|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
มุสลิม,การอพยพ,ประวัติศาสตร์,วิถีชีวิต,กรุงเทพมหานคร |
Author |
กรรณิการ์ จุฑามาศ สุมาลี |
Title |
ยะวา-ชวาในบางกอก |
Document Type |
หนังสือ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไม่ระบุ |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
116 |
Year |
2541 |
Source |
โครงการหนังสือชุด |
Abstract |
หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องราวของชาวยะวาในกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นมุสลิมจากเกาะชะวาในประเทศอินโดนีเซียที่เข้ามาสู่เมืองไทยตั้งแต่ปี พ.ศ.2405 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จนถึงปี พ.ศ. 2488 อันเป็นปีที่อินโดนีเซียได้รับเอกราชจากฮอลันดา หนังสือแบ่งเป็น 6 บท คือ บทที่ 1 สาเหตุของการเดินทางเข้าสู่เมืองไทยของชาวยะวาในสมัยรัตนโกสินทร์ บทที่ 2 การเข้ามาเมืองไทยของชาวยะวาในสมัยรัตนโกสินทร์ บทที่ 3 วิถีการดำรงชีวิตของชาวยะวาในกรุงเทพมหานคร บทที่ 4 การซื้อขายที่ดินของชาวยะวา บทที่ 5 วิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชาวยะวาในกรุงเทพมหานคร บทที่ 6 ชาวยะวากับการโอนสัญชาติเป็นไทย การศึกษาพบว่าสาเหตุทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ของชาวยะวาภายใต้การปกครองของฮอลันดา ทำให้ชาวยะวาเข้ามาตั้งรกรากอยู่ในเมืองไทย ซึ่งถิ่นฐานของชาวยะวาในเมืองไทยนี้ยังคงดำรงอยู่จวบจนปัจจุบัน ชาวยะวาในเมืองไทยส่วนมากดำรงวิถีชีวิตโดยกระจายกันอยู่ทั่วไปในกรุงเทพมหานคร ต่อมาชาวยะวาบางส่วนที่ไม่ประสงค์จะตั้งหลักแหล่งอยู่ในเมืองไทยก็พากันเดินทางกลับมาตุภูมิ ส่วนผู้ที่ตั้งหลักแหล่งอยู่ในเมืองไทยที่มีฐานะดีพอ ได้ซื้อที่ดินเป็นของตนเองและช่วยกันก่อตั้งมัสยิดขึ้นเพื่อประกอบศาสนกิจ การสร้างมัสยิดนี้ชี้ให้เห็นถึงความร่วมมือกันของชาวยะวา และความสัมพันธ์กับมุสลิมกลุ่มอื่นๆ ที่อยู่ใกล้เคียง นอกจากนี้ผู้เขียนยังได้มุ่งพิจารณาประเด็นด้านการศึกษาของชาวยะวาที่ต้องเปลี่ยนแปลงรูปแบบไปอันเนื่องมาจากพระราชบัญญัติประถมศึกษา พ.ศ.2464 อีกด้วย การแต่งงานเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ทำให้เห็นความสำคัญของชาวยะวากับกลุ่มบุคคลอื่น ๆ ในสังคมไทย อนึ่งพระราชบัญญัติว่าด้วยกฎหมายขัดกัน พ.ศ.2481 และนโยบายรัฐนิยม พ.ศ.2482 ของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้มีส่วนส่งผลให้ชาวยะวากลายเป็นคนไทยในเวลาต่อมา (หน้า 49-50) |
|
Focus |
เรื่องราวชีวิตความเป็นมา รวมไปถึงประเพณีวัฒนธรรม วิถีการดำรงชีวิตของชาวยะวา ในกรุงเทพมหานคร |
|
Ethnic Group in the Focus |
ชาวยะวา "ยะวา" เป็นชื่อชนมุสลิมกลุ่มหนึ่งในกรุงเทพฯ ที่ใช้เรียกกลุ่มของตนเอง แต่เป็นที่รู้จักกันของคนไทยในนาม "ชวา" เพราะมาจากเกาะชวา ประเทศอินโดนีเซีย |
|
Language and Linguistic Affiliations |
เด็กชาวยะวาที่เกิดในเมืองไทยรุ่นแรก ๆ จะได้เล่าเรียนในโรงเรียนของรัฐและพูดภาษาไทยได้อย่างคล่องแคล่ว แต่เมื่อกลับถึงบ้านก็จะได้ยินได้ฟังคนในครอบครัวพูดภาษายะวากัน ทำให้เด็กยะวารุ่นแรก ๆ นี้ยังคงพูดและเข้าใจภาษายะวาได้ แต่ทักษะในการใช้ภาษายะวาของเด็ก ๆ แต่ละคนจะไม่เท่ากันในแต่ละครอบครัว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการใช้ภาษายะวาของแต่ละครอบครัวว่ามากน้อยเป็นสำคัญ ภาษาประจำชาติของอินโดนีเซีย คือ ภาษา "บาฮาซา อินโดนีเซีย" (Bahasa Indonesia) แต่ภาษาที่ชาวยะวาใช้พูดกันในหมู่บ้านยะวาที่เข้ามารุ่นแรก ๆ และในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น คือ ภาษายะวา ซึ่งเป็นภาษาท้องถิ่นภาษาหนึ่งในจำนวน 200 กว่าภาษา ที่พูดกันในหมู่ชนเผ่าต่าง ๆ ที่มีมากกว่า 300 เผ่าในอินโดนีเซีย ในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม ที่เป็นนายกรัฐมนตรีนักชาตินิยม ที่ต้องการให้ใช้คำว่า "ไทย" เพียงคำเดียวในหมู่คนไทยทั้งมวล จึงได้ออกประกาศให้คนไทยต้องรู้ภาษาไทย อย่างน้อยในระดับอ่านออกเขียนได้ ซึ่งถือว่าเป็นหน้าที่พลเมืองประการแรก และประการที่สอง คือ ต้องสนับสนุนแนะนำให้คนที่ยังไม่รู้จักภาษาไทย หรือที่ยังไม่รู้หนังสือไทยให้อ่านออกเขียนได้ รัฐนิยมฉบับนี้จึงมีส่วนทำให้เด็กยะวารุ่นหลังใช้ภาษาไทยแทนภาษายะวา เมื่อเหินห่างจากภาษาบรรพบุรุษ จึงทำให้เด็กยะวาในรุ่นต่อมาพูดแต่ภาษาไทยในที่สุด นอกจากคำศัพท์ภาษายะวาบางคำที่ใช้เรียกสิ่งของเครื่องใช้ หรือชื่ออาหารบางอย่างที่ยังคงหลงเหลือพูดกันในบางครอบครัว (หน้า 101-102) |
|
Study Period (Data Collection) |
ช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์ที่ศึกษาคือ ช่วงพ.ศ. 2405 - พ.ศ. 2488 |
|
History of the Group and Community |
ชาวยะวาเป็นมุสลิมจากเกาะชะวาในอินโดนีเซียที่เดินทางเข้าสู่ประเทศไทยด้วยสาเหตุทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมที่เกิดขึ้นในเกาะชะวา ภายใต้การปกครองของฮอลันดานับตั้งแต่ พ.ศ. 2142 ชาวยะวาที่ตัดสินใจตั้งหลักแหล่งในกรุงเทพฯกระจายกันอยู่ทั่วไป แต่ที่เป็นแหล่งใหญ่ คือ บริเวณแขวงยานนาวา เขตสาธร ชาวยะวาตั้งแต่รุ่นรัชกาลที่ 4 จนถึงปัจจุบันได้ผ่านประสบการณ์ชีวิตทั้งทางด้านการทำมาหากิน การได้ครอบครองที่ดินเพื่อตั้งถิ่นฐาน และสร้างมัสยิดเพื่อประกอบศาสนกิจ การศึกษาเล่าเรียน การแต่งงาน ตลอดจนการอยู่ร่วมสัมพันธ์กับมุสลิมกลุ่มอื่นๆ และกลุ่มชนอื่นๆ ในสังคมไทย อย่างสอดคล้องกลมกลืนกับนโยบายของรัฐไทยแต่ละสมัย จนค่อย ๆ กลายเป็นคนไทยในรุ่นลูกรุ่นหลาน (คำนำ, หน้า 21) แม้ว่าชาวยะวาจะผสมกลมกลืนกับคนไทยมุสลิมเชื้อสายมาเลย์ แต่ก็ยังสามารถรักษาชื่อ "มัสยิดยะวา" ให้คงอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ ชื่อศาสนสถานดังกล่าวก็เป็นเครื่องยืนยันได้ว่ามีชนกลุ่มน้อยนี้อยู่ในประเทศไทย จากการศึกษาหาหลักฐานเกี่ยวกับชาวยะวาในเมืองไทย พบว่า ชาวยะวามีความสัมพันธ์กับชาวไทยตั้งแต่สมัยสุโขทัยเป็นราชธานี โดยเป็นความสัมพันธ์ในเชิงค้าขาย ซึ่งปรากฏหลักฐานทางการค้า เช่น เครื่องถ้วยชามสังคโลก ในดินแดนยะวา สินค้าไทยที่ชาวยะวารู้จักดีคือ ข้าว โดยมีพ่อค้าชาวญี่ปุ่นเป็นคนกลางในการซื้อข้าวไทยส่งไปขายในยะวา ส่วนชาวฮอลันดาก็ซื้อซุงจากไทยไปขายยังเกาะยะวาที่ปัตตาเวีย (Batavia) เช่นกัน (บทนำ หน้า 2) ชาวยะวาได้อาศัยอยู่ในกรุงศรีอยุธยาสืบเรื่อยมาจนถึงสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และได้เข้ารับราชการในองค์สมเด็จพระนารายณ์ ในเหตุการณ์ที่สมเด็จพระนารายณ์ช่วงชิงราชบัลลังก์จากพระศรีสุธรรมราชาซึ่งเป็นพระเจ้าอา ในปี พ.ศ.2199 โดยพระนารายณ์เป็นฝ่ายชนะ ชาวยะวาที่รอดชีวิตจากสงครามจึงยังคงรับราชการในกองอาสา สังกัดกับกษัตริย์โดยตรง เป็นทหารประจำการ มิได้ใช้เกณฑ์การ "เข้าเดือน" เหมือนไพร่ธรรมดา แต่ภายหลังชาวยะวาที่อยู่ในกองอาสานี้ก็ถูกกลืนหายไปในระบบไพร่ของไทย วิถีชีวิตของชาวยะวาในสมัยอยุธยาได้ผสมกลมกลืนไปในสังคมไทย มิได้มีการกล่าวถึงอีกจนกระทั่งสมัยรัตนโกสินทร์ปลายรัชสมัยสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้มีหลักฐานของชาวยะวาปรากฏอีกครั้งหนึ่ง และเรื่องราวของชนกลุ่มนี้จึงได้มีความกระจ่างชัดเป็นลำดับ (บทนำหน้า 3-5) |
|
Settlement Pattern |
ในระยะแรกชาวยะวาที่เดินทางเข้าสู่ประเทศไทยด้วยสาเหตุทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม มีจุดมุ่งหมายเพียงเพื่อสร้างฐานะให้ดีขึ้น และสะสมเงินเพื่อเดินทางไปประกอบพิธีฮัจยี ณ นครมักกะฮ์ (Mecca) ประเทศซาอุดิอาระเบีย (Saudi Arabia) หลังจากนั้นก็กลับมาตุภูมิ แต่เมื่อชายฉกรรจ์ชาวยะวาได้สร้างครอบครัวของตัวเองในเมืองไทย และคุ้นเคยกับวิถีชีวิตในเมืองไทยจุดมุ่งหมายเดิมก็เปลี่ยนแปลงเป็นการตั้งบ้านเรือนอย่างมั่นคง เปลี่ยนจากการอาศัยอยู่กับนายจ้างหรือการเช่าที่อยู่อาศัย มาเป็นการซื้อที่ดินเป็นของตนเอง จากหลักฐานเกี่ยวกับการซื้อขายที่ดิน ปรากฏว่าชาวยะวาได้ซื้อที่ดินจากคนไทย คนจีน คนในบังคับอังกฤษ หรือคนในบังคับฮอลันดาด้วยกันเอง (หน้า 71) ชาวยะวาที่มาตั้งหลักแหล่งในกรุงเทพฯ มีกระจายทั่วไป ตามหัวเมืองต่างๆ แต่ที่เป็นแหล่งใหญ่คือ แขวงยานนาวา เขตสาธร เมื่อพระพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าให้มีการสำรวจสำมะโนครัวทั่วประเทศ ในปี พ.ศ. 2438-2452 มีชาวยะวาอยู่ในเมืองไทยเพียง 371 คน เทียบกับจำนวนชาวมาเลย์ ซึ่งมีถึง 289,423 คน และมุสลิมเชื้อสายเปอร์เซีย 518 คน นับได้ว่าชาวยะวา เป็นมุสลิมที่มีจำนวนน้อยที่สุดในบรรดามุสลิมในประเทศไทย (หน้า 58) |
|
Demography |
การสำรวจสำมะโนประชากรในกรุงเทพฯ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ในปี พ.ศ.2458 และปี พ.ศ.2463 พบว่าจำนวนชาวยะวาเพิ่มขึ้นจาก 1,980 คน เป็น 2,116 คน เป็นการเพิ่มขึ้นเพียง 316 คนเท่านั้น เมื่อเทียบกับมุสลิมมาเลย์ในกรุงเทพฯ ในสมัยเดียวกันซึ่งมีจำนวน 3,029 คน มุสลิมเชื้อสายเปอร์เซีย 108 คน มุสลิมปาทาน 138 คน จากจำนวนมุสลิมทั้งหมดในกรุงเทพฯ 5,391 คน ดังนั้นในกรุงเทพฯ ชาวยะวาเป็นกลุ่มมุสลิมเป็นอันดับ 2 รองจากมาเลย์ คือน้อยกว่ามาเลย์เพียง 913 คน ชาวยะวากระจายกันอยู่ทั่วไปในอำเภอต่างๆ 17 อำเภอ และภายหลังได้กระจายออกไปอีก 1 อำเภอ เป็น 18 อำเภอ จากอำเภอ 25 อำเภอ ได้แก่ พระราชวัง ชนะสงคราม บางขุนพรหม สามเสน ดุสิต นางเลิ้ง ประแจจีน ปทุมวัน บ้านทวาย สาธร บางรัก สามแยก ป้อมปราบศัตรูพ่าย สัมพันธวงศ์ จักรวรรดิ สามยอด พาหุรัด สำราญราษฎร์ ตามที่ปรากฏในแผนภูมิที่ 4 และที่ 5 จากแผนภูมิที่ 5 จะเห็นได้ว่าอำเภอบ้านทวายนั้น มีชาวยะวาอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากที่สุด คือ 22.73% อันดับที่ 2 บางรัก 13.46% อันดับ 3 สาธร 12.80% อันดับ 4 ชนะสงคราม 11.58% และสามแยกก็เป็นอำเภอที่ชาวยะวาอาศัยอยู่เพียง 0.18% เท่านั้น นับว่าน้อยที่สุด สาเหตุของการที่ชาวยะวากระจายกันอยู่นี้ ก็เนื่องมาจากการประกอบอาชีพของชาวยะวานั่นเอง (หน้า 58-59) |
|
Economy |
ในด้านการประกอบอาชีพของชาวยะวานั้น ในการเข้ามาในเมืองไทยครั้งแรกชาวยะวาที่มีฝีมือในการตกแต่งสวนก็ได้เข้ารับงานตกแต่งสวนในบริเวณพระบรมมหาราชวัง วังสราญรมย์ วังสวนสุนันทา พระราชวังบางปะอิน นอกจากนี้ ยังทำสวนบริเวณโรงกษาปณ์ ตกแต่งไม้ประดับในแนวถนนราชดำเนิน และปลูกต้นมะขามบริเวณท้องสนามหลวง (หน้า 56) แต่อาชีพที่ชาวยะวานิยมทำมากที่สุดคือ อาชีพค้าขาย พวกที่เข้ามาในเมืองไทยในช่วงสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น ประกอบอาชีพค้าขาย โดยทำตัวเป็นพ่อค้าย่อย หรือเดินทางไปค้าขายตามหัวเมืองเหนืออยุธยา และที่อื่น ๆ ดูได้จากแผนภูมิที่ 6 คือ อาชีพค้าขาย 48.63% ตกแต่งสวน 26.78% กรรมกร 9.84% รับจ้างในบ้าน 4.37% อื่นๆ 10.38% ซึ่งอาชีพดังกล่าวเหล่านี้ทำให้ชาวยะวาต้องกระจายกันอยู่ตามที่ต่าง ๆ (หน้า 59) การประกอบอาชีพรับราชการมีน้อยราย เท่าที่พบหลักฐานก็มีทำงานรถไฟ 1 ราย และรับราชการในกระทรวงมหาดไทยอีก 1 รายเท่านั้น การประกอบอาชีพของชาวยะวาบางกลุ่มก็ได้กระทบกับความผันแปรไป ทั้งนี้ เนื่องจากการที่ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ออกพระราชบัญญัติช่วยอาชีพและวิชาชีพ พ.ศ.2484 ทำให้ชาวยะวาซึ่งทำงานตกแต่งสวนในสถานที่ราชการต้องออกจากงานมาทำงานเอกชน หรือรับจ้างตกแต่งสวนตามสถานทูต เป็นต้น (หน้า 114-115) |
|
Belief System |
ชาวยะวาที่มาเมืองไทยนั้นต่างก็มุ่งแสวงโชคเพื่อสร้างหลักฐานของตัวเองให้มั่นคง บางคนวางเป้าหมายของชีวิตว่าจะต้องเก็บเงินทองเพื่อไปแสวงบุญยังนครมักกะฮ์ (Mecca) ประเทศซาอุดิอาระเบีย (Saudi Arabia) ให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต ซึ่งชาวยะวาบางคนทำได้สำเร็จตามความมุ่งหวัง แต่บางคนก็ไม่สามารถบรรลุถึงเป้าหมายได้ เพราะหน้าที่และความรับผิดชอบที่ต้องเลี้ยงดูครอบครัวกับจำนวนเงินทองที่ได้รับจากแรงงานที่ทำไปไม่เพียงพอ จึงไม่สามารถไปแสวงบุญได้ตามความประสงค์ การที่ไม่สามารถเดินทางไปแสวงบุญได้นั้น ศาสนาอิสลามไม่ได้ถือว่าเป็นความผิด ศาสนาอนุโลมให้ผู้ที่ยากจน หรือผู้ที่ไม่มีเงินทองพอเพียง เว้นจากการปฏิบัติในข้อนี้ได้ ศาสนาระบุให้ผู้ที่มีเงินเพียงพอ เมื่อเดินทางไปแสวงบุญแล้วครอบครัวไม่เดือดร้อน ลำบากเท่านั้น เป็นผู้จะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของศาสนา ซึ่งกำหนดให้ทำการแสวงบุญเพียง 1 ครั้งในชีวิต สำหรับผู้ที่มีเงินเพียงพอจะเดินทางไป ณ สถานที่ดังกล่าวหลายครั้งก็ย่อมทำได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความพอใจของแต่ละบุคคล และผู้ที่ประกอบพิธีแสวงบุญเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็มิได้มีอภิสิทธิ์ใด ๆ ในสังคม เหนือไปจากผู้ที่ยังไม่ได้ไปแสวงบุญ (หน้า 67-68) ในการก่อสร้างมัสยิดเพื่อนมัสการพระผู้เป็นเจ้านั้น ชาวยะวาได้อุทิศที่ดิน ทรัพย์สินเงินทอง ในการก่อสร้างมัสยิด บางท่านได้สละบ้านเพื่อใช้เป็นสถานที่นมัสการพระผู้เป็นเจ้า เช่น เมื่อครั้งเกิดอัคคีภัย ถูกพระเพลิงเผาผลาญจนหมดสิ้น นายกาเซ็ม บินอาบู ซึ่งเป็นผู้จัดการดูแลมัสยิดแห่งนี้ ได้อุทิศบ้านหลังหนึ่งเพื่อเป็นมัสยิดแทนที่เสียหาย (หน้า 88) เมื่อฮัจยีไซนุลอาบิดีนเริ่มดำริสร้างมัสยิดแห่งนี้ ท่านได้อุทิศที่ดินแปลงหนึ่งให้เป็นศาสนสมบัติ พร้อมกับเงินส่วนตัวอีก 8,000 บาท ในการก่อสร้างมัสยิด บรรดาชาวยะวาและมุสลิมมาเลย์ที่อยู่บริเวณตรอกจันทน์ และที่อื่นๆ ได้ร่วมบริจาคที่ดินและเงินทองตามกำลังทรัพย์ของตนเพื่อร่วมก่อสร้างมัสยิด (หน้า 90) และในส่วนของการก่อสร้างมัสยิดในที่อื่น ๆ ก็ได้รับการบริจาคอย่างที่กล่าวมาข้างต้นเช่นกัน |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ลักษณะการก่อสร้างมัสยิดยะวา เป็นสถาปัตยกรรมแบบยะวา แม้จะมีการซ่อมแซมมัสยิดยะวา แต่ก็ยังคงรูปหลังคาตามแบบเดิม เปลี่ยนแปลงเฉพาะอาคารมัสยิดให้กว้างขวางขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะตรงส่วนที่นั่งพักสนทนาธรรม ซึ่งชาวยะวาจะเรียกบริเวณที่นั่งพักนี้ว่า บาไล (Balai) (หน้า 86) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ความร่วมมือระหว่างชาวยะวากับมุสลิมอื่น ๆ ในการก่อตั้งมัสยิด มัสยิดยะวา ถูกสร้างขึ้นเมื่อครั้งที่ชาวยะวาบางครอบครัวได้ย้ายเข้ามาอยู่บริเวณครองสาธรใต้ ในระยะแรกนั้นยังไม่ได้มีสถานที่นมัสการพระผู้เป็นเจ้าร่วมกัน คงใช้บ้านใดบ้านหนึ่งเป็นสถานที่นมัสการ ต่อมาในปี พ.ศ.2437 ฮัจยีมูฮัมมัดซอและฮ์ (Haji Mohammad Saleh) ชาวยะวาในบังคับฮอลันดา ซึ่งมีที่อยู่ ณ บริเวณตรอกโรงน้ำแข็ง ถนนสาธร ต.คอกกระบือ อ.บางรัก (ปัจจุบันเป็นแขวงยานนาวา เขตสาธร) ได้มอบที่ดินให้เป็นสถานที่ปลูกสร้างมัสยิดเพื่อใช้เป็นสถานที่นมัสการพระผู้เป็นเจ้า และมีชาวยะวาในบริเวณใกล้เคียงทั้งในหมู่บ้านและนอกหมู่บ้าน ได้ร่วมทุนกันก่อตั้งมัสยิดยะวาขึ้นมาจนเป็นผลสำเร็จ มีอิหม่ามทำหน้าที่เป็นผู้นำทางศาสนาในมัสยิด ตั้งแต่เริ่มจนถึงปี พ.ศ.2539 จำนวน 6 ท่านด้วยกัน ซึ่งมีทั้งชาวยะวาและชาวมุสลิมเชื้อสายมาเลย์ในหมู่บ้านเดียวกัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ชาวยะวาได้มีความสัมพันธ์อันดีกับมุสลิมมาเลย์ในบริเวณซอยโรงน้ำแข็งและบริเวณวัดปรก เพราะอิหม่ามคนที่ 5 ในจำนวน 6 คน ก็เป็นผู้หนึ่งที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ในซอยวัดปรก อันเป็นบริเวณที่ต่อเนื่องกับซอยโรงน้ำแข็ง ซึ่งมุสลิมในซอยวัดปรกก็ใช้มัสยิดยะวาเป็นสถานที่นมัสการด้วยนับตั้งแต่มัสยิดสร้างเสร็จ ในส่วนของมัสยิดอื่น ๆ ก็เช่นกัน ที่ได้เกิดจากความร่วมมือกันของมุสลิมเชื้อสายต่าง ๆ เช่น - มัสยิดบาหยัน (ในภาษามาเลย์เรียกว่า Bayan) นอกจากชาวยะวาได้มีส่วนในการสร้างมัสยิดยะวาแล้ว ชาวยะวาที่อยู่ในบริเวณซอยบาหยัน ตำบลวัดพระยาไกร อำเภอยานนาวา ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับมัสยิดบาหยันด้วย และอิหม่ามบางคนของมัสยิดแห่งนี้ก็เป็นชาวยะวา มัสยิดแห่งนี้เกิดจากความร่วมมือร่วมใจจากชาวยะวา ชาวบาหยัน และมุสลิมอื่นๆ ในบริเวณใกล้เคียงร่วมกันก่อสร้างขึ้น และเมื่อครั้งเกิดอัคคีภัย ถูกพระเพลิงเผาผลาญจนหมดสิ้น นายกาเซ็ม บินอาบู ซึ่งเป็นผู้จัดการดูแลมัสยิดแห่งนี้ ได้อุทิศบ้านหลังหนึ่งเพื่อเป็นมัสยิดแทนที่เสียหาย ซึ่งถือเป็นความศรัทธาที่มีต่อศาสนาของมุสลิม - มัสยิดดารุลอาบิดีน มัสยิดแห่งนี้ก็เป็นมัสยิดอีกแห่งหนึ่งที่ชาวยะวามีส่วนอุทิศที่ดินให้เป็นที่สร้างสถานที่นมัสการพระผู้เป็นเจ้า พร้อมทั้งสละทรัพย์ กำลังกาย กำลังความคิด ในการก่อสร้างมัสยิดนี้ - มัสยิดบ้านอู่ เป็นมัสยิดที่ก่อตั้งอยู่ในซอยบ้านอู่ บางรัก ซึ่งมัสยิดแห่งนี้เป็นมัสยิดที่ฮัจยีกาเดร์ (Haji Kader) ชาวยะวาเป็นผู้อุทิศที่ดินและตัวอาคารให้เป็นสถานที่นมัสการพระผู้เป็นเจ้า ทั้งนี้ด้วยเกรงว่าลูกหลานจะนำสถานที่ไปทำอย่างอื่นเมื่อฮัจยีกาเดร์เสียชีวิตไปแล้ว นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2462 เป็นต้นมามุสลิมที่อยู่บริเวณบ้านอู่ได้จัดตั้งเป็นคณะกรรมการดำเนินงานของมัสยิดมาโดยตลอดจนถึงปัจจุบัน มุสลิมที่อยู่บริเวณบ้านอู่ที่เป็นชาวยะวาไม่มีแล้ว เนื่องจากมีอยู่น้อยคน และเสียชีวิตไปหมดแล้ว มุสลิมที่อยู่บริเวณบ้านอู่จึงเป็นมุสลิมเชื้อสายมาเลย์เป็นส่วนใหญ่ - มัสยิดอินโดนีเซีย เป็นมัสยิดของชาวยะวาที่สร้างขึ้นในซอยสนามคลี หรือที่เรียกซอยโปโล เป็นมัสยิดของชาวยะวาที่สร้างขึ้นและจดทะเบียนเมื่อปี พ.ศ.2492 เมื่อแรกก่อตั้งมัสยิดอินโดนีเซียนี้ ชาวยะวาก็ได้นมัสการพระผู้เป็นเจ้ากันที่บ้านใดบ้านหนึ่งรวมกัน แต่คับแคบ จึงได้เรี่ยไรเงินจากชาวยะวาคนละ 75 บาท โดยแบ่งจ่ายเป็น 3 งวด คือ จ่ายเดือนละ 25 บาท 3 เดือน และเมื่อเก็บเงินได้ประมาณ 2 เดือน ก็ขอเรี่ยไรไปยังมุสลิมที่หมู่บ้านยะวาตรอกโรงน้ำแข็ง พญาไท เป็นต้น จนสามารถสร้างมัสยิดได้เสร็จสมบูรณ์สมความตั้งใจของฮัจยีตะฮ์ลัน (Haji Tahlun) ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มสร้างมัสยิดแห่งนี้ จากมัสยิดทั้งหมดที่กล่าวนี้ จะเห็นได้ว่าชาวยะวามีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างมัสยิดในบริเวณต่าง ๆ 5 แห่งด้วยกัน ทั้งนี้ไม่นับมัสยิดที่ชาวยะวาจำนวนเล็กน้อยไปใช้สถานที่รวมกับคนมาเลย์ในเขตต่างๆ (หน้า 84-96) นอกเหนือจากความสัมพันธ์กับมุสลิมด้วยกันแล้ว ชาวยะวายังมีความสัมพันธ์กับสังคมอื่นๆ ในระบบของการแต่งงานกับคนไทย คนจีนอีกด้วย แต่อยู่ในขอบเขตที่ว่า บรรดาคนไทย คนจีนที่แต่งงานกับชาวยะวานั้น จะต้องเปลี่ยนแปลงศาสนามาเป็นมุสลิมเสียก่อน (หน้า 115) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การเปลี่ยนแปลงทางด้านภาษาของชาวยะวา เกิดจากพระราชบัญญัติประถมศึกษา พ.ศ.2464 ซึ่งส่งผลให้ชาวยะวาต้องเรียนตามหลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการในเวลาปกติ และเรียนภาษาอาหรับและหลักปฏิบัติศาสนกิจในเวลาค่ำ สำหรับในเรื่องของภาษา ชาวยะวารุ่นหลังมิได้พูดภาษายะวาดังเช่นคนยะวารุ่นแรกที่เข้ามาอยู่ในเมืองไทย ทั้งนี้ เพราะรัฐนิยมฉบับที่ 9 ที่ว่าด้วยภาษาและหนังสือไทยกับหน้าที่พลเมืองดี ที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ประกาศใช้ใน พ.ศ.2483 เน้นให้คนในประเทศไทยพูดภาษาไทย และแนะนำส่งเสริมให้คนที่ไม่รู้ภาษาได้เรียนภาษาไทยด้วย พระราชบัญญัติก็มีส่วนสนับสนุนในเรื่องนี้ด้วย คือผู้ที่จะขอเปลี่ยนแปลงสัญชาติไทยต้องมีความรู้อ่านและเขียนภาษาไทยได้ รัฐนิยมฉบับที่ 9 และพระราชบัญญัติสัญชาติล้วนส่งผลให้ชาวยะวาต้องเรียนภาษาไทย มีผลให้เด็กชาวยะวารุ่นหลังให้ภาษายะวาน้อยลง และการใช้ภาษายะวาก็เกือบหมดไปจากสังคมยะวา มีเฉพาะบางครอบครัวเท่านั้นที่ยังคงใช้ภาษายะวาอยู่บ้าง อนึ่ง เมื่อรัฐบาลไทยได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมาย พ.ศ.2481 ซึ่งใจความในพระราชบัญญัตินี้ล้วนส่งผลให้ชาวยะวาต้องอยู่ภายใต้อำนาจศาลไทย และพระราชบัญญัตินี้ระบุไว้ว่าคนต่างด้าวมีสิทธิอันจำกัดในการทำนิติกรรมในการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ ทำให้ชาวยะวาไม่เห็นความจำเป็นอีกต่อไปที่จะเป็นคนในบังคับฮอลันดา การโอนเป็นคนสัญชาติไทยย่อมได้รับสิทธิเสรีภาพทุกประการเช่นเดียวกับคนไทย ชาวยะวาจึงมีการโอนสัญชาติเป็นไทยในที่สุด (หน้า 115-116) |
|
Map/Illustration |
หน้า (30) จันทิปรัมบานัน หน้า (31) ภาพแกะสลักที่จันทิปรัมบานันเนื่องในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู หน้า (33) (บน) วัดปูราเบซากีย์ ศูนย์รวมแห่งความศรัทธาของชาวบาหลี เป็นที่ประทับขององค์ไตรภูวนาถ พระผู้เป็นเจ้าแห่งโลกทั้งสาม คือ สวรรค์ โลกมนุษย์ และบาดาล (ล่าง) วัดทานาฮ์ล็อต ที่สถิตของเทพเจ้าในศาสนาฮินดู ณ ชายฝั่งทะเลด้านมหาสมุทรอินเดีย หน้า (34) คนบาหลีไปทำบุญที่วัด หน้า (37) มัสยิดกลางแห่งเมืองบันดาร์ อาเจะห์ เมืองตะวันตกของเกาะสุมาตรา หน้า 38 แผนภูมิที่ 1 : แสดงจำนวนชาวยะวาที่ปรากฏชื่อในเอกสารทางราชการ พ.ศ.2405-2486 หน้า 45 แผนภูมิที่ 2 : จำนวนชาวยะวาเข้าประเทศไทย แยกตามเพศชาย-หญิง พ.ศ.2470-2475 หน้า 46 แผนภูมิที่ 3 : ชาย-หญิง ยะวา เดินทางเข้าประเทศไทย พ.ศ.2470-2475 แยกตามอายุ หน้า 52 นายซูการ์โน บิน เต็มบง (คนนั่ง) ชาวยะวาจากเมืองบุโรพุทโธ ยะวากลาง อายุประมาณ 72 ปี (ในปี พ.ศ.2534) ถ่ายภาพร่วมกับหลานชายเชื้อสายยะวากับหลานสะใภ้เชื้อสายมาเลย์ หน้า 60 แผนภูมิที่ 4 : ชาวยะวา 17 อำเภอ จาก 25 อำเภอใน กรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2458 หน้า 61 แผนภูมิที่ 5 : ชาวยะวา 18 อำเภอ จาก 25 อำเภอใน กรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2463-2466 12. หน้า 62 แผนภูมิที่ 6: ชายยะวา อายุ 15 ปีขึ้นไป เข้ามา กรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2470-2475 แยกตามอาชีพ 13. หน้า 65 ตารางที่ 1 ชาวยะวาเข้ามา ณ กรุงเทพฯ แยกประเภทกรรมกรต่างๆ (ชายที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไปเท่านั้น)14. หน้า 70 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ทอดพระเนตรการสวนสนามของทหารฮอลันดา ที่สนามวอเตอร์ลู เมืองปัตตาเวีย เมื่อครั้งเสด็จ ประพาสยะวา พ.ศ. 2472 15. หน้า 87 มัสยิดยะวาและบริเวณภายใน 16. หน้า 89 มัสยิดบาหยัน 17. หน้า 91 มัสยิดดารุลอาบิดีน (มัสยิดตรอกจันทน์) 18. หน้า 94 มัสยิดบ้านอู่ 19. หน้า 95 มัสยิดอินโดนีเซีย 20. หน้า 97 เด็กมุสลิมยะวากำลังกล่าวสรรเสริญท่านศาสดามูฮัมมัดภายหลังจากเสร็จสิ้นการอ่านพระมหาคัมภีร์ อัล กุรอาน ต่อหน้าอาจารย์ผู้สอนและทุกคนที่มาในงานฉลองการเรียนภาษาอาหรับเสร็จสิ้นลง 21. หน้า 104 (บน) การร่วมกันประกอบพิธีแต่งงานโดยมุสลิมเชื้อสายยะวา (สวมหมวกแบบอินโดนีเซียสีดำ) และมุสลิมเชื้อสายมาเลย์ (สวมหมวกขาวและพันผ้าสีขาวรอบหัว) ให้กับเจ้าบ่าวเชื้อสายยะวา (ล่าง) มุสลิมเชื้อสายยะวาญาติผ่ายเจ้าบ่าวทั้งหมดถ่ายภาพร่วมกับเจ้าสาว (ติดดอกไม้ที่เสื้อ) ซึ่งเป็นมุสลิมเชื้อสายมาเลย์ 22. หน้า 127-131 ภาคผนวก ก. ตารางการซื้อขายที่ดินของยะวา พ.ศ.2425-2453 23. หน้า 132-133 ภาคผนวก ข. ชายชาวยะวาเข้ามา ณ กรุงเทพฯ แยกตามอายุ 24. หน้า 134-135 ภาคผนวก ค. หญิงชาวยะวาเข้ามา ณ กรงเทพฯ แยกตามอายุ 25. หน้า 136-137 ภาคผนวก ง. ชาวยะวาเข้ามา ณ กรุงเทพฯ แยกตามอาชีพ (ชายที่ มีอายุตั้งแต่ 15 ปี ขึ้นไป) |
|
|