|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายูไทยมุสลิม,ไทยพุทธ,ความแตกต่างทางวัฒนธรรม,ภาคใต้ |
Author |
Elise Tugby, Donald Tugby |
Title |
Inter-Cultural Mediation in Southern Thailand |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเนเชี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
21 |
Year |
2516 |
Source |
Robert HO, E.C.Chapman (eds), Studies of Contemporary Thailand, Research School Pacific Study ,Department of Human Geography ,Australian National University :Canberra |
Abstract |
ในภาคใต้ของประเทศไทยเป็นพื้นที่ที่มีความแตกต่างทางด้านวัฒนธรรมกันเป็นอย่างมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านศาสนา ได้ทำให้เกิดความไม่เข้าใจกันระหว่างวัฒนธรรมและเกิดการแบ่งกลุ่มออกจากกันอย่างชัดเจน โดยมีปัจจัยมาจากทั้งศาสนาและทางด้านหน่วยงานราชการ |
|
Focus |
ศึกษาลักษณะความสัมพันธ์ของกลุ่มคนไทย จีน และมลายู-มุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ |
|
Ethnic Group in the Focus |
คนไทยในภาคใต้ อันประกอบไปด้วยไทยมุสลิม, ไทยพุทธ, คนจีน (หน้า 273) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ผู้เขียนได้กล่าวย้อนไปถึงพุทธศตวรรษที่ 19 คือก่อนสมัยสุโขทัย ว่าพื้นที่ทางภาคใต้ถูกควบคุมโดยมะละกา ซึ่งควบคุมคาบสมุทรทั้งหมดไปจรดถึงตอนเหนือของจังหวัดปัตตานี ในพุทธศตวรรษที่ 20 เมื่อมะละกานั้นได้เป็นมหาอำนาจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตอนใต้ของประเทศไทยได้เปลี่ยนเป็นนับถืออิสลามทั้งหมด และเมื่อมีการเข้ามาของโปรตุเกสในตอนต้นพุทธศตวรรษที่ 16 อำนาจของสุลต่านได้ลดลงและจากจดหมายเหตุของ Tom Peres ได้กล่าวไว้ว่าปัตตานีนั้นตกอยู่ในอำนาจของสยาม อย่างไรก็ตาม อำนาจของสยามนั้นไม่มั่นคงนัก ตลอดสมัยอยุธยา เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชได้เข้ามาปกครองและได้ตกอยู่ใต้อำนาจของกระทรวงกลาโหม และเป็นช่วงเวลาที่ปัตตานีนั้นได้กลายเป็นเมืองท่าและเป็นสถานีการค้ากับยุโรป ภายหลังจากที่อยุธยาได้ล่มสลาย คนไทยได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานจากนี้ก็มีความผันแปรทางการเมืองหลายต่อหลายครั้ง มีการประท้วง จนในสมัยรัตนโกสินทร์ อังกฤษได้แบ่งดินแดนบางส่วนไป นอกจากนี้ ยังชี้ให้เห็นถึงการกระทบกระทั่งกันอีกหลายต่อหลายครั้งของพื้นทีในส่วนภาคใต้และภาครัฐของไทย (หน้า 273-276) |
|
Settlement Pattern |
ผู้เขียนได้แบ่งลักษณะการตั้งถิ่นฐานออกเป็น 10 ลักษณะดังนี้ - กลุ่มมุสลิมที่ประกอบอาชีพประมงนั้นตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณสันทราย - ไทยพุทธที่ประกอบอาชีพเผาถ่านนั้นสร้างกระท่อมอยู่ในบริเวณป่าชายเลน ใกล้กับปากแม่น้ำปัตตานี - ไทยมุสลิมบางกลุ่มจะทำนาเกลือในพื้นที่น้ำตื้นบริเวณปากแม่น้ำปัตตานี - ชาวเมืองปัตตานีจะตั้งถิ่นฐานอยู่ในพื้นที่ราบลุ่ม มีน้ำท่วมขังในบางฤดู พื้นที่ใช้สอยแบ่งออกเป็นหลายส่วน คือพื้นที่ของส่วนราชการ, ศูนย์กลางธุรกิจและสถานศึกษา, ย่านธุรกิจเก่า, พื้นที่รอบนอกจะเป็นที่อยู่อาศัยของชาวบ้านที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม - ไทยมุสลิมบางกลุ่มจะตั้งหมู่บ้านอยู่ริมฝั่งแม่น้ำปัตตานี ปลูกมะพร้าวและทำประมง - พื้นที่ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ ทั้งไทยพุทธและไทยมุสลิมนั้นใช้ปลูกข้าวนาดำ และบางส่วนปลูกมะพร้าว และแนวสันเขื่อนที่กั้นแม่น้ำก็ได้ใช้ปลูกผลไม้โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เงาะ - ในจังหวัดยะลา อ.ยะรังพื้นที่จะเป็นเนินเขา ไม่เหมาะที่ทำการเพาะปลูกข้าว เป็นที่น้ำท่วมไม่ถึง ดังนั้น ทั้งไทยพุทธและไทยมุสลิมจะใช้เพาะปลูกยางพารา อย่างไรก็ตามพื้นที่ที่พอจะใช้ปลูกข้าวได้ถูกใช้ประโยชน์ พื้นที่ลุ่มนั้นทำนาดำ พื้นที่ในส่วนที่เป็นเนินเขาก็ทำนาขั้นบันได ซึ่งการทำนานี้จะเริ่มทำเมื่อได้ปลูกต้นยางใหม่เริ่มปลูก - บริเวณสาขาของแม่น้ำปัตตานี มีการทำเหมืองดีบุกโดยคนจีนและคนไทยเชื้อสายจีน - ส่วนพื้นที่ภูเขา ต้นน้ำแม่น้ำปัตตานี มีการทำสวนยางเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ และทำให้เกิดหมู่บ้านเกษตรกรรมขึ้นหลายแห่ง - ใน อ.เบตง นั้นเป็นพื้นที่เกษตรกรรม มีการทำสวนยางขนาดเล็ก และมีการทำนาดำโดยไทยมุสลิม และไทยพุทธนั้นก็เก็บของป่า-ล่าสัตว์ (หน้า 278-279) |
|
Demography |
ประชากรราว 70 เปอร์เซนต์เป็นไทยมุสลิม ส่วนที่เหลือนั้นเป็นไทยพุทธ, คนจีนและคนอินเดีย โดยที่ไทยพุทธจำนวนมากนั้นมีบรรพบุรุษเป็นคนจีน (หน้า 276) ในจังหวัดปัตตานี มีไทยมุสลิม ร้อยละ 78 ส่วนจังหวัดยะลาประมาณร้อยละ 61 |
|
Economy |
ประชากรในภาคใต้มีลักษณะการประกอบอาชีพหลากหลายที่สำคัญคือการทำเหมืองแร่ดีบุก, การทำสวนยาง, ประมง, นาเกลือ, การทำนาข้าว, เพาะปลูกผลไม้ทั้งไทยพุทธและไทยมุสลิม (หน้า 278-279) สำหรับคนไทยเชื้อสายจีนมักประกอบธุรกิจหลาย ๆ ด้าน ทั้งเหมืองแร่ โรงงาน, ธนาคาร (หน้า 279) |
|
Social Organization |
ไทยมุสลิม - มีการแบ่งแยกสถานะและบทบาททางเพศกันอย่างชัดเจน ผู้ชายจะต้องรับผิดชอบต่อครอบครัว ภรรยาและลูกและมีอำนาจเด็ดขาด ลักษณะวัฒนธรรมจะเป็นแบบวัฒนธรรมมาเลย์ มีการประกอบพิธีกรรมทางศาสนากันอย่างเคร่งครัดในทุกวันศุกร์และมีความเข้มงวดในด้านวัฒนธรรมและประเพณี ผู้ชายจะมีบทบาทสูงในสังคม (หน้า 280-282) ไทยพุทธ เป็นลักษณะทางสังคมที่มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบได้ตลอด มีอิสระเสรีสูง มีการแบ่งชนชั้นกันตามฐานะ มีการใช้หลักพระพุทธศาสนาในการดำเนินชีวิต (หน้า 282-283) |
|
Political Organization |
เจ้าหน้าที่ของภาครัฐนั้นมีปัญหาด้านการติดต่อสื่อสาร เนื่องจากไม่สามารถพูดภาษามาเลย์ได้และกลุ่มมุสลิมเองก็ไม่สามารถพูดไทยได้เช่นกัน ผู้ใหญ่บ้านนั้นมีหน้าที่ที่จะให้ข้อมูลของทางภาครัฐแก่ชาวบ้าน (หน้า 285) |
|
Belief System |
คนไทยนับถือพุทธและคนมลายูนับถืออิสลาม (หน้า 273) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ไทยมุสลิมชายนั้น ที่สวมใส่หมวกสีขาวจะเรียกว่าฮัจญี เป็นสัญลักษณ์การเป็นผู้นำทางศาสนา (หน้า 281) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ไทยมุสลิมนั้นมีการรักษาเอกลักษณ์ของตัวเองอย่างชัดเจนทั้งลักษณะภายนอกคือการแต่งกาย และรูปแบบทางวัฒนธรรมที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือรับรูปแบบมาจากวัฒนธรรมภายนอก (หน้า 282) การเข้ามาปกครองท้องถิ่นของเจ้าหน้าที่รัฐนั้นได้ก่อให้เกิดภาวการณ์ใช้อำนาจราชการในทางที่ไม่ถูกต้องขึ้นและเกิดการกีดกันทางด้านเชื้อชาติศาสนา และขาดการสร้างความสัมพันธ์อันดีต่อกลุ่มไทยมุสลิม ในขณะที่ไทยพุทธและกลุ่มคนจีนกลับได้รับการยอมรับที่ดีกว่า (หน้า 283-284) สำหรับไทยพุทธนั้น ปัญหาส่วนใหญ่อยู่ที่การขาดการทำความเข้าใจวัฒนธรรมและประเพณีของกลุ่มไทยมุสลิมโดยที่มีการสร้างวัดทับมัสยิดสำคัญในปัตตานี (หน้า 285) ความสัมพันธ์ของคนไทยกับคนจีนนั้นก็เหมือนกันคนไทย-จีนในภูมิภาคอื่น ๆ ของประเทศคือเป็นความสัมพันธ์ในเชิงธุรกิจ ทั้งกับคนไทยพุทธและไทยมุสลิม (หน้า 286) |
|
Social Cultural and Identity Change |
มีการแต่งงานข้ามกลุ่มกันคือกลุ่มไทยพุทธและกลุ่มคนจีน ซึ่งได้ทำให้เกิดคนไทยเชื้อสายจีนขึ้น (หน้า 279) |
|
Map/Illustration |
แผนที่ จังหวัดทางภาคใต้ของประเทศไทย |
|
|