|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลาหู่ ชาติพันธุ์ธำรง(ethnicity) การเป็นลาหู่ การศึกษาในโรงเรียนมัธยม จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย |
Author |
Matthew Ryan Juelsgaard |
Title |
Being Lahu in a Thai School : An Inquiry into Ethnicity, Nationalism, and Schooling |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
ลาหู่ ลาหู่ ละหู่ ลาฮู,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไม่ระบุ |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์ มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
163 หน้า |
Year |
2556 |
Source |
A Dissertation Submitted to the Graduate Division of the University of Hawaii at Manoa in Partial Fulfillment of the Requirements for the Degree of Doctor of Philosophy in Education |
Abstract |
การศึกษานี้สนใจศึกษามุมมองความคิดและวิธีคิดของล่าหูจากประสบการณ์ในฐานะที่เป็นนักเรียนล่าหูระหว่างศึกษาอยู่ในโรงเรียนมัธยม ผู้ศึกษาเห็นว่าเป้าหมายหลักของการตั้งโรงเรียนไทยคือการบูรณาการประชากรที่หลากหลายเข้าสู่รัฐชาติ ผู้เขียนเก็บข้อมูลระหว่างเดือนมิถุนายน - เดือนกันยายน ค.ศ. 2012 โดยใช้วิธี phenomenological approachสร้างแบบสอบถามสัมภาษณ์ล่าหูหญิงชายจำนวน 10คนเกี่ยวกับประสบการณ์ในช่วงที่ศึกษาในโรงเรียนมัธยมบ้านโรงเรียน(Banrongrian Secondary School) จังหวัดเชียงราย ผู้ศึกษาสรุปว่า การเป็นล่าหูเป็นความแตกต่างที่ทำให้ประสบการณ์ในโรงเรียนของผู้ให้ข้อมูลมีความต่างอย่างมีนัยยะสำคัญ และนโยบายการบูรณาการชาติก่อให้เกิดการเป็นชายขอบของผู้ให้ข้อมูลในฐานะนักเรียนชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อยในบริบทโรงเรียน (น.v-vi) |
|
Focus |
สนใจศึกษามุมมองความคิดและวิธีคิดของคนล่าหูเกี่ยวกับการเป็นลาหู่ช่วงเรียนในโรงเรียนมัธยม (น.1) |
|
Theoretical Issues |
ผู้เขียนเห็นว่า เป้าหมายแรกของการจัดระบบการศึกษาในโรงเรียนของรัฐคือ การกลืนกลายประชากรที่มีความแตกต่างหลากหลายให้เข้าสู่สังคมชาติ ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ต่อเนื่องกันมาตั้งแต่ปลายคริสต์ทศวรรษ 1800 ในสมัยรัชกาลที่ 5 แล้ว และสำหรับการศึกษาชิ้นนี้ ผู้เขียนเห็นว่า แม้ในช่วง 60 ปีที่ผ่านมาจะมีคนลาหู่ในประเทศไทยจำนวนมากได้เข้าโรงเรียนของรัฐ แต่ก็มีงานวิจัยจำนวนน้อยที่ศึกษาประสบการณ์การศึกษาของลาหู่ในโรงเรียนจากมุมมองของพวกเขาเอง ในการศึกษานี้ผู้เขียนสนใจมุมมองและวิธึคิดของลาหู่ โดยได้ตั้งคำถามหลักในการสนทนาเก็บข้อมูลว่า ผู้ให้ข้อมูลมองประสบการณ์การเป็นนักเรียนลาหู่ในโรงเรียนอย่างไร (น.1)
จากการศึกษาผู้เขียนสรุปว่า การศึกษาถูกใช้ในโลกของการเปลี่ยนแปลงและความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ไม่เท่าเทียมกัน เราจะเข้าใจการศึกษาได้ก็ต้องมองไปที่ความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ไม่เท่าเทียมกันในสังคมและมองไปที่ความเป็นจริงของอิทธิพลอำนาจ/การครอบงำและการเป็นชายขอบที่กล่าวถึงความสัมพันธ์นั้น ผลของการศึกษานี้ส่งเสริมสนับสนุนการมองการศึกษาในฐานะการกระทำทางการเมืองการปกครอง (a political act) ผู้เขียนเห็นว่าการเข้าใจประสบการณ์ของผู้ให้ข้อมูลในการศึกษานี้จะทำไม่ได้ถ้าปราศจากบริบททางการเมืองและสังคมในระดับกว้าง และการศึกษานี้ยังชี้ให้เห็นคุณค่าของการสำรวจตรวจสอบการเมืองของการศึกษา (the politics of education)ผ่านสายตาของผู้ถูกครอบงำ(the eyes of the dispossessed) ในการศึกษานี้ยังพบว่า นักเรียนชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อยชายขอบในประเทศไทยเผชิญกับกำแพงความเท่าเทียมกันที่เกี่ยวข้องอย่างยิ่งกับบริบททางการเมืองและสังคมระดับใหญ่ของประเทศ โรงเรียนประถมบนภูเขาตั้งขึ้นมาเพื่อชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อยมีคุณภาพต่ำกว่าโรงเรียนในพื้นราบ (น.154-155) |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ลาหู่พูดภาษาอื่นที่ไม่ใช่ภาษาตระกูลไต |
|
Study Period (Data Collection) |
เก็บข้อมูลระหว่างเดือนมิถุนายน-เดือนกันยายน ค.ศ. 2012 โดยสัมภาษณ์หญิงชายลาหู่ 10 คน ที่จบการศึกษาระดับมัธยมต้นจากโรงเรียนมัธยมบ้านโรงเรียน โดยเป็นหญิง 6 คน ชาย 4 คนอายุระหว่าง 21-29 ปี จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษา 1 คน ระดับปริญญาตรี 8 คน และกำลังศึกษาปริญญาตรี 1คน (น.59-60) |
|
History of the Group and Community |
ลาหู่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อยกลุ่มหนึ่งที่อาศัยอยู่ทางภาคเหนือของไทย ลาหู่มองว่าอพยพเข้ามาในประเทศไทยอย่างผิดกฎหมาย และผู้ให้ข้อมูลก็ยอมรับความคิดนี้ที่มองลาหู่ว่าเข้าในไทยจากฝั่งประเทศพม่าเมื่อ 30-40ปี (น.16) |
|
Economy |
ทุนการศึกษา ครอบครัวของลาหู่หญิงชายทั้ง 10 คนมีฐานะยากจน ความช่วยเหลือทางการเงินจึงจำเป็นต่อการเข้าโรงเรียน บางคนได้รับการช่วยเหลือจากครู บางคนได้รับการช่วยเหลือจากองค์กรศาสนาคริสต์หรือจากรัฐบาล (น.144) |
|
Political Organization |
ความสัมพันธ์กับรัฐ ผู้เขียนไม่ได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างลาหู่กับรัฐโดยตรง แต่ได้กล่าวถึงรูปแบบความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไประหว่างรัฐกับกลุ่มชาติพันธุ์อันนำไปสู่เรื่องการบูรณาการชาติ อัตลักษณ์ชาติไทย และคนที่ไม่ใช่ไทยตามลำดับ ซึ่งลาหู่เป็นหนึ่งในกลุ่มชาติพันธุ์นั้น เดิมแนวความคิดเรื่องสังคมการเมือง(polities)ในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีลักษณะแบบศูนย์กลางแผ่อำนาจอันเข้มแข็งไปยังแนวชายแดนอย่างหลวมๆ แต่เมื่อพลังอำนาจการล่าอาณานิคมของตะวันตกเข้ามาพร้อมทั้งทำแผนที่ลากเส้นแบ่งแนวดินแดนแถบนี้ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นรัฐชาติ แนวความคิดเรื่องสังคมการเมืองแบบเดิมก็หายไป ถูกแทนที่ด้วยแนวความคิดแบบรัฐชาติ และเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างรัฐก็ได้รับการยอมรับว่ามีอยู่และถูกกฎหมาย สิ่งนี้ได้เปลี่ยนความสัมพันธ์ทางสังคมการเมืองและเศรษฐกิจ และยังเปลี่ยนแนวความคิดเรื่องความแตกต่างหลากหลายของคนในดินแดนแถบนี้ คนที่อยู่บนพื้นที่สูงซึ่งเคยเคลื่อนย้ายอย่างอิสระตามพื้นที่แนวชายแดน มีพันธะแบบส่งส่วยบรรณาการกับเมืองศูนย์กลางอำนาจหลายเมือง ได้ถูกผลักดันให้หยุดการเคลื่อนย้ายข้ามแนวพรมแดนรัฐชาติแบบใหม่ และเลิกพันธะบรรณาการแบบเดิมมาอยู่ในอำนาจของรัฐเดียว และยิ่งไปกว่านั้น ความคิดคู่ตรงข้ามระหว่างคนพื้นที่สูง (คนดอย) กับคนพื้นราบ(คนเมือง) ที่ปรากฏเป็นวาทกรรมอำนาจรัฐ ก็กลายเป็นลักษณะพื้นฐานของลักษณะภูมิทัศน์ทางสังคม (the social landscape) ความคิดแบบใหม่เรื่องเขตแดนที่โผล่ขึ้นมาในยุคอาณานิคมนี้เป็นพื้นฐานส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนรูปแบบรัฐไทยจากราชอาณาจักรพุทธมาสู่รัฐชาติสมัยใหม่สิ่งนี้ได้เปลี่ยนลักษณะภูมิทัศน์ทางสังคมและความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อยบนที่สูง(น.18-19) ซึ่งผู้เขียนกล่าวว่าการศึกษานี้ได้ชี้ให้เห็นว่า ความแตกต่างทางชาติพันธุ์ สังคมและภูมิศาสตร์ที่เกี่ยวพันกันนั้นยังคงเป็นพื้นฐานส่วนหนึ่งของภูมิทัศน์ทางสังคมของไทย(น.152)
ทั้งนี้การเผชิญกับลัทธิล่าอาณานิคมของอังกฤษและฝรั่งเศสช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ทำให้รัฐไทยในกรุงเทพฯมองอำนาจรัฐในลักษณะอำนาจเหนือเขตแดนทางภูมิศาสตร์แบบใหม่ การอ้างอำนาจเหนือเขตแดนและการควบคุมผู้คนและตำแหน่งพื้นที่ภายในเขตแดนทำให้ความสัมพันธ์แบบส่วยบรรณาการถูกยกเลิก ท้องถิ่นที่ปกครองตนเองถูกรวมเข้ามาอยู่ในรัฐชาติที่เป็นหนึ่งเดียว รัฐไทยตระหนักดีว่าการปฏิรูปและการขยายอำนาจไปสู่ท้องถิ่นภูมิภาคต้องได้รับการต่อต้านและใช้กำลังทหารไม่ได้ผล ดังนั้นจึงมุ่งเน้นการสร้างอัตลักษณ์และวัฒนธรรมชาติโดยบูรณาการคนในท้องถิ่นเข้าสู่ชาติที่เป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งมีสามเสาหลัก ได้แก่ หนึ่ง ชาติไทย อันประกอบด้วย ประชาชน แผ่นดินและภาษา สอง ศาสนาพุทธ และสาม พระมหากษัตริย์ ทั้งนี้ระบบการศึกษาที่รัฐควบคุมได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการสร้างอัตลักษณ์และวัฒนธรรมชาติ(น.19-20)
นอกจากนั้นการสร้างอัตลักษณ์ชาติยังนำไปสู่การแบ่งจำแนกชาติพันธุ์ กล่าวคือ คนบนพื้นที่สูง เช่น ลาหู่ ไม่สามารถรับอัตลักษณ์ชาติไทยได้เพราะภาษาของพวกเขาไม่เกี่ยวข้องภาษาตระกูลไตและไม่ได้นับถือพุทธศาสนา ชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อยจึงกลายเป็น “คนอื่นที่ไม่ใช่ไทย” ถูกมองว่ามีกำเนิดที่มาจากเขตแดนประเทศชาติอื่น นอกจากนั้น การกำหนดแผนที่ของประเทศที่นำไปสู่การสร้างอัตลักษณ์ชาติไทยยังได้เปลี่ยนแนวความคิดเรื่องความแตกต่างของคนที่เคยมีมาก่อนหน้านี้ นั่นคือ ความแตกต่างระหว่างคนกลุ่มต่างๆที่อยู่ชายขอบของสังคมการเมืองที่มีอิทธิพลอำนาจในช่วงก่อนยุคอาณานิคมมีพื้นฐานอยู่ที่ท้องถิ่นและเครือญาติ ขณะที่รัฐชาติสมัยใหม่ของไทย ความแตกต่างระหว่างกลุ่มคนมีพื้นฐานอยู่ที่การเป็นไทย(being Thai)หรือการไม่เป็นไทย(being non-Thai) ซึ่งถูกมองว่าเป็นการแบ่งจำแนกชาติพันธุ์(น.21)
การเป็นชายขอบ ผู้เขียนกล่าวว่า การศึกษานี้สนับสนุนคำกล่าวที่ว่านโยบายการบูรณาการชาติก่อให้เกิดการเข้าสู่ชายขอบของผู้ให้ข้อมูลในฐานะนักเรียนชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อยในบริบทโรงเรียน(น.153) ทั้งนี้ข้อค้นพบในการศึกษานี้บ่งชี้ว่า นักเรียนชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อยที่เป็น/อยู่ชายขอบเผชิญกับกำแพงความไม่เท่าเทียมกันที่เกี่ยวข้องกับบริบทการเมืองและสังคมชาติ โรงเรียนประถมศึกษาบนภูเขาที่ตั้งขึ้นเพื่อชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อยบนภูเขามีคุณภาพต่ำกว่าโรงเรียนสำหรับนักเรียนไทยในพื้นราบ ผู้ให้ข้อมูลที่เป็นสมาชิกของกลุ่มที่ด้อยกว่าในสังคมไทยได้ตระหนักถึงความไม่เท่าเทียมนี้ในโรงเรียนประถม (น.154)
นอกจากนี้ผู้เขียนยังเห็นว่า ภาษาก็แสดงถึงการเป็นชายขอบด้วย การที่ภาษาไทยเป็นภาษาหลักสำคัญของประเทศและเป็นภาษาที่ใช้ในโรงเรียน ภาษาไทยจึงมีค่า การไม่มีความรู้ภาษาไทยแบบภาษาแม่ (the “native” knowledge of Thai language) หรือพูดไทยไม่ชัด ผู้ให้ข้อมูลจะประสบปัญหาในการเรียนและถูกเพื่อนนักเรียนไทยล้อเลียน กล่าวสั้นๆคือ การที่ไม่ได้พูดภาษาไทยเป็นภาษาแม่ในบริบทที่ภาษาไทยมีอำนาจครอบงำสูง ผู้ให้ข้อมูลจึงอยู่ในตำแหน่งชายขอบของโรงเรียน (น.155)
ทั้งนี้ผู้เขียนสรุปว่า ที่มาของการเป็นชายขอบของผู้ให้ข้อมูลในบริบทโรงเรียนอยู่ที่อัตลักษณ์ชาติพันธุ์ลาหู่ของพวกเขา สถานภาพทางชาติพันธุ์ของพวกเขาไม่ได้ติดอยู่กับความแตกต่างทางวัฒนธรรม แต่มันเป็นผลผลิตของสถานที่ที่พวกเขาถูกมองว่ามาจาก “ที่แห่งใดแห่งหนึ่ง” สถานภาพทางชาติพันธุ์ของพวกเขามีนัยยะสำคัญเฉพาะเมื่อเกี่ยวข้องกับการสร้างอัตลักษณ์ชาติและนโยบายบูรณาการชาติในบริบทชาติ (น.157) |
|
Education and Socialization |
การศึกษาสำหรับชาวเขา ผู้เขียนกล่าวว่าการเข้าศึกษาในโรงเรียนเกี่ยวข้องกับความคิดนิยมไทย และการบูรณาการประชากรที่หลากหลายเข้าสู่ความคิดเรื่องชาติ”ไทย”(a ‘Thai’ nation) ความคิดนี้ปรากฏมาตั้งแต่เริ่มจัดระบบการศึกษาแบบสมัยใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 5และเป็นองค์ประกอบหลักในการส่งเสริมอัตลักษณ์ไทยในกลุ่มประชาชนที่มีความแตกต่างหลากหลายภายในเขตแดนทางภูมิศาสตร์ของไทยในฐานะรัฐชาติสมัยใหม่ เมื่อรัฐไทยต้องเผชิญกับการขยายอาณานิคมของอังกฤษและฝรั่งเศส ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 7แม้ไทยจะเปลี่ยนระบอบการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นประชาธิปไตยแล้ว แต่ผู้นำรัฐบาลก็ยังเน้นให้การศึกษาไปที่การบูรณาการชาติ มุ่งให้พลเมืองรู้สึกจงรักภักดีต่อชาติไทย และในสมัยรัฐบาลจอมพลแปลก พิบูลสงคราม ก็ได้ใช้โรงเรียนเป็นเครื่องมือส่งเสริมอัตลักษณ์ไทย สร้างหลักสูตรที่เน้นภาษาไทยมาตรฐานและประวัติศาสตร์ชาติ ความพยายามในการบูรณาการชาตินี้มุ่งไปยังกลุ่มคนที่เข้าถึงอำนาจรัฐ ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยอยู่พิ้นราบในเขตแดนประเทศไทย จนกระทั่งหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ในบริบทของสงครามเย็น รัฐและโรงเรียนจึงเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อชีวิตของลาหู่ในไทย(น.33-36)
ตำรวจตระเวนชายแดนเป็นหน่วยงานแรกของรัฐที่เข้ามาจัดการศึกษาให้ชาวเขา ในปี ค.ศ. 1953 ตำรวจตระเวนชายแดนและชาวบ้านได้ร่วมกันสร้างอาคารเรียนสำหรับสอนหนังสือสอนภาษาไทยแก่เด็กๆชาวเขา เนื่องจากการอ่านออกเขียนได้มีความสำคัญต่อการบูรณาการชนกลุ่มน้อยเข้าสู่สังคมไทย และในปีค.ศ.1965 ก็มีโรงเรียนที่ดำเนินการโดยตำรวจตระเวณชายแดนประมาณ 144 โรง จากนั้นกระทรวงศึกษาธิการก็เป็นหน่วยงานที่สองของรัฐที่เข้ามาดำเนินงานการศึกษาให้นักเรียนชาวเขา โดยเน้นระดับประถมศึกษา ซึ่งในปี ค.ศ.1970 มีโรงเรียนในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ 109 โรง นักเรียน 5,238 คน ทั้งนี้ผู้เขียนกล่าวว่า วัตถุประสงค์แรกของโรงเรียนชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อย คือ การบูรณาการพวกเขาเข้าสู่ชาติและสังคมไทย ด้วยเหตุนี้โรงเรียนเหล่านี้จึงมีจุดมุ่งหมายเหมือนกันกับเมื่อแรกเริ่มการศึกษาตอนปลายคริสตทศวรรษ 1890(น.36-37)
อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนเห็นว่า แม้การบูรณาการชาติจะเป็นเป้าหมายแรกในการก่อตั้งโรงเรียน แต่ผลที่เกิดขึ้นจริงและผลกระทบของโรงเรียนรัฐก็ผันแปรแตกต่างกันในชุมชนและท้องถิ่น ดังนั้นจึงไม่ควรคิดเหมาว่าโรงเรียนสำหรับชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อยบนที่สูงจำนำไปสู่การบูรณาการชาติอย่างที่ตั้งใจ (น.38-40)
การไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนในเมือง ผู้เขียนกล่าวถึงการเรียนต่อในเมืองว่า ความยากจนเป็นแรงจูงใจทางการศึกษาโดยหวังว่าการศึกษาจะช่วยให้หางานได้ง่ายขึ้นและได้รับค่าจ้างดีขึ้น(น.144) ลาหู่ที่ลงมาเรียนหนังสือในเมืองทุกคนจะอยู่หอพักซึ่งมี 2 แห่ง คือ หอพักที่ก่อตั้งโดยคณะแบบติสท์ลาหู่แห่งประเทศไทย (Thailand Lahu Baptist Conventionหรือ TLBC) แห่งหนึ่งและหอพักของลาหู่ที่ได้รับเงินช่วยเหลือจากคณะมิชชันนารีคริสเตียนต่างประเทศ(foreign Christian missionaries) อีกแห่งหนึ่ง นักเรียนที่อยู่หอพักของ TLBC จะได้รับเงินช่วยเหลือเป็นค่าหนังสือและชุดนักเรียน โดยครอบครัวจะจ่ายค่าห้องและค่าอาหาร 2,500 บาท ส่วนหอพักอีกแห่งนั้นนอกจากนักเรียนที่เป็นลาหู่แล้วยังมีนักเรียนกลุ่มชาติพันธุ์อื่นด้วย และมีทั้งคนที่นับถือคริสต์และไม่นับถือคริสต์ มีนักเรียน 2-3 คนที่ได้รับการช่วยเหลือทางการเงิน ขณะที่นักเรียนส่วนมากจ่ายเงิน 4,000 บาทต่อปี หรือ จ่ายข้าว 10 ถุงให้แก่หอพัก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการตกลงระหว่างผู้อำนวยการหอพักกับครอบครัวนักเรียน (น.143-144) ผู้ศึกษากล่าวการอยู่หอพักเป็นสิ่งจำเป็นเพราะ บนภูเขามีโรงเรียนมัธยมต้น 2-3 โรง และไม่มีโรงเรียนมัธยมปลายเลยบนภูเขา นักเรียนลาหู่จึงลงมาเรียนในโรงเรียนพื้นราบที่อยู่ใกล้ชุมชนหมู่บ้านของพวกเขา และการเดินทางไป-กลับระหว่างบ้านกับโรงเรียนสำบาก ระยะทางระหว่างบ้านของนักเรียนกับโรงเรียนที่ใกล้สุด คือ 13 กิโลเมตร และที่ไกลที่สุดคือ 40 กิโลเมตร (น.146-147) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ความเป็นลาหู่ ผู้เขียนกล่าวถึงความคิดเรื่อง “ความเป็นลาหู่” ว่ามาจากการเปลี่ยนรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อย (ดูรายละเอียดในหัวข้อ 21. Political Organization) ก่อนที่แนวคิด”รัฐชาติไทย”จะถูกนำมาใช้บูรณาการประเทศ คนที่อยู่ชายขอบการปกครองในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และดินแดนตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ซึ่งก็รวมทั้งลาหู่ แบ่งแยกตนออกจากคนอื่นโดยใช้ถิ่นที่อยู่ (locality)และเครือญาติ ซึ่งได้แก่ ครอบครัวและตระกูลเป็นเกณฑ์ ด้วยเหตุนี้ในหมู่คนลาหู่จึงไม่มีความรู้สึกการเป็น”คนลาหู่”ที่เป็นหนึ่งเดียว (being a unified ‘Lahu people’) ในความหมายเชิงชาติพันธุ์ที่มีกำเนิดและวัฒนธรรมร่วมกัน คนล่าหูซึ่งอาศัยอยู่ในดินแดนชายขอบของคนที่มีอำนาจเหนือกว่า ไม่เคยกล่าวอ้างเขตแดนนั้นว่าเป็นเขตแดนล่าหูของพวกเขา ช่วงยุคก่อนอาณานิคมจึงไม่มี “ลาหู่ในความหมายที่เป็นประชาชนหรือกลุ่มชาติพันธุ์ ความแตกต่างทางวัฒนธรรมที่ทำให้เกิดความต่างในการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมไม่ได้มีพื้นฐานอยู่ที่วัฒนธรรมและและบรรพบุรุษร่วมกัน ดังที่ใช้กันในชาติพันธุ์ธำรง (ethnicity) ความแตกต่างที่ทำให้เกิดความต่างคือ หมู่บ้านเฉพาะแห่งหรือครอบครัวของบุคคลนั้น หรือมิฉะนั้นบุคคลนั้นก็อาศัยอยู่ภายในโลกของศูนย์กลาง”ความเจริญ” (the realms of the ‘civilized’ center) ผู้เขียนกล่าวว่า กระบวนการบูรณาการชาติและการจัดจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ได้เปลี่ยน “Lahu people”ไปเป็น “the Lahu” และกลายเป็น”กลุ่มชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อย”สถานภาพ”กลุ่มชาติพันธุ์”ของพวกเขาเป็นผลมาจากความแตกต่างทางภาษาและวัฒนธรรม ซึ่งเริ่มขึ้นเพื่อสร้างความแตกต่างเพราะทั้งวัฒนธรรมและภาษาอันหมายถึงอัตลักษณ์ที่ “ไม่ใช่ไทย”(non-Thai) และทำให้พวกเขากลายเป็น “the Lahu people”ที่มีกำเนิดร่วมกันในดินแดนประเทศอื่น (น.50-52)
การเป็นนักเรียนลาหู่ จากข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์ ผู้เขียนพบว่า ชาติพันธุ์ธำรง (ethnicity) มีบทบาทสำคัญต่อการเป็นนักเรียนล่าหูที่โรงเรียนมัธยมบ้านโรงเรียน (น.75) มุมมองความคิดต่อ “การเป็นนักเรียนลาหู่”ของผู้ให้ข้อมูลแต่ละคนมีนัยยะความหมายแตกต่างกัน เช่น หมายถึงการเรียนหนักกว่าเพื่อนร่วมชั้นที่เป็นคนไทย เพราะครูโรงเรียนประถมบนดอยสอนไม่ดี หรือเพราะภาษาไทยไม่ใช่ภาษาของพวกเขา หมายถึงการถูกดูถูก หมายถึงความไม่เท่าเทียมกันทางความรู้ นักเรียนลาหู่มีความรู้และโอกาสเข้าถึงความรู้น้อยกว่า เป็นต้น (น.76-128) ทั้งนี้ผู้เขียนเห็นว่า มุมมองความคิดเห็นเหล่านี้บ่งบอกความคิดหลักของผู้ให้ข้อมูลที่มีร่วมกัน 3ประการ คือ
1) “เรามาจากโรงเรียนบนดอย”ซึ่งทำให้แตกต่างจากเพื่อนร่วมชั้นคนไทย การเติบโตบนดอยทำให้ได้เข้าเรียนชั้นประถมที่ด้อยกว่า การสอนไม่ดีและมีโอกาสน้อย เมื่อเข้าโรงเรียนมัธยมในเมือง นักเรียนลาหู่บางคนประสบปัญหาในการเรียนให้ทันเพื่อนนักเรียนไทย อย่างไรก็ดี มีบางคนมองว่าโรงเรียนมัธยมเป็นช่วงเวลาที่จะพัฒนาการเรียนให้ทันเพื่อนคนไทย (น.129-132)
2) “ภาษาไทยไม่ใช่ภาษาของฉัน”การพูดภาษาไทยไม่ชัดทำให้ผู้ให้ข้อมูลสื่อสารกับเพื่อนคนไทยไม่ค่อยเข้าใจ และถูกล้อเลียน และเชื่อว่าการพูดภาษาไทยไม่ชัดทำให้ถูกเพื่อนนักเรียนไทยดูถูก ซึ่งผู้ศึกษาเห็นว่า การเป็นล่าหูหมายถึงการพูดภาษาล่าหูเป็นภาษาแม่ และใช้ภาษาไทยเป็นภาษาที่สอง ทำให้ผู้ให้ข้อมูลประสบความยากลำบากในการเรียนที่ต้องใช้ภาษาไทย (น.132-133) ประเด็นเรื่องภาษานี้ผู้เขียนกล่าวไว้ในหัวข้อการสร้างอัตลักษณ์ชาติไทยว่า ภาษาพูดที่ต่างกันถูกนำมาใช้เพื่อแสดงความแตกต่างระหว่างกลุ่มคน และในการสร้างวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ไทย คนบนพื้นที่สูงเช่นลาหู่ไม่สามารถรับอัตลักษณ์ไทยได้ เพราะภาษาของพวกเขาไม่เกี่ยวข้องกับภาษาตระกูลไต (น.19-21)
3) “พวกเขาดูถูกเรา” การมาจากดอยและเป็นคนดอยทำให้นักเรียนลาหู่ต่างจากเพื่อนร่วมชั้นคนไทย ความต่างนี้ทำให้ถูกมองว่าต่ำต้อย ผู้ให้ข้อมูลบางคนรู้สึกสับสน ต่ำต้อย ไม่มั่นใจ บางคนต้องการปรับปรุงความสามารถของตนให้ทัดเทียมเพื่อนนักเรียนไทย บางคนเชื่อว่าเพื่อนนักเรียนไทยไม่อยากคบกับพวกเขา และพวกเขาก็คบเพื่อนที่เป็นคนลาหู่และกลุ่มชาติพันธุ์อื่นมากกว่าคนไทย ลักษณะการดูถูกและแบ่งแยกระหว่างนักเรียนที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์กับนักเรียนคนไทยในมัธยมต้นนี้ไม่มีในชั้นมัธยมปลาย (น.133-137)
อย่างไรก็ตาม ภายในบริบทของโรงเรียนแม้ว่าผู้ให้ข้อมูลจะมองว่าการเป็นลาหู่จะไม่ค่อยช่วยหรือเป็นประโยชน์ แต่พวกเขาทั้งหมดก็มีความภูมิใจและมีความสุขที่เป็นลาหู่(น.151)ทั้งนี้ผู้เขียนสรุปว่าความแตกต่างทางวัฒนธรรมที่ก่อให้เกิดความแตกต่างในการปฏิสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกของกลุ่มเป็นความแตกต่างของกำเนิดที่มาทั้งที่เป็นตัวบุคคลและสถานการณ์ร่วมที่ผู้ให้ข้อมูลมองชาติพันธุ์ของตนว่ามีบทบาทสำคัญ ส่วนการดำเนินชีวิตในพื้นราบท่ามกลางคนไทยผู้ให้ข้อมูลมองตนเองและถูกคนอื่นมองว่า มาจาก “ที่แห่งอื่น” “คนภูเขา” “คนจากภูเขา” “นักเรียนบนที่สูง” “ชาวเขา” และ “คนลาหู่” ส่วนคำ “คนที่อยู่ในพื้นราบ” “นักเรียนในเมือง” และ “คนไทย” ถูกใช้เพื่ออธิบายคนที่ตรงข้ามกับพวกเขา ซึ่งคำทั้งหมดนี้แสดงความแตกต่างถึงกำเนิดที่มาและชาติพันธุ์ (น.151-152) |
|
Text Analyst |
อธิตา สุนทโรทก |
Date of Report |
02 ต.ค. 2567 |
TAG |
, |
Translator |
- |
|