต่งกายของชาวอาเค๊อะนี้ยังมีลักษณะที่แตกต่างไปตามแต่ละท้องถิ่นอีกด้วย อาทิ เราสามารถทราบถิ่นเกิดของหญิงอาเค๊อะได้ โดยสังเกตจากลักษณะการโพกผ้าคลุมศีรษะ แต่ในปัจจุบัน การแต่งกายตามประเพณีดั้งเดิมในชีวิตประจำวัน มักพบเฉพาะในหมู่ผู้สูงวัย และในท้องถิ่นห่างไกล หรือในช่วงเทศกาล 
         โดยสรุป แม้ชาวอาเค๊อะส่วนมากยังคงสวมใส่ชุดอาเค๊อะแบบดั้งเดิมแต่ก็มีการปรับเปลี่ยนและประยุกต์ไปตามสมัยนิยม เช่น การนำเสื้อคลุมของชนเผ่า มาสวมใส่กับกางเกงยีนส์แบบตะวันตก (หน้า 36)
          นอกจากนี้อาเค๊อะยังมีปฎิทินของตนเอง ซึ่งมีองค์ประกอบหลายประการคล้ายคลึงกับ
ปฎิทินจีน คือ มีลักษณะเป็นปี 12 นักษัตร ในปฎิทินดังกล่าว 1ปี มี 13 เดือน ประเพณีปีใหม่จะอยู่ในเดือนที่ 13 ซึ่งเป็นช่วงที่อยู่ระหว่างเดือน 12 กับเดือน 1  (หน้า 39)
         ในเทศกาลปีใหม่ ผู้หญิงอาเค๊อะจะฟ้อนรำเป็นวงกลมและถือภาชนะบรรจุสุรา ส่วนผู้ชายจะฟ้อนรอบๆ และพยายามชักชวนผู้หญิงมาร่วมฟ้อนรำด้วยกัน หากชักชวนสำเร็จผู้ชายจะนำภาชนะบรรจุสุราของฝ่ายหญิงมาถือไว้ ยิ่งไปกว่านั้น หากชายอาเค๊อะคนใดมีความสามารถด้านการฟ้อนรำมากมักมีการฟ้อนดาบร่วมด้วย เพลงที่ใช้มักใช้ถ้อยคำและภาษาที่สูง บรรยายถึงวิถีชีวิตทั่วไป (หน้า 56)

Folklore

          ชาวอาเค๊อะมีตำนานกล่าวว่า ครั้งหนึ่งนานมาแล้วพระเจ้าได้เรียกตัวแทนของผู้คนพวกต่างๆ ไปรับตัวอักษรเขียน พ่อหมอของอาเค๊อะได้รับตัวอักษรจารึกลงบนหนังควาย ครั้นระหว่างเดินทางกลับเขาได้เกิดความหิวอย่างมาก จึงก่อไฟและย่างหนังควายนั้นกิน ด้วยเหตุนี้ ชาวอาเค๊อะจึงไม่มีภาษาเขียน โครงเรื่องเช่นนี้ พบในตำนานของกลุ่มชาติพันธุ์หลายกลุ่มในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ไม่มีภาษาเขียน (หน้า 49-50) 

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

          อาเค๊อะมักถูกจัดเป็นกลุ่มย่อยของอาข่าและ Haniแต่คนอาเค๊อะเห็นว่ากลุ่มของตนแตกต่างจากอาข่า โดยเห็นได้จากเครื่องแต่งกายและภาษา
          เสื้อผ้า เครื่องแต่งกายถือเป็นสิ่งสำคัญแสดงถึงอัตลักษณ์ ความเป็นอาเค๊อะ รวมทั้ง การเจาะขยายรูหู และการแต่งฟันดำ ดังที่มีการกล่าวว่า “ หากฟันไม่ดำ ถือว่าไม่ใช่อาเค๊อะที่แท้จริง” การแต่งกายที่แตกต่างของอาเค๊อะเป็นเครื่องบ่งชี้หรือแสดงถึงตัวตนของพวกเขาว่าคือใครและ
อัตลักษณ์ความเป็นตัวตนดังกล่าวมิได้สิ้นสุดเพียงเมื่อเสียชีวิตลง เมื่อชาวอาเค๊อะเสียชีวิตจะถูกฝังไปพร้อมกับการแต่งกายด้วยชุดอาเค๊อะแบบดั้งเดิม เพื่อในชีวิตหลังความตายจะได้หาพวกพ้อง สายตระกูล และสมาชิกครอบครัวของตนเองพบ (หน้า 44-47)
          นอกจากการแต่งกาย ภาษาถือเป็นอีกสิ่งหนึ่งแสดงถึงอัตลักษณ์ความเป็นอาเค๊อะที่สำคัญที่สุด Cornell และ Harmann กล่าวว่า ภาษาเป็นสัญลักษณ์ทางชาติพันธุ์ที่ทรงพลัง สามารถสร้างและแสดงถึงขอบเขตอาณาบริเวณ (หน้า 48-49) ชาวอาเค๊อะมีภาษาพูดเป็นของตนเอง ถึงแม้ว่า คนอาเค๊อะจะอยู่ร่วมกับอาข่าและสามารถพูดสื่อสารภาษาอาข่าและภาษาอื่นๆ ได้ แต่การสอนให้เด็กๆ รู้ภาษาอาเค๊อะถือเป็นสิ่งที่สำคัญในการธำรง “ความเป็นอาเค๊อะ”
         ทั้งนี้ ระบบเครือญาติ ถือเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ชาวอาเค๊อะให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก และยังแสดงถึงอัตลักษณ์ความเป็นอาเค๊อะเช่นกัน ดังเห็นได้จาก การตั้งชื่อลูกจะนำคำสุดท้ายของชื่อพ่อมาเป็นคำแรกของชื่อลูก วิธีการดังกล่าวจะช่วยในการลำดับเครือญาติได้เป็นอย่างดี ณ หมู่บ้านห้วยน้ำขุ่น สิ่งที่สำคัญที่สุดของวัฒนธรรมอาเค๊อะ คือ บรรพบุรุษ ประเพณีและพิธี หรือ “aol saol kovq” ถือเป็นอีกสิ่งที่บ่งชี้ความเป็นอาเค๊อะ ในการทำพิธีต่างๆ จะต้องท่องสายตระกูลย้อนหลังไป 3 รุ่น อย่างไรก็ดี บรรพบุรุษคนแรกสุดของอาเค๊อะ คือ Thao Phaog ซึ่งเป็น
บรรพบุรุษร่วมของอาข่าและ Hani ด้วย เหตุนี้จึงทำให้อาเค๊อะไม่สามารถแยกออกจากอาข่าได้อย่างเด็ดขาด อาข่านับเป็นเครือญาติทางชาติพันธุ์ที่ใกล้ที่สุด (หน้า 50-52, 72)  

Social Cultural and Identity Change

        ภายใต้เงื่อนไขและสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง ชาวอาเค๊อะมีการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมเกิดขึ้นหลายประการเช่นกัน อาทิ ชาวอาเค๊อะที่หันไปนับถือคริสต์ศาสนาและพุทธศาสนามักละทิ้งการนับถือผีและบูชาบรรพบุรุษ โดยเฉพาะชาวพุทธที่ตั้งถิ่นฐานในเขตเมือง ห่างไกลจากสภาพสังคมเดิม นอกจากนี้ คริสต์ศาสนายังเน้นย้ำถึงด้านลบของการนับถือผี อาทิ การบูชายัญสัตว์จำนวนมาก การฆ่าทารกแฝดและขับไล่พ่อแม่ของเด็กออกจากหมู่บ้าน (หน้า 54)
        ด้านการแต่งงาน การแต่งงานข้ามกลุ่ม (exogamy) ซึ่งถือเป็นเรื่องผิดจารีตและต้องห้ามอย่างยิ่งในอดีตกลับมีการเพิ่มจำนวนมากขึ้นในปัจจุบัน เนื่องจากการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชาติพันธ์ที่เพิ่มขึ้น เด็กที่เกิดจากการแต่งงานข้ามกลุ่มจะมีอัตลักษณ์อย่างไรขึ้นอยู่กับภาษาที่ใช้และถิ่นที่พวกเขาเติบโต หากพวกเขาได้เรียนภาษาอาเค๊อะและเติบโตในหมู่บ้านอาเค๊อะก็จะเป็นอาเค๊อะ (หน้า 63-65, 70)  ทั้งนี้ ผู้ใหญ่ก็สามารถเปลี่ยนการเป็นสมาชิกของกลุ่มชาติพันธุ์ใด
ชาติพันธุ์หนึ่งได้เช่นกัน จากสภาพแวดล้อมทางภาษาและสังคมวัฒนธรรม เช่น หญิงอาเค๊อะที่แต่งงานกับชายต่างชาติก็จะสิ้นสุดการเป็นอาเค๊อะ
          นอกจากนี้ ยังมีการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมเรื่องเครื่องแต่งกายซึ่งนำการแต่งกายแบบดั้งเดิมมาผสมผสานเข้ากับการแต่งกายตามแบบสมัยใหม่ การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ส่งผลให้เกิดช่องว่างระหว่างกลุ่มผู้อาวุโส และคนรุ่นใหม่ที่ไม่สนใจเรียนรู้ประเพณีวัฒนธรรมดั้งเดิมของ
อาเค๊อะเพิ่มขึ้น ( หน้า 62) การแต่งกายแบบดั้งเดิมกลายเป็นภาพลักษณ์ในเชิงลบ แต่ผู้อาวุโสหญิงก็ไม่ย่อท้อต่อการแต่งกายตามขนบประเพณีในที่สาธารณะ ในประเทศไทย บางครั้งหน่วยราชการจะขอให้ตัวแทนของหมู่บ้านมาร่วมประชุมโดยแต่งกายในชุดประจำเผ่าเพื่อเป็นการสร้างความเป็น “ชาวเขา” ขึ้นอีกครั้ง ความเข้าใจเดิมที่ว่าอาเค๊อะ คือ อาข่า และความต้องการแสดงตัวตนของอาเค๊อะว่าไม่ใช่อาข่า สามารถนำมาซึ่งความสับสน โดยเฉพาะ ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับอาข่า แต่อาเค๊อะต้องการธำรงความแตกต่างนั้นไว้เพื่อรักษาสิทธิในการนิยามตัวตนของพวกเขา อย่างไรก็ตาม อาข่าถือเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใกล้ชิดกับอาเค๊อะที่สุด จึงต้องคำนึงถึงความสมดุลระหว่างความเหมือนกับความแตกต่างด้วย (หน้า 72)
          ทั้งนี้ การถูกนิยามและจัดจำแนกเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ จากภายนอกโดยเฉพาะจากภาครัฐ ถือเป็นประเด็นสำคัญของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอีกประเด็นหนึ่ง ในเมียนมาร์ บัตรประจำตัวของชาวอาเค๊อะมักระบุว่าพวกเขาเป็นชาวอาข่า เนื่องจาก หน่วยงานราชการไม่รู้จัก
อาเค๊อะ เป็นเหตุให้ชาวอาเค๊อะจำนวนมากจึงต้องการแสดงตัวตนว่าพวกเขาต่างจากอาข่า เพื่อทดแทนการถูกระบุในบัตรประจำตัว  แต่คงมีชาวอาเค๊อะส่วนหนึ่งที่ไม่ได้ใส่ใจกับการถูกเรียกว่า อาข่า เพราะถือว่ามีบรรพบุรุษร่วมกัน (หน้า 71)

Map/Illustration

1.  แผนผัง :  1.1) แผนภูมิแสดงปฏิทินในการประกอบการเพาะปลูกและพิธีกรรมความเชื่อทางเกี่ยวกับการนับถือผีและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในธรรมชาติ หน้า 39
2.  แผนที่ :  2.1) แผนที่แสดงบริเวณที่ชาวอาเค๊อะะตั้งถิ่นฐาน  หน้า 8
3.  ภาพ :  3.1) หมู่บ้านอาเค๊อะะห้วยน้ำขุ่น หน้า 30  3.2) เรือนอาเค๊อะะซึ่งสร้างตามแบบดั้งเดิม แต่มีการนำวัสดุอุปกรณ์สมัยใหม่มาใช้ หน้า 31 3.3) การแต่งกายแบบอาเค๊อะะ หน้า 24 

Text Analyst ชลธิชา ขุนทอง Date of Report 08 มิ.ย 2562
TAG อาเค๊อะ, อาข่า, การสร้างอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์, เชียงตุง, ประเทศไทย, ห้วยน้ำขุ่น, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง