สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ลาหู่ ชาติพันธุ์ธำรง(ethnicity) การเป็นลาหู่ การศึกษาในโรงเรียนมัธยม จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย
Author Matthew Ryan Juelsgaard
Title Being Lahu in a Thai School : An Inquiry into Ethnicity, Nationalism, and Schooling
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาอังกฤษ
Ethnic Identity ลาหู่ ลาหู่ ละหู่ ลาฮู, Language and Linguistic Affiliations ไม่ระบุ
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์ มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 163 หน้า Year 2556
Source A Dissertation Submitted to the Graduate Division of the University of Hawaii at Manoa in Partial Fulfillment of the Requirements for the Degree of Doctor of Philosophy in Education
Abstract

          การศึกษานี้สนใจศึกษามุมมองความคิดและวิธีคิดของล่าหูจากประสบการณ์ในฐานะที่เป็นนักเรียนล่าหูระหว่างศึกษาอยู่ในโรงเรียนมัธยม ผู้ศึกษาเห็นว่าเป้าหมายหลักของการตั้งโรงเรียนไทยคือการบูรณาการประชากรที่หลากหลายเข้าสู่รัฐชาติ ผู้เขียนเก็บข้อมูลระหว่างเดือนมิถุนายน - เดือนกันยายน ค.ศ. 2012  โดยใช้วิธี phenomenological approachสร้างแบบสอบถามสัมภาษณ์ล่าหูหญิงชายจำนวน 10คนเกี่ยวกับประสบการณ์ในช่วงที่ศึกษาในโรงเรียนมัธยมบ้านโรงเรียน(Banrongrian Secondary School) จังหวัดเชียงราย    ผู้ศึกษาสรุปว่า การเป็นล่าหูเป็นความแตกต่างที่ทำให้ประสบการณ์ในโรงเรียนของผู้ให้ข้อมูลมีความต่างอย่างมีนัยยะสำคัญ และนโยบายการบูรณาการชาติก่อให้เกิดการเป็นชายขอบของผู้ให้ข้อมูลในฐานะนักเรียนชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อยในบริบทโรงเรียน (น.v-vi)

Focus

สนใจศึกษามุมมองความคิดและวิธีคิดของคนล่าหูเกี่ยวกับการเป็นลาหู่ช่วงเรียนในโรงเรียนมัธยม (น.1)

Theoretical Issues

          ผู้เขียนเห็นว่า เป้าหมายแรกของการจัดระบบการศึกษาในโรงเรียนของรัฐคือ การกลืนกลายประชากรที่มีความแตกต่างหลากหลายให้เข้าสู่สังคมชาติ ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ต่อเนื่องกันมาตั้งแต่ปลายคริสต์ทศวรรษ 1800 ในสมัยรัชกาลที่ 5 แล้ว และสำหรับการศึกษาชิ้นนี้ ผู้เขียนเห็นว่า แม้ในช่วง 60 ปีที่ผ่านมาจะมีคนลาหู่ในประเทศไทยจำนวนมากได้เข้าโรงเรียนของรัฐ แต่ก็มีงานวิจัยจำนวนน้อยที่ศึกษาประสบการณ์การศึกษาของลาหู่ในโรงเรียนจากมุมมองของพวกเขาเอง ในการศึกษานี้ผู้เขียนสนใจมุมมองและวิธึคิดของลาหู่ โดยได้ตั้งคำถามหลักในการสนทนาเก็บข้อมูลว่า ผู้ให้ข้อมูลมองประสบการณ์การเป็นนักเรียนลาหู่ในโรงเรียนอย่างไร (น.1) 
          จากการศึกษาผู้เขียนสรุปว่า การศึกษาถูกใช้ในโลกของการเปลี่ยนแปลงและความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ไม่เท่าเทียมกัน เราจะเข้าใจการศึกษาได้ก็ต้องมองไปที่ความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ไม่เท่าเทียมกันในสังคมและมองไปที่ความเป็นจริงของอิทธิพลอำนาจ/การครอบงำและการเป็นชายขอบที่กล่าวถึงความสัมพันธ์นั้น  ผลของการศึกษานี้ส่งเสริมสนับสนุนการมองการศึกษาในฐานะการกระทำทางการเมืองการปกครอง (a political act) ผู้เขียนเห็นว่าการเข้าใจประสบการณ์ของผู้ให้ข้อมูลในการศึกษานี้จะทำไม่ได้ถ้าปราศจากบริบททางการเมืองและสังคมในระดับกว้าง และการศึกษานี้ยังชี้ให้เห็นคุณค่าของการสำรวจตรวจสอบการเมืองของการศึกษา (the politics of education)ผ่านสายตาของผู้ถูกครอบงำ(the eyes of the dispossessed)  ในการศึกษานี้ยังพบว่า นักเรียนชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อยชายขอบในประเทศไทยเผชิญกับกำแพงความเท่าเทียมกันที่เกี่ยวข้องอย่างยิ่งกับบริบททางการเมืองและสังคมระดับใหญ่ของประเทศ โรงเรียนประถมบนภูเขาตั้งขึ้นมาเพื่อชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อยมีคุณภาพต่ำกว่าโรงเรียนในพื้นราบ     (น.154-155)

Ethnic Group in the Focus

ลาหู่ในจังหวัดเชียงราย 

Language and Linguistic Affiliations

ลาหู่พูดภาษาอื่นที่ไม่ใช่ภาษาตระกูลไต 

Study Period (Data Collection)

        เก็บข้อมูลระหว่างเดือนมิถุนายน-เดือนกันยายน ค.ศ. 2012  โดยสัมภาษณ์หญิงชายลาหู่ 10 คน ที่จบการศึกษาระดับมัธยมต้นจากโรงเรียนมัธยมบ้านโรงเรียน โดยเป็นหญิง 6 คน ชาย 4 คนอายุระหว่าง 21-29 ปี  จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษา 1 คน ระดับปริญญาตรี 8 คน และกำลังศึกษาปริญญาตรี 1คน (น.59-60)  

History of the Group and Community

          ลาหู่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อยกลุ่มหนึ่งที่อาศัยอยู่ทางภาคเหนือของไทย ลาหู่มองว่าอพยพเข้ามาในประเทศไทยอย่างผิดกฎหมาย และผู้ให้ข้อมูลก็ยอมรับความคิดนี้ที่มองลาหู่ว่าเข้าในไทยจากฝั่งประเทศพม่าเมื่อ 30-40ปี  (น.16) 

Economy

          ทุนการศึกษา  ครอบครัวของลาหู่หญิงชายทั้ง 10  คนมีฐานะยากจน ความช่วยเหลือทางการเงินจึงจำเป็นต่อการเข้าโรงเรียน บางคนได้รับการช่วยเหลือจากครู บางคนได้รับการช่วยเหลือจากองค์กรศาสนาคริสต์หรือจากรัฐบาล (น.144)

Political Organization

          ความสัมพันธ์กับรัฐ  ผู้เขียนไม่ได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างลาหู่กับรัฐโดยตรง แต่ได้กล่าวถึงรูปแบบความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไประหว่างรัฐกับกลุ่มชาติพันธุ์อันนำไปสู่เรื่องการบูรณาการชาติ อัตลักษณ์ชาติไทย และคนที่ไม่ใช่ไทยตามลำดับ ซึ่งลาหู่เป็นหนึ่งในกลุ่มชาติพันธุ์นั้น เดิมแนวความคิดเรื่องสังคมการเมือง(polities)ในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีลักษณะแบบศูนย์กลางแผ่อำนาจอันเข้มแข็งไปยังแนวชายแดนอย่างหลวมๆ แต่เมื่อพลังอำนาจการล่าอาณานิคมของตะวันตกเข้ามาพร้อมทั้งทำแผนที่ลากเส้นแบ่งแนวดินแดนแถบนี้ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นรัฐชาติ แนวความคิดเรื่องสังคมการเมืองแบบเดิมก็หายไป ถูกแทนที่ด้วยแนวความคิดแบบรัฐชาติ และเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างรัฐก็ได้รับการยอมรับว่ามีอยู่และถูกกฎหมาย สิ่งนี้ได้เปลี่ยนความสัมพันธ์ทางสังคมการเมืองและเศรษฐกิจ และยังเปลี่ยนแนวความคิดเรื่องความแตกต่างหลากหลายของคนในดินแดนแถบนี้ คนที่อยู่บนพื้นที่สูงซึ่งเคยเคลื่อนย้ายอย่างอิสระตามพื้นที่แนวชายแดน มีพันธะแบบส่งส่วยบรรณาการกับเมืองศูนย์กลางอำนาจหลายเมือง ได้ถูกผลักดันให้หยุดการเคลื่อนย้ายข้ามแนวพรมแดนรัฐชาติแบบใหม่ และเลิกพันธะบรรณาการแบบเดิมมาอยู่ในอำนาจของรัฐเดียว และยิ่งไปกว่านั้น ความคิดคู่ตรงข้ามระหว่างคนพื้นที่สูง (คนดอย) กับคนพื้นราบ(คนเมือง) ที่ปรากฏเป็นวาทกรรมอำนาจรัฐ ก็กลายเป็นลักษณะพื้นฐานของลักษณะภูมิทัศน์ทางสังคม (the social landscape)  ความคิดแบบใหม่เรื่องเขตแดนที่โผล่ขึ้นมาในยุคอาณานิคมนี้เป็นพื้นฐานส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนรูปแบบรัฐไทยจากราชอาณาจักรพุทธมาสู่รัฐชาติสมัยใหม่สิ่งนี้ได้เปลี่ยนลักษณะภูมิทัศน์ทางสังคมและความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อยบนที่สูง(น.18-19) ซึ่งผู้เขียนกล่าวว่าการศึกษานี้ได้ชี้ให้เห็นว่า ความแตกต่างทางชาติพันธุ์ สังคมและภูมิศาสตร์ที่เกี่ยวพันกันนั้นยังคงเป็นพื้นฐานส่วนหนึ่งของภูมิทัศน์ทางสังคมของไทย(น.152)
          ทั้งนี้การเผชิญกับลัทธิล่าอาณานิคมของอังกฤษและฝรั่งเศสช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ทำให้รัฐไทยในกรุงเทพฯมองอำนาจรัฐในลักษณะอำนาจเหนือเขตแดนทางภูมิศาสตร์แบบใหม่ การอ้างอำนาจเหนือเขตแดนและการควบคุมผู้คนและตำแหน่งพื้นที่ภายในเขตแดนทำให้ความสัมพันธ์แบบส่วยบรรณาการถูกยกเลิก ท้องถิ่นที่ปกครองตนเองถูกรวมเข้ามาอยู่ในรัฐชาติที่เป็นหนึ่งเดียว รัฐไทยตระหนักดีว่าการปฏิรูปและการขยายอำนาจไปสู่ท้องถิ่นภูมิภาคต้องได้รับการต่อต้านและใช้กำลังทหารไม่ได้ผล ดังนั้นจึงมุ่งเน้นการสร้างอัตลักษณ์และวัฒนธรรมชาติโดยบูรณาการคนในท้องถิ่นเข้าสู่ชาติที่เป็นหนึ่งเดียวกัน  ซึ่งมีสามเสาหลัก ได้แก่ หนึ่ง ชาติไทย อันประกอบด้วย ประชาชน แผ่นดินและภาษา  สอง ศาสนาพุทธ และสาม พระมหากษัตริย์ ทั้งนี้ระบบการศึกษาที่รัฐควบคุมได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการสร้างอัตลักษณ์และวัฒนธรรมชาติ(น.19-20)
          นอกจากนั้นการสร้างอัตลักษณ์ชาติยังนำไปสู่การแบ่งจำแนกชาติพันธุ์ กล่าวคือ คนบนพื้นที่สูง เช่น ลาหู่ ไม่สามารถรับอัตลักษณ์ชาติไทยได้เพราะภาษาของพวกเขาไม่เกี่ยวข้องภาษาตระกูลไตและไม่ได้นับถือพุทธศาสนา ชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อยจึงกลายเป็น “คนอื่นที่ไม่ใช่ไทย” ถูกมองว่ามีกำเนิดที่มาจากเขตแดนประเทศชาติอื่น นอกจากนั้น การกำหนดแผนที่ของประเทศที่นำไปสู่การสร้างอัตลักษณ์ชาติไทยยังได้เปลี่ยนแนวความคิดเรื่องความแตกต่างของคนที่เคยมีมาก่อนหน้านี้  นั่นคือ ความแตกต่างระหว่างคนกลุ่มต่างๆที่อยู่ชายขอบของสังคมการเมืองที่มีอิทธิพลอำนาจในช่วงก่อนยุคอาณานิคมมีพื้นฐานอยู่ที่ท้องถิ่นและเครือญาติ ขณะที่รัฐชาติสมัยใหม่ของไทย ความแตกต่างระหว่างกลุ่มคนมีพื้นฐานอยู่ที่การเป็นไทย(being Thai)หรือการไม่เป็นไทย(being non-Thai) ซึ่งถูกมองว่าเป็นการแบ่งจำแนกชาติพันธุ์(น.21)
          การเป็นชายขอบ  ผู้เขียนกล่าวว่า การศึกษานี้สนับสนุนคำกล่าวที่ว่านโยบายการบูรณาการชาติก่อให้เกิดการเข้าสู่ชายขอบของผู้ให้ข้อมูลในฐานะนักเรียนชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อยในบริบทโรงเรียน(น.153) ทั้งนี้ข้อค้นพบในการศึกษานี้บ่งชี้ว่า นักเรียนชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อยที่เป็น/อยู่ชายขอบเผชิญกับกำแพงความไม่เท่าเทียมกันที่เกี่ยวข้องกับบริบทการเมืองและสังคมชาติ โรงเรียนประถมศึกษาบนภูเขาที่ตั้งขึ้นเพื่อชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อยบนภูเขามีคุณภาพต่ำกว่าโรงเรียนสำหรับนักเรียนไทยในพื้นราบ  ผู้ให้ข้อมูลที่เป็นสมาชิกของกลุ่มที่ด้อยกว่าในสังคมไทยได้ตระหนักถึงความไม่เท่าเทียมนี้ในโรงเรียนประถม (น.154)
          นอกจากนี้ผู้เขียนยังเห็นว่า ภาษาก็แสดงถึงการเป็นชายขอบด้วย การที่ภาษาไทยเป็นภาษาหลักสำคัญของประเทศและเป็นภาษาที่ใช้ในโรงเรียน ภาษาไทยจึงมีค่า การไม่มีความรู้ภาษาไทยแบบภาษาแม่ (the “native” knowledge of Thai language) หรือพูดไทยไม่ชัด ผู้ให้ข้อมูลจะประสบปัญหาในการเรียนและถูกเพื่อนนักเรียนไทยล้อเลียน กล่าวสั้นๆคือ การที่ไม่ได้พูดภาษาไทยเป็นภาษาแม่ในบริบทที่ภาษาไทยมีอำนาจครอบงำสูง  ผู้ให้ข้อมูลจึงอยู่ในตำแหน่งชายขอบของโรงเรียน (น.155)
          ทั้งนี้ผู้เขียนสรุปว่า ที่มาของการเป็นชายขอบของผู้ให้ข้อมูลในบริบทโรงเรียนอยู่ที่อัตลักษณ์ชาติพันธุ์ลาหู่ของพวกเขา สถานภาพทางชาติพันธุ์ของพวกเขาไม่ได้ติดอยู่กับความแตกต่างทางวัฒนธรรม แต่มันเป็นผลผลิตของสถานที่ที่พวกเขาถูกมองว่ามาจาก “ที่แห่งใดแห่งหนึ่ง” สถานภาพทางชาติพันธุ์ของพวกเขามีนัยยะสำคัญเฉพาะเมื่อเกี่ยวข้องกับการสร้างอัตลักษณ์ชาติและนโยบายบูรณาการชาติในบริบทชาติ (น.157)

Education and Socialization

         การศึกษาสำหรับชาวเขา  ผู้เขียนกล่าวว่าการเข้าศึกษาในโรงเรียนเกี่ยวข้องกับความคิดนิยมไทย และการบูรณาการประชากรที่หลากหลายเข้าสู่ความคิดเรื่องชาติ”ไทย”(a ‘Thai’ nation) ความคิดนี้ปรากฏมาตั้งแต่เริ่มจัดระบบการศึกษาแบบสมัยใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 5และเป็นองค์ประกอบหลักในการส่งเสริมอัตลักษณ์ไทยในกลุ่มประชาชนที่มีความแตกต่างหลากหลายภายในเขตแดนทางภูมิศาสตร์ของไทยในฐานะรัฐชาติสมัยใหม่  เมื่อรัฐไทยต้องเผชิญกับการขยายอาณานิคมของอังกฤษและฝรั่งเศส ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 7แม้ไทยจะเปลี่ยนระบอบการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นประชาธิปไตยแล้ว แต่ผู้นำรัฐบาลก็ยังเน้นให้การศึกษาไปที่การบูรณาการชาติ มุ่งให้พลเมืองรู้สึกจงรักภักดีต่อชาติไทย และในสมัยรัฐบาลจอมพลแปลก พิบูลสงคราม ก็ได้ใช้โรงเรียนเป็นเครื่องมือส่งเสริมอัตลักษณ์ไทย สร้างหลักสูตรที่เน้นภาษาไทยมาตรฐานและประวัติศาสตร์ชาติ  ความพยายามในการบูรณาการชาตินี้มุ่งไปยังกลุ่มคนที่เข้าถึงอำนาจรัฐ ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยอยู่พิ้นราบในเขตแดนประเทศไทย จนกระทั่งหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ในบริบทของสงครามเย็น รัฐและโรงเรียนจึงเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อชีวิตของลาหู่ในไทย(น.33-36) 
          ตำรวจตระเวนชายแดนเป็นหน่วยงานแรกของรัฐที่เข้ามาจัดการศึกษาให้ชาวเขา  ในปี ค.ศ. 1953 ตำรวจตระเวนชายแดนและชาวบ้านได้ร่วมกันสร้างอาคารเรียนสำหรับสอนหนังสือสอนภาษาไทยแก่เด็กๆชาวเขา เนื่องจากการอ่านออกเขียนได้มีความสำคัญต่อการบูรณาการชนกลุ่มน้อยเข้าสู่สังคมไทย และในปีค.ศ.1965 ก็มีโรงเรียนที่ดำเนินการโดยตำรวจตระเวณชายแดนประมาณ 144 โรง จากนั้นกระทรวงศึกษาธิการก็เป็นหน่วยงานที่สองของรัฐที่เข้ามาดำเนินงานการศึกษาให้นักเรียนชาวเขา โดยเน้นระดับประถมศึกษา ซึ่งในปี ค.ศ.1970 มีโรงเรียนในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ 109 โรง นักเรียน 5,238 คน ทั้งนี้ผู้เขียนกล่าวว่า วัตถุประสงค์แรกของโรงเรียนชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อย คือ การบูรณาการพวกเขาเข้าสู่ชาติและสังคมไทย ด้วยเหตุนี้โรงเรียนเหล่านี้จึงมีจุดมุ่งหมายเหมือนกันกับเมื่อแรกเริ่มการศึกษาตอนปลายคริสตทศวรรษ 1890(น.36-37)
          อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนเห็นว่า แม้การบูรณาการชาติจะเป็นเป้าหมายแรกในการก่อตั้งโรงเรียน แต่ผลที่เกิดขึ้นจริงและผลกระทบของโรงเรียนรัฐก็ผันแปรแตกต่างกันในชุมชนและท้องถิ่น ดังนั้นจึงไม่ควรคิดเหมาว่าโรงเรียนสำหรับชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อยบนที่สูงจำนำไปสู่การบูรณาการชาติอย่างที่ตั้งใจ (น.38-40)
 
          การไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนในเมือง  ผู้เขียนกล่าวถึงการเรียนต่อในเมืองว่า ความยากจนเป็นแรงจูงใจทางการศึกษาโดยหวังว่าการศึกษาจะช่วยให้หางานได้ง่ายขึ้นและได้รับค่าจ้างดีขึ้น(น.144)  ลาหู่ที่ลงมาเรียนหนังสือในเมืองทุกคนจะอยู่หอพักซึ่งมี 2 แห่ง คือ หอพักที่ก่อตั้งโดยคณะแบบติสท์ลาหู่แห่งประเทศไทย (Thailand Lahu Baptist Conventionหรือ TLBC) แห่งหนึ่งและหอพักของลาหู่ที่ได้รับเงินช่วยเหลือจากคณะมิชชันนารีคริสเตียนต่างประเทศ(foreign Christian missionaries) อีกแห่งหนึ่ง   นักเรียนที่อยู่หอพักของ TLBC จะได้รับเงินช่วยเหลือเป็นค่าหนังสือและชุดนักเรียน โดยครอบครัวจะจ่ายค่าห้องและค่าอาหาร 2,500 บาท ส่วนหอพักอีกแห่งนั้นนอกจากนักเรียนที่เป็นลาหู่แล้วยังมีนักเรียนกลุ่มชาติพันธุ์อื่นด้วย  และมีทั้งคนที่นับถือคริสต์และไม่นับถือคริสต์ มีนักเรียน 2-3 คนที่ได้รับการช่วยเหลือทางการเงิน ขณะที่นักเรียนส่วนมากจ่ายเงิน 4,000 บาทต่อปี หรือ จ่ายข้าว 10 ถุงให้แก่หอพัก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการตกลงระหว่างผู้อำนวยการหอพักกับครอบครัวนักเรียน (น.143-144) ผู้ศึกษากล่าวการอยู่หอพักเป็นสิ่งจำเป็นเพราะ บนภูเขามีโรงเรียนมัธยมต้น 2-3 โรง และไม่มีโรงเรียนมัธยมปลายเลยบนภูเขา  นักเรียนลาหู่จึงลงมาเรียนในโรงเรียนพื้นราบที่อยู่ใกล้ชุมชนหมู่บ้านของพวกเขา และการเดินทางไป-กลับระหว่างบ้านกับโรงเรียนสำบาก ระยะทางระหว่างบ้านของนักเรียนกับโรงเรียนที่ใกล้สุด คือ 13 กิโลเมตร และที่ไกลที่สุดคือ 40 กิโลเมตร (น.146-147)    

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

          ความเป็นลาหู่  ผู้เขียนกล่าวถึงความคิดเรื่อง “ความเป็นลาหู่” ว่ามาจากการเปลี่ยนรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อย (ดูรายละเอียดในหัวข้อ 21. Political Organization) ก่อนที่แนวคิด”รัฐชาติไทย”จะถูกนำมาใช้บูรณาการประเทศ คนที่อยู่ชายขอบการปกครองในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และดินแดนตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ซึ่งก็รวมทั้งลาหู่ แบ่งแยกตนออกจากคนอื่นโดยใช้ถิ่นที่อยู่ (locality)และเครือญาติ ซึ่งได้แก่ ครอบครัวและตระกูลเป็นเกณฑ์  ด้วยเหตุนี้ในหมู่คนลาหู่จึงไม่มีความรู้สึกการเป็น”คนลาหู่”ที่เป็นหนึ่งเดียว (being a unified ‘Lahu people’) ในความหมายเชิงชาติพันธุ์ที่มีกำเนิดและวัฒนธรรมร่วมกัน  คนล่าหูซึ่งอาศัยอยู่ในดินแดนชายขอบของคนที่มีอำนาจเหนือกว่า ไม่เคยกล่าวอ้างเขตแดนนั้นว่าเป็นเขตแดนล่าหูของพวกเขา ช่วงยุคก่อนอาณานิคมจึงไม่มี “ลาหู่ในความหมายที่เป็นประชาชนหรือกลุ่มชาติพันธุ์ ความแตกต่างทางวัฒนธรรมที่ทำให้เกิดความต่างในการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมไม่ได้มีพื้นฐานอยู่ที่วัฒนธรรมและและบรรพบุรุษร่วมกัน ดังที่ใช้กันในชาติพันธุ์ธำรง (ethnicity)  ความแตกต่างที่ทำให้เกิดความต่างคือ หมู่บ้านเฉพาะแห่งหรือครอบครัวของบุคคลนั้น หรือมิฉะนั้นบุคคลนั้นก็อาศัยอยู่ภายในโลกของศูนย์กลาง”ความเจริญ” (the realms of the ‘civilized’ center)  ผู้เขียนกล่าวว่า กระบวนการบูรณาการชาติและการจัดจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ได้เปลี่ยน “Lahu people”ไปเป็น “the Lahu”  และกลายเป็น”กลุ่มชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อย”สถานภาพ”กลุ่มชาติพันธุ์”ของพวกเขาเป็นผลมาจากความแตกต่างทางภาษาและวัฒนธรรม ซึ่งเริ่มขึ้นเพื่อสร้างความแตกต่างเพราะทั้งวัฒนธรรมและภาษาอันหมายถึงอัตลักษณ์ที่ “ไม่ใช่ไทย”(non-Thai) และทำให้พวกเขากลายเป็น “the Lahu people”ที่มีกำเนิดร่วมกันในดินแดนประเทศอื่น (น.50-52)
          การเป็นนักเรียนลาหู่  จากข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์ ผู้เขียนพบว่า ชาติพันธุ์ธำรง (ethnicity) มีบทบาทสำคัญต่อการเป็นนักเรียนล่าหูที่โรงเรียนมัธยมบ้านโรงเรียน (น.75)  มุมมองความคิดต่อ “การเป็นนักเรียนลาหู่”ของผู้ให้ข้อมูลแต่ละคนมีนัยยะความหมายแตกต่างกัน เช่น หมายถึงการเรียนหนักกว่าเพื่อนร่วมชั้นที่เป็นคนไทย เพราะครูโรงเรียนประถมบนดอยสอนไม่ดี หรือเพราะภาษาไทยไม่ใช่ภาษาของพวกเขา  หมายถึงการถูกดูถูก หมายถึงความไม่เท่าเทียมกันทางความรู้ นักเรียนลาหู่มีความรู้และโอกาสเข้าถึงความรู้น้อยกว่า เป็นต้น (น.76-128) ทั้งนี้ผู้เขียนเห็นว่า มุมมองความคิดเห็นเหล่านี้บ่งบอกความคิดหลักของผู้ให้ข้อมูลที่มีร่วมกัน 3ประการ คือ
               1) “เรามาจากโรงเรียนบนดอย”ซึ่งทำให้แตกต่างจากเพื่อนร่วมชั้นคนไทย  การเติบโตบนดอยทำให้ได้เข้าเรียนชั้นประถมที่ด้อยกว่า การสอนไม่ดีและมีโอกาสน้อย เมื่อเข้าโรงเรียนมัธยมในเมือง นักเรียนลาหู่บางคนประสบปัญหาในการเรียนให้ทันเพื่อนนักเรียนไทย อย่างไรก็ดี มีบางคนมองว่าโรงเรียนมัธยมเป็นช่วงเวลาที่จะพัฒนาการเรียนให้ทันเพื่อนคนไทย (น.129-132)
               2) “ภาษาไทยไม่ใช่ภาษาของฉัน”การพูดภาษาไทยไม่ชัดทำให้ผู้ให้ข้อมูลสื่อสารกับเพื่อนคนไทยไม่ค่อยเข้าใจ  และถูกล้อเลียน และเชื่อว่าการพูดภาษาไทยไม่ชัดทำให้ถูกเพื่อนนักเรียนไทยดูถูก ซึ่งผู้ศึกษาเห็นว่า การเป็นล่าหูหมายถึงการพูดภาษาล่าหูเป็นภาษาแม่ และใช้ภาษาไทยเป็นภาษาที่สอง  ทำให้ผู้ให้ข้อมูลประสบความยากลำบากในการเรียนที่ต้องใช้ภาษาไทย (น.132-133) ประเด็นเรื่องภาษานี้ผู้เขียนกล่าวไว้ในหัวข้อการสร้างอัตลักษณ์ชาติไทยว่า ภาษาพูดที่ต่างกันถูกนำมาใช้เพื่อแสดงความแตกต่างระหว่างกลุ่มคน และในการสร้างวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ไทย คนบนพื้นที่สูงเช่นลาหู่ไม่สามารถรับอัตลักษณ์ไทยได้ เพราะภาษาของพวกเขาไม่เกี่ยวข้องกับภาษาตระกูลไต (น.19-21)
              3) “พวกเขาดูถูกเรา”  การมาจากดอยและเป็นคนดอยทำให้นักเรียนลาหู่ต่างจากเพื่อนร่วมชั้นคนไทย ความต่างนี้ทำให้ถูกมองว่าต่ำต้อย ผู้ให้ข้อมูลบางคนรู้สึกสับสน ต่ำต้อย ไม่มั่นใจ บางคนต้องการปรับปรุงความสามารถของตนให้ทัดเทียมเพื่อนนักเรียนไทย  บางคนเชื่อว่าเพื่อนนักเรียนไทยไม่อยากคบกับพวกเขา และพวกเขาก็คบเพื่อนที่เป็นคนลาหู่และกลุ่มชาติพันธุ์อื่นมากกว่าคนไทย ลักษณะการดูถูกและแบ่งแยกระหว่างนักเรียนที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์กับนักเรียนคนไทยในมัธยมต้นนี้ไม่มีในชั้นมัธยมปลาย (น.133-137)  
          อย่างไรก็ตาม ภายในบริบทของโรงเรียนแม้ว่าผู้ให้ข้อมูลจะมองว่าการเป็นลาหู่จะไม่ค่อยช่วยหรือเป็นประโยชน์ แต่พวกเขาทั้งหมดก็มีความภูมิใจและมีความสุขที่เป็นลาหู่(น.151)ทั้งนี้ผู้เขียนสรุปว่าความแตกต่างทางวัฒนธรรมที่ก่อให้เกิดความแตกต่างในการปฏิสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกของกลุ่มเป็นความแตกต่างของกำเนิดที่มาทั้งที่เป็นตัวบุคคลและสถานการณ์ร่วมที่ผู้ให้ข้อมูลมองชาติพันธุ์ของตนว่ามีบทบาทสำคัญ ส่วนการดำเนินชีวิตในพื้นราบท่ามกลางคนไทยผู้ให้ข้อมูลมองตนเองและถูกคนอื่นมองว่า มาจาก “ที่แห่งอื่น” “คนภูเขา” “คนจากภูเขา” “นักเรียนบนที่สูง” “ชาวเขา” และ “คนลาหู่” ส่วนคำ “คนที่อยู่ในพื้นราบ” “นักเรียนในเมือง” และ “คนไทย” ถูกใช้เพื่ออธิบายคนที่ตรงข้ามกับพวกเขา  ซึ่งคำทั้งหมดนี้แสดงความแตกต่างถึงกำเนิดที่มาและชาติพันธุ์ (น.151-152) 

Text Analyst อธิตา สุนทโรทก Date of Report 02 ต.ค. 2567
TAG , Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง