สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject เย้า การเปลี่ยนแปลง ผลกระทบของการพัฒนา จังหวัดเชียงราย ภาคเหนือ ประเทศไทย
Author Li Jian
Title The Fourth World in the Third: Development in a Yao Mountain Village in Northern Thailand
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาอังกฤษ
Ethnic Identity อิ้วเมี่ยน เมี่ยน, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 166 หน้า Year 2543
Source Submitted to the Department of Anthropology and the Faculty of the Graduate school of the University of Kansus in partial fulfillment of the requirements for the degree of Doctor of Philosophy
Abstract

         การศึกษานี้ได้สำรวจปัญหาและประเด็นหลักๆในการพัฒนาสังคมชาวเขาที่อยู่ในประเทศที่สาม ผู้ศึกษาสนใจและเน้นที่ผลกระทบของการพัฒนาชาวเขาในช่วงระยะเวลาตั้งแต่ทศวรรษ 1970เป็นต้นมา โดยมีเป้าหมาย 3ประการ คือ หนึ่ง ศึกษาสำรวจกลุ่มชาติพันธุ์เย้าและวัฒนธรรมของเย้าภายในขอบเขตการพัฒนาและการเปลี่ยนทางวัฒนธรรม สอง ประเมินผลกระทบของโครงการพัฒนาที่เป็นโครงการหลักในกลุ่มชาติพันธ์เย้าในช่วงระยะเวลาตั้งแต่ทศวรรษ 1970  และสุดท้ายวิเคราะห์การบ่งชี้ของผลกระทบต่อชาวเขาในภูมิภาคทั่วๆไปและต่อคนเย้าบ้านกรีนฮิลโดยเฉพาะ(น.ii) ทั้งนี้ผู้ศึกษาเห็นว่าผลกระทบของการพัฒนามีทั้งด้านบวกและด้านลบ ความหมายทางด้านบวกคือ โครงการพัฒนาช่วยปรับปรุงวิถีชีวิตและการเป็นอยู่ของชาวเขาให้ดีขึ้น ส่วนความหมายด้านลบคือ โครงการพัฒนาทำให้เศรษฐกิจแบบยังชีพ(subsistence economy)ของชาวเขาอ่อนแอลง รวมทั้งยังทำลายความสามารถในการตัดสินใจด้วยตนเองตามวัฒนธรรมของชาวเขา(their cultural autonomy)  

Focus

          ผู้ศึกษาสนใจผลกระทบของการพัฒนาชาวเขา ซึ่งในการศึกษานี้เน้นผลกระทบต่อระบบความเชื่อ เศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของสังคมเย้า (น.1)

Theoretical Issues

          ในการศึกษานี้ ผู้ศึกษาเห็นว่าผลกระทบของการพัฒนามีทั้งด้านบวกและด้านลบ ซึ่งสำหรับผู้ศึกษา ความหมายด้านบวกคือ โครงการพัฒนาช่วยปรับปรุงวิถีชีวิตและการเป็นอยู่ของชาวเขาให้ดีขึ้น ส่วนด้านลบคือ โครงการพัฒนาทำให้เศรษฐกิจแบบยังชีพ (subsistence economy) ของชาวเขาอ่อนแอลงรวมทั้งยังทำลายความสามารถในการตัดสินใจด้วยตนเองตามวัฒนธรรมของชาวเขา (their cultural autonomy)  ผู้ศึกษาเห็นว่า โครงการพัฒนาที่ผลกระทบด้านบวกมีลักษณะร่วมกัน 3ประการ คือ หนึ่ง เป้าหมายของโครงการอยู่ที่ความจำเป็นเร่งด่วนของประชาชนในท้องถิ่น เช่น โครงการดูแลสุขภาพที่ช่วยให้เย้าบ้านกรีนฮิลมีสุขภาพดี มีอายุยืนยาวและอัตราการตายต่ำ สอง โครงการให้ประชาชนในท้องถิ่นเข้าร่วมกระบวนการพัฒนาและใช้ทรัพยากรท้องถิ่นเป็นหลัก เช่น โครงการหลวงที่ให้ความสำคัญต่อการร่วมมือกันระหว่างประชาชนในท้องถิ่นกับหน่วยงานพัฒนา และสาม โครงการส่งเสริมเศรษฐกิจแบบยังชีพพึ่งตนเองและความสามารถในการตัดสินใจด้วยตนเอง(cultural autonomy) (น.155-156)  ส่วนโครงการพัฒนาที่มีผลกระทบด้านลบก็มีลักษณะร่วมกัน 3ลักษณะเช่นกัน คือ หนึ่ง โครงการมีลักษณะการดำเนินงานที่ยึดตนเองเป็นหลัก(Ethnocentric orientation) เช่น โครงการพระธรรมจาริก สอง โครงการมีแนวโน้มที่จะใช้เครื่องมือที่เป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อทำให้บทบาทการผลิตของชาวเขาไปอยู่ชายขอบและทำให้วิถีการผลิตแบบดั้งเดิมหายไป แม้โครงการจะทำให้ได้ผลผลิตเพิ่มขึ้น แต่ขณะเดียวกันโครงการก็ทำลายคุณค่าการพึ่งพาตนเองของชาวเขาด้วย ซึ่งเป็นการทำลายคุณภาพชีวิตของชาวเขาในระยะยาว และสาม โครงการมีลักษณะการดำเนินงานแบบ”บนลงล่าง”(‘top-down’) ละเลยไม่สนใจความต้องการเร่งด่วนของชาวเขา (น.156-157) ผู้ศึกษาได้เสนอรูปแบบของการพัฒนาว่าให้เน้นที่
         หนึ่ง การเท่าเทียมกันระหว่างผู้พัฒนากับชุมชนเจ้าของ ความสัมพันธ์ที่เท่าเทียมกันจะช่วยเพิ่มความสนใจของคนท้องถิ่นและลดโอกาสที่จะมีการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมและวัฒนธรรมอย่างสิ้นเชิง
         สอง การมีส่วนร่วม ซึ่งมีความสำคัญมากต่อการส่งเสริมการเท่าเทียมกัน จุดหลักสำคัญคือ หน่วยงานหรือองค์กรพัฒนาและชุมชนท้องถิ่นคือหุ้นส่วนกันในการกำหนด ดำเนินงาน และประเมินผลโครงการ
         และสาม ความยั่งยืนในการพัฒนา   ผู้ศึกษาได้ยกตัวอย่างโครงการพัฒนาของสมาคมพัฒนาชุมชนและประชากรไทย (Thai Population and Community Development Association)ซึ่งเป็นองค์กรเอกชน สมาคมให้ความสำคัญกับโครงการพัฒนาอย่างยั่งยืนและคำนึงถึงท้องถิ่น ขนาดของโครงการมีหลากหลายแตกต่างกันตามที่ตั้งของท้องถิ่นสมาคมดำเนินโครงการทั่วประเทศตั้งแต่การวางแผนครอบครัวถึงการพัฒนาทรัพยากรน้ำเพื่ออนุรักษ์ป่า โดยยึดหลักการ “คนท้องถิ่นเหมาะสมที่สุดที่จะกำหนดและดำเนินงานการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง” (น.160-163)

Ethnic Group in the Focus

          เย้าในภาคเหนือของไทย โดยเก็บข้อมูลภาคสนามที่หมู่บ้านเย้าแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงราย  ซึ่งผู้ศึกษาใช้ชื่อสมมุติว่า “กรีนฮิล”(Greenhill) (น.1)

Language and Linguistic Affiliations

         ในหมู่บ้านกรีนฮิลมี 4 ภาษา ได้แก่ หนึ่ง ภาษาเย้า ใช้ในชีวิตประจำวันในหมู่คนเย้า สอง ภาษาไทย ใช้สื่อสารกับคนนอกที่ไม่สามารถพูดภาษาเย้าได้ เช่น เจ้าหน้าที่รัฐ ครูในโรงเรียน นักธุรกิจ  สาม ภาษายูนนาน(Yunanese)เป็นภาษาถิ่นภาษาหนึ่งในภาษาจีน ชาวบ้านใช้ภาษายูนนานในกิจกรรมทางศาสนา ประมาณ 80เปอร์เซนต์ของเย้าที่เป็นผู้ใหญ่พูดภาษายูนนานได้คล่อง และสี่ ภาษาอาข่า ใช้กันในกลุ่มอาข่า (น.62-63)

Study Period (Data Collection)

เก็บข้อมูลภาคสนามระหว่าง 20สิงหาคม ค.ศ.1997ถึง 7มกราคม ค.ศ.1998(น.25)

History of the Group and Community

          การอพยพเข้ามาประเทศไทย  เย้าอพยพครั้งใหญ่ๆเข้ามาในประเทศไทย 3ครั้ง ครั้งแรก ประมาณ ค.ศ. 1910 อพยพเข้ามาพร้อมกับกลุ่มชาติพันธุ์แม้วและลีซู โดยมาทางเมืองสิงห์และน้ำทาของประเทศลาว ส่วนมากตั้งบ้านเรือนปะปนกับแม้วอยู่ในอำเภอพง (Pong district) จังหวัดเชียงราย และอำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน  การอพยพครั้งที่สองประมาณต้นทศวรรษ 1940  กลุ่มหลักๆ มาจากบริเวณตะวันออกเฉียงใต้ของน้ำทา ประเทศลาว  โดยข้ามแม่น้ำโขงที่เชียงของ แล้วตั้งบ้านเรือนในอำเภอแม่จันและอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย การอพยพครั้งที่สามระหว่าง ค.ศ.1951 และค.ศ.1954  กลุ่มสุดท้ายนี้มาจากฝั่งประเทศพม่าพร้อมกับกองกำลังจีนก๊กมินตั๋งที่ถูกขับไล่ออกจากยูนนานเข้ามาพม่าและไทย กลุ่มนี้ตั้งบ้านเรือนในอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ (น.4)
          การอพยพของเย้าบ้านกรีนฮิล เย้าบ้านกรีนฮิลเข้าสู่ประเทศไทยเมื่อการอพยพใหญ่ครั้งที่สอง  เมื่อตอนต้นทศวรรษ 1910เย้าบ้านกรีนฮิลอาศัยอยู่ที่ผาแดง(Padang) ทางตะวันตกของลาว ส่วนใหญ่เป็นเย้าตระกูลเฟิง(Feng)กับตระกูลพาน (Pan) ต่อมาต้นทศวรรษ 1930พวกเขาก็ค่อยๆ ย้ายเข้าสู่เทือกเขาหลวงพระบางซึ่งพวกเขาเรียกว่า “เขาหุยกวาง” (the Huiguang Mountain) เพื่อหาที่ดินเพาะปลูก พวกเขาอยู่ที่บริเวณเทือกเขาหลวงพระบางจนถึงปลายทศวรรษ 1930และต่อมาต้นทศวรรษ 1940สมาชิกตระกูลเฟิงก็ชักชวนคนอื่นๆให้เดินทางข้ามภูเขาไปยังฝั่งตะวันนออกของเทือกเขาหลวงพระบาง พอถึงกลางทศวรรษ 1950ก็เริ่มต้นการอพยพครั้งที่สอง  โดยกลุ่มนำร่องได้เดินทางมาถึงภูเขาหุยเล (the Huile Mountain) และตั้งบ้านเรือนที่นั่น จากนั้นสมาชิกคนอื่นๆก็ตามมาในปี ค.ศ.1957และตั้งหมู่บ้านขึ้น มีครัวเรือน 16ครัวเรือน ประชากรประมาณ 140คน เรียกชื่อหมูบ้านว่า “หุยกวาง”(“Huiguang”)  ในทศวรรษ 1960มีครอบครัวเย้าจากที่ต่างๆ จำนวนมากมายังบ้านหุยกวาง หมู่บ้านจึงมีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นจากเดิมมาก ทำให้หมู่บ้านประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำ เนื่องจากหมู่บ้านมีลำห้วยแห่งเดียวเป็นแหล่งน้ำ ขณะเดียวกันพื้นที่ราบที่สร้างบ้านได้ก็ไม่เพียงพอ ดังนั้นต้นปี ค.ศ.1971เย้าบ้านกรีนฮิลจึงเริ่มย้ายถิ่นมาตั้งบ้านเรือน ณ สถานที่ตั้งหมู่บ้านปัจจุบัน (น.47-48) การอพยพลงมาตั้งหมู่บ้าน ณ สถานที่ตั้งปัจจุบันทำให้ได้ติดต่อกับหน่วยงานรัฐ ในปี ค.ศ.1973ตำรวจตระเวณชายแดนได้เข้ามาสำรวจหมู่บ้านและประชากร และหมู่บ้านถูกตั้งชื่ออย่างเป็นทางการ ส่วนชื่อ“ผาแดง”หรือ”หุยกวาง”ใช้เรียกไม่เป็นทางการ และการสำรวจในครั้งนั้นยังทำให้มีการตั้งโรงเรียนในหมู่บ้านด้วย ต่อมาได้มีการขยายทางเดินบนภูเขาระยะทาง 35กิโลเมตรมาเป็นถนนในปัจจุบันเชื่อมการติดต่อบ้านกรีนฮิลกับบ้าน”ป่าเต็ง”(‘Badeng’)ซึ่งเป็นหมู่บ้านคนไทยพื้นราบ และก็เชื่อมบ้านป่าเต็งกับเชียงแสน (น.48-49) 

Settlement Pattern

          บ้านเย้าทั่วไปมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยม พื้นบ้านเป็นดินหรือไม้ไผ่ ฝาบ้านเป็นไม้ไผ่หรือไม้แผ่นเล็กๆ หลังคามุงด้วยหญ้าคาหรือใบไม้ หรือไม้ชิ้นเล็กๆ ปัจจุบันเย้าบ้านกรีนฮิลได้หันมาใช้วัสดุสมัยใหม่สร้างบ้านแทนการใช้วัสดุจากธรรมชาติ ซึ่งเป็นผลมาจากโครงการพัฒนาชาวเขาเมื่อต้นทศวรรษ 1980หลังคาที่มุงด้วยหญ้าคาได้เปลี่ยนมาเป็นแผ่นเหล็ก ฝาบ้านและพื้นก็หันมาใช้ไม้แทนของเดิม(น.131-132,134)

Demography

          จากการสำรวจข้อมูลประชากรของผู้ศึกษาในปี ค.ศ.1997หมู่บ้านกรีนฮิลมีจำนวนประชากร 1,270คน เป็นหญิง 602 คน เป็นชาย 668คน มีครัวเรือน 124ครัวเรือน หมู่บ้านมีลักษณะโครงสร้างของประชากรดังนี้ หนึ่ง จำนวนประชากรกำลังเพิ่มขึ้น  อัตราประชากรร้อยละ 63.31 เปอร์เซ็นต์มีอายุต่ำกว่า 17ปี  ขณะที่มีอัตราประชากรในวัยเจริญพันธุ์(อายุ 18-49ปี)ร้อยละ 21.73เปอร์เซ็นต์ และประชากรจำนวนมากแต่งงานในช่วงอายุต่ำกว่า 20ปี  สอง จำนวนประชากรในวัยแรงงานมีไม่เพียงพอ นั่นคือ กลุ่มประชากรอายุระหว่าง 18-49ปีซึ่งเป็นแรงงานหลักมีเพียงร้อยละ 21.73เปอร์เซ็นต์ และสาม มาตรฐานการดำเนินชีวิตของประชากรเย้าบ้านกรีนฮิลยังต่ำอยู่เมื่อเทียบกับชาวนาไทย ประชากรมีภาวะทุพโภชนาการ โดยเฉพาะคนหนุ่มสาวและคนสูงอายุ แม้ว่าครอบครัวส่วนมากจะมีข้าวและข้าวโพดพอเพียงต่อการบริโภค แต่ชาวบ้านที่ได้รับโปรตีนและวิตามินพอเพียงมีจำนวนน้อย(น.59-60) ในจำนวนประชากรทั้งหมดของหมู่บ้านมีประชากรที่เป็นอาข่าจำนวน 211คน 20ครัวเรือน เป็นคนจีน 3ครอบครัว จำนวน 15คน คนจีนเหล่านี้ออกจากกองกำลังก๊กมินตั๋งในพม่า แล้วเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านกรีนฮิลในปีค.ศ.1973(น.61)   

Economy

          การเปลี่ยนรูปแบบเศรษฐกิจ  ผู้ศึกษากล่าวว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจของเย้าบ้านกรีนฮิลกำลังเปลี่ยนผ่านจากเศรษฐกิจแบบยังชีพ (a subsistence economy) ไปสู่เศรษฐกิจเงินสด (a cash economy) ซึ่งมีลักษณะดังนี้
          หนึ่ง ความคิดแบบดั้งเดิมในการเป็นเจ้าของที่ดินที่มองว่าที่ดินรอบหมู่บ้านเป็นสมบัติร่วมกันของหมู่บ้าน กำลังถูกแทนที่ด้วยความคิดแบบการค้า (the mercantile ideology) มีการให้เช่าและขายที่ดิน
          สอง การทำให้เกิดการแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจ(economic polarization) โดยในทศวรรษ 1970 เกิดความแตกต่างระหว่างชาวบ้านในแง่รายได้และการสะสมความมั่งคั่ง
          สาม  มีการเปลี่ยนจากการปลูกพืชเพื่อยังชีพมาเป็นการปลูกพืชเพื่อเงินสด ข้าวโพดและข้าวไร่ยังมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจในหมู่บ้าน แต่ข้าวโพดไม่ใช่พืชยังชีพอีกต่อไป ข้าวโพดกลายเป็นพืชแลกเปลี่ยนสร้างรายได้ให้แก่ครัวเรือน ขณะที่พริกที่เคยเป็นพืชแลกเปลี่ยนได้หายไปจากหมู่บ้าน
          และสี่ เย้าบ้านกรีนฮิลจำนวนหนึ่งออกไปทำงานนอกหมู่บ้าน บางคนทำงานในเชียงราย บางคนทำงานในกรุงเทพฯ และบางคนไปทำงานที่ไต้หวัน ซึ่งเงินค่าแรงที่ได้รับนี้สูงกว่ารายได้จากการเพาะปลูกมาก ทั้งยังทำให้เศรษฐกิจครัวเรือนดีขึ้น(น.68-74)
           ผู้ศึกษาเห็นว่า การเปลี่ยนรูปแบบทางเศรษฐกิจส่งผละกระทบที่สำคัญต่อการเพาะปลูกคือ ทำลายการเพาะปลูกแบบยังชีพของชาวบ้าน ปัจจุบันข้าวโพดกลายเป็นพืชเชิงเดี่ยวที่สำคัญในหมู่บ้าน ผลผลิตข้าวโพดร้อยละ 99ของทั้งหมดถูกนำไปขายเพื่อนำเงินมาซื้อข้าว ของใช้ที่จำเป็นและวัตถุทางการผลิต (น.117)
 
          การเปลี่ยนรูปแบบการเพาะปลูก   แต่เดิมเย้าบ้านกรีนฮิลทำการเพาะปลูกแบบถางเผา (slash-and-burn) ทุกครอบครัวมีสิทธิใช้ที่ดินเพาะปลูก ถ้าไม่ใช้ที่ดินผืนนั้นในปีต่อไป ครอบครัวอื่นก็มีสิทธิใช้ที่ดินผืนนั้น การเลือกที่ดินเพาะปลูกพิจารณาจากการรับแสงแดดที่พอเพียงและระยะทางระหว่างที่ดินกับแหล่งน้ำไม่ห่างไกล พืชหลักที่ปลูกได้แก่ ข้าวโพดสำหรับเลี้ยงสัตว์ในครัวเรือน ข้าวไร่สำหรับบริโภค และพริกสำหรับแลกเปลี่ยนโดยนำไปขายที่ตลาดเชียงของแล้วซื้อของใช้ที่จำเป็น (น.51-53) ส่วนฝิ่นปลูกเพื่อบริโภคในท้องถิ่นและสำหรับขาย ทั้งนี้ฝิ่นให้ผลตอบแทนสูงกว่าพืชชนิดอื่น ชาวบ้านนำเงินที่ได้จากการขายฝิ่นไปซื้อข้าวหรือแลกเปลี่ยนฝิ่นดิบกับข้าวโดยตรง การปลูกฝิ่นได้ช่วยลดปัญหาการขาดแคลนข้าวบริโภคภายในหมู่บ้าน (น.54-55) ปัจจุบัน การปลูกพืชในหมู่บ้านได้เปลี่ยนไป กล่าวคือ ในปีค.ศ.1959 รัฐบาลได้ประกาศให้ฝิ่นเป็นพืชผิดกฎหมายและพยายามกำจัดการปลูกฝิ่น  ต่อมาตอนปลายทศวรรษ 1960  ก็มีหน่วยงานของรัฐและองค์กรพัฒนาระหว่างประเทศเข้าไปแนะนำชาวเขาให้ปลูกพืชเงินสดชนิดอื่นทดแทนการปลูกฝิ่น พืชที่แนะนำให้ปลูก ได้แก่ บรอคคอรี่ แครอท มันฝรั่ง พีช(peach) กาแฟ ยาสูบ ส้ม ถั่ว(soybean) แต่การปลูกพืชเหล่านี้ในหมู่บ้านกรีนฮิลไม่ประสบความสำเร็จเนื่องจากสภาพภูมิประเทศและอากาศไม่เหมาะกับพืชเหล่านั้น รวมทั้งไม่มีความต้องการในตลาดท้องถิ่น ต่อมาเมื่อปลายทศวรรษ 1980 ได้มีการนำลิ้นจี่มาแนะนำให้ชาวบ้านปลูกพร้อมทั้งวิถีการดูแล ครั้นถึงปี ค.ศ.1993 จำนวนลิ้นจี่ที่ปลูกมากกว่าครึ่งเริ่มให้ผลผลิต ขายได้ราคาดี ชาวบ้านคนอื่นๆจึงสนใจหันปลูกมาลิ้นจี่เพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่ครัวเรือน ปัจจุบันลิ้นจี่ได้เป็นพืชเงินสดชนิดใหม่ที่ทุกคนในหมู่บ้านกรีนฮิลปลูกลิ้นจี่(น.55,93-94) สวนลิ้นครอบคลุมพื้นที่ 1ใน 4ของพื้นที่เพาะปลูกในหมู่บ้าน ในสวนลิ้นจี่ที่ต้นยังไม่โตชาวบ้านจะปลูกข้าวหรือถั่วแซม แต่ในสวนที่ต้นลิ้นจี่โตเต็มที่ จะไม่ปลูกพืชชนิดอื่นแซมมิฉะนั้นลิ้นจี่จะให้ผลไม่เต็มที่ ลิ้นจี่กำลังค่อยๆเข้ามาแทนที่ข้าวโพดและกลายเป็นพืชเงินสดที่สำคัญ เนื่องจากลิ้นจี่ต้องการการดูแลน้อยกว่าข้าวโพด แต่ขายได้ราคาสูงกว่า อย่างก็ดี การปลูกลิ้นจี่ก็ยังมีความเสี่ยงเรื่องราคาผันผวน(น.117)
          นอกจากลิ้นจี่แล้ว ข้าวโพดก็เป็นพืชเงินสดชนิดใหม่อีกชนิดหนึ่งในหมู่บ้านและเป็นการปลูกแบบพืชเชิงเดี่ยว ในอดีตข้าวโพดเป็นพืชยังชีพปลูกเพื่อเลี้ยงสัตว์ในครัวเรือนเท่านั้น แต่เมื่อความต้องการข้าวโพดสำหรับทำอาหารสัตว์ขยายตัว ในภาคเหนือของไทยซึ่งเป็นเขตปลูกข้าวโพด(corn belt)มีการปลูกข้าวโพดเพิ่มขึ้นจาก 127,790 ไร่ในปี ค.ศ. 1970 เป็น 4ล้านไร่ในปี ค.ศ.1980 ซึ่งผู้ศึกษากล่าวว่า สิ่งนี้เป็นสัญญาณการเริ่มต้นการปลูกข้าวโพดแบบพืชเชิงเดี่ยวเพื่อขาย (corn monoculture) ในหมู่ชาวเขาทางภาคเหนือของไทย ในปี ค.ศ.1997พื้นที่ปลูกข้าวโพดในหมู่บ้านกรีนฮิลเพิ่มขึ้นเกือบถึง 3,000ไร่  มีชาวบ้านจำนวนน้อยมากที่ยังคงปลูกถั่วเหลืองปะปนไร่ข้าวโพด การปลูกข้าวโพดเป็นพืชเงินสดก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระบบการเพาะปลูกจากการปลูกพืชหลากหลายชนิดในแปลงเดียวกัน (polyculture) มาเป็นการปลูกพืชเพียงชนิดเดียว เนื่องจากเงินตอบแทนจำนวนมาก การปลูกข้าวโพดจึงส่งเสริมชาวบ้านกรีนฮิลให้ละทิ้งการเพาะปลูกแบบยังชีพที่ปลูกพืชหลากหลายชนิด เช่น ข้าวโพด ข้าวไร่ มันฝรั่งหวาน ถั่วเหลือง ถั่วเขียว เผือก กล้วย ฟักทอง พริก ขิง หอม และกระเทียม  ปัจจุบัน มีเพียงข้าวไร่และกล้วยเท่านั้นที่ปลูกตามขอบชายไร่ชายนา ที่ดินประมาณ 3ใน4ของที่ดินเพาะปลูกในหมู่บ้านเป็นไร่ข้าวโพด ปัจจุบันการปลูกพืชเชิงเดี่ยวเป็นลักษณะการเพาะปลูกสำคัญของหมู่บ้านกรีนฮิล (น.95-96)
          นอกจากพืชเชิงเดี่ยวแล้ว วิธีและเทคนิคการเพาะปลูกก็ได้เปลี่ยนไปด้วย  ปัจจุบันชาวบ้านหันมาใช้รถแทรกเตอร์ไถดิน นอกจากจะใช้ในไร่นาตนเองแล้ว เจ้าของรถแทรกเตอร์ยังรับจ้างไถดินของชาวบ้านคนอื่นด้วย โดยคิดราคาตามสภาพพื้นที่ภูมิประเทศ นอกจากนั้นชาวบ้านยังใช้ปุ๋ยเคมีแทนมูลควายและขี้เถ้าจากการเผาไร่ และใช้ยากำจัดวัชพืชแทนการใช้แรงงานคนถางวัชพืช (น.102-106)
 
          ผลกระทบจากการเปลี่ยนระบบการปลูกพืชแบบหลากหลายเป็นการปลูกพืชเชิงเดี่ยว ผู้ศึกษาเห็นว่าการปลูกพืชเชิงเดี่ยวมีผลกระทบทั้งด้านบวกและด้านลบ ดังนี้
          ผลกระทบด้านบวก ในแง่ผลผลิตและรายได้ การปลูกแบบพืชเชิงเดี่ยวทำให้การปลูกข้าวโพดมีผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้นมากกว่าในอดีตถึงสองเท่า หลายครัวเรือนมีรายได้เงินสดเพิ่มขึ้น จากที่เคยมีรายได้น้อยกว่า 10,000บาทในทศวรรษ 1970 มาเป็น 30,000บาทในปี ค.ศ.1997  นอกจากนั้น ในแง่แรงงานและเวลา การปลูกข้าวโพดแบบพืชเชิงเดี่ยวยังทำให้ชาวบ้านนำเครื่องจักรมาใช้เก็บเกี่ยวผลผลิตแทนแรงงานคน ซึ่งช่วยลดเวลาการใช้แรงงานคนในแต่ละครัวเรือน (น.96)
          ผลกระทบด้านลบ ในแง่แหล่งอาหารของหมู่บ้าน การปลูกพืชเชิงเดี่ยวทำให้ความหลากหลายของพืชผักที่เคยปลูกในไร่นาหายไป ซึ่งส่งผลกระทบต่ออาหารการกินของชาวบ้าน พืชผักที่เป็นอาหารมีน้อยลง  นอกจากนั้นยังกระทบต่อการเลี้ยงหมูของชาวบ้าน เพราะสวนลิ้นจี่และการปลูกข้าวโพดเพื่อขายอย่างเดียวได้เข้ามาแทนที่พืชชนิดต่างๆที่ใช้เป็นอาหารหมู เช่น  ถั่ว ฟักทอง มันฝรั่งหวาน ทำให้แหล่งอาหารหมูลดลง และจำนวนชาวบ้านที่เลี้ยงหมูก็ลดลง  ในปี ค.ศ.1997มีชาวบ้านเพียง 20 ครัวเรือนที่ยังคงเลี้ยงหมู 6-7ตัวสำหรับใช้ในพิธีกรรม และในแง่นิเวศวิทยาของหมู่บ้าน ถ้ามีการระบาดของโรคพืชและแมลง การปลูกพืชเชิงเดี่ยวจะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการสูญเสียผลผลิตทั้งหมด ขณะที่การปลูกพืชหลากหลายชนิดทำให้การแพร่ระบาดของโรคพืชและแมลงลดน้อยลง (น.97-99) ในแง่การควบคุมกระบวนการผลิต ผู้ศึกษากล่าวว่า การปลูกข้าวโพดเพื่อให้ได้ผลผลิตสูงนั้น หน่วยงานพัฒนาของไทยได้ร่วมมือกับบริษัทผลิตเมล็ดพันธุ์แนะนำเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดที่ให้ผลผลิตสูงแก่ชาวบ้าน เมล็ดพันธุ์นี้ให้ผลผลิตต่อไร่สูงเกือบ 3เท่า อย่างไรก็ตาม เมล็ดพันธุ์ข้าวโพดชนิดนี้ก็ได้ทำลายการควบคุมกระบวนการผลิตของชาวบ้าน ชาวบ้านไม่สามารถนำเมล็ดพันธุ์ที่คัดเลือกจากข้าวโพดรุ่นแรกไปเพาะปลูกในฤดูต่อไปได้เพราะข้าวโพดรุ่นที่สองให้ผลผลิตต่ำ พวกเขาต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ใหม่จากตลาดที่เชียงแสนหรือเชียงของ ผู้ศึกษาเห็นว่า เมล็ดพันธุ์ข้าวโพดที่ให้ผลผลิตสูงส่งเสริมให้ระบบการเพาะปลูกท้องถิ่นล่มสลาย ทำให้ชาวบ้านอยู่ในฐานะที่ไม่เท่าเทียมเมื่อปฏิสัมพันธ์กับคนภายนอก นอกจากนั้นยังทำให้ชาวบ้านมีภาระต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ทุกปีและใช้ปุ๋ยเคมี ยากำจัดวัชพืชและยาฆ่าแมลงเพื่อให้มั่นใจว่าจะได้ผลผลิตสูงซึ่งทำให้ชาวบ้านต้องพึ่งพาเงินกู้ธนาคารหรือแหล่งทรัพยากรภายนอก (น.100-102)
  

Social Organization

         ตระกูล(clan)เป็นการจัดระเบียบเครือญาติพื้นฐานในสังคมเย้า โดยสืบทอดสายตระกูลข้างพ่อ เย้าบ้านกรีนฮิลมี 5ตระกูลได้แก่ เฟิง(Feng) พาน(Pan) ลิ่ว(Liu) จ้าว(Zhao) และลั่ว(Luo) ผู้อาวุโสของตระกูลมีอิทธิพลเหนือสมาชิกคนอื่นๆในตระกูล (น.49) มีตระกูลใหญ่ 2ตระกูลคือ ตระกูลเฟิง 52ครัวเรือน และตระกูลพาน 30ครัวเรือน (น.64)

Political Organization

         การปกครองหมู่บ้านปัจจุบัน บ้านกรีนฮิลมีหัวหน้าหมู่บ้านเป็นคนตระกูลเฟิง ซึ่งได้รับเลือกในปี ค.ศ.1985ต่อจากพ่อของเขาที่พ้นจากตำแหน่ง หัวหน้าหมู่บ้านเป็นตำแหน่งทางการได้รับเงินเดือน 3,000บาท ทำหน้าที่ประสานการติดต่อระหว่างรัฐกับหมู่บ้านหัวหน้าหมู่บ้านเป็นคนตระกูลเฟิง ซึ่งได้รับเลือกในปี ค.ศ.1985ต่อจากพ่อของเขาที่พ้นจากตำแหน่ง หัวหน้าหมู่บ้านเป็นตำแหน่งทางการได้รับเงินเดือน 3,000บาท ทำหน้าที่ประสานการติดต่อระหว่างรัฐกับหมู่บ้าน ในหมู่บ้านมีรองหัวหน้าหนึ่งคน เป็นคนในตระกูลลิ่วและร่ำรวยที่สุดในหมู่บ้าน ได้รับเลือกจากชาวบ้านเช่นเดียวกัน แต่ไม่ใช่ตำแหน่งทางการ แต่ชาวบ้านก็ให้ความนับถือ (น.50,64)
          นอกจากนี้ หมู่บ้านยังมีกลุ่มผู้อาวุโสของตระกูลซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอำนาจในหมู่บ้าน ร่วมดูแลหมู่บ้านแบบไม่เป็นทางการผ่านคณะกรรมการหมู่บ้าน ในการตัดสินใจเรื่องสำคัญใดๆของหมู่บ้าน หัวหน้าหมู่บ้านจะปรึกษาคณะผู้อาวุโสเพื่อขอตำแนะนำและการสนับสนุนก่อน(น.49-50)

Belief System

          ผู้ศึกษาเห็นด้วยกับจาคส์ เลอโมน(Jacques Lemoine) ว่า เย้าแยกความเชื่อทางศาสนาออกเป็น 2ส่วน คือ ส่วนที่เป็น “ศาสนา”(‘religious’) และส่วนที่เป็น “วิถีปฏิบัติ” (‘etiquette’) ส่วนที่เป็น”ศาสนา”แสดงออกถึงโลกทัศน์ของเย้าอันสะท้อนออกมาในจักรวาลวิทยาเย้า ซึ่งมีพื้นฐานอยู่ที่ความเชื่อเต๋าและความเชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาติที่เน้นถึงการดำรงอยู่ไม่สิ้นสุดของวิญญาณ(soul) สำหรับ”วิถีปฏิบัติ”หมายถึง มาตรฐานทางจริยธรรมในการควบคุมพฤติกรรมการกระทำทางสังคมของบุคคล ซึ่งส่วนมากจะพบในการบูชาบรรพบุรุษ ผู้ศึกษาเห็นว่าควรทำเข้าใจระบบความเชื่อของเย้าทั้ง 3 ระดับ คือ ความเชื่อเต๋า การบูชาบรรพบุรุษและความเชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาติ(น.75) 
          ผู้ศึกษาเห็นว่า ศาสนาความเชื่อของเย้ามีบทบาทสำคัญ 3ประการคือ หนึ่ง เสริมสร้างความเป็นระเบียบและความเป็นเอกภาพทางสังคมให้เข็มแข็ง โดยการจัดลำดับชั้นทางสังคมและแบบแผนพฤติกรรม สอง ช่วยลดความตึงเครียดด้านสุขภาพของชาวบ้าน ความเชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาติลดความรุนแรง ความกังวลเกี่ยวกับโรคและการเจ็บป่วย และเป็นเครื่องมือทางจิตวิทยาในการส่งเสริมสุขภาพด้วยการมองว่า ความเจ็บป่วยเกิดจากการกระทำของผี พิธีเข้าทรงเป็นวิธีแก้ไขที่มีประสิทธิภาพ และสาม ช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน การร่วมกันประกอบพิธีกรรมต่างๆ เช่น พิธีไหว้บรรพบุรุษระดับตระกูล หรือพิธีไหว้เจ้าที่หมู่บ้าน ซึ่งต้องการความร่วมมือของคนทรง ครอบครัว และสายตระกูลในหมู่บ้านทุกครัวเรือน(น.81-83)  
          วัดเต๋าในหมู่บ้าน  วัดเต๋ามีบทบาทสำคัญต่อชีวิตของเย้าบ้านกรีนฮิล ปลายทศวรรษ 1950หลังจากตั้งหมู่บ้าน เย้าบ้านกรีนฮิลได้สร้างวัดเต๋าขึ้นในหมู่บ้านและเชิญนักบวชเต๋าชาวจีนมาประจำวัด ในแต่ละปีหมู่บ้านจะมีพิธีกรรมอย่างน้อย 4 ครั้ง ได้แก่ พิธีไหว้พระเจ้าพาน(King Pan) พิธีไหว้เทพเจ้าหมู่บ้าน พิธีไหว้เทพเจ้าเต๋า  และพิธีขับไล่ผีและวิญญาณร้ายออกจากหมู่บ้าน นอกจากพิธีสำคัญทั้งสี่นี้แล้ว ก็มีพิธีอื่นๆ อีกที่จัดขึ้นตามวาระโอกาส เช่น พิธีแต่งงาน และพิธีศพ นอกจากบทบาทในพิธีกรรมแล้ว วัดเต๋ายังเป็นสถานที่ให้การศึกษาแก่เด็กๆด้วย เย้าไม่มีภาษาเขียนของตัวเอง พวกเขาใช้ตัวอักษรจีนในการบันทึกเรื่องสำคัญ ดังนั้นชาวบ้านจึงพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้เด็กๆได้เรียนหนังสือจีน วัดเต๋าจึงได้เข้ามามีบทบาทด้านนี้ แต่เมื่อชาวบ้านย้ายลงมาตั้งบ้านเรือนใหม่ ณ สถานที่ปัจจุบัน วัดไม่ได้ย้ายลงมาด้วย ส่วนนักบวชก็ออกจากวัดไปอยู่เชียงใหม่ บทบาทด้านการศึกษาของวัดจึงหายไป แล้วโรงเรียนหมู่บ้านก็เข้ามาทำหน้าที่แทน ต่อมาในปี ค.ศ.1982 ได้มีการสร้างวัดเต๋าขึ้นใหม่ในหมู่บ้าน โดยได้รับการสนับสนุนจากองค์กรเต๋าในจังหวัดเชียงใหม่  มีนักบวชหนึ่งคนเป็นผู้หญิงเชื้อสายจีนซึ่งเกิดและเติบโตที่เชียงใหม่ พูดภาษาจีนคล่อง  และในปี ค.ศ.1995 มีผู้ชายชาวไต้หวันหนึ่งคนมาเป็นผู้ช่วยนักบวช  นักบวชได้พยายามสร้างความสัมพันธ์ระหว่างวัดกับผู้สูงอายุในหมู่บ้านให้เข้มแข็งขึ้นอีกครั้ง มีโครงการทางสังคมทำกิจกรรมเพื่อดึงดูดสมาชิกของวัด เช่น  เปิดสอนภาษาจีนตอนกลางค่ำและกลางคืน ทำโรงงานเส้นก๋วยเตี๋ยว (น.77-78)
          การบูชาบรรพบุรุษ  การทำพิธีไหว้บรรพบุรุษมี 2ระดับ คือ ระดับตระกูลและระดับครัวเรือน ในระดับตระกูลการไหว้บรรพบุรุษจัดปีละ 2ครั้ง ช่วงเทศกาล the Chinese Clear and Bright  Festivalหรือ 15 มีนาคม ตามปฏิทินจันทรคติของจีน และช่วงเทศกาลฤดูใบไม้ผิลของจีน(the Chinese Spring Festival)หรือ 1 มกราคม ตามปฏิทินจีน ผู้สูงอายุของตระกูลรับผิดชอบพิธีกรรมและมีหัวหน้าครัวเรือนเข้าร่วมกิจกรรม  ส่วนการไหว้บรรพบุรุษในระดับครัวเรือนควรจัดในวันเกิดของบรรพบุรุษที่รู้จักและอายุมากที่สุด ที่บ้านกรีนฮิล พิธีไหว้บรรพบุรุษของครอบครัวมักจัดในงานอื่นๆ เช่น เมื่อเด็กเกิด เมื่อแต่งงาน และเมื่อเริ่มปลูกข้าวโพด นอกจากนั้นชาวบ้านยังจัดพิธีนี้เมื่อพวกเขาได้รับเงินจำนวนมากโดยไม่คาดคิดและเมื่อมีลางร้ายหรือเกิดเรื่องไม่ดีในครอบครัว (น.79-80)
         ความเชื่อเรื่องอำนาจเหนือธรรมชาติ  เป็นความเชื่อดั้งเดิมของเย้า ซึ่งเป็น”วิถีปฏิบัติ”(‘etiquette’) ในพิธีแห่งการเปลี่ยนผ่าน เช่น การเกิด การแต่งงาน และการเพาะปลูก  เย้าเชื่อว่า ทุกสิ่งทุกอย่างทั้งสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตล้วนมี “ขวัญ”(a soul or wuen) และความเจ็บป่วยเกิดจากความไม่สอดคล้องกันของขวัญกับร่างกาย พิธีกรรมที่เกี่ยวกับอำนาจเหนือธรรมชาติมีแบบแผนเป็นทางการน้อยกว่าพิธีกรรมแบบเต๋า พิธีเต๋ามีนักบวชเป็นผู้ประกอบพิธี ส่วนพิธีที่เกี่ยวกับอำนาจเหนือธรรมชาติมีคนทรงเป็นผู้ประกอบพิธี ปลายทศวรรษ 1970 ในหมู่บ้านกรีนฮิล มีนักบวชหนึ่งคน คนทรง 10 คน และปัจจุบันมีนักบวชเต๋า 2 คน คนทรง 10 คน (น.80-81)

Education and Socialization

          ก่อนทศวรรษ 1970 การศึกษาในหมู่บ้านกรีนฮิลมีเพียงการสอนอ่าน-เขียนภาษาจีนที่วัดเต๋าในหมู่บ้านโดยนักบวชเต๋า ชั้นเรียนหนึ่งๆมีนักเรียน 5-6 คน มีระยะเวลา 6เดือน(น.125) ปัจจุบัน หมู่บ้านมีศูนย์เด็กเล็กหนึ่งแห่งซึ่งมีครูพี่เลี้ยงซึ่งเป็นคนในหมู่บ้าน 2 คนดูแลรับผิดชอบ และมีโรงเรียนประถมศึกษาหนึ่งแห่งตั้งอยู่ทางตะวันตกของหมู่บ้าน สร้างเมื่อปี ค.ศ.1973 ตำรวจตระเวณชายแดนเป็นผู้ดำเนินการเรียนการสอน มีครูทั้งหมด 8คน ในปี ค.ศ. 1997โรงเรียนมีนักเรียนทั้งหมด 275 คน เป็นชาย 156 คน หญิง 119 คน ผู้ศึกษากล่าวว่า แม้จะมีกฎหมายการศึกษาภาคบังคับ แต่ก็มีเด็กนักเรียนประมาณร้อยละ 10 ไม่เข้าโรงเรียน และในจำนวนทั้งหมดของเด็กที่เข้าโรงเรียนก็มีนักเรียนร้อยละ 10 ออกจากโรงเรียนขณะอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 และปีที่ 3 แล้วไปทำงานในไร่นา  ผู้ศึกษายังกล่าวอีกว่า เมื่อไม่นานมานี้ ครอบครัวเย้าที่ร่ำรวยบางครอบครัวเริ่มส่งเด็กๆของพวกเขาไปเรียนที่เชียงแสนหรือเชียงของ และในปี ค.ศ.1997มีเด็กอย่างน้อย 15 คนไปเรียนที่แม่จันและเชียงของ ในจังหวัดเชียงราย(น.65-66) อย่างไรก็ดี ผู้ศึกษาเห็นว่า การพัฒนาทางการศึกษามีผลกระทบทำให้ประเพณีวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ของเย้าอ่อนแอลง เนื่องจากระบบการสอนของโรงเรียนเน้น "การทำให้เป็นไทย" เช่น การเข้าแถวร้องเพลงชาติหน้าเสาธง การนิมนต์พระสงฆ์มาสอนหลักศาสนาและการปฏิบัติตน และการใช้ภาษาไทยในโรงเรียน (น.126)

Health and Medicine

         ในหมู่บ้านมีศูนย์สุขภาพหนึ่งแห่ง ตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1984มีเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์หนึ่งคน เป็นคนในตระกูลเฟิง (น.65) ผู้ศึกษากล่าวว่า ก่อนทศวรรษ 1970ชาวบ้านเข้าไม่ถึงการรักษาสมัยใหม่ การดูแลอาการเจ็บป่วยใช้การเข้าทรง สมุนไพรและฝิ่น ในปัจจุบัน ศูนย์สุขภาพในหมู่บ้านได้ช่วยดูแลให้บริการสุขภาพพื้นฐานแก่ผู้ป่วยที่มีอาการเล็กน้อย ถ้าผู้ป่วยมีอาการรุนแรงก็จะส่งต่อไปยังโรงพยาบาลเชียงแสนหรือโรงพยาบาลเชียงราย ดังนั้นแม้ว่าภาวะสุขอนามัยของชาวบ้านจะยังห่างไกลจากความสมบูรณ์ แต่ก็ได้รับการปรับปรุงดีขึ้น (น.120-121) ชาวบ้านมีอายุยืนยาวขึ้น การตายของเด็กลดลง มีเพียง 2-3 คนที่ตาย ทั้งนี้จำนวนประชากรที่เพิ่มอย่างรวดเร็วบ่งชี้ถึงการปรับปรุงการดูแลสุขภาพที่ดีขึ้น (น.121-122)

Social Cultural and Identity Change

ไม่ชัดเจน ดูลักษณะการเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมได้ในหัวข้อ 19และ หัวข้อ 22ประเด็นบทบาทของวัดเต๋า

Other Issues

          โครงการพัฒนาชาวเขาตั้งแต่ตั้งคณะกรรมการชาวเขาแห่งชาติขึ้นในปี ค.ศ.1959ก็มีโครงการพัฒนาต่างๆจำนวนมากทั้งที่ดำเนินการโดยรัฐ โดยองค์กรเอกชนและโดยองค์กรระหว่างประเทศเข้าไปดำเนินกิจกรรมในพื้นที่ภาคเหนือของไทย ผู้ศึกษาได้แบ่งลักษณะการพัฒนาของโครงการออกเป็น 3ด้าน คือ การพัฒนาคติความคิดความเชื่อ วัฒนธรรมและเศรษฐกิจเทคโนโลยี(ideological,cultural andtechnoeconomic development programs) แต่ละด้านมีเป้าหมายดังนี้
          โครงการพัฒนาด้านคติความเชื่อมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ชาวเขาละทิ้งความเชื่อดั้งเดิมและหันมานับถือพุทธศาสนา เช่น โครงการพระธรรมจาริกและโครงการภิกขุธรรมจาริก (น.37-38)
         โครงการพัฒนาด้านวัฒนธรรมมีวัตถุประสงค์เพื่อบูรณาการชาวเขาเข้าสู่สังคมไทย ผู้ศึกษากล่าวว่าการศึกษามีส่วนสำคัญ แม้ว่าจะกระทำในฐานะที่เป็นการให้บริการของรัฐมากกว่าโครงการพัฒนาพิเศษ แการพัฒนาทางการศึกษานี้ส่งผลกระทบต่อสังคมชาวเขามาก (น.38-40)
         โครงการพัฒนาด้านเศรษฐกิจเทคโนโลยีมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ชาวเขาเข้าสู่เศรษฐกิจแบบการตลาด การดำเนินงานมี 2 วิธีคือ กำจัดการปลูกฝิ่นโดยส่งเสริมการปลูกพืชชนิดอื่น และเปลี่ยนเศรษฐกิจแบบยังชีพของเขาโดยให้เลิกการเพาะปลูกแบบไร่หมุนเวียนshifting cultivation) ซึ่งผู้ศึกษาเห็นว่าการพัฒนาด้านนี้มีผลกระทบมากในระยะยาวต่อชาวเขา เช่นโครงการพัฒนาพื้นที่สูงไทย-เยอรมัน และโครงการหลวง(น.40-45)
 
         การเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในหมู่บ้าน ในปี ค.ศ.1983 นายหยาง(Mr.Yang)อดีตนายทหารก๊กมินตั๋งและภรรยา ซึ่งอยู่ที่จังหวัดเชียงรายและเดินทางเข้าไปเผยแพร่ศาสนาคริสต์ตามหมู่บ้านชาวเขาโดยเฉพาะอาข่า ได้เข้ามาในหมู่บ้านกรีนฮิลและซื้อที่ดิน 80ไร่ แล้วสร้างโบสถ์คาทอลิก (the Catholic Church) แต่ชาวบ้านเรียกว่า “โบสถ์ความหวัง” (‘the Hope Church’) โดยตั้งอยู่ทางตะวันออกสุดของหมู่บ้าน มีอาข่าตั้งบ้านอยู่รอบๆ สมาชิกส่วนใหญ่เป็นอาข่าที่ไม่มีที่ดินเพาะปลูก และมีเย้าเป็นสมาชิกประมาณ 50 คน  ผู้ศึกษากล่าวว่า ศาสนาคริสต์มีอิทธิพลต่อคนเย้าน้อยมาก เย้ามองว่าศาสนาคริสต์ไม่ได้คุกคามพวกเขา แต่เป็นศาสนาต่างชาติที่ลึกลับ (น.83-85)
 
         การเผยแพร่ศาสนาพุทธ ในหมู่บ้านมีวัดพุทธตั้งอยู่กลางหมู่บ้าน สร้างเมื่อปี ค.ศ.1983 โดนโครงการพระธรรมจาริก เมื่อสร้างเสร็จมีพระภิกษุหนึ่งรูปจำวัดได้หนึ่งปี จากนั้นก็ไม่มีพระอยู่ประจำวัด แต่จะมีพระมาอยู่ที่วัดเดือนละหนึ่งหรือสองครั้ง (น.86-89) ผู้ศึกษากล่าวว่าสามทศวรรษที่ผ่านมา แม้โครงการพระธรรมจาริกจะได้รับการสนับสนุนจากรัฐในการเผยแพร่ศาสนาพุทธในหมู่ชาวเขาเพื่อกลืนกลายพวกเขาเข้าสู่ระบบความเชื่อของ สังคมไทย หากก็ไม่ประสบความสำเร็จ ในทางตรงกันข้าม โครงการพระธรรมจาริกได้ก่อให้เกิดผลกระทบด้านลบต่อโครงการและชาวเขา กล่าวคือ ประการแรก โครงการพระธรรมจาริกก่อให้เกิดภาพลักษณ์ของศาสนาที่มีอำนาจเหนือกว่าศาสนาความเชื่อของเย้าและชาวเขากลุ่มอื่น ประการต่อมา ความไม่เข้าใจในศาสนาความเชื่อของเย้าและการไม่ให้อิสระและความยืดหยุ่นแก่เย้าในการนับถือศาสนา ทำให้โครงการพระธรรมจาริกสูญเสียการสนับสนุนและความร่วมมือจากเย้า ทั้งยังผลักดันเย้าไปสู่ชายขอบ และประการที่สาม โครงการพระธรรมจาริกและโครงการเผยแพร่ศาสนาพุทธโครงการอื่นกลายเป็นอันตรายต่อศาสนาความเชื่อของเย้า เพราะเด็กๆในโรงเรียนหมู่บ้านต้องเรียนคำสอนและหลักปฏิบัติของศาสนาพุทธ  ขณะที่ศาสนาความเชื่อของเย้าไม่ได้อยู่ในระบบการศึกษาและยังถูกมองว่าเป็นความเชื่อโชคลาง(น.90-91)    
 
          โครงการหลวง แม้ในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมา โครงการพัฒนาต่างๆจะทำให้การเพาะปลูกแบบยังชีพของเย้าบ้านกรีนฮิลอ่อนแอลง แต่โครงการในพระราชดำริกลับล่งเสริมการเพาะปลูกของบ้านกรีนฮิลด้วยการให้ความสำคัญกับความต้องการของชาวบ้านและส่งเสริมเศรษฐกิจแบบยังชีพของชาวบ้าน ปลายทศวรรษ 1970โครงการได้แนะนำการปลูกข้าวนาดำ(wet rice) แก่ชาวบ้าน รวมทั้งให้ความช่วยเหลือทางการเงินและทางเทคนิคในการจัดสร้างแหล่งเก็บน้ำขนาดเล็กในหมู่บ้าน ชาวบ้านจำนวนหนึ่งได้หันมาปลูกข้าวนาดำและสามารถผลิตข้าวเลี้ยงครอบครัวได้พอเพียง การปลูกข้าวนาดำช่วยให้การเพาะปลูกแบบดั้งเดิมและวิถีการดำเนินชีวิตของเย้ายังคงอยู่ แม้วิธีการปลูกข้าวนาดำกับข้าวไร่จะต่างกัน แต่ความรู้เกี่ยวกับข้าว เช่น การคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ การเตรียมต้นกล้า การกำจัดวัชพืช การเก็บเกี่ยวและการสีข้าวไม่ใช่สิ่งใหม่หรือต่างจากเดิม การปลูกข้าวนาดำไม่ได้เป็นเทคนิควิธีเพาะปลูกที่ไม่สะดวกสำหรับเย้า หากแต่ช่วยส่งเสริมการเพาะปลูกแบบดั้งเดิมของเย้าให้เข้มแข็งขึ้น(น.112-113)  
 
          โครงการการใช้น้ำฝน ปลายทศวรรษ 1980 มีการแนะนำให้ชาวบ้านใช้โอ่งกักเก็บน้ำฝนพร้อมทั้งแจกโอ่งน้ำให้แก่หมู่บ้านที่ยากจน หมู่บ้านกรีนฮิลไม่ได้จัดเป็นหมู่บ้านยากจน ชาวบ้านต้องซื้อโอ่งน้ำเอง ในปี ค.ศ.1997ประมาณครึ่งหนึ่งของครัวเรือนในหมู่บ้านซื้อโอ่งน้ำสำหรับเก็บน้ำฝนอย่างน้อยหนึ่งใบ ผู้ศึกษาเห็นว่าโครงการเก็บน้ำฝนไว้ใช้นี้ช่วยบรรเทาการขาดแคลนน้ำและลดความตึงเครียดของคนในหมู่บ้าน ทั้งยังช่วยให้พวกเขามั่นใจในการเพาะปลูกโดยนำน้ำฝนที่เก็บกักไว้ไปใช้รดพืชผล(น.137-139) 

Map/Illustration

ตารางที่ 5.1อายุและเพศของประชากรหมู่บ้านกรีนฮิล                                      หน้า 59
ตารางที่ 5.2การกระจายที่ดินในหมู่บ้านกรีนฮิล                                               หน้า 69
ตารางที่ 5.3การสำรวจรายได้สุทธิครัวเรือน                                                    หน้า 70
ตารางที่ 5.4การสำรวจค่าใช้จ่ายครัวเรือนเฉลี่ยประจำปี                                     หน้า 71
ตารางที่ 7.1ตัวอย่างของการลงทุนทางการเกษตรประจำปีต่อไร่                          หน้า 108
ตารางที่ 8.1การเปลี่ยนแปลงประชากรของชาวเขากลุ่มหลักในประเทศไทย           หน้า 122
ภาพที่ 1แผนที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้                                                         หน้า vii
ภาพที่ 2 แผนที่บริเวณพรมแดนไทย-พม่า                                                      หน้า viii
ภาพที่ 3แผนที่หมู่บ้านกรีนฮิล                                                                     หน้า ix

Text Analyst อธิตา สุนทโรทก Date of Report 21 เม.ย 2559
TAG เย้า, เมี่ยน, การเปลี่ยนแปลง, ผลกระทบของการพัฒนา, จังหวัดเชียงราย, ภาคเหนือ, ประเทศไทย, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง