|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
อาเค๊อะ อาข่า การสร้างอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ เชียงตุง ประเทศไทย ห้วยน้ำขุ่น |
Author |
Kaisa Niemi |
Title |
Changing Minds, Changing Hats Construction and Expression of Akeu Ethnic Identity in Thailand and Myanmar |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
อาเคอะ อ่อเหงี่ยก๊อคือ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
93 |
Year |
2557 |
Source |
Niemi, kaisa, Changing Minds, Changing Hats Construction and Expression of Akeu Ethnic Identity in Thailand and Myanmar. University of Oulu, Master’s Thesis, 2014. |
Abstract |
อาเค๊อะเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ย่อยของอาข่าซึ่งไม่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางนักในสังคม ดังนั้น การสร้างอัตลักษณ์และตัวตนจึงเป็นประเด็นสำคัญ อัตลักษณ์ของอาเค๊อะเกิดจาก ความสัมพันธ์ทางสายโลหิต วิถีชีวิตและวัฒนธรรม อาทิ เครื่องแต่งกาย ภาษาพูด จารีต ประเพณี และพิธีกรรม รวมทั้งสภาพแวดล้อม
ในเมียนมาร์ บัตรประจำตัวของชาวอาเค๊อะมักระบุว่าพวกเขาเป็นชาวอาข่า เนื่องจาก หน่วยงานราชการไม่รู้จักอาเค๊อะ นอกจากนี้ พวกเขายังถูกนับรวมเป็นหนึ่งเดียวกับอาข่าซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใหญ่กว่า โดยเรียกว่า อาเค๊อะ-อาข่า ชาวอาเค๊อะจำนวนมากจึงต้องการแสดงตัวตนว่าพวกเขาต่างจากอาข่า แต่คงมีชาวอาเค๊อะส่วนหนึ่งที่ยอมรับว่าพวกเขามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดทางชาติพันธุ์กับกลุ่มอาข่า
ตัวอย่างข้อมูลจากการลงพื้นที่ภาคสนาม พบว่า ชาวอาเค๊อะมีความกังวลต่อสายตาของบุคคลภายนอกที่มักมองมายังกลุ่มของพวกเขาว่าเป็นกลุ่มเดียวกับอาข่า จึงมีการชุมนุมและรวมตัวกันเพื่อหารือถึงปัญหาดังกล่าว ชาวอาเค๊อะมีความมุ่งหมายในการสร้างตัวตนให้เป็นที่ประจักษ์และรับรู้ในสังคมภายนอก ดังเห็นได้ว่า พวกเขาปฏิเสธการจัดงานเฉลิมฉลองปีใหม่รวมกับอาข่า เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม เป็นอีกปัจจัยสำคัญ ก่อให้เกิดการพยายามสร้างอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ด้วยเช่นกัน กล่าวคือ การที่ชาวอาเค๊อะเปลี่ยนวิถีชีวิตจากการทำไร่เลื่อนลอยเป็นเพาะปลูกเพื่อจำหน่าย และอพยพเข้าไปทำงานในเมือง เพราะต้องการเงิน ทำให้มีปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มชาติพันธ์อื่นมากยิ่งขึ้น นำมาสู่การแต่งงานข้ามกลุ่มและผสมผสานทางวัฒนธรรม ยิ่งไปกว่านั้น ระบบการศึกษาและสื่อต่างๆ ยังลบเส้นเขตแดนระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ลง การสร้างอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์จึงเป็นสิ่งจำเป็น นอกจากนี้ พวกเขายังต้องการสร้างอัตลักษณ์ใหม่ว่าเป็นกลุ่มที่มีการศึกษาและมีภาษาเขียน เพื่อยกระดับสถานภาพและภาพลักษณ์ในสังคมให้ดีขึ้น ผู้วิจัย สรุปว่า อาเค๊อะอยู่ในระหว่างกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่การทำให้เป็นสมัยใหม่ (modernization) โดยมองหาวิธีการรักษาอัตลักษณ์ดั้งเดิมของตนไว้ด้วย |
|
Focus |
งานวิจัยนี้มุ่งศึกษาและสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับอาเค๊อะ เนื่องจากเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่
มิค่อยเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ตลอดจนศึกษาการสร้างอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของพวกเขา ในสภาวะที่แวดล้อมด้วยกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ที่หลากหลาย
โดย ผู้วิจัยจะศึกษาองค์ประกอบทางวัฒนธรรมทั้งในเชิงรูปธรรมและนามธรรมซึ่งเป็นดั่งสัญลักษณ์ของการสร้างอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ และการนำสัญลักษณ์เหล่านั้นมาใช้ในการนิยามความหมายของชาวอาเค๊อะ ในแถบประเทศไทย และเชียงตุง ประเทศเมียนมาร์ |
|
Theoretical Issues |
ผู้วิจัยทำการเก็บข้อมูลภาคสนามจากหมู่บ้านอาเค๊อะหลายแห่งทั้งในประเทศไทยและ
เมียนมาร์ ข้อมูลที่ได้มีทั้งจากการสัมภาษณ์ การเขียนรายงานบันทึกการสำรวจ ภาพถ่าย และการบันทึกเทปวีดีโอ
ทั้งนี้ ในการสัมภาษณ์นั้น ผู้วิจัยได้ทำการสัมภาษณ์ชาวอาเค๊อะจำนวน 17 คน และคำถามที่ใช้มีหลากหลายประเด็น แต่มักเกี่ยวข้องกับด้านวัฒนธรรมเป็นหลัก อาทิ ปฏิทินของ
อาเค๊อะ เทศกาลและพิธีกรรมสำคัญ (หน้า 10)
ผู้วิจัยใช้แนวคิดของ Barthที่แย้งว่าการปฏิสัมพันธ์กับภายนอกมากขึ้นนั้นไม่ได้นำไปสู่การกลืนกลายเสมอไป และเสนอว่า การปฏิสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมกลับเป็นการสร้างกลุ่มและสร้างความแตกต่างเพื่อแบ่งแยก “ตัวเรา” ออกจากผู้อื่น อีกทั้งใช้แนวคิด “constructionism” เป็นแนวหลัก ซึ่งเสนอว่า ลักษณะทางวัฒนธรรมที่สร้างความแตกต่างระหว่างกลุ่มมักถูกนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์ทางชาติพันธุ์เพื่อขีดเส้นแบ่งขอบเขตของกลุ่ม (หน้า 44)
งานวิจัยนี้จึงให้ความสำคัญในเรื่องความแตกต่างระหว่างการนิยามตนเองของชาวอาเค๊อะกับการจัดจำแนกจากภายนอก การเปลี่ยนแปลงทางสังคม ว่ามีผลกระทบต่ออัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของอาเค๊อะอย่างไร (หน้า 9-10) และผู้วิจัยสรุปว่า อาเค๊อะอยู่ในระหว่างกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่การทำให้เป็นสมัยใหม่ (modernization) โดยมองหาวิธีการรักษาอัตลักษณ์ดั้งเดิมของตนไว้ด้วย |
|
Ethnic Group in the Focus |
กลุ่มชาติพันธุ์ที่ศึกษาในงานวิจัยนี้ คือ “อาเค๊อะ” ทั้งนี้ ชาวอาเค๊อะ นิยมเรียกตนเองว่า ก๊กคือ (Gaolkheel) ซึ่งเป็นชื่อสายตระกูล 1 ใน 12 สายตระกูล ตามตำนานเล่าว่า เมื่อครั้งอยู่ที่ทิเบต พวกเขาอยู่ในหมู่บ้านใหญ่ซึ่งสมาชิกทั้งหมดสืบเชื้อสายจากสายตระกูลดังกล่าว ดังนั้น คำนี้จึงถูกนำมาใช้เรียกแทนพวกเขาทั้งหมด
ส่วนคำว่า “อาเค๊อะ” เป็นคำที่จีนเรียก ที่มาของคำแบ่งได้เป็น 2 แนวทาง คือ 1) เมื่อครั้งที่ชนเผ่าต่างๆซึ่งอาศัยอยู่ในมณฑลยูนนานเริ่มอพยพลงไปทางตอนใต้ ชาวอาเค๊อะไม่ยอมอพยพตาม เนื่องจากไม่รู้ว่าจะไปที่ใด ชาวจีนจึงเริ่มเรียกพวกเขาว่า เคอ โล (keu lo) แปลว่า “ไปให้พ้น” 2) รัฐบาลจีนต้องการตั้งชื่อที่เป็นทางการให้กับกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ จึงเรียกพวกเขามาลงทะเบียนรายชื่อ แต่ตัวแทนของอาเค๊อะมาช้ากว่ากำหนดและสำนักงานได้ปิดเรียบร้อยแล้ว จึงถูกไล่ว่า “ไปให้พ้น” อันเป็นที่มาของชื่อ
ในงานวิจัยนี้ ผู้วิจัยจะใช้คำว่า “อาเค๊อะ” ซึ่งเป็นคำที่เป็นทางการ และชาวอาเค๊อะนิยมใช้คำดังกล่าว เมื่อมีการติดต่อสื่อสารกับบุคคลภายนอกโดยใช้ภาษาอื่น (หน้า 9) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาพูดของอาเค๊อะ จัดอยู่ในสาขา Southern Ngwi ในตระกูลทิเบต-พม่า (Tibeto-Burman) เช่นเดียวกับภาษาอาข่า (หน้า 3)
ทั้งนี้ มีการประดิษฐ์ภาษาเขียนขึ้นราวต้น ค.ศ. 2000 โดยมีวัตถุประสงค์หลัก คือ ใช้ในการแปลคัมภีร์ไบเบิลของผู้นับถือคริสต์ แต่ผู้อาวุโสที่รู้ภาษาเขียนหวังว่าจะใช้ภาษาเขียนดังกล่าวในการบันทึกและถ่ายทอดประเพณีดั้งเดิม มีการสอนภาษาให้เด็กๆ แต่ในหมู่บ้านที่มี
อาเคอะและอาข่าปนกัน เด็กๆ มักเรียนภาษาอาข่าเป็นภาษาหลัก (หน้า 36) |
|
Study Period (Data Collection) |
ผู้วิจัยเก็บข้อมูลภาคสนาม ณ ประเทศไทยและประเทศเมียนมาร์ ในระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม ค.ศ.2012 (หน้า 4) โดยใช้เวลาราว 6 สัปดาห์ สำหรับประเทศไทยได้เยี่ยมเยือนหมู่บ้านอาเค๊อะ 2 แห่ง หลังจากนั้นจึงสำรวจหมู่บ้านอาเค๊อะอีก 6 แห่ง ในประเทศ
เมียนมาร์ (หน้า 10) |
|
History of the Group and Community |
อาเค๊อะมีถิ่นกำเนิดเดิมอยู่บริเวณทิเบต ต่อมาประสบภาวะสงคราม จึงต้องลี้ภัยจากทิเบต และอพยพสู่มณฑลยูนนาน ตอนใต้ของจีน ที่ซึ่งพวกเขาอยู่อาศัยมาจนถึงปลายศตวรรษก่อน แต่สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนไปในช่วงทศวรรษ 1940 เมื่อรัฐบาลจีนมีนโยบายรวมชาติและพยายามกลืนกลายวัฒนธรรมชาติพันธุ์ต่างๆ ให้เป็นหนึ่งเดียว ชาวอาเค๊อะบางกลุ่มได้ช่วยต่อสู้ในกองทหารก๊กมินตั๋งจึงทำให้รัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์มีทัศนคติเชิงลบต่อพวกเขา นำมาซึ่งการถูกรัฐบาลจีนกดดันให้ละทิ้งหมู่บ้าน อาเค๊อะหลายกลุ่มจึงอพยพออกจากจีนและมุ่งตั้งถิ่นฐานใหม่ในประเทศเมียนมาร์ ลาว และไทย
อาเค๊อะกลุ่มแรกเข้ามาตั้งถิ่นฐานในดินแดนไทยราว ปี 1960 และกลุ่มอื่นๆ ค่อยๆ ทยอยอพยพตามมา เนื่องจากสงครามกลางเมือง และความไม่สงบทางการเมืองโดยเฉพาะในประเทศเมียนมาร์ (หน้า 7) |
|
Settlement Pattern |
หมู่บ้านอาเค๊อะตามแบบดั้งเดิมมักตั้งอยู่ในระดับความสูงระดับปานกลางของภูเขา (mid-altitude of the mountain) สร้างบ้านเป็นเรือนยกพื้น ผนังและพื้นทำด้วยไม้ไผ่ (split of bamboo) ไม่มีหน้าต่าง หลังคามุงด้วยใบจาก
ทั้งนี้ ในปัจจุบันหมู่บ้านอาเค๊อะได้อพยพลงมายังพื้นราบ บ้านเรือนแบบดั้งเดิมเริ่มถูกแทนที่ด้วยเรือนตามแบบสมัยใหม่ หลังคาสังกะสีเริ่มเป็นที่แพร่หลายแทนหลังคาใบจากซึ่งต้องเปลี่ยนทุก 2-3 ปี ดังเห็นได้จาก ในประเทศไทย บ้านเรือนอาเค๊อะที่สร้างใหม่มักสร้างตามแบบสมัยนิยม คือ หลังคามุงด้วยสังกะสี ผนังทำจากไม้ และใช้เสาซีเมนต์ มีที่เก็บสิ่งของใต้ถุนเรือน (หน้า 31) ส่วนเรือนอาเค๊อะในประเทศเมียนมาร์นิยมปลูกสร้างจากอิฐแนบติดพื้นดิน
หมู่บ้านอาเค๊อะในประเทศไทยมักมีการทำประปาภูเขา และหลายหมู่บ้านที่ผู้วิจัยเข้าไปเก็บข้อมูลภาคสนามพบว่า มีไฟฟ้าและอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ เพื่อใช้สอยเรียบร้อยแล้ว อาทิ หลอดไฟ เครื่องทำน้ำอุ่น เครื่องซักผ้า จานดาวเทียม เป็นต้น แต่ยังนิยมก่อไฟกับพื้นในการประกอบอาหาร (หน้า 31-32) |
|
Demography |
จำนวนประชากรอาเค๊อะมาจากหลายแหล่งข้อมูล การสำรวจของ Ethnologue เมื่อปี 2013 สันนิษฐานว่า มีประชากรอาเค๊อะจำนวนราว 12,400 คน กล่าวคือ มี 1,000 คน อยู่ในรัฐฉาน ประเทศเมียนมาร์ 1,000 คน อยู่ในลาว 400 คน ในภาคเหนือของไทย และที่เหลืออยู่ในจีน (หน้า 7)
ทั้งนี้ Chazée ยังได้กล่าวถึงกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งที่มิค่อยเป็นที่รู้จักและตั้งถิ่นฐานอยู่อย่างโดดเดี่ยว ในประเทศลาว เรียกว่า “เคอ” มีจำนวนประชากร 2,000คน อย่างไรก็ตาม Schliesinger ระบุว่า “Keu” ในลาว ถูกเรียกว่า “อาเค๊อะ”หรือ “Khir”และผู้ให้ข้อมูลบางคนยังระบุว่ามีบ้าน
อาเค๊อะในเวียดนามด้วย (หน้า 7) |
|
Economy |
ในอดีตชาวอาเค๊อะดำรงชีพด้วยการทำไร่แบบเลื่อนลอยเป็นหลัก แต่เนื่องด้วยความจำกัดของพื้นที่เนื่องจากมีการตั้งถิ่นฐานอย่างหนาแน่นขึ้นทั้งในเชียงตุง และภาคเหนือของไทย ประกอบกับการทำไร่เลื่อนลอยถือว่าผิดกฎหมาย ตลอดจนภาครัฐมีความเคร่งครัดในการใช้และถือครองที่ดิน เป็นเหตุให้ชาวอาเค๊อะต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตจากการทำไร่เลื่อนลอยแบบเดิมเป็นการทำไร่หมุนเวียนและปลูกพืชเศรษฐกิจเพื่อจำหน่าย อาทิ ชา กาแฟ ถั่วลิสง และสัปปะรด นอกเหนือจากการเพาะปลูกข้าวซึ่งเป็นพืชหลัก (หน้า 30) ณ หมู่บ้านห้วยน้ำขุ่น ชาวอาเค๊อะใช้พื้นที่เพียง 3 ไร่ ปลูกพืชหมุนเวียนในรอบ 3 ปี คือ ปลูกข้าว 1 ปี และพืชผลอื่นๆ 2 ปี หลังจากนั้นจึงทำการเผาเพื่อเพิ่มแร่ธาตุให้กับผืนดิน (หน้า 40)
กฎหมายและจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น ถือเป็นปัจจัยสำคัญนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของกลุ่มชนในเขตพื้นที่สูง ทั้งรูปแบบการเพาะปลูกดังที่ได้กล่าว นอกจากนี้ยังทำให้เกิดการขายแรงงาน ชาวเขาจำนวนมากรวมทั้งอาเค๊อะมีการอพยพเข้าสู่เมืองเพื่อหางานทำ แต่ก็เป็นได้เพียงแรงงานระดับล่างซึ่งได้รับค่าตอบแทนในอัตราต่ำ (หน้า 67) |
|
Social Organization |
ชาวอาเค๊อะให้ความสำคัญกับระบบเครือญาติ การบูชาบรรพบุรุษ และระบบอาวุโส ซึ่งสะท้อนผ่านประเพณีพิธีกรรมต่างๆ อาทิ ในพิธีบูชาบรรพบุรุษช่วงเทศกาลปีใหม่ ผู้อาวุโสชายสูงสุดในครอบครัวต้องเป็นผู้นำการประกอบพิธีเซ่นไหว้ และหลังเสร็จพิธีเมื่อมีการรับประทานอาหารร่วมกันจะมีการจัดลำดับการนั่งตามความอาวุโส
ด้านการแต่งงาน ชาวอาเค๊อะมักแต่งงานตั้งแต่อายุยังเยาว์ โดยทั่วไป ระหว่าง 15-16 ปี ช่วงเทศกาลปีใหม่ เป็นช่วงที่เปิดโอกาสให้หนุ่มสาวได้เกี้ยวพาราสีกัน โดยฝ่ายหญิงมีอิสระในการเลือกคู่ (หน้า 56) อย่างไรก็ตาม ตามประเพณีดั้งเดิมอาเค๊อะมีการเคร่งครัดเรื่องการแต่งงานเฉพาะในหมู่พวกพ้องเดียวกัน การแต่งงานข้ามชาติพันธุ์เป็นเรื่องต้องห้าม (หน้า 64)
นอกจากนี้ อาเคอะในพื้นที่ซึ่งผู้วิจัยเข้าไปเก็บข้อมูล พบว่ามีการใช้โรงเรียน บริการสาธารณสุข และศาสนสถาน ร่วมกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ยกเว้นเพียงโบสถ์คริสต์ซึ่งมีการบริหารจัดการตามสายชาติพันธุ์ (ethnic line) และคริสต์ศาสนายังดูเหมือนเป็นสื่อในการผนวก
อาเค๊อะเข้ากับอาข่า เนื่องจากคริสต์ศาสนิกชนชาวอาเค๊อะมีจำนวนน้อยจึงต้องอาศัยโบสถ์ของ
อาข่าในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา มีชาวอาเค๊อะในเมียนมาร์เพียงจำนวนไม่มากที่ใช้โบสถ์ของชาวฉาน (หน้า 69)
ยิ่งไปกว่านั้น ชาวอาเค๊อะยังมีการรวมกลุ่มกันระหว่างหมู่บ้าน ในช่วงเทศกาลปีใหม่จะมีการประชุมผู้นำจากหลายๆ หมู่บ้าน โดยพวกเขาจะมารวมตัวกันเพื่อวางแผนความร่วมมือระหว่างหมู่บ้านในด้านต่างๆ แม้แต่ละหมู่บ้านจะมีการบริหารจัดการภายในของตนเอง แต่ก็มีโครงการร่วมมือกันบ้าง เช่น มีการไปเยี่ยมเยือนหมู่บ้านอาเค๊อะในประเทศจีน การร่วมมือเช่นนี้ต้องอาศัยความเข้มแข็งและศักยภาพของกลุ่มชาติพันธุ์ ที่จะเชื่อมโยงอาเค๊อะ มิใช่เฉพาะในระดับหมู่บ้าน ในเขตเชียงตุงเท่านั้น แต่รวมถึงชุมชนอาเค๊อะพื้นที่อื่นๆ ที่ห่างไกล หรือข้ามประเทศด้วย (หน้า 78) ผู้ให้ข้อมูลรายหนึ่งเน้นย้ำกับผู้วิจัยว่าอาเค๊อะมีการรวมตัวกันเป็นเอกภาพ ซึ่งผู้วิจัยเห็นว่าความเป็นเอกภาพของอาเค๊อะ (Akeu unity) การร่วมมือระหว่างหมู่บ้านของอาเค๊อะ(trans-local)ได้สร้างความรู้สึกเป็นเอกภาพ ความเป็นหนึ่งเดียวกัน ให้เกิดขึ้นในหมู่อาเค๊อะ (หน้า 78) |
|
Political Organization |
สังคมของอาเค๊อะ ประกอบด้วยผู้นำทั้งทางโลกและทางศาสนา ซึ่งทั้งสองต่างได้รับการสนับสนุนจากผู้อาวุโสของหมู่บ้านผู้มีองค์ความรู้ในเรื่องขนบธรรมเนียมประเพณีที่ถ่ายทอดสืบต่อกันมาแบบมุขปาฐะ (oral tradition) ทั้งนี้ ผู้นำทั้งสองแบบต่างมีบทบาทและหน้าที่ความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน กล่าวคือ หมู่บ้านใดที่นับถือผีจะมีพ่อหมอประจำบ้านทำหน้าที่ดูแลเรื่องต่างๆ ในทางจิตวิญญาณและประกอบพิธีกรรมสำคัญ อาทิ หากมีการอพยพโยกย้ายหมู่บ้านพ่อหมอต้องดูว่าจะย้ายไปที่ใด เวลาใด ส่วนผู้ใหญ่บ้านจะดูแลรับผิดชอบออกกฎและจัดการความขัดแย้ง แต่ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับส่วนรวมของหมู่บ้าน ผู้นำทั้งสองฝ่ายจะหารือกัน ผู้ใหญ่บ้านจะดูแลในทางปฏิบัติ และติดต่อกับหน่วยราชการของไทย จึงต้องสามารถสื่อสารภาษาไทยได้
ณ หมู่บ้านห้วยน้ำขุ่น ประเทศไทย ซึ่งผู้วิจัยเข้าไปสำรวจพบว่าเป็นหมู่บ้านที่มีการนับถือผี แต่ไม่มีพ่อหมอประจำหมู่บ้าน เนื่องจาก พ่อหมอคนก่อนได้เสียชีวิตลงเมื่อ2 ปี ก่อน และยังหาผู้ที่เหมาะสมมารับหน้าที่ดังกล่าวมิได้ อีกทั้งกลุ่มผู้อาวุโสมีจำนวนน้อยลง และคนรุ่นใหม่ไม่มีความรู้เรื่องประเพณีจึงไม่สามารถแทนที่ผู้อาวุโสที่เสียชีวิตไป (หน้า 32) |
|
Belief System |
ชาวอาเค๊อะส่วนมากนับถือผีและบูชาบรรพบุรุษซึ่งนับย้อนกลับไป 3 รุ่น อันถือเป็นสิ่งที่เคารพสูงสุด นอกจากนี้ยังเคารพเทพแห่งแผ่นดิน เนื่องจากเชื่อว่าเป็นผู้นำพืชผลอันอุดมสมบูรณ์ และความอยู่ดีมีสุขมาสู่ผู้คนและสรรพสัตว์ทั้งหลายในโลก ยิ่งไปกว่านั้น ชาวอาเค๊อะยังเชื่อในความมีอยู่ของพระผู้สร้าง แต่พระผู้สร้างไม่มีบทบาทสำคัญในการประกอบพิธีทางศาสนา พิธีกรรมส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการบูชาเทพท้องถิ่น หรือ บรรพบุรุษ ซึ่งเชื่อว่าเป็นสื่อกลางระหว่างคนกับเทพเจ้าและความอุดมสมบูรณ์ของผืนดินเป็นหลัก ( หน้า 33)
กลุ่มอาเค๊อะที่อาศัยอยู่ในเมืองและใกล้เมืองเริ่มมีการเปลี่ยนไปนับถือพุทธและคริสต์
นอกจากนี้ ทั้งไทยและเมียนมาร์ถือว่าพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ตลอดจนเป็นส่วนหนึ่งของการกลืนกลายชนกลุ่มน้อย รัฐบาลเมียนมาร์มองว่าการเปลี่ยนไปนับถือพุทธเป็นการลดการแบ่งแยกอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ ในประเทศไทย บางวัดมีการจัดรายการพิเศษสำหรับกลุ่มชาวเขา หรือโรงเรียนประจำโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายให้กับเด็กๆ ตลอดจนมีคณะสงฆ์ไปเทศนาในหมู่บ้านต่างๆ (หน้า 33-34)
ทั้งนี้ จากการเก็บข้อมูลภาคสนามพบว่า ชาวอาเค๊อะ ที่เมืองเชียงตุง ประเทศเมียนมาร์ นับถือพุทธศาสนา ในขณะที่หมู่บ้านห้วยน้ำขุ่น จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย นับถือผีอย่างเดียว อย่างไรก็ตาม คงมีชาวอาเค๊อะบางจำนวนทั้งในไทยและเมียนมาร์ที่เปลี่ยนมานับถือคริสต์ศาสนาด้วยเช่นกัน แต่ในการเปลี่ยนมานับถือคริสต์ศาสนา โดยเฉพาะนิกายโปรเตสแตนต์นั้น ผู้ที่เข้ารีตแล้วจะไม่นับถือผีร่วมด้วยต่างจากคนที่นับถือพุทธซึ่งยังเซ่นไหว้บูชาผีด้วย เนื่องจากคริสต์ศาสนาเคร่งครัดในเรื่องดังกล่าว (หน้า 35)
นอกจากนี้ ชาวอาเค๊อะยังมีความเชื่ออื่นๆ อาทิ หากหญิงอาเค๊อะให้กำเนิดลูกแฝดจะต้องฆ่าทารกทิ้ง และขับไล่พ่อแม่ของเด็กออกจากหมู่บ้าน (หน้า 54)
ด้านประเพณีพิธีกรรม ชาวอาเค๊อะยังมีประเพณีปีใหม่จัดขึ้นในวันที่เหมาะสมต่างกันไปในแต่ละหมู่บ้าน ตามปฏิทินของอาเค๊อะมี 13 เดือน เดือนที่ 13 คือ เดือนที่ฉลองปีใหม่ ในประเพณีปีใหม่นี้จะมีการไหว้บรรพบุรุษ ผู้เฒ่าผู้แก่จะไปเยี่ยมเยือนทุกครัวเรือนในหมู่บ้านเพื่อทำพิธีให้พร เทศกาลนี้จึงถือเป็นช่วงเวลาแห่งการแสดงความเคารพต่อผู้อาวุโสและบรรพบุรุษ
ในประเพณีปีใหม่นี้ ผู้หญิงจะตื่นแต่เช้าก่อนพระอาทิตย์ขึ้น เพื่อเตรียมนึ่งข้าวเหนียวซึ่งมีส่วนผสมพิเศษจากข้าวหลากหลายชนิด และถือเป็นอาหารประจำเทศกาล โดยจะนำข้าวใส่ลงในหม้อ แล้วผู้หญิง 2 คน ช่วยกันตำด้วยสากไม้ ในความเป็นจริงชาวอาเคอะเรียกเทศกาลนี้ว่า“aol thaol thaol nail”แปลว่า ตำข้าวเหนียว ชาวอาเค๊อะเชื่อว่าพวกเขาสามารถเชื่อมโยงกับบรรพบุรุษโดยผ่านข้าวซึ่งเป็นต้นกำเนิดแห่งชีวิต ชาวบ้านส่วนใหญ่จะมีส่วนร่วมในการตำข้าวดังกล่าว เมื่อได้ข้าวตามที่ต้องการหลังจากนั้นจะนำไปทำเป็นก้อนเล็กๆ ห่อด้วยใบตองเพื่อใช้ไหว้บรรพบุรุษ ทั้งนี้ มี 2 ก้อน ที่ห่อแยกต่างหากใบตองเล็กๆ ส่วนที่เหลืออีก 9 ก้อน ห่อรวมกันด้วยใบตองยาว นอกจากนี้ ยังมีการเซ่นด้วยหมูและไก่อีกด้วย
ทั้งนี้ ในการไหว้บรรพบุรุษ ผู้ชายที่อาวุโสที่สุดในครอบครัวจะเป็นคนนำการประกอบพิธี โดยเขาจะนำข้าว เนื้อ น้ำชา เหล้า เกลือ และขิง ไปเซ่นที่หิ้งบูชาบรรพบุรุษ และเชิญให้บรรพบุรุษมารับของที่เซ่นไหว้ จากนั้นขอให้บรรพบุรุษอวยพรให้กับลูกหลาน นอกจากนี้ ภาษาที่ใช้ในการประกอบพิธียังเป็นภาษาระดับสูงซึ่งเป็นองค์ความรู้เฉพาะ ไม่สามารถเข้าใจได้โดยทั่วไป โดยเฉพาะผู้เยาว์ ดังนั้น ผู้อาวุโสจึงมีความสำคัญในการติดต่อระหว่างครอบครัวกับบรรพบุรุษ
เมื่อเสร็จพิธี ผู้อาวุโสจะร่วมกินข้าวกับสมาชิกอื่นๆ ในครอบครัว ผู้หญิงกับผู้ชายนั่งล้อมวงแยกกันคนละโต๊ะ และเรียงตามลำดับอายุ ข้าวสองก้อนที่ห่อแยกเป็นของพ่อและแม่ ส่วนที่เหลืออีก 9 ก้อน เป็นของสมาชิกคนอื่นๆ แต่ทั้งนี้ยังมีข้าวที่เตรียมไว้อีก ระหว่างกินข้าวร่วมกัน ผู้อาวุโสจะขอให้บรรพบุรุษและเทพเจ้าทั้งหลายอวยพรให้แก่ครอบครัว ขอบคุณเทพแห่งแผ่นดินที่มอบพืชพันธุ์อันสมบูรณ์ และขอให้ปกป้องคุ้มครอง ปราศจากโรคภัยซึ่งเกิดจากสิ่งชั่วร้าย ตลอดจนมีการเสี่ยงทายอนาคตจากตับหมูและกระดูกไก่ที่นำมาใช้เซ่น
ในลำดับสุดท้ายของพิธี จะมีการนำข้าวจำนวนหนึ่งใส่ลงในกระบอกไม้ไผ่ แล้วราดด้วยชาและเหล้าลงบนกระบอก จากนั้น ผู้อาวุโสจะพรรณนาถึงฤดูการเพาะปลูก และขอให้
บรรพบุรุษปกป้องคุ้มครอง นำผลผลิตที่ดีมาสู่ ตลอดพิธีการทั้งหมดใช้เวลารวมหลายชั่วโมง เมื่อเสร็จสิ้นผู้อาวุโสจึงย้ายไปประกอบพิธียังบ้านอื่นๆ ต่อไป สำหรับหมู่บ้านขนาดใหญ่ สามารถประกอบพิธีโดยแบ่งย่อยเป็นกลุ่มเล็กๆ เพื่อลดระยะเวลา
ทั้งนี้ ในช่วงเย็นพวกเขายังมีการเฉลิมฉลอง ร้องเพลง เต้นรำ ดื่มสุรา ร่วมด้วย และเป็นช่วงเวลาของหนุ่มสาวในการหาคู่ อย่างไรก็ตาม เมื่อทุกบ้านเสร็จสิ้นพิธีกรรมเรียบร้อยแล้ว เทศกาลปีใหม่ก็จะสิ้นสุดลงด้วยการออกไปกินข้าวในป่าร่วมกัน(หน้า 40, 55, 56) การร้องรำทำเพลงและเกี้ยวพาราสีคงดำเนินต่อไป
นอกจากประเพณีปีใหม่ อีกเทศกาลสำคัญ คือ “เทศกาลไข่”ในเดือน 2 ซึ่งจะเฉลิมฉลองกันด้วยการทำเค้กข้าว (rice cake) ซึ่งมีลักษณะคล้ายไข่ รับประทานร่วมกับน้ำตาลและเครื่องเทศ ทั้งนี้ มีการต้มไข่และทาสีแดงมอบให้กับเด็กๆ ซึ่งไข่ถือเป็นสัญลักษณ์ของความสมบูรณ์ ช่วงเวลานี้ยังเป็นเวลาที่ดีและเหมาะสมในการจัดพิธีแต่งงาน และสร้างบ้านใหม่ (หน้า 40)
ทั้งนี้ หมู่บ้านอาเค๊อะที่นับถือผียังมีพิธีกรรมเกี่ยวกับประตูหมู่บ้านซึ่งมี 2 ประตู ประตูหนึ่งผู้คนจะใช้ในการเข้าออกหมู่บ้าน ในขณะที่อีกประตูใช้สำหรับเคลื่อนย้ายศพไปยังป่าช้า ประตูเหล่านี้ถือเป็นสัญลักษณ์แบ่งเขตระหว่างโลกมนุษย์กับป่าที่เชื่อว่าปกครองด้วยภูตผี เป็นสาเหตุของโรคภัยและความโชคร้าย ในช่วงเดือน 4 ของทุกปี ก่อนที่จะทำการเพาะปลูกข้าว จะมีพิธีเซ่นไหว้ประตูหมู่บ้าน เริ่มจากการบูรณะประตูและประดับตกแต่งประตูเพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้ายออกไปจากหมู่บ้าน โดยผู้ชายทั้งหมู่บ้านจะรับผิดชอบหน้าที่ในการบูรณะยกเว้นเพียงผู้ชายที่ภรรยากำลังตั้งครรภ์ เมื่อสร้างเสร็จจะมีการทำพิธีบูชาเทพแห่งแผ่นดินและบวงสรวงด้วยหมู 1 ตัว ไก่ 2 ตัว ข้าว เหล้า และเกลือ ครั้นเสร็จพิธีพ่อหมอประจำหมู่บ้านจะนำเมล็ดข้าวเมล็ดแรกไปปลูกในไร่นาเป็นคนแรก จากนั้นชาวบ้านคนอื่นๆ จะเพาะพืชพันธุ์อื่นๆ เช่น ดอกไม้ลงในไร่นาด้วย
สำหรับประตูที่สร้างใหม่นี้จะอยู่ด้านขวาถัดจากประตูเดิมและหันเข้าหาหมู่บ้าน ดังนั้น ประตูดังกล่าวจะขยับเข้าใกล้หมู่บ้านยิ่งขึ้นในทุกๆ ปี เช่นเดียวกับ ประตูอีกด้านหนึ่งซึ่งจะขยับเข้าใกล้ป่าช้ายิ่งขึ้นในทุกๆ ปี เช่นกัน จนกระทั่งเมื่อประตูเข้าใกล้เรือนที่อยู่อาศัย หรือป่าช้าที่สุด ชาวอาเค๊อะจะทำการย้ายหมู่บ้านซึ่งมักปรากฏในรอบ 100 ปี (หน้า 41) ปัจจุบัน ณ หมู่บ้านห้วยน้ำขุ่น แม้ชาวอาเค๊อะจะไม่ได้เข้าออกโดยผ่านประตู แต่ประตูดังกล่าวยังถือเป็นสัญลักษณ์แบ่งเขตคุ้มครองหมู่บ้านจากสิ่งชั่วร้ายภายนอก (หน้า 41)
นอกจากนี้ยังมีพิธีอื่นๆ ในฤดูเก็บเกี่ยวข้าว ช่วงเดือน10 -11 ครอบครัวอาเค๊อะจะทำการเฉลิมฉลองโดยการเลือกวันที่ดีแล้วกินข้าวใหม่ที่ได้จากการเก็บเกี่ยวครั้งใหม่นี้ร่วมกัน และอาจเซ่นสังเวยด้วยหมูหรือไก่ (หน้า 42)
ความรู้เกี่ยวกับประเพณีและปฏิทินเหล่านี้มีการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น อย่างไรก็ตาม องค์ความรู้ดังกล่าวยังคงประสบปัญหาในเรื่องการสืบสานเช่นเดียวกับองค์ความรู้อื่นๆ กล่าวคือ เด็กรุ่นใหม่ ไม่มีความรู้เรื่องวันสำคัญและรายละเอียดเกี่ยวกับพิธีกรรม แต่ยังคงรู้วันเกิดของตนเองตามปฏิทินอาเคอะแบบดั้งเดิม และยังคงมีการใช้ปฏิทินเหล่านี้ซึ่งพิมพ์เป็นภาษาอาข่าตามบ้านเรือนทั่วไป ทั้งนี้ การเปลี่ยนศาสนาเป็นอีกปัจจัยหนึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของการใช้ปฏิทิน อาทิ ผู้ที่หันไปนับถือคริสต์แม้ยังคงให้ความสำคัญกับปฏิทินแบบดั้งเดิมเรื่องการนับเวลา แต่จะไม่ประกอบพิธีกรรมตามที่ปฏิทินกำหนด พิธีกรรมต่างๆ ในรอบปีดั้งเดิมมักถูกแทนที่ด้วยการเฉลิมฉลองตามแบบคริสต์ (หน้า 42-43) |
|
Education and Socialization |
โรงเรียนทั้งหลายเปิดโอกาสให้กับกลุ่มชาติพันธุ์ในการเข้ารับการศึกษา แต่ภาษาที่ใช้ในการเรียนการสอนมักเป็นภาษาราชการ เช่น ภาษาไทย และภาษาพม่า อย่างไรก็ตาม นักเรียนจำนวนมากคงพูดภาษาดั้งเดิมของตน เด็กๆ ทั้งในประเทศไทยและเชียงตุงต่างเข้ารับการศึกษาในโรงเรียนซึ่งใช้ภาษาราชการเป็นภาษาหลักดังที่ได้กล่าวเช่นกัน ทั้งนี้ การศึกษาถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกับรัฐชาติ และวัฒนธรรมหลักสามารถแผ่อิทธิพลอย่างสัมฤทธิ์ผลผ่านระบบการศึกษานี้
ในกรณีไม่มีโรงเรียนบริเวณใกล้เคียงหมู่บ้าน เด็กๆ มักถูกส่งไปโรงเรียนและอยู่หอพักซึ่งตั้งอยู่ห่างไปกว่าร้อยกิโลเมตร พวกเขาจึงเติบโตขึ้นโดยตัดขาดจากวัฒนธรรมและภาษาดั้งเดิมของตน สำหรับหมู่บ้านอาเค๊อะะส่วนมากที่ผู้วิจัยเข้าไปสำรวจมักมีโรงเรียนระดับประถมศึกษาตั้งอยู่ แต่ผู้อาวุโสทั้งหลายคงตำหนิเรื่องภูมิปัญญาและองค์ความรู้เดิมที่เลื่อนหายไป (หน้า 70)
อย่างไรก็ตาม ยังมีการสอนภาษาเขียนของอาเคอะให้กับเด็กๆ ซึ่งภาษาเขียนดังกล่าว ถือเป็นสิ่งซึ่งแสดงอัตลักษณ์อีกประการของอาเค๊อะ ในอดีตชาวอาเค๊อะมักถูกดูหมิ่นว่ายากจน ไม่มีการศึกษา อยู่ในสถานภาพที่ต่ำเมื่อเทียบกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ การมีภาษาเขียนทำให้อาเค๊อะขยับสถานะขึ้นมาเท่าเทียมกับพวกอาข่า ฉาน หรือแม้กระทั่งเมียนมาร์ จากการเก็บข้อมูลภาคสนาม ผู้ให้ข้อมูลรายหนึ่งกล่าวว่า มีความภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่ปัจจุบัน เด็กๆ อาเค๊อะสามารถไปโรงเรียนและมีผลการเรียนดีกว่าเด็กฉาน (หน้า 79-80) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
อาเค๊อะถือว่าการแต่งกายเป็นอัตลักษณ์สำคัญ การแต่งกายของอาเค๊อะที่ถูกต้องตามแบบแผน คือ ผู้ชายต้องใส่กางเกงขากว้างและเสื้อคลุมแขนยาวสีดำแบบจีน ในขณะที่ผู้หญิงจะนุ่งซิ่น สวมที่ครอบขา ใส่เสื้อแขนกุดตัวสั้น และเสื้อคลุมแขนยาว ยิ่งไปกว่านั้น เอกลักษณ์การแต่งกายที่โดดเด่นของผู้หญิงอาเค๊อะ คือ การโพกผ้าคลุมศีรษะสีดำ เครื่องประดับศีรษะ และการเจาะหูเพื่อใส่ต่างหูขนาดใหญ่
นอกจากนี้ ผู้ชายมักแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีดำมีการประดับตกแต่งตามชายขอบเพียงเล็กน้อย ส่วนผู้หญิงจะสวมเสื้อผ้าที่มีสีสันสดใสกว่าโดยเฉพาะซิ่น และมีการสวมเครื่องประดับเงิน สร้อยคอลูกปัด เข็ดขัดทำจากหอยเบี้ย ตลอดจนเครื่องประดับอื่นๆ อย่างไรก็ตาม การแต่งกายของชาวอาเค๊อะนี้ยังมีลักษณะที่แตกต่างไปตามแต่ละท้องถิ่นอีกด้วย อาทิ เราสามารถทราบถิ่นเกิดของหญิงอาเค๊อะได้ โดยสังเกตจากลักษณะการโพกผ้าคลุมศีรษะ แต่ในปัจจุบัน การแต่งกายตามประเพณีดั้งเดิมในชีวิตประจำวัน มักพบเฉพาะในหมู่ผู้สูงวัย และในท้องถิ่นห่างไกล หรือในช่วงเทศกาล
โดยสรุป แม้ชาวอาเค๊อะส่วนมากยังคงสวมใส่ชุดอาเค๊อะแบบดั้งเดิมแต่ก็มีการปรับเปลี่ยนและประยุกต์ไปตามสมัยนิยม เช่น การนำเสื้อคลุมของชนเผ่า มาสวมใส่กับกางเกงยีนส์แบบตะวันตก (หน้า 36)
นอกจากนี้อาเค๊อะยังมีปฎิทินของตนเอง ซึ่งมีองค์ประกอบหลายประการคล้ายคลึงกับ
ปฎิทินจีน คือ มีลักษณะเป็นปี 12 นักษัตร ในปฎิทินดังกล่าว 1ปี มี 13 เดือน ประเพณีปีใหม่จะอยู่ในเดือนที่ 13 ซึ่งเป็นช่วงที่อยู่ระหว่างเดือน 12 กับเดือน 1 (หน้า 39)
ในเทศกาลปีใหม่ ผู้หญิงอาเค๊อะจะฟ้อนรำเป็นวงกลมและถือภาชนะบรรจุสุรา ส่วนผู้ชายจะฟ้อนรอบๆ และพยายามชักชวนผู้หญิงมาร่วมฟ้อนรำด้วยกัน หากชักชวนสำเร็จผู้ชายจะนำภาชนะบรรจุสุราของฝ่ายหญิงมาถือไว้ ยิ่งไปกว่านั้น หากชายอาเค๊อะคนใดมีความสามารถด้านการฟ้อนรำมากมักมีการฟ้อนดาบร่วมด้วย เพลงที่ใช้มักใช้ถ้อยคำและภาษาที่สูง บรรยายถึงวิถีชีวิตทั่วไป (หน้า 56) |
|
Folklore |
ชาวอาเค๊อะมีตำนานกล่าวว่า ครั้งหนึ่งนานมาแล้วพระเจ้าได้เรียกตัวแทนของผู้คนพวกต่างๆ ไปรับตัวอักษรเขียน พ่อหมอของอาเค๊อะได้รับตัวอักษรจารึกลงบนหนังควาย ครั้นระหว่างเดินทางกลับเขาได้เกิดความหิวอย่างมาก จึงก่อไฟและย่างหนังควายนั้นกิน ด้วยเหตุนี้ ชาวอาเค๊อะจึงไม่มีภาษาเขียน โครงเรื่องเช่นนี้ พบในตำนานของกลุ่มชาติพันธุ์หลายกลุ่มในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ไม่มีภาษาเขียน (หน้า 49-50) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
อาเค๊อะมักถูกจัดเป็นกลุ่มย่อยของอาข่าและ Haniแต่คนอาเค๊อะเห็นว่ากลุ่มของตนแตกต่างจากอาข่า โดยเห็นได้จากเครื่องแต่งกายและภาษา
เสื้อผ้า เครื่องแต่งกายถือเป็นสิ่งสำคัญแสดงถึงอัตลักษณ์ ความเป็นอาเค๊อะ รวมทั้ง การเจาะขยายรูหู และการแต่งฟันดำ ดังที่มีการกล่าวว่า “ หากฟันไม่ดำ ถือว่าไม่ใช่อาเค๊อะที่แท้จริง” การแต่งกายที่แตกต่างของอาเค๊อะเป็นเครื่องบ่งชี้หรือแสดงถึงตัวตนของพวกเขาว่าคือใครและ
อัตลักษณ์ความเป็นตัวตนดังกล่าวมิได้สิ้นสุดเพียงเมื่อเสียชีวิตลง เมื่อชาวอาเค๊อะเสียชีวิตจะถูกฝังไปพร้อมกับการแต่งกายด้วยชุดอาเค๊อะแบบดั้งเดิม เพื่อในชีวิตหลังความตายจะได้หาพวกพ้อง สายตระกูล และสมาชิกครอบครัวของตนเองพบ (หน้า 44-47)
นอกจากการแต่งกาย ภาษาถือเป็นอีกสิ่งหนึ่งแสดงถึงอัตลักษณ์ความเป็นอาเค๊อะที่สำคัญที่สุด Cornell และ Harmann กล่าวว่า ภาษาเป็นสัญลักษณ์ทางชาติพันธุ์ที่ทรงพลัง สามารถสร้างและแสดงถึงขอบเขตอาณาบริเวณ (หน้า 48-49) ชาวอาเค๊อะมีภาษาพูดเป็นของตนเอง ถึงแม้ว่า คนอาเค๊อะจะอยู่ร่วมกับอาข่าและสามารถพูดสื่อสารภาษาอาข่าและภาษาอื่นๆ ได้ แต่การสอนให้เด็กๆ รู้ภาษาอาเค๊อะถือเป็นสิ่งที่สำคัญในการธำรง “ความเป็นอาเค๊อะ”
ทั้งนี้ ระบบเครือญาติ ถือเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ชาวอาเค๊อะให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก และยังแสดงถึงอัตลักษณ์ความเป็นอาเค๊อะเช่นกัน ดังเห็นได้จาก การตั้งชื่อลูกจะนำคำสุดท้ายของชื่อพ่อมาเป็นคำแรกของชื่อลูก วิธีการดังกล่าวจะช่วยในการลำดับเครือญาติได้เป็นอย่างดี ณ หมู่บ้านห้วยน้ำขุ่น สิ่งที่สำคัญที่สุดของวัฒนธรรมอาเค๊อะ คือ บรรพบุรุษ ประเพณีและพิธี หรือ “aol saol kovq” ถือเป็นอีกสิ่งที่บ่งชี้ความเป็นอาเค๊อะ ในการทำพิธีต่างๆ จะต้องท่องสายตระกูลย้อนหลังไป 3 รุ่น อย่างไรก็ดี บรรพบุรุษคนแรกสุดของอาเค๊อะ คือ Thao Phaog ซึ่งเป็น
บรรพบุรุษร่วมของอาข่าและ Hani ด้วย เหตุนี้จึงทำให้อาเค๊อะไม่สามารถแยกออกจากอาข่าได้อย่างเด็ดขาด อาข่านับเป็นเครือญาติทางชาติพันธุ์ที่ใกล้ที่สุด (หน้า 50-52, 72) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ภายใต้เงื่อนไขและสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง ชาวอาเค๊อะมีการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมเกิดขึ้นหลายประการเช่นกัน อาทิ ชาวอาเค๊อะที่หันไปนับถือคริสต์ศาสนาและพุทธศาสนามักละทิ้งการนับถือผีและบูชาบรรพบุรุษ โดยเฉพาะชาวพุทธที่ตั้งถิ่นฐานในเขตเมือง ห่างไกลจากสภาพสังคมเดิม นอกจากนี้ คริสต์ศาสนายังเน้นย้ำถึงด้านลบของการนับถือผี อาทิ การบูชายัญสัตว์จำนวนมาก การฆ่าทารกแฝดและขับไล่พ่อแม่ของเด็กออกจากหมู่บ้าน (หน้า 54)
ด้านการแต่งงาน การแต่งงานข้ามกลุ่ม (exogamy) ซึ่งถือเป็นเรื่องผิดจารีตและต้องห้ามอย่างยิ่งในอดีตกลับมีการเพิ่มจำนวนมากขึ้นในปัจจุบัน เนื่องจากการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชาติพันธ์ที่เพิ่มขึ้น เด็กที่เกิดจากการแต่งงานข้ามกลุ่มจะมีอัตลักษณ์อย่างไรขึ้นอยู่กับภาษาที่ใช้และถิ่นที่พวกเขาเติบโต หากพวกเขาได้เรียนภาษาอาเค๊อะและเติบโตในหมู่บ้านอาเค๊อะก็จะเป็นอาเค๊อะ (หน้า 63-65, 70) ทั้งนี้ ผู้ใหญ่ก็สามารถเปลี่ยนการเป็นสมาชิกของกลุ่มชาติพันธุ์ใด
ชาติพันธุ์หนึ่งได้เช่นกัน จากสภาพแวดล้อมทางภาษาและสังคมวัฒนธรรม เช่น หญิงอาเค๊อะที่แต่งงานกับชายต่างชาติก็จะสิ้นสุดการเป็นอาเค๊อะ
นอกจากนี้ ยังมีการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมเรื่องเครื่องแต่งกายซึ่งนำการแต่งกายแบบดั้งเดิมมาผสมผสานเข้ากับการแต่งกายตามแบบสมัยใหม่ การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ส่งผลให้เกิดช่องว่างระหว่างกลุ่มผู้อาวุโส และคนรุ่นใหม่ที่ไม่สนใจเรียนรู้ประเพณีวัฒนธรรมดั้งเดิมของ
อาเค๊อะเพิ่มขึ้น ( หน้า 62) การแต่งกายแบบดั้งเดิมกลายเป็นภาพลักษณ์ในเชิงลบ แต่ผู้อาวุโสหญิงก็ไม่ย่อท้อต่อการแต่งกายตามขนบประเพณีในที่สาธารณะ ในประเทศไทย บางครั้งหน่วยราชการจะขอให้ตัวแทนของหมู่บ้านมาร่วมประชุมโดยแต่งกายในชุดประจำเผ่าเพื่อเป็นการสร้างความเป็น “ชาวเขา” ขึ้นอีกครั้ง ความเข้าใจเดิมที่ว่าอาเค๊อะ คือ อาข่า และความต้องการแสดงตัวตนของอาเค๊อะว่าไม่ใช่อาข่า สามารถนำมาซึ่งความสับสน โดยเฉพาะ ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับอาข่า แต่อาเค๊อะต้องการธำรงความแตกต่างนั้นไว้เพื่อรักษาสิทธิในการนิยามตัวตนของพวกเขา อย่างไรก็ตาม อาข่าถือเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใกล้ชิดกับอาเค๊อะที่สุด จึงต้องคำนึงถึงความสมดุลระหว่างความเหมือนกับความแตกต่างด้วย (หน้า 72)
ทั้งนี้ การถูกนิยามและจัดจำแนกเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ จากภายนอกโดยเฉพาะจากภาครัฐ ถือเป็นประเด็นสำคัญของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอีกประเด็นหนึ่ง ในเมียนมาร์ บัตรประจำตัวของชาวอาเค๊อะมักระบุว่าพวกเขาเป็นชาวอาข่า เนื่องจาก หน่วยงานราชการไม่รู้จัก
อาเค๊อะ เป็นเหตุให้ชาวอาเค๊อะจำนวนมากจึงต้องการแสดงตัวตนว่าพวกเขาต่างจากอาข่า เพื่อทดแทนการถูกระบุในบัตรประจำตัว แต่คงมีชาวอาเค๊อะส่วนหนึ่งที่ไม่ได้ใส่ใจกับการถูกเรียกว่า อาข่า เพราะถือว่ามีบรรพบุรุษร่วมกัน (หน้า 71) |
|
Map/Illustration |
1. แผนผัง : 1.1) แผนภูมิแสดงปฏิทินในการประกอบการเพาะปลูกและพิธีกรรมความเชื่อทางเกี่ยวกับการนับถือผีและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในธรรมชาติ หน้า 39
2. แผนที่ : 2.1) แผนที่แสดงบริเวณที่ชาวอาเค๊อะะตั้งถิ่นฐาน หน้า 8
3. ภาพ : 3.1) หมู่บ้านอาเค๊อะะห้วยน้ำขุ่น หน้า 30 3.2) เรือนอาเค๊อะะซึ่งสร้างตามแบบดั้งเดิม แต่มีการนำวัสดุอุปกรณ์สมัยใหม่มาใช้ หน้า 31 3.3) การแต่งกายแบบอาเค๊อะะ หน้า 24 |
|
|