|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ,โครงสร้างสังคม,ระบบเครือญาติ,พิธีกรรม,เพชรบุรี |
Author |
มยุรี วัดแก้ว |
Title |
การศึกษาโครงสร้างสังคมของลาวโซ่ง |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ไทดำ ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ไทยทรงดำ ไทดำ ไตดำ โซ่ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
(เอกสารฉบับเต็ม) |
Total Pages |
101 |
Year |
2521 |
Source |
หลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาพัฒนาสังคม บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ |
Abstract |
จากการศึกษาโครงสร้างสังคมลาวโซ่งในงานชิ้นนี้พบว่า พิธีกรรมเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงไว้ซึ่งความเป็นหนึ่งเดียวกันของชุมชน และพิธีกรรมแสดงออกถึงสถานภาพของบุคคลและของกลุ่มบุคคล โดยสถานภาพจะแตกต่างกันทางเพศ ไม่ใช่อายุ การศึกษาและอาชีพ ซึ่งผู้ชายจึงมีสถานภาพสูงกว่าผู้หญิง การจัดระเบียบสังคมในระดับครอบครัว ใช้ระบบเครือญาติเป็นเกณฑ์ในการแบ่ง โดยมีแนวความคิดเรื่องผีเดียวกันเป็นสัญลักษณ์ร่วมกัน และการจัดลำดับเครือญาติเป็นแบบฝ่ายเดียว โดยถือฝ่ายพ่อเป็นสำคัญ สำหรับแนวความคิดของลาวโซ่งในเรื่องชุมชน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับดินแดนแต่อยู่ที่ระบบเครือญาติ อันประกอบด้วยญาติทางสายโลหิต และญาติจากการแต่งงาน ได้แก่ สะใภ้ทั้งหลาย ซึ่งถือว่าเป็นญาติผีเดียวกัน นอกจากนี้ ชุมชนลาวโซ่งยังจัดลำดับชนชั้นทางสังคม โดยใช้วงศ์ตระกูลหรือครอบครัวเป็นเกณฑ์ในการแบ่ง โดยแบ่งเป็นชนชั้น ผู้ท้าว และชนชั้นผู้น้อย ชุมชนลาวโซ่งมีลักษณะเป็นชุมชนเปิด เนื่องจากหนุ่มสาวโซ่งจาก 2 ชนชั้นนี้ สามารถแต่งงานกันได้ ส่งผลให้สถานภาพของผู้หญิงเปลี่ยนแปลงขึ้นลงได้ โดยยึดถือชนชั้นทางฝ่ายสามีเป็นหลัก |
|
Focus |
ศึกษาโครงสร้างสังคมในระดับครอบครัวและระดับชุมชนของลาวโซ่งจากพิธีเสนเรือน พิธีแต่งงาน และพิธีศพ |
|
Theoretical Issues |
ผู้วิจัยใช้วิธีการศึกษาของ Leach เป็นส่วนหนึ่งในการการจัดระเบียบทางสังคม และอาศัยการตีความหมายจากการศึกษาพบว่า พิธีกรรมแสดงออกถึงสถานภาพของบุคคลและกลุ่มคน ซึ่งแตกต่างกันทางเพศไม่ใช่อายุการศึกษาและอาชีพ ให้ความสำคัญกับชายมากกว่าหญิง โครงสร้างระดับครอบครัว เป็นแบบ Patriachal ใช้ระบบเครือญาติที่มีผีเดียวกันเป็นสัญญลักษณ์ร่วม ระบบเครือญาติใช้วิธีการนับญาติจากญาติทางสายโลหิต (consanguinity) และญาติทางแต่งงาน (affinity) และวิธีการกำหนดลำดับความสำคัญของสมาชิกอาศัยการยึดหลักการจัดลำดับอาวุโสก่อนหลัง (Descent Kinship) โครงสร้างระดับชุมชน จากพิธีกรรมทั้ง 3 ของโซ่ง โซ่งเป็นชุมชนที่ขึ้นอยู่กับระบบเครือญาติ และมีการจัดลำดับชั้นทางสังคมโดยใช้วงศ์ตระกูลเป็นเกณฑ์ ก็คือ ชนชั้นผู้ท้าว และชนชั้นผู้น้อย ซึ่งแต่ละคนต่างรู้สถานภาพของคนเป็นอย่างดี รวมทั้งรู้ความแตกต่างในการปฏิบัติพิธีกรรมระหว่างชนชั้นทั้งสอง ลักษณะชุมชนเป็นแบบเปิด วิเคราะห์ได้จากข้อห้ามในการแต่งงาน ที่ห้ามคนสายเลือดเดียวกันและอยู่ในผีเดียวกันแต่งงานกัน จากลักษณะชุมชนแบบเปิดนี้ ทำให้ระบบเครือญาติลาวโซ่งกระจายออกไปตามท้องถิ่นต่าง ๆ และมีการปฏิบัติพิธีกรรมร่วมกัน (หน้า 74-76) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ลาวโซ่ง คือ ชนกลุ่มน้อยกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเป็นชนชาติไทย สาขาไทยทรงดำ ที่อาศัยอยู่ในเขตอำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี (หน้า 8) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ลาวโซ่งมีภาษาเขียนและภาษาพูดเป็นของตนเอง สำเนียงภาษาพูดผิดเพี้ยนจากลาวเวียงจันทน์ และลาวทางอีสานไม่มากนัก ตัวหนังสือคล้ายของลาว ส่วนระเบียบของภาษาหรือไวยากรณ์เป็นแบบเดียวกับภาษาไทย เชื่อกันว่าภาษาโซ่งมีความสัมพันธ์กับภาษากลุ่มไทยดำ ไทยขาว และมีหางเสียงคล้ายๆ กับไทยพวน แต่ลาวโซ่งมีเสียงสั้นกว่า (หน้า 4) |
|
Study Period (Data Collection) |
ผู้วิจัยเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 10 มิถุนายน 2521 - 30 กรกฎาคม 2521 (หน้า 21) |
|
History of the Group and Community |
ลาวโซ่งเป็นชนชาติไทยสาขาไทยทรงดำ ซึ่งเดิมมีถิ่นฐานอยู่แถบเมืองทันต์ในประเทศลาว ครั้นในสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2322 โปรดฯ ให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกและเจ้าพระยาสุรสีห์ยกทัพไปตีเมืองลาวตีได้เมืองทันต์ และได้กวาดต้อนครอบครัวของลาวโซ่งลงมาที่กรุงเทพฯ เป็นจำนวนมาก แล้วโปรดฯ ให้ลาวโซ่งเหล่านี้ไปตั้งบ้านเรือนอยู่ตามหัวเมืองต่างๆ ในภาคกลาง และในปี พ.ศ. 2335 สมัยรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เจ้าเมืองเวียงจันทน์ได้ยกทัพไปตีเมืองพวนและเมืองแถง ได้กวาดต้อนครอบครัวลาวโซ่งลงมาถวายที่กรุงเทพฯ อีกครั้งหนึ่ง และได้โปรดฯ ให้ไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่หนองปรง ต่อมาในปี พ.ศ. 2381 รัชกาลที่ 3 โปรดฯ ให้ตีเมืองลาวอีก และได้มีการอพยพกวาดต้อนลาวโซ่งให้ไปอยู่ที่ตำบลท่าแร้ง อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี แต่ต่อมาบรรดาโซ่งเหล่านี้ ก็ได้อพยพมาอยู่ที่อำเภอเขาย้อย เพราะชอบอยู่ที่ดอนที่น้ำท่วมไม่ถึง จากนั้นก็ได้กระจายไปตั้งบ้านเรือนอยู่ตามอำเภอต่างๆ ของจังหวัดเพชรบุรี และในปัจจุบันก็ได้กระจายไปอาศัยอยู่ในหลายจังหวัด (หน้า 2 - 3) |
|
Demography |
ลาวโซ่งที่อาศัยอยู่ในเขตอำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี มีจำนวนทั้งสิ้น 3,521 คน (หน้า 7) |
|
Economy |
อาชีพหลักของลาวโซ่ง คือ การทำนา ทำไร่ อาชีพรองก็คือ หาของป่า ล่าสัตว์ ปัจจุบันอาชีพรองมีการจักสานเพิ่มขึ้น (หน้า 5) |
|
Social Organization |
ลาวโซ่งมีการจัดโครงสร้างทางสังคมของตนเอง 2 ระดับ คือ โครงสร้างสังคมระดับครอบครัว และโครงสร้างสังคมระดับชุมชน 1.โครงสร้างสังคมระดับครอบครัว ลาวโซ่ใช้ระบบเครือญาติเป็นเกณฑ์ โดยมีความคิดเรื่องผีเดียวกันเป็นสัญลักษณ์ร่วมกัน แบ่งออกเป็น 1. การนับญาติทางสายโลหิต ดูจากความสัมพันธ์ทางสายโลหิตเดียวกัน (lineage) คือ การที่บุคคลในกลุ่มมีความเกี่ยวข้องกันทางบรรพบุรุษร่วมกัน เป็นสกุลเดียวกัน เป็น clan เดียวกัน 2. การนับญาติการแต่งงาน โดยสะใภ้จะถูกนับรวมเป็นญาติผีเดียวกัน มีสิทธิในการเข้าร่วมประกอบพิธีกรรม ส่วนเขยไม่ต้องเข้าร่วมในการประกอบพิธีกรรม นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดลำดับความสำคัญของสมาชิกไว้แน่นอน โดยยึดหลักการจัดลำดับอาวุโสก่อนหลัง ซึ่งเห็นได้จาก พิธีแต่งงาน ทั้งเจ้าบ่าวและเจ้าสาวจะต้องไหว้ญาติพี่น้องของทั้งสองฝ่าย โดยจะต้องไหว้ญาติคนที่มีอายุมากกว่าไปจนถึงคนที่อายุน้อยกว่า (หน้า 60-61) มีการจัดลำดับเครือญาติเป็นแบบฝ่ายเดียว (Unilateral Kinship) โดยถือฝ่ายพ่อเป็นสำคัญ เป็นการสืบผีฝ่ายพ่อ หญิงเมื่อแต่งงานแล้วจะต้องใช้สกุลทางฝ่ายชาย ต้องเข้าพิธีรับสะใภ้ใหม่ของตระกูลทางฝ่ายชายรวมทั้งการถือผีด้วย ลูกที่เกิดมาจะต้องใช้สกุลและถือผีของฝ่ายพ่อ ผู้ชายมีอำนาจในการจัดการทรัพย์สินทุกอย่างในครอบครัว โดยเฉพาะการซื้อขายที่ดิน อำนาจการตัดสินใจขึ้นอยู่กับฝ่ายชายแต่เพียงผู้เดียว การแต่งงานของลาวโซ่งมีทั้งแบบ endogama และ exogamy แต่ห้ามแต่งงานระหว่างบุคคลที่มีสายเลือดเดียวกันและอยู่ในผีเดียวกัน (Incest taboo) (หน้า 62-63) 2.โครงสร้างสังคมระดับชุมชน แนวความคิดของลาวโซ่งในเรื่องชุมชนไม่ได้ขึ้นอยู่กับดินแดน แต่อาศัยวงศ์ตระกูลหรือครอบครัวเป็นเกณฑ์ในการแบ่ง ได้แก่ 1.ชนชั้นท้าว หมายถึง บุคคลในตระกูลผู้ท้าว ซึ่งเชื่อว่าเป็นผู้ที่สืบเชื้อสายมาจากเจ้าหรือผู้ปกครองเมืองในสมัยก่อน ดังนั้น ลาโซ่งทุกคนต่างรู้ดีว่าตนอยู่ในชนชั้นใด และรู้ถึงความแตกต่างในการปฏิบัติพิธีกรรมระหว่างผู้ท้าวกับผู้น้อย แต่ในชีวิตประจำวันต่างก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และร่วมมือกันในงาน เช่น การลงแขกหว่านดำ เก็บเกี่ยว ปลูกบ้าน เป็นต้น ลักษณะของชุมชนเป็นแบบสังคมเปิดประกอบด้วยกลุ่มคนหลายระดับ (vertical groups) สถานภาพทางชนชั้นสามารถเปลี่ยนแปลงขึ้นลงได้ โดยยึดถือชนชั้นทางฝ่ายสามีเป็นหลัก (หน้า 68-70-72) |
|
Belief System |
ลาวโซ่งมีความเชื่อเกี่ยวกับ ผีบรรพบุรุษ , ผีฟ้าหรือ แถน, ผีเรือน, และ ฯลฯ ความเชื่อเหล่านี้นำไปสู่การจัดพิธีกรรมต่างๆ ที่สำคัญ ได้แก่ พิธีเสนเรือน, พิธีแต่งงาน, และพิธีศพ. - พิธีเสนเรือน คือ การเซ่นไหว้ผีเรือน ซึ่งก็คือ ผีบรรษบุรุษที่ตายแล้ว และอยู่ใน "ซิ่ง" (ตระกูล) เดียวกัน เวลาเซ่นมีการเรียกชื่อบรรพบุรุษ คือ ปู่ ย่า ตา ยาย ให้มากินเครื่องเซ่น ถือว่าการเซ่นนั้นทำให้บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วไม่อดอยาก และจะมีผลสะท้อนให้ทุกคนในครอบครัวมีความสุข เกิดสิริมงคลแก่บ้านเรือน พิธีเสนเรือนเป็นพิธีกรรมของครอบครัว และเป็นหน้าที่ของหัวหน้าครอบครัวที่จะต้องจัดพิธีนี้เป็นประจำปีละครั้ง หรืออย่างน้อย 2-3 ปีต่อครั้ง พิธีเสนเรือนมี 2 ประเภทเพราะมีผี 2 ชนชั้นตามการสืบผี คือ ผีผู้ท้าว (พิธีเสนสำหรับผู้สืบเชื้อสายมาจากเจ้า) และ ผีผู้น้อย (พิธีเสนสำหรับผู้ที่สืบเชื้อสายจากสามัญชน) มี 2 ขั้นตอน คือ ขั้นเตรียมงานและขั้นทำพิธีเสนเรือน ขั้นตอนเตรียมงาน เริ่มจากการฆ่าหมูที่เลี้ยงไว้ เพื่อใช้ทำพิธีเซ่นและเลี้ยงแขก ตามที่ได้อธิษฐานไว้ หมอเสนจะเป็นผู้กำหนดวันในการประกอบพิธี โดยจะไม่ทำในเดือน 5 เพราะเชื่อว่าจะเดือดร้อน พืชพันธุ์จะไม่สมบูรณ์ รวมทั้งเป็นช่วงเข้าพรรษาด้วย วันทำพิธีเสนเรือน ประมาณ 3.00 น. จะฆ่าหมูที่อธิษฐานไว้ แล้วแจ้งให้ผีรู้ว่าบ้านนี้ทำพิธีด้วยเลือดหมูทาที่หัวบันไดบ้าน แล้วจึงนำหมูชิ้น ๆ จัดเป็น "ปานเผือน" ในห้องผีเรือน โดยต้องมีผู้รู้จัดแต่งเสนให้ ซึ่งปานเผือนนี้ถือเป็นเครื่องเซ่นสำหรับผี ต่อมาประมาณ 7-8 โมงเช้า เจ้าภาพจะเชิญหมอเสนนั่งในห้องผีเรือน แล้วช่วยกันยกปานเผือน 3 ครั้ง ในระดับที่ต่างกัน แล้วหมอเสนจะเชิญผีแต่ละตนมากินเครื่องเซ่น และเหล้า อย่างละ 3 ครั้ง ครั้งแรกหมอเสนจะเชิญผีเรือนที่อยู่ในบัญชีรายชื่อทั้งหมด โดยเป็นผีเรือนบ้านเจ้าภาพก่อน แล้วจึงเป็นผีบ้านอื่นตามลำดับญาติใกล้ชิด เมื่อหมอเสนเรียกชื่อผีตนใด ก็จะใช้ตะเกียบคีบหมูทิ้งลงไปในช่องเล็ก ๆ ข้างฝาห้องผีเรือน ตามด้วยจุ่มน้ำจากถ้วยที่อยู่บนปานเผือนเป็นการให้น้ำล้างปาก จะเซ่นเช่นนี้จนหมดในบัญชีชื่อผีเรือน แล้วจะเป็นการเซ่นขนม การเซ่นครั้งที่ 2 และ 3 จะเซ่นหมูโดยเรียกเฉพาะผีเรือนบ้านเจ้าภาพเท่านั้น และเซ่นขนมเช่นเดียวกับการเซ่นครั้งที่ 1 ต่อจากนั้นจะมีการเซ่นที่เรียกว่า "แก้มแฮ" คือ การเซ่นด้วยเครื่องเซ่น พร้อมกับกล่าวเชิญเป็นภาษาโซ่ง 7 ครั้ง และมีการเซ่นญาติพี่น้องสกุลเดียวกันที่อยู่ในต่างจังหวัดให้มากินเครื่องเซ่น ต่อจากนั้นจะเป็นการเซ่นเหล้า 3 ครั้ง โดยครั้งแรกเป็นการเซ่นครั้งใหญ่ ครั้งที่ 2 เป็นการเลี้ยงเหล้าล้างปากหลังอาหาร และครั้งที่ 3 เป็นการบอกให้ผีกลับไปบ้านเมืองของตน หลังจากนั้น เจ้าภาพและญาติผีเดียวกัน เข้าไปในห้องผีเรือนเดียวกันอีกครั้ง เพื่อดื่มเหล้าพร้อม ๆ หมอเสนจะให้ผีเรือนพิทักษ์รักษาให้ลูกหลานที่ "มาหยาดฟาย" (การดื่มเหล้าพร้อมกันเพื่อสั่งลาผีเรือน) สุดท้ายจะคำนับผีเรือนพร้อมกันเป็นการส่งผีกลับ (หน้า 24-37) พิธีเสนเรือนสะท้อนให้เห็นระบบความเชื่อที่เรียกว่า "ลัทธิบูชาบรรพบุรุษ" ของลาวโซ่ง ถ้าไม่จัดพิธีเสนเรือนแล้วโซ่งเชื่อว่าจะเกิดอัปมงคลมีการเจ็บไข้ได้ป่วยและเชื่อว่าเป็นผู้ไม่รู้บุญคุณของบรรพบุรุษ (หน้า 58) - พิธีแต่งงาน ก่อนการแต่งงานหนุ่มสาวลาวโซ่งจะมีการเกี้ยวพาราศรีกันก่อนด้วยการเล่นคอนหรือการลงข่วง เมื่อฝ่ายชายชอบพอรักใคร่ก็ส่งพ่อแม่ไปสู่ขอ ตกลงสินสอดทองหมั้น ต่อจากนั้นก็นัดวันจัดทำพิธีแต่งงานซึ่งต้องเป็นวันดีของฝ่ายชาย หนุ่มสาวลาวโซ่งสามารถแต่งงานกันได้ระหว่างผู้ท้าวกับผู้น้อย และสามารถแต่งได้กับคนในกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ในวันแต่งงาน เริ่มประมาณ 8-9 โมงเช้า ฝ่ายชายจะยกขบวนขันหมากมาบ้านฝ่ายหญิง "ล่าม" (ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของพ่อแม่ฝ่ายเจ้าบ่าวหรือเจ้าสาว) ของฝ่ายเจ้าบ่าวและเจ้าบ่าวพร้อมเพื่อนนำขันหมากส่งให้พ่อแม่และล่ามฝ่ายเจ้าสาว รวมทั้งสินสอด แล้วไปมอบให้ผีเรือน เป็นการบอกให้ทราบ เสร็จแล้วก่อนขบวนขันหมากจะเข้าบ้านได้จะต้องผ่านประตู 3 ชั้น ประตูเหล็ก ประตูเงิน และประตูทอง โดยเสียเหล้า 1 ขวดเป็นค่าผ่านประตู ล่ามของทั้งสองฝ่ายพร้อมด้วยพ่อแม่เจ้าสาวจะพาเจ้าบ่าวไปไหว้ผีเรือน และเซ่นเหล้า พร้อมกับการกล่าวคำอาสา คือ การที่ฝ่ายชายตกลงที่จะอยู่รับใช้ทำงานให้กับครอบครัวฝ่ายเจ้าสาว จากนั้นเจ้าบ่าวและเพื่อนต้องไหว้พ่อแม่และญาติฝ่ายเจ้าสาวตามลำดับอาวุโส ในขณะเดียวกันล่ามฝ่ายเจ้าสาวจะพาเจ้าสาวและเพื่อนไปหาพ่อแม่และญาติฝ่ายเจ้าบ่าว เพื่อกราบขอรับพร หลังจากนั้นจะมีการเลี้ยงอาหารแขกที่มาร่วมงาน จากนั้นเป็นพิธีกางมุ้ง โดยที่ฝ่ายเจ้าบ่าวเลือกชายสูงอายุมา 1 คน และเจ้าสาวเลือกหญิงชรามา 1 คน กางมุ้งให้แล้วเข้าไปนอนในมุ้ง พร้อมทำเสียง "อุแว้" เรียกอยากดื่มเหล้า จึงจะให้คู่บ่าวสาวเข้าไปนอนแทนได้ ถือเป็นอันเสร็จพิธีแต่งงาน (หน้า 37-46) ในพิธีแต่งงานเจ้าบ่าวและเจ้าสาวจะต้องไหว้ผีเรือนของกันและกัน ตั้งแต่ไปรับเจ้าสาวที่บ้าน บอกผีเรือนของเจ้าบ่าวว่าจะมีสะใภ้มาอยู่ด้วย มีการจัดพิธีเสนเรือน และมีการทำพิธีเพื่อรับสะใภ้ให้มาถือผีในตระกูลของฝ่ายเจ้าบ่าว และจากนั้นก็จะถือว่า ญาติฝ่ายเจ้าสาวเป็นญาติผีเดียวกันกับญาติฝ่ายเจ้าบ่าว ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อในเรื่องผีเดียวกันของโซ่ง (หน้า 58 - 59) - พิธีศพ เมื่อมีผู้ตายเจ้าของบ้านจะยิงปืนขึ้นฟ้า 1 หรือ 2 นัด เป็นการบอกข่าวเพื่อนบ้าน จะต้องไปเชิญ "เขยยก" (ผู้ทำพิธีศพ) มาทำพิธีศพให้ เริ่มจากการอาบน้ำศพ หวีผม ผัดหน้าทาแป้ง แต่งเสื้อผ้าชุดใหม่โดยไม่ติดกระดุม เป็นเสื้อ 2 ชั้น ชั้นในเป็นเสื้อก้อม และเสื้อฮีเป็นชั้นนอก คอเสื้อก้อมจะนำเหรียญมาผูกติดเอาไว้ เพื่อเป็นเงินเปิดด่านในเมืองผี และนุ่งผ้าซิ่น พร้อมกับผ้าแพรแดงปิดหน้าศพ ในการนำศพใส่โลงจะใส่ข้าวของเครื่องใช้ผู้ตายลงไปด้วย เพื่อเอาไปใช้ เช้ารุ่งขึ้นเจ้าภาพและญาติผีเดียวกันจะนำขอน (ผู้ที่ตายแล้วเปรียบเหมือนขอนไม้) ไปเผา เวลา 11 โมง เขยยกจะบอกให้ผีกินเครื่องเซ่น และใช้มีดตัดคาถาตัดด้ายสายสิญจน์ที่มัดหัวแม่เท้าศพ แล้วบอกทางที่จะนำศพไปป่าช้า เมื่อเสร็จแล้วจะทำพิธีซ่อนขวัญญาติผีเดียวกันที่ยังมีชีวิตอยู่ไม่ให้ไปกับผู้ตาย จากนั้นยกศพลงจากเรือนเพื่อนำไปเผาที่ป่าช้า โดยให้ลูกชายคนโตถือธงเดินนำหน้าศพ พร้อมกับขบวนที่ถือเครื่องเซ่นและไม้ฟืน พิธีเผาศพ ญาติจะช่วยกันก่อกองไฟขึ้นแล้วหามหีบศพเดินวนซ้าย 3 รอบ จากนั้นนำศพไปตั้งบนกองไฟ ขณะเผานั้น ญาติผู้ตายจะโยนสิ่งของเครื่องใช้ซึ่งห่อรวมไว้ใส่ขมุกข้ามกองไฟ 3 ครั้ง ส่วนเจ้าภาพจะถือถาดแจกแขกที่มาร่วมงานคนละดอก วันรุ่งขึ้นเก็บกระดูกทำความสะอาดกระดูกด้วยน้ำอบไทยและขมิ้น ลูกชายคนตายจะแบ่งกระดูกส่วนหนึ่งไว้เพื่อเอากลับบ้าน ส่วนที่เหลือจะบรรจุลงในหม้อดินขนาดเล็กและปิดฝาเพื่อฝังลงหลุม จากนั้นนำแคร่มาวางทับบนหลุม พร้อมกับที่นอนและของใช้ผู้ตาย แล้วเขยยกจะเรียกให้ช่วยกันสร้างบ้านจำลองหลังเล็ก คร่อมลงไปบนแคร่ แต่ปัจจุบันนิยมซื้อศาลพระภูมิมาใช้แทน ในขณะเดียวกันญาติอีกส่วนหนึ่งจะช่วยกันทำผลี ร่ม และธง เพื่อใช้ในพิธีบอกทางศพตั้งแต่ออกจากบ้านไปจนถึงเวียงจันทน์ หลังจากเผาแล้วต้องไปป่าช้าอีกครั้ง เพื่อนำผลี ร่ม ธงไปประกอบเป็นเสาหลวงที่ป่าช้า ญาติผีเดียวกันก้มลงกราบหน้าเสาหลวงและบ้านจำลอง เป็นอันเสร็จพิธี สำหรับเจ้าภาพต้องหาวันดีเพื่อเชิญผีเรือนขึ้นบ้านและจดรายชื่อผู้ตายไว้ในบัญชีรายชื่อผีเรือน ที่เรียกว่า "ปั๊บผีเรือน" (หน้า 46-54) เวลาบ้านใดทำพิธีเสนเรือนก็จะเชิญผีตัวนั้นไปกินเครื่องเซ่นด้วย ซึ่งก็สะท้อนถึงความเชื่อในเรื่องผีเดียวกัน (หน้า 59) |
|
Education and Socialization |
|
Health and Medicine |
การรักษาพยาบาล ลาวโซ่งมีความเชื่อว่า ความเจ็บไข้ได้ป่วยเกิดจาก แถน หรือ ผีฟ้า ไม่พอใจ ดังนั้นเมื่อเจ็บป่วยจึงมักจะไปหา หมอมด ซึ่งเป็นผู้ทำพิธีเสนแก้เคราะห์ให้กับผู้ที่เจ็บป่วยจากการกระทำของ แถน หรือ ผีฟ้า แต่ถ้ายังรักษาไม่หายก็จะพาไปหา หมอเยื้อง หมายถึง หมอดู หรือ หมอเสี่ยงทำนาย เพื่อดูว่าถูกผีตนใดกระทำ ถ้ารู้ว่า เพราะผีพ่อแม่ถูกแถนจับขังไว้ ก็จะต้องทำพิธีเสนเต็งเพื่อไถ่ตัวผีพ่อแม่จากแถน โดยที่ญาติต้องอธิษฐานว่าถ้าหายเมื่อใดก็จะทำพิธีเสนเต็งให้ เมื่อผู้ป่วยหายแล้วก็ต้องทำตามที่อธิษฐานไว้ (หน้า 88) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
การแต่งกาย : เครื่องแต่งกายของลาวโซ่งทั้งชายและหญิงนิยมแต่งชุดสีดำหรือสีครามเข้มเป็นประจำ จนได้ชื่อเรียกว่า "ลาวทรงดำ" หรือ "ไทยทรงดำ" เครื่องแต่งกายแบ่งเป็นชุดที่ใช้ในชีวิตประจำวัน และชุดที่ใช้ในโอกาสพิเศษ - ชุดที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ผู้ชายนุ่งกางเกงขาสั้นสีดำหรือสีครามเข้ม เรียกว่า "ส้วงขาเต้น" สวมเสื้อแขนกระบอกยาวสีดำรัดข้อมือ ผ่าหน้าตลอด ติดกระดุมเงินประมาณ 10 - 15 เม็ด เรียกว่า "เสื้อไท" ผู้หญิงนุ่งผ้าซิ่นสีดำหรือสีครามเข้ม มีลายขาวเป็นทางลงสลับดำ มีเชิงผ้าเป็นขอบขวางกว้างประมาณ 2 - 3 นิ้ว สวมเสื้อแขนกระบอก แขนยาวสีดำรัดข้อมือ ผ่าหน้าตลอด ติดกระดุมเงินประมาณ 9 - 10 เม็ด เรียกว่า "เสื้อก้อม" - ชุดที่ใช้ในโอกาสพิเศษ ผู้ชายนุ่งกางเกงขายาวสีดำ เรียกว่า "ส้วงขาฮี" สวมเสื้อที่ใช้ในโอกาสพิเศษ เรียกว่า "เสื้อฮี" ทำด้วยผ้าฝ้ายย้อมคราม ตัวเสื้อเข้ารูปเล็กน้อย ผ่าหน้าตลอด ความยาวคลุมตะโพก เสื้อจะผ่าข้างขึ้นมาถึงเอว คอเสื้อเป็นคอกลมติดคอ กุ๊นรอบคอด้วยผ้าไหมสีแดง แล้วเดินเส้นทับด้วยไหมสีแสด สีเขียว สีขาว ตรงคอเสื้อมีกระดุมติดคล้องไว้ 1 เม็ด แขนเสื้อเป็นแขนกระบอกแขนยาว มักตกแต่งรักแร้และด้านข้างของตัวเสื้อด้วยเศษผ้าไหมสีต่างๆ พร้อมทั้งติดกระจกชิ้นเล็กๆ ตามลวดลายอย่างงดงาม สำหรับผู้หญิงก็ต้องใส่เสื้อฮีเช่นเดียวกัน แต่เสื้อฮีของผู้หญิงตัวใหญ่กว่าของผู้ชายมาก ด้านหน้าทำเป็นคอแหลมลึก ใช้สวมหัว ปักตกแต่งด้านหน้าด้วยเศษผ้าไหมสีต่างๆ แขนเสื้อเป็นแขนกระบอก แขนสามส่วน นิยมปักตกแต่งปลายแขนด้วยไหมสีแดง สีแสด สีเขียว และสีขาว (หน้า 3 - 4) (ดู เครื่องแต่งกายชุดที่ใช้ในชีวิตประจำวันของผู้หญิงโซ่ง, หน้า 99), (ดู "เสื้อฮี" เครื่องแต่งกายชุดที่ใช้ในโอกาสพิเศษของชายและหญิงโซ่ง, หน้า 100) ในด้านศิลปหัตถกรรม ผู้ชายนิยมทำเครื่องจักรสาน ผู้หญิงนิยมการเย็บปักถักร้อย และทอผ้า (หน้า 5) |
|
Folklore |
ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับตำนาน นิทาน และเรื่องเล่า มีแต่การละเล่นที่เรียกว่า การเล่นคอน, การเล่นคอน หมายถึง การเล่นลูกช่วง ภาษาโซ่งเรียกว่า ลูกคอน การเล่นคอนมักเล่นกันในเดือนห้า ผู้เล่นมักเป็นคนหนุ่มสาวประมาณ 15 - 20 คน ใช้ลูกช่วงเป็นอุปกรณ์การละเล่นที่สำคัญ หนุ่มสาวโซ่งจะโยนให้ถูกตัวกันเป็นการเกี้ยวพาราสีและเป็นการสร้างสัมพันธไมตรีระหว่างหนุ่มสาวอีกวิธีหนึ่ง (หน้า 37 - 38) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ผู้วิจัยได้กล่าวไว้ในข้อเสนอแนะว่า ชุมชนลาวโซ่งกลุ่มนี้ยังคงรักษาวัฒนธรรมดั้งเดิมอย่างเคร่งครัด เมื่อเปรียบเทียบกับลาวกลุ่มอื่นในประเทศไทย รวมทั้งข้อเสนอแนะในการศึกษาแนวทางการเปลี่ยนแปลงทางสังคมต่อไปอีกด้วย (หน้า 78) |
|
Map/Illustration |
รูปภาพ : บ้านแบบดั้งเดิมของลาวโซ่ง (หน้า 94), หมอเสนคีบอาหารจากปานเผือนทิ้งลงช่องที่เจาะไว้ที่ผนังห้องผีเรือนเพื่อเซ่นผีบรรพบุรุษ (หน้า 95), เจ้าสาวและเพื่อนเจ้าสาวไหว้ญาติทางฝ่ายเจ้าบ่าว (หน้า 96), นำศพไปเผาที่ป่าช้า (หน้า 97), เสาหลวง (หน้า 98), เครื่องแต่งกายชุดที่ใช้ในชีวิตประจำวันของผู้หญิงโซ่ง (หน้า 99), "เสื้อฮี" เครื่องแต่งกายชุดที่ใช้ในโอกาสพิเศษของชายและหญิงโซ่ง (หน้า 100) แผนที่ : แผนที่อำเภอเขาน้อย จังหวัดเพชรบุรี (หน้า [3]) |
|
|