|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),กระบวนการเคลื่อนไหวของครูบา,สังคม,วัฒนธรรม,การเปลี่ยนแปลง,เชียงใหม่ |
Author |
Kwanchewan Srisawat |
Title |
The Karen and The Khruba Khao Pi Movement : A Historical Study of the Response to the Transformation in Northern Thailand |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
206 |
Year |
2531 |
Source |
A Thesis Present to The Faculty of The Graduate School Ateneo de Manila University. |
Abstract |
งานชิ้นนี้ศึกษาการนับถือครูบาขาวปี๋ของกลุ่มกะเหรี่ยง กระบวนการเคลื่อนไหวของครูบา และการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ สังคมและวัฒนธรรมทางภาคเหนือของไทย |
|
Focus |
ศึกษากระบวนการเคลื่อนไหวของครูบา โดยเฉพาะครูบาขาวปี๋ และอิทธิพลของครูบาที่มีต่อกะเหรี่ยง (หน้า 4) |
|
Theoretical Issues |
งานวิจัยนี้พยายามจะอธิบายให้เข้าใจว่าเพราะเหตุใดกะเหรี่ยงจึงมีความศรัทธาต่อครูบาขาวปี๋ โดยการพิจารณาความสอดคล้องในเชิงอุดมการณ์ (Ideology) ของทั้งสองฝ่าย ทางฝ่ายกะเหรี่ยงโปว์ซึ่งมีอุดมการณ์นับถือผี และอาศัยอยู่ในท้องถิ่นล้านนามาช้านาน มีความสัมพันธ์กับชาวล้านนาและได้คุ้นเคยกับพุทธศาสนาแบบล้านนา ส่วนทางฝ่ายครูบาเองแม้จะเป็นพุทธก็เป็นแบบล้านนา ซึ่งมีองค์ประกอบในเรื่องผีอยู่ด้วยจึงไม่แตกต่างกันมากนัก (หน้า 167-168) เมื่อกะเหรี่ยงต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้ชีวิตกะเหรี่ยงตกต่ำทั้งในแง่เศรษฐกิจและความเป็นอิสระทางการเมืองที่ลดน้อยลง กะเหรี่ยงจึงหันไปยึดถือครูบา เพราะอุดมการณ์ครูบาสามารถครอบงำกะเหรี่ยงได้ในหลายแง่มุม เช่น ในทางการเมืองครูบาและกระบวนการของครูบาเป็นตัวแทนของสังคมดั้งเดิม ในการต่อต้านอำนาจรัฐและอำนาจสงฆ์ส่วนกลาง อีกทั้งยังยอมรับกะเหรี่ยง ส่วนเชิงศีลธรรมครูบาก็เป็นบุคคลที่มีบุญและอำนาจศักดิ์สิทธิ์ เหนือกว่าผีของกะเหรี่ยงเองและยังสามารถทำนายทายทักสภาวะสังคมและเหตุการณ์ข้างหน้าซึ่งผีของกะเหรี่ยงมิอาจทำได้ (หน้า 169-170) |
|
Ethnic Group in the Focus |
กะเหรี่ยงทางภาคเหนือของประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มกะเหรี่ยงในหมู่บ้านแม่ฉาง Mae Chang อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดเชียงใหม่ |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ผู้เขียนกล่าวถึงคำอธิบายศัพท์ คำเมือง ทางภาคเหนือของไทย ไม่ปรากฎข้อมูลทางระบบภาษาศาสตร์ (หน้า XI) |
|
Study Period (Data Collection) |
การศึกษาโดยรวบรวมข้อมูลเอกสารทางประวัติศาสตร์ ค.ศ.1986 และการศึกษาภาคสนาม มิถุนายน - ธันวาคม ค.ศ. 1987 |
|
History of the Group and Community |
ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของสังคมทางภาคเหนือของไทย ซึ่งมีอีกชื่อเรียกหนึ่ง คือ ล้านนา หมายถึงล้านไร่นา อาณาจักรล้านนารวมพื้นที่ 8 จังหวัดทางภาคเหนือคือ เชียงใหม่, ลำปาง, ลำพูน, เชียงราย, พะเยา, แม่ฮ่องสอน, แพร่, และน่าน อาณาจักรล้านนาก่อตั้งโดยพระยามังรายในปี ค.ศ.1292 ราชวงศ์มังราย ปกครองล้านนา 266 ปี (1292-1558) หลังจากนั้นในปี ค.ศ.1558 ล้านนาได้ตกอยู่ภายใต้อำนาจการปกครองของพม่ายาวนานกว่า 200 ปี (1558-1774) ภายหลังพระยากาวิละได้กอบกู้อิสระภาพจากพม่าและนำล้านนาเข้าเป็นประเทศราชของไทยในสมัยธนบุรีจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ ในสมัยรัชกาลที่ 1 (ค.ศ. 1776) พระยากาวิละได้รับตำแหน่ง เจ้าพระยาเทศาราช ปกครองล้านนา ราชวงศ์ของเจ้ากาวิละเข้าปกครองล้านนาจนกระทั่งปี ค.ศ.1886 ซึ่งส่งผลให้ผู้ครองนครเชียงใหม่เดิมหมดอำนาจและบทบาทลง (หน้า 24-26) กลุ่มคนส่วนใหญ่ในล้านนาถูกเรียกว่า "ไทยวน" (Thai Yuen) ซึ่งสืบเนื่องมาจากอาณาจักรดั้งเดิมคือ โยนก สร้างโดยพระยามังราย คนยวนอาศัยในดินแดนแถบนี้มาจนถึงปัจจุบัน นอกจากยวนยังมีกลุ่มคนอื่นๆ ที่อาศัยอยู่เช่น ลัวะ Lua, Lao, Chao, Tai, Man, Meng (มอญจากอาณาจักรหริภุญชัย) ลัวะ ถือได้เป็นกลุ่มคนดั้งเดิมปัจจุบันอาศัยอยู่ตามหุบเขา พื้นที่ อำเภอฮอด, อำเภอแม่ลาน้อย จังหวัดเชียงใหม่และแถบจังหวัดแม่ฮ่องสอน (หน้า 27) สำหรับกะเหรี่ยงมีสองกลุ่มย่อย คือ โปว์และ สกอร์ กะเหรี่ยงโปว์มีประวัติศาสตร์การตั้งถิ่นฐานทางภาคเหนือของไทยยาวนานกว่า ดังหลักฐานปรากฎว่า พระยากาวิละได้จัดระเบียบการปกครองและการตั้งถิ่นฐาน ของก กะเหรี่ยงโปว์ในเชียงใหม่และลำพูนเมื่อ 200 ปีมาแล้ว หลายงานวิจัยสันนิษฐานว่า กะเหรี่ยงโปว์ได้อาศัยอยู่ทางภาคเหนือของไทยประมาณ 150-300 ปีมาแล้ว กะเหรี่ยงโปว์ ในหมู่บ้านห้วยลา จังหวัดลำพูน เชื่อว่า พวกเขาอพยพมาทางเทือกเขาขุนยวม ผ่านจอมทองและตั้งถิ่นฐานที่บ้านห้วยลามาเป็นเวลา 400 ปีมาแล้วหรือมากกว่า 5 ชั่วอายุคน กะเหรี่ยงโปว์ ในแม่สะเรียง อาศัยอยู่ในหุบเขาลึก ขนาบด้วยลัวะ ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มคนดั้งเดิม สำหรับ กะเหรี่ยงสกอร์ ได้เข้ามามีความสัมพันธ์ในภายหลัง และเข้ามาอาศัยภายในเมือง Kunstandter (1969:69) ผู้วิจัยชุมชนกะเหรี่ยงสกอร์ ในบ้านห้วยเปิง (Huai Phueng) อำเภอแม่สะเรียงพบว่า กะเหรี่ยงสกอร์ อพยพมาจากทางตะวันตกประมาณ 100-150 ปีมาแล้ว (หน้า 76-77) ผู้วิจัยได้ศึกษาภาคสนามชุมชนกะเหรี่ยงสกอร์ ในหมู่บ้านแม่ฉางซึ่งกล่าวถึงประวัติความเป็นมาว่าชุมชนได้มีการตั้งถิ่นฐานอย่างถาวรในบริเวณนี้มากว่า 200 ปีมาแล้ว หมู่บ้านห่างจากถนนหลังประมาณ 17 กิโลเมตร และห่างจากตัวเมืองแม่สะเรียง 10 กิโลเมตร มีประชากรประมาณ 70 ครัวเรือน (หน้า 83) |
|
Settlement Pattern |
กะเหรี่ยงโดยทั่วไปอาศัยอยู่ในบริเวณหุบเขา 1,000 เหนือระดับน้ำทะเล ในบริเวณเทือกเขาขุนยวม (Khun yuam) และบริเวณ แม่น้ำปิง ภาพแสดงสภาพพื้นที่ Figure 2 (หน้า 74) |
|
Demography |
ตารางข้อมูลกลุ่มชาติพันธ์บนพื้นที่สูงทางภาคเหนือของประเทศไทยในปี ค.ศ. 1986-1987 (หน้า 75) กะเหรี่ยงอาศัยอยู่ในพื้นที่ทางภาคเหนือดังนี้ เชียงรายมี 5,458 คน เชียงใหม่ 88,161 คน แพร่ 7,992 คน แม่ฮ่องสอน 67,516 คน ลำปาง 2,923 คน ลำพูน 21,329 คน |
|
Economy |
กลุ่มกะเหรี่ยงโปว์ Pwo ในหมู่บ้านแม่ฉางส่วนใหญ่ทำการเกษตรแบบไร่หมุนเวียน หรือการเปลี่ยนพื้นที่เพาะปลูก เมื่อมีการเตรียมพื้นที่เพาะปลูกจะถางเอาต้นไม้เล็กและพุ่มไม้ออก และพื้นที่จะถูกใช้เป็นเวลา 1 ปี แล้วปล่อยทิ้งไว้ 5 ปี หรือมากกว่าให้ต้นไม้ใหญ่และพุ่มไม้ได้เจริญเติบโตต่อไป พื้นที่เพาะปลูกทั้งหมดเป็นของหมู่บ้าน แต่คนสุดท้ายที่ออกจากพื้นที่ได้รับการยอมรับให้เป็นเจ้าของพื้นที่แห่งนั้น ถ้าผู้อื่นต้องการใช้พื้นที่ต้องขออนุญาตจากเจ้าของก่อน ครอบครัวส่วนใหญ่จะมีพื้นที่ทำการเกษตรอยู่ใกล้กันเนื่องจากเป็นการง่ายในการดูแลที่ดิน สามารถให้คนในครอบครัวทำงานร่วมกันได้และสามารถแลกเปลี่ยนแรงงานกันได้สะดวก คน 1 คนอาจจะมีที่ดิน 1 ถึง 13 ผืน ปกติผู้ที่มีที่ดินมากกว่า 8 ผืนจะเป็นผู้ที่มีความเกี่ยวข้องทางเครือญาติกับหัวหน้าหมู่บ้านหรือผู้นำทางพิธีกรรม (หน้า 87,89) การถางไร่จะเริ่มในเดือนกุมภาพันธ์แล้วเผาในเดือนเมษายน หลังจากนั้นจะเตรียมการปลูกข้าว ใช้เวลาประมาณ 6 เดือน ส่วนใหญ่กะเหรี่ยงที่แม่ฉางกินข้าวเจ้า ส่วนข้าวเหนียวจะใช้ในงานประเพณี ปลายเดือนตุลาคม-พฤศจิกายนเป็นระยะเวลาสำหรับเก็บเกี่ยว ข้าวเปลือกจะถูกเก็บไว้ในยุ้งฉางในเดือนธันวาคม นอกจากข้าวแล้วยังมีการเพาะปลูก ข้าวโพด, พริก, ถั่ว, ยาสูบ และผักต่าง ๆ ถ้าอยู่ในพื้นที่เป็นระยะเวลานานจะปลูกต้นไม้พวกขนุน, มะม่วง, และมะขามเป็นต้น (หน้า 87-90) ในช่วงศตวรรษที่ 20 การทำไร่ไม่สามารถย้ายที่ทำกินและปล่อยพื้นที่ให้เว้นว่างไว้ได้เหมือนดังเดิม เมื่อจำนวนประชากรก็เพิ่มมากขึ้นในหมู่บ้านทำให้มีพื้นที่ทำกินไม่เพียงพอ นอกจากนี้ในหมู่บ้านแม่สะเรียงม้งได้เข้ามาซื้อที่ดินของกะเหรี่ยงแต่ไม่ยอมจ่ายเงิน ทางรัฐก็เพิกเฉยไม่ได้เข้าไปช่วยเหลือจัดการ จนก่อให้เกิดปัญหาขึ้น นอกจากนี้ยังมีความขัดแย้งระหว่างชุมชนกับกรมป่าไม้เนื่องจากการขยายที่ดินทำกินในส่วนที่รัฐประกาศให้เป็นป่าสงวน (หน้า 101) ในปี ค.ศ.1964 หน่วยงานพัฒนาชาวเขาของรัฐได้จัดโครงการสำหรับพัฒนาการเกษตรกรรมในพื้นที่แม่ฉางและส่วนอื่นๆ โดยส่งเสริมการปลูกพืช เช่น การทำนา และพืชเศรษฐกิจ อาทิเช่น กาแฟ ยาสูบ เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ประสบความสำเร็จมากนัก มีเพียง 5 ครอบครัวจากทั้งหมด 70 ครอบครัว ทำการทำลองปลูกข้าว (wet rice) สาเหตุที่ไม่ประสบความสำเร็จเนื่องจากความไม่เหมาะสมของความหลากหลายของพันธุ์พืช การใช้น้ำ และต้องใช้แรงงานมากกว่าในการผลิต ซึ่งกะเหรี่ยงแม่ฉางมีความเห็นว่าการปลูกข้าว (wet rice) ไม่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ของตน สำหรับ พืชเศรษฐกิจ ยาสูบ และกาแฟ มีการเพาะปลูกในพื้นที่ กะเหรี่ยงสกอร์ (Skaw) หลายหมู่บ้าน และในหมู่บ้านแม่ฉางมี Pha Jolo ซี่งได้ทำการเพาะปลูกกาแฟ แต่เมื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตขายได้ราคาไม่ดี นอกจากนี้สภาพของการติดฝิ่นเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อสภาพเศรษฐกิจของกะเหรี่ยงให้เป็นไปยากลำบากยิ่งขึ้น (หน้า 102-104) |
|
Social Organization |
กะเหรี่ยงโปว์ มีการนับญาติทางฝ่ายมารดา (หน้า 82) กะเหรี่ยงแม่ฉาง มีกระบวนการเรียนรู้ทางสังคมโดยการถ่ายทอดความรู้ต่าง ๆ ในวิธีของตนเอง เช่น เด็กผู้หญิงเรียนรู้การทำงานบ้าน ถักเย็บ จากมารดา เด็กผู้ชายออกไปข้างนอกกับบิดา เรียนรู้การล่าสัตว์ ทำไร่ เป็นต้น (หน้า 107) |
|
Political Organization |
หมู่บ้านกะเหรี่ยงโปว์ ที่แม่ฉางมีผู้นำ 2 แบบคือ 1. ผู้นำหมู่บ้าน (Chai Kei Khu) เป็นผู้ชายและเป็นหัวหน้าในการประกอบพิธีทางศาสนาภายในหมู่บ้าน ผู้นำหมู่บ้านจะต้องเป็นผู้มีพฤติกรรมที่ดีรวมถึงพฤติกรรมที่ดีของสมาชิกภายในครอบครัวผู้นำด้วยเช่นกัน ผู้นำจะมีหน้าที่ในการเลือกสถานที่ตั้งหมู่บ้านและที่สำคัญที่สุดคือเป็นศูนย์กลางในการประกอบพิธีกรรมสำคัญในหมู่บ้าน การสืบทอดผู้นำหมู่บ้านผ่านทางสายเลือดโดยลูกชายคนโตจะเป็นหัวหน้าแทนพ่อ 2. ผู้นำทางพิธีกรรม (Ther Mue Khae Khu) เป็นผู้หญิงสูงอายุซึ่งมีสายเครือญาติกับวิญญาณบรรพบุรุษ มีหน้าที่ในการรักษาผู้เจ็บป่วยในชุมชน นอกจากผู้นำทั้งสองยังมีผู้อาวุโสในชุมชนช่วยเหลือและแนะนำในการปกครอง ผู้อาวุโสจะมีการนัดพบเมื่อเกิดปัญหาภายในหมู่บ้านเพื่อหาวิธีจัดการ (หน้า 83-86) การเคลื่อนไหวทางการเมือง : ก่อนศตวรรษที่ 20 ความสัมพันธ์ระหว่างไทยภาคกลางและไทยภาคเหนือเป็นไปในแบบที่มีระบบของตัวเอง ราชวงศ์ทางภาคเหนือมีอำนาจในการปกครองดินแดน ความสัมพันธ์ระหว่างสยามและล้านนาขาดระยะเมื่อล้านนาขึ้นต่อพม่า สังคมในขณะนั้นมีความหลากหลายทางวัฒนธรรมหลายกลุ่มชาติพันธุ์อาศัยอยู่ สำหรับในด้านศาสนา ทางภาคเหนือมีระบบศาสนาที่แตกต่างและมีเอกลักษณ์เป็นของตนเองภายใต้ศาสนาพุทธนิกายเถรวาท และพิธีกรรมแบบยวนซึ่งได้รับการสนับสนุนจากราชวงศ์และผู้ปกครองแคว้น หนังสือธรรมะถูกแต่งขึ้นโดยใช้ตัวหนังสือยวนและมีแบบปฏิบัติในลักษณะประเพณีดั้งเดิมของยวนล้านนา หนังสือะรรมะได้ถูกสร้างขึ้นและสร้างขึ้นใหม่เพิ่มความเชื่อการคงอยู่ของพุทธเจ้าการมาของพระศรีอาริยะ และพระธรรมาหรือ ต้นบุญ (หน้า 71) อย่างไรก็ตาม ล้านนาไม่ได้เชื่อแต่เพียงศาสนาพุทธนิกายเถรวาทเท่านั้นยังเชื่อในศาสนาพุทธนิกายมหายาน และนิกายพรามัน (Brahmanism) และความเชื่อเรื่องผีซึ่งส่วนใหญ่รับมาจากพม่า เนื่องจากมีความสัมพันธ์ระหว่างล้านนาและพม่ากว่า 200 ปี การขาดหายไปของคณะผู้ปกครองสงฆ์ทางภาคเหนือในศตวรรษที่ 20 ความเป็นผู้นำทางศาสนาและการปฏิบัติยังคงได้รับการสืบทอดในหลากหลายผู้นำตามแต่ละพื้นที่และในแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ก็ยังคงอยู่ การเข้ามาจัดระเบียบของรัฐไทย ส่งผลกระทบโดยตรงต่อราชวงศ์ทางภาคเหนือและผู้คนในสังคม และก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวใน 2 รูปแบบ คือ การเกิดจลาจลและการเคลื่อนไหวทางศาสนา การจลาจลเกิดขึ้นจาก Phya Phab และ Shan Revolts ทำตัวออกห่างซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงอำนาจการปกครอง สำหรับการเคลื่อนไหวทางศาสนาเห็นได้เด่นชัดในการเคลื่อนไหวของครูบาศรีวิชัยได้เริ่มขึ้น (หน้า 72-73) |
|
Belief System |
ความเชื่อดั้งเดิมของกะเหรี่ยงโปว์ ในแม่ฉาง เป็นการนับถือผี (Animism) ที่สำคัญ เช่น ผีบรรพบุรุษ เทพผู้คุ้มครอง (Guardian sprits) ซึ่งอาศัยอยู่ในสถานที่ต่าง ๆ เช่น เจ้าป่า, เทพเจ้าแห่งน้ำ, เทพผู้คุ้มครองที่ดินปลูกข้าว, เทพเจ้าแห่งการเดินทาง เป็นต้น จะมีเทศกาลประจำปีโดยผู้นำหมู่บ้านเป็นผู้จัดเตรียมในราวเดือนมกราคม และในเดือนมิถุนายน (หน้า 91) ในปี ค.ศ.1965 รัฐบาลได้จัดโครงการ ธรรมจาริก ในการเผยแพร่พุทธศาสนาให้กับกลุ่มชาวเขาเพื่อนำไปสู่ความเป็นไทย แต่โครงการไม่ได้รับความสนใจเท่าไรนัก เนื่องจาก พระสงฆ์ไม่มีความเข้าใจในวัฒนธรรมของกะเหรี่ยง ทำให้การเผยแพร่ไม่เกิดผลและไม่ได้รับความสนใจจากกะเหรี่ยง (หน้า 108) สำหรับการนับถือครูบา ของกะเหรี่ยงได้เกิดขึ้นตั้งแต่การนับถือครูบาศรีวิชัย จนกระทั่งถึงครูบาขาวปี๋ และครูบาอื่น ๆ ต่อมา กะเหรี่ยงมีความเข้าใจและนับถือครูบาเป็นเสมือนเทพเจ้าของพวกเขา (The lord of the guardian spirits) ซึ่งเป็นเทพในความเชื่อดั้งเดิมของกลุ่มกะเหรี่ยง (หน้า 113) ครูบา ตามระบบความเชื่อพุทธศาสนาในภาคเหนือ คือ ผู้ทรงศีลและเป็นผู้ที่อยู่ในข้อระเบียบทางศาสนาอย่างเคร่งครัด (หน้า 1) ครูบาผู้มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งในล้านนาคือครูบาศรีวิชัย ซึ่งถือได้ว่าเป็นผู้นำพุทธศาสนาในแบบล้านนา สิ่งที่สร้าง ชื่อเสียงให้กับครูบาศรีวิชัยคือ การเดินเท้าจากเชิงดอยสุเทพขึ้นสู่พระธาตุดอยสุเทพใช้เวลา 9 พฤศจิกายน ค.ศ.1934 - 30 เมษายน ค.ศ.1935 ในการเดินทางครั้งนี้มีผู้คนทั้งคนเมืองและชาวเขาไม่ต่ำกว่า ห้าพันคนเข้าร่วมทุกวัน พวกเขาเข้าร่วมเนื่องจากมีความเชื่อความศรัทธาต่อครูบาศรีวิชัย ครูบาขาวปี๋ ซึ่งเป็นลูกศิษย์คนสำคัญของครูบาศรีวิชัย (หน้า 2) ภายหลังครูบาศรีวิชัยในปี ค.ศ.1938 ครูบาขาวพีได้มีบทบาทเป็นผู้นำการเคลื่อนไหวต่อ (หน้า 125) นอกจากกลุ่มกะเหรี่ยง ครูบายังเป็นที่รู้จักในกลุ่มลัวะ ฉาน มอญ และชาวพม่า เช่นกัน (หน้า 148) ภายใต้บริบทของสังคมและวัฒนธรรมกะเหรี่ยงทั้งด้านวัตถุและจิตวิญญาณ แบบประเพณีดั้งเดิมทางภาคเหนือของไทยและ ความเชื่อเทพเจ้าของกะเหรี่ยงครูบาได้เข้ามานำเสนอใหม่ และตอกย้ำสนับสนุนผ่านครูบา ซึ่งทำให้กะเหรี่ยงได้เข้ามามีส่วนร่วมในการเคลื่อนไหวของครูบา (หน้า 119-120) |
|
Education and Socialization |
โรงเรียนได้ถูกสร้างขึ้นในหมู่บ้านแม่ฉาง หลังปี ค.ศ.1964 และกลายเป็นโรงเรียนประถมศึกษาภายใต้การควบคุมของกระทรวงศึกษาธิการในปี 1973 การศึกษาในโรงเรียนไม่ได้รับความสนใจจากกะเหรี่ยงมากนัก เด็ก ๆ มาโรงเรียนในช่วงเวลาว่างจากงานไร่ หรือไม่ได้ช่วยงานพ่อแม่ และหยุดเรียนช่วงที่มีพิธีกรรมภายในหมู่บ้านและในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวผลผลิต ภายหลังจบประถมปีที่ 4 ไม่มีใครศึกษาต่อส่วนใหญ่จะออกไปทำไร่กับครอบครัว (หน้า 105-106) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Folklore |
ตำนานเล่าถึงสองพี่น้องต้องการเป็นพุทธเจ้า พวกเขามีความเห็นพ้องต้องกันว่าผู้ได้เห็นดอกบัวปรากฎใกล้ตนจะได้เป็นพุทธเจ้าองค์ต่อไป ทั้งสองนั่งลงทำสมาธิ น้องชายซึ่งมีความอิจฉาและเต็มไปด้วยเล่ห์อุบาย ได้เปิดตาเนื่องจากกลัวว่า ดอกบัวจะปรากฏขึ้นที่พี่ชาย และเมื่อดอกบัวปรากฎจริง น้องชายได้ขโมยไปและวางไว้ใกล้ที่ตน ด้วยเหตุนี้ น้องชายจึงได้เป็นพุทธเจ้า ซึ่งได้ก่อให้เกิดความวุ่นวายเต็มไปด้วยความชั่วร้ายภายในสังคม ผู้คนต้องอดทนและรอคอยการเกิดขึ้นของพุทธเจ้าองค์ใหม่ผู้ซึ่งควรจะเป็นพี่ชายคนโตในตำนาน ตำนานเรื่องนี้ได้แสดงแนวคิดและอัตลักษณ์ของกะเหรี่ยงซึ่งเป็นเหมือนพี่ชายในตำนาน กะเหรี่ยงเชื่อว่าเขาเป็นพี่คนโตของกลุ่มชาติพันธ์ทั้งหมดทางภาคเหนือของไทย ซึ่งสามเหตุนี้เองที่ทำให้พวกเขาจนและไม่มีบ้านเมืองของตนเอง (หน้า 119) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ความสัมพันธ์ของกลุ่มคนพื้นที่ราบและกลุ่มคนที่อาศัยอยู่บนพื้นที่สูงเป็นไปในระบบเศรษฐกิจ การแลกเปลี่ยนสิ่งของ ของป่ากับเครื่องมือเครื่องใช้ในเมือง หรือ พวกงานหัตถกรรม เป็นต้น กะเหรี่ยงในหมู่บ้านแม่ฉางมีความสัมพันธ์กับกลุ่มลัวะในหมู่บ้านขุนวง ซึ่งเป็นหมู่บ้านใกล้เคียง มีการแต่งงานระหว่างกัน โดยส่วนใหญ่ประชากรเป็นเชื้อชาติผสม (หน้า 80) ประวัติศาสตร์ความเป็นมากล่าวถึงผู้คนในบริเวณภาคเหนือของไทย กลุ่มคนพื้นราบ และกลุ่มคนบนพื้นที่สูงมีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันมายาวนานทั้ง คนเมือง ลื้อ ลัวะ กะเหรี่ยง ขมุ และฉาน ในฐานะเพื่อนบ้านอาศัยอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกัน โดยเฉพาะ กะเหรี่ยงและลัวะ บ่อยครั้งที่มีการพูดถึงในฐานะผู้คนในพื้นที่เดียวกันหรือถือว่าเป็นกลุ่มเครือญาติกัน (หน้า 81) ผู้คนที่มีสายเลือดครึ่ง ลัวะ และกะเหรี่ยง ยังคงนับถือศาสนา ความเชื่อแบบดั้งเดิมของลัวะและกะเหรี่ยงไว้ และมีความเชื่อว่าตนเป็นกลุ่มคนดั้งเดิมของล้านนา ความเชื่อเหล่านี้ถูกตอกย้ำโดยครูบาศรีวิชัย และครูบาขาวพี และได้ส่งทอดไปสู่กลุ่มกะเหรี่ยงในแม่ฉาง กะเหรี่ยงทุกคนพูดถึงประวัติศาสตร์ของลัวะป็นเหมือนประวัติศาสตร์ของกลุ่มตนเช่นกัน (หน้า 166) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสังคมภาคเหนืออันเกิดจากแนวคิดการเป็นศูนย์กลางของรัฐ (Centralized) การเข้ามามีบทบาทจัดการของรัฐจากภาคกลางส่งผลให้เกิดการเคลื่อนไหวของครูบาศีวิชัยและผู้คนที่นับถือครูบาทั้งชาวพื้นราบ และกลุ่มคนบนพื้นที่สูง (หน้า 174) การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากรัฐส่งผลกระทบต่อชุมชนแม่ฉาง อาจจะแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มคือ กลุ่มที่ 1 ไม่พอใจในโครงการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเพาะปลูกข้าว ซึ่งไม่สอดคล้องกับพื้นที่ของกะเหรี่ยง ทำให้เกิดการเพิกเฉยและไม่สนใจเจ้าหน้าที่รัฐในขณะที่รัฐเรียกพวกนี้ว่า พวกหัวหมอ ส่วนใหญ่กลุ่มคนกลุ่มนี้นับถือครูบาขาวพี (หน้า 110-111) กลุ่มที่ 2 มีความสัมพันธ์ที่ดีกับรัฐบาล ได้รับการสนับสนุนในการทำมาหากินจากรัฐมีสภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่ากลุ่มที่ 1 บางคนได้เข้าไปทำงานในองค์กรต่างๆ ของรัฐ กลุ่มนี้มีความสัมพันธ์เล็กน้อยกับครูบา และเป็นกลุ่มที่มีความสามารถในการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความสมัยใหม่ได้ดีกว่ากลุ่มอื่น กลุ่มที่ 3 ถือเป็นกลุ่มที่มีประชากรมากที่สุด มีลักษณะแตกแยก บางคนไม่สนใจติดต่อกับรัฐและพยายามหลีกเลี่ยง บางกลุ่มเข้าร่วมโครงการกับรัฐ กลุ่มนี้ไม่สนใจความเคลื่อนไหวของครูบา แต่ก็ไม่ถึงกับไม่พอใจ และเป็นกลุ่มที่มีการติดฝิ่นมากที่สุด สังเกตได้ว่ากลุ่มที่ไม่ยอมรับรัฐมากที่สุดเป็นกลุ่มที่ให้ความนับถือในครูบาและกลุ่มกะเหรี่ยงที่ไม่นับถือครูบามีความสัมพันธ์กับรัฐที่ดีกว่า (หน้า 112) |
|
Map/Illustration |
ภาพแสดงสภาพพื้นที่ Figure 2 (หน้า 74) ตารางข้อมูลกลุ่มชาติพันธ์บนพื้นที่สูงทางภาคเหนือของประเทศไทยในปี ค.ศ. 1986-1987 (หน้า 75) ตารางแสดงพื้นที่ทางภาคเหนือของไทย (หน้า 77) แผนที่ตั้งหมู่บ้านแม่ฉางและสภาพโดยรอบ (หน้า 84) |
|
|