|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
มลาบรี (Mlabri) ลักษณะทางกายภาพ โครงสร้างและแบบแผนพฤติกรรมทางสังคม การหาอาหาร ความเชื่อ การรักษาโรค แพร่-น่าน ประเทศไทย |
Author |
Erik Seidenfaden |
Title |
The Kha Tong Lu'ang |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
มละบริ ยุมบรี มลาบรี มละบริ มลา มละ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
- |
Location of
Documents |
Journal of the Siam Society 1921-1930หน้า41-48 ออนไลน์ที่ : http://www.siam-society.org/pub_JSS/jss_index_1921-1930.html |
Total Pages |
9 |
Year |
2469 |
Source |
Journal of the Siam Society (JSS), Vol. 20, Pt. 1 (1926). |
Abstract |
งานเขียนชิ้นนี้เป็นงานเขียนเชิงชาติพันธุ์วรรณาพรรณนาถึงลักษณะทางกายภาพ วิถีชีวิต ความเชื่อและแบบแผนพฤติกรรมทางสังคมของมลาบรีจากข้อมูลที่ได้จาก Mr. T. Wergani เจ้าหน้าที่ป่าไม้ของบริษัทอีสท์เอเชียติก (East Asiatic Company) ในจังหวัดแพร่ งานเขียนนี้เป็นงานเขียนชิ้นแรกๆเกี่ยวกับมลาบรี มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มชาติพันธุ์มลาบรี ทั้งการบรรยาย พรรณนาและการเชื่อมโยงกับงานศึกษาที่มีมาก่อนหน้า |
|
Focus |
งานเขียนชิ้นนี้เป็นงานเขียนเชิงชาติพันธุ์วรรณา (Ethnography) พรรณนาในภาพรวมถึงลักษณะทางกายภาพ วิถีชีวิต ความเชื่อ โครงสร้างและแบบแผนพฤติกรรมทางสังคมของมลาบรี ในพื้นที่จังหวัดแพร่-น่าน |
|
Ethnic Group in the Focus |
ผู้เขียนงานชิ้นนี้ใช้คำเรียกมลาบรีว่า ข่าตองเหลือง (Kha Tong Lu’ang) หรือ ผีตองเหลือง (Phi Tong Lu’ang) ตามที่เรียกในจังหวัดแพร่-น่านและในประเทศลาวในช่วงเวลาที่ศึกษา มลาบรีปฏิเสธที่จะถูกเรียกว่าผีตองเหลือง และผู้เขียนไม่ทราบแน่ชัดว่าคนกลุ่มนี้เรียกตนเองว่าอย่างไร แต่เมื่อถูกถามจะบอกว่าตนเองเป็น “คนป่า” (หน้า 41,43) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
มลาบรีไม่มีภาษาเขียน ภาษาของมลาบรีเป็นเสียงจากลำคอเป็นห้วงๆ แหลมสูงและแผ่วเบาฟังแทบไม่เป็นภาษา ไม่มีเสียงพยัญชนะ R เมื่อติดต่อสื่อสารกับคนนอก เช่น การติดต่อแลกเปลี่ยนของป่ากับสิ่งของที่ต้องการ มลาบรีจะใช้ภาษาที่ผสมผสานระหว่างภาษาลาวและภาษาขมุ (หน้า 47) |
|
Study Period (Data Collection) |
ข้อมูลจาก Mr. T. Wergani ซึ่งทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้ของบริษัทอีสท์เอเชียติก (East Asiatic Company) ในจังหวัดแพร่และได้มีโอกาสศึกษากลุ่มชาติพันธุ์มลาบรีในปี ค.ศ. 1924 |
|
Settlement Pattern |
มลาบรีจะอาศัยอยู่บนยอดเขาที่มีแหล่งน้ำ ดำรงชีวิตด้วยการเก็บของป่าล่าสัตว์ ไม่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง เมื่ออาหารหมดลงจึงจะย้ายถิ่นฐานไปยังแหล่งที่อยู่ใหม่ ที่พักสร้างอย่างหยาบๆ เป็นหลังคาเพิงหมาแหงน ทรงสี่เหลี่ยมสูงประมาณ 1 เมตร หลังคาด้านหลังลาดติดกับพื้นดินอีกด้านมีไม้ไผ่ค้ำยกสูงชี้ฟ้าในลักษณะเอียง 45 องศา ตัวหลังคาทำจากกิ่งไม้ไผ่สานเป็นโครงปูด้วยใบตอง ไม่พบว่ามีสิ่งของเครื่องใช้ในบ้านหรือเครื่องหุงหาอาหาร เมื่อใบตองเหี่ยวแห้งเป็นสีเหลือง มลาบรีก็จะย้ายไปแหล่งใหม่ (หน้า 43-44) |
|
Economy |
มลาบรีดำรงชีวิตด้วยการล่าสัตว์และเก็บของป่า เช่น รากไม้และน้ำผึ้ง (หน้า 44) มลาบรีล่าสัตว์ทุกชนิดรวมทั้งแรด แต่ไม่ล่าเสือเพราะมลาบรีกลัวเสือ (หน้า 45) ไม่พบว่ามีการเพาะปลูกและระบบการผลิตแบบอุตสาหกรรม การผลิตมีเพียงการทำหอก เหลาไม้สำหรับใส่ขยายติ่งหู (earplug) และเหลากระบอกไม้ไผ่สำหรับใส่วัสดุที่ใช้ในการจุดไฟ นอกจากนี้กระบอกไม้ไผ่ยังไว้เก็บน้ำ น้ำผึ้ง และเป็นภาชนะหุงข้าว (หน้า 44)
มลาบรีแลกเปลี่ยนของป่ากับสิ่งของที่ต้องการจากชาวลาวและชาวขมุ โดยจะแลกเปลี่ยนกับขมุมากกว่าเพราะรู้สึกไว้วางใจมากกว่าคนลาว (หน้า 45) ของป่าที่นำไปแลกมีงาช้าง นอแรด ขี้ผึ้ง น้ำผึ้ง แลกกับผ้า ยาสูบ ข้าว (หน้า 46) และเหล็ก (เพื่อนำมาทำหอก) (หน้า 44) เมื่อต้องการแลกเปลี่ยนของป่ากับสิ่งของที่ต้องการ มลาบรีจะเดินทางไปยังหมู่บ้านของชาวขมุและจะนั่งรอบนพื้นจนกว่าจะได้รับอนุญาตให้เข้าไปในบ้าน โดยจะมีบางส่วนรออยู่นอกบ้านเพื่อระวังภัยเนื่องจากกลัวว่าจะถูกชาวขมุหักหลัง ในการแลกเปลี่ยนมลาบรีจะแลกเปลี่ยนของป่าที่หามาได้กับสิ่งที่ต้องการโดยไม่รู้จักมาตรวัดชั่งตวง ทำให้เป็นฝ่ายเสียเปรียบเสมอ (หน้า 46)
อาหาร
มลาบรีกินทุกอย่างที่กินได้ ตั้งแต่สัตว์ใหญ่ไปจนถึงหนู งู แมลง หนอน อาหาร อาหารหลักคือหน่อไม้และรากไม้ไผ่ มลาบรีไม่เคี้ยวหมาก ไม่ใช้ฝิ่น (opium) แต่จะสูบยาสูบ (tobacco) มลาบรีกินอาหารด้วยมือ เมื่อล่าสัตว์ได้จะเอาไปย่างไฟโดยที่ไม่ล้าง ถลกหนังหรือเอาเครื่องในออกแต่อย่างใด เมื่อเนื้อสุกจึงใช้มือฉีกเนื้อกิน (หน้า 44) โดยจะใช้หอกล่าสัตว์ เป็นหอกยาวประมาณ 11 ฟุต ทำจากลำต้นปาล์มที่แข็งแรงแต่ยืดหยุ่นพอที่จะดัดได้ หัวหอกแหลมทำจากเหล็กยาวประมาณ 11 นิ้วหรือ 0.28 เมตร เหล็กนี้มลาบรีได้จากชาวลาวกับขมุ มลาบรีไม่รู้วิธีตีเหล็กแต่เอาเหล็กที่แลกได้มาเอามาทำหัวหอกตามที่ต้องการ เสียบหัวหอกกับด้าม ยึดไว้ด้วยลงเหล็กกลมและรัดด้วยเชือก อาบหัวหอกด้วยยาพิษที่ทำจากพืชที่มีฤทธิ์รุนแรงถึงขั้นที่รอยข่วนจากหอกสามารถทำให้สัตว์ใหญ่เช่นช้างหรือแร่ดตายได้ มลาบรีจะใช้ยาพิษนี้เมื่อจำเป็นเท่านั้น เช่น เมื่ออาหารที่สะสมไว้หมดลง นอกจากนี้มลาบรีใช้มีดเก่าที่แลกมาจากชาวขมุด้วย มลาบรีไม่รู้จักการใช้ห่วงและกับดักในการล่าสัตว์ ไม่รู้จักการจับปลา มลาบรีเป็นนักตามรอยชั้นเยี่ยม สามารถตามสัตว์ไปได้เป็นระยะไกลโดยการตามกลิ่น มลาบรีไม่เลี้ยงสัตว์ยกเว้นสุนัขที่ได้มาจากชาวขมุ (หน้า 44-45)
|
|
Social Organization |
โครงสร้างสังคมเป็นแบบสังคมดั้งเดิม แบ่งออกเป็น 8 กลุ่มสายตระกูล (clans)
สำหรับการแต่งงานมลาบรีมีกฎว่าจะต้องแต่งงานกับคนนอกเครือญาติของตนเท่านั้นและมีสามีภรรยาเดียว ซึ่งเป็นเพราะผู้หญิงมีจำนวนน้อยกว่าผู้ชาย ผู้ชายจะต้องล่าสัตว์ใหญ่เพื่อให้ได้รับการยอมรับเป็นลูกเขยและสามารถแต่งงานได้ อย่างไรก็ตาม สถานะทางสังคมของผู้หญิงมลาบรีนั้นต่ำมาก ผู้หญิงต้องทำงานทุกอย่างเทียบเท่ากับทาส (หน้า 46) สำหรับอาหารที่สมาชิกในกลุ่มหามาได้จะนำมารวมกันและแบ่งกันกินอย่างเท่าเทียม (หน้า 46)
|
|
Political Organization |
การปกครองของมลาบรีนั้นแต่ละสายตระกูล (clans) จะมีผู้นำของตนเองและมีผู้นำสูงสุดของทั้ง 8 กลุ่ม ผู้นำจะมีอำนาจเด็ดขาด สมาชิกจะต้องเคารพในคำตัดสินของผู้นำกลุ่ม การเป็นหัวหน้านั้นไม่ได้มาจากการสืบทอดตำแหน่งแต่เลือกนักล่าที่เก่งที่สุดมาเป็นหัวหน้าแทนคนเก่า (หน้า 46) ไม่พบการต่อสู้ภายในกลุ่มหรือกับกลุ่มอื่นๆ ตามธรรมชาติแล้วมลาบรีไม่ดุร้ายแต่ถ้ามีการเผชิญหน้าในป่าจะจู่โจมเพราะความกลัวและเพื่อปกป้องตนเอง |
|
Belief System |
มลาบรีนับถือผี เชื่อว่ามีผีสถิตอยู่ในป่า ภูเขา ก้อนหิน ลำธารและมีการบูชาผี โดยของบูชาผีที่จัดว่าดีที่สุดคือหมู ในพิธีบูชาผีมลาบรีจะร้องเพลงพิเศษสำหรับพิธีบูชาผี มลาบรีเชื่อเรื่องจิตวิญญาณและการเกิดในชาติภพหน้า ไม่พบว่ามีการใช้เวทมนตร์คาถาหรือไสยศาสตร์ ไม่มีนักบวชหรือหมอผี(หน้า 47)เมื่อสมาชิกในวงเครือญาติเสียชีวิตจะฝังศพไว้ในหลุมลึกเพื่อป้องกันไม่ให้ศพถูกเสือขุดขึ้นมากัดกิน มลาบรีเชื่อว่าถ้ามีศพใดถูกสัตว์ขุดขึ้นมา ผีของคนที่ตายจะกลายเป็นผีร้ายคอยหลอกหลอนคนที่ยังมีชีวิตอยู่ (หน้า 47) นอกจากนี้มลาบรีไม่ปลูกพืชเพราะกลัวว่าจะเป็นการลบหลู่ผี (หน้า 45) |
|
Education and Socialization |
ไม่มี (ในหน้า 43 Seidenfaden แสดงความเห็นว่ามลาบรีมีสติปัญญาที่มีพัฒนาการน้อยและมีเพียงส่วนน้อยที่มีระดับสติปัญญาสูงกว่าระดับต่ำ) |
|
Health and Medicine |
ไม่พบว่ามลาบรีใช้ยาในการรักษาอาการเจ็บป่วย เมื่อการรักษาคือการบูชาผีและทำพิธีไล่ผี เช่นการเข้าผี (Khao phi) ซึ่งเป็นความเชื่อในสังคมลาว (หน้า 47) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
มลาบรีมีเพลงสั้นทำนองเสียงระดับเดียวฟังคล้ายกับเพลงของชาวขมุ ไม่พบว่ามีการใช้เครื่องดนตรี (หน้า 47)
|
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
สันนิษฐานว่ามลาบรีเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่สืบมาจากกลุ่มชาติพันธุ์ตระกูล มอญ-เขมร เชื่อว่าเป็นกลุ่มชาติพันธุ์เดียวในโลกหรือในเอเชียที่มีวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมและไม่สวมใส่เสื้อผ้า (หน้า 47) มีลักษณะนิสัยเฉพาะคือ มีความระแวดระวังภัยสูง ตื่นตกใจง่าย (หน้า 41) ซื่อๆ และเชื่อคนง่าย (หน้า 43) |
|
Other Issues |
งานชิ้นนี้ให้ความสำคัญกับลักษณะทางกายภาพของมลาบรี โดยบันทึกว่า มลาบรีมีขาที่แข็งแรงเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ส่วนบนของร่างกายไม่แข็งแรงสมบูรณ์เท่าร่างกายส่วนล่าง มีผิวออกเหลืองเนื่องจากอยู่ในป่าลึกทึบไม่โดนแสงแดด (หน้า 42) ไม่มีขนรุงรังตามร่างกาย (หน้า 41) ไม่สวมเสื้อผ้าปกคลุมร่างกาย ผู้ชายจะพันผ้าเพื่อปกปิดบริเวณสะโพกเมื่อเข้าไปในหมู่บ้าน รูปหน้ายาวเป็นรูปไข่ จมูกไม่มีดั้งแต่ส่วนปลายจมูกเด่นและรูจมูกค่อนข้างกว้าง ดวงตามีขนาดเล็กคมตามแบบตาของนักล่าและมีสีน้ำตาล ในส่วนตาขาวสีค่อนข้างเหลือง ดวงตาลอยคล้ายกับเพ้อฝันหรือเมากัญชา (หน้า 42) ปากกว้างแต่ริมฝีปากบางโดยริมฝีปากบนค่อนข้างเล็ก (หน้า 41) ฟันและกรามแข็งแรง ฟันซี่ยาว มีคนแก่หลายคนที่ฟังยังอยู่ครบถ้วน (หน้า 42) มีการแสดงออกทางสีหน้าคล้ายกับชาวแลปป์ (Lapps) หรือชาวซามิ (Sami) ซึ่งอยู่ทางเหนือของประเทศสวีเดน (หน้า 41) ผมยาวตรงสีดำสนิทแต่เมื่อผมผ่านการเจอกับสภาพอากาศต่างๆก็จะมีสีอ่อนลง โดยผมสีเทานั้นจะเป็นสีผมที่พบได้ทั่วไปแม้กระทั่งในกลุ่มเด็กอายุน้อย ผมจะเต็มไปด้วยฝุ่นและแตกปลาย ผู้ชายจะไว้ผมยาวถึงไหล่ ส่วนผู้หญิงจะไว้ผมยาวถึงเอว (แต่มีระบุว่า Mr. T Wergeni เคยพบเจอแต่ผู้ชายเท่านั้น) (หน้า 42) ไม่พบว่ามีการทำให้ร่างกายผิดรูปผิดร่างตามความเชื่อใดๆ นอกจากการเจาะหูและการเจาะรูขยายติ่งหูด้วยการเสียบแท่งไม้ขนาดใหญ่ที่เหลาจากไม้หรือไม้ไผ่ที่ติ่งหู เมื่อรูขยายก็จะเปลี่ยนขนาดไม้ให้ใหญ่ขึ้นจนติ่งหูยาวลงมาจนถึงระดับไหล่ (หน้า 42) และมีคนจำนวนไม่มากนักที่สักร่างกาย (Tattooing) ตามอย่างคนลาว ลายสักเป็นเส้นแนวนอนหรือจุดต่อกันเป็นเส้นตรงหน้าผากไล่ไปตามแนวผมและเส้นอื่นๆยาวไปตามแนวขอบกรามและคาง การเจาะใบหูและการสักนั้นทำเพื่อการตกแต่งร่างกายเพียงอย่างเดียว ไม่เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมความเชื่อแต่อย่างใด (หน้า 42) |
|
|