|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
มลายูมุสลิม , การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม, ยาลอ-ยะลา , จังหวัดยะลา |
Author |
นิเด๊าะ ฮิแตแล, สูวารียะ แปเฮาะฮิเล, มารีแย มามะ, ทรัยนุง มะเด็ง, สุวภัทร วัฒนกุล, อนุวัฒน์ ปารามะ, อับดุลเร๊าะมัน บาดา, จรัส โกสุมภวรรณ |
Title |
จากยาลอสู่ยะลา: การเปลี่ยนแปลงในรอบศตวรรษ |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเนเชี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
155 หน้า |
Year |
2549 |
Source |
โครงการวิจัยเชิงปฏิบัติการเพื่อศึกษาท้องถิ่นในสามจังหวัดภาคใต้ (ส่วนหนึ่งในโครงการแผนงานร่วมศึกษาหาความจริง เสริมสร้างสุขภาวะ กรณี 3 จังหวัดภาคใต้ คณะทำงานวาระทางสังคม คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) |
Abstract |
จากยาลอสู่ยะลา:การเปลี่ยนแปลงในรอบศตวรรษ เป็นการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น และการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม โดยศึกษาจากวิถีการดำรงชีวิตตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ทั้งการเลือกตั้งถิ่นฐานและการโยกย้าย การดำรงชีพและทรัพยากรในท้องถิ่น ความสัมพันธ์ของคนในชุมชน ประเพณี พิธีกรรม และการปรับตัวของคนในท้องถิ่น รวมถึงการศึกษาผลกระทบต่อผู้คนและเข้าถึงการพัฒนาของพื้นที่ อันสืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ การศึกษาใช้วิธีการเก็บข้อมูลด้วยการสอบถามผู้รู้และผู้อาวุโสในท้องถิ่น และรวบรวมเชิงวิเคราะห์ข้อมูลตามลำดับเวลา จากการศึกษาได้พบความสำคัญของเมืองยาลอในอดีต ที่ในฐานะที่ตั้งของชุมชนโบราณตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ เนื่องด้วยสภาพภูมิประเทศที่เหมาะสมและทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์ การโยกย้ายที่ตั้งของเมืองหลายครั้ง เป็นไปตามหลักวิวัฒนาการทางการคมนาคม การติดต่อค้าขายที่สะดวก การขยายตัวและการพัฒนารูปแบบของเมืองตามกาลสมัย พบการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมของชุมชนชาวยาลอในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงในระบบการปกครอง ประเพณีและพิธีกรรม อันเนื่องมาจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและสมัยนิยม การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเกษตรพอเพียงเป็นการเกษตรเชิงเดี่ยว เพราะได้รับการสนับสนุนจากโครงการพัฒนาเชิงเศรษฐกิจจากรัฐบาล การปรับเปลี่ยนอาชีพหลักจากการเกษตรมาเป็นแรงงานรับจ้างและค่าราชการ เนื่องด้วยการเข้ามาลงทุนของผู้ประกอบการและค่านิยมเรื่องการศึกษาที่สูงขึ้น อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงที่ก้าวไปสู่ความเป็นเมืองที่ทำให้เห็นภาพความแตกต่างของกลุ่มชนชั้นต่างๆได้ชัดเจนขึ้น ส่วนเรื่องของผลกระทบจากเหตุการณ์ความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เกิดขึ้นทั้งต่อผู้คนในท้องถิ่นและการพยายามเข้ามาแก้ไขสถานการณ์ของรัฐและเอกชน โดยเหตุผลสำคัญที่ชาวบ้านเชื่อว่าสร้างความรุนแรงให้เพิ่มมากขึ้นเช่นปัจจุบันนี้ คือ การตัดสินใจที่ผิดพลาดของเจ้าหน้าที่ ในการใช้อาวุธเข้าจัดการกับเหตุการณ์สามแยกบ้านเนียง ในวันที่ 28 เมษายน 2547 |
|
Focus |
เป็นการศึกษาเชิงประวัติศาสตร์ท้องถิ่นและการเปลี่ยนแปลงด้านสังคม – วัฒนธรรม ภายในบริเวณพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้โดยการศึกษาท้องถิ่นยาลอจะเริ่มศึกษาความเป็นมาตั้งแต่เป็นเมืองยาลอ เรื่อยมาจนถึงเป็นจังหวัดยะลาในปัจจุบัน มีการศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ทรัพยากร วิถีชีวิต ประเพณี วัฒนธรรม และการปรับตัวตามยุคสมัยจากการย้ายถิ่น การกลายเป็นเมือง และเหตุการณ์สำคัญต่างๆในท้องถิ่น ควบคู่ไปกับการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นด้วย รวมไปถึงการศึกษาวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปจากผลกระทบของเหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ |
|
Study Period (Data Collection) |
พบข้อมูลที่ระบุเวลาการสัมภาษณ์ ตั้งแต่สิงหาคม ปี2548 (เชิงอรรถ หน้า 21และ ภาคผนวกที่ 1, หน้า 144) |
|
History of the Group and Community |
ยะลา เป็นคำที่เพี้ยนมาจาก ยาลอ ที่แปลว่า แห ในภาษายาวี ซึ่งชื่อนี้ได้มาจากสภาพภูมิประเทศของบ้านยาลอ (ปัจจุบัน : ตำบลยะลา อำเภอเมือง) ที่มีภูเขารูปร่างคล้ายแหที่ชื่อว่าภูเขายาลอตั้งอยู่ ภายหลังมีผู้คนเข้ามาอาศัยมากขึ้นจึงได้ตั้งขึ้นเป็น เมืองยาลอ และเปลี่ยนมาใช้ชื่อเป็น เมืองยะลา ในปี พ.ศ. 2449 มาจนถึงปัจจุบัน จังหวัดยะลา ในบริเวณที่ราบลุ่มชายฝั่งของแม่น้ำปัตตานีได้มีข้อสันนิษฐานว่า เคยเป็นที่ตั้งของชุมชนโบราณสมัยก่อนประวัติศาสตร์ เนื่องจากบริเวณทุ่งกาโลมีซากกำแพงเมือง เนินดิน และซากศาสนสถานปรากฏให้เห็นอยู่ก่อนที่ทุ่งกาโลจะถูกเปลี่ยนไปเป็นสนามบินทั้งที่ยังไม่มีการสำรวจทางโบราณคดีในปี พ.ศ. 2500 ประกอบกับสภาพภูมิประเทศที่เหมาะแก่การตั้งหลักแหล่งชุมชนโบราณ เพราะตั้งอยู่บนเส้นทางข้ามคาบสมุทร (Trans Peninsula Route) เชื่อมระหว่างชายฝั่งทะเลด้านมหาสมุทรอินเดียทางตะวันตกกับชายฝั่งทะเลอ่าวไทยทางตะวันออก (หน้า 2)
เมืองยะลามีการโยกย้ายที่ตั้งหลายครั้ง เดิมที “ยาลอ”หรือ ยะลา ตั้งอยู่ที่ตำบลบ้านยะลาในราว พ.ศ. 2334เป็นศูนย์กลางด้านการปกครองและเศรษฐกิจ ในยุคสมัยนั้น ต่อมาได้ย้ายเมืองมาตั้งที่ตำบลบ้านท่าสาปหรือฝั่งซ้ายของแม่น้ำปัตตานีซึ่งไหลผ่านจังหวัดยะลา เนื่องจากที่ตั้งบริเวณเดิมอยู่ในที่ราบหุบเขาไกลจากแม่น้ำ และบ้านท่าสาปเป็นที่ตั้งที่เหมาะสมทั้งในการคมนาคมและติดต่อค้าขายเพราะตั้งอยู่ริมแม่น้ำ และในสมัยรัชกาลที่ 6ก็ได้มีการย้ายที่ตั้งจากบ้านท่าสาปไปที่บ้านสะเตงซึ่งอยู่ฝั่งขวาของแม่น้ำปัตตานี ซึ่งพบหลักฐานจากการเปลี่ยนชื่ออำเภอเมืองเป็นอำเภอสะเตง ใน ปี พ.ศ. 2459 โดยเทศบาลเมืองยะลาได้จัดตั้งขึ้นครั้งแรกที่หมู่บ้านสะเตง และได้ย้ายที่ทำการอำเภอไปตั้งที่บ้านนิบง ใน พ.ศ. 2482 จนเมืองยะลาได้ถูกย้ายมาตั้งที่นิบงอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2485เพราะบ้านนิบงมีบริเวณกว้าง สามารถขยายเมืองออกไปได้ทุกทิศทาง อีกทั้งอยู่ใกล้ทางรถไฟ มีถนนหนทางสะดวกกว่าที่ตั้งเดิมมาก อีกทั้งพื้นที่เดิมยังอยู่ติดแม่น้ำซึ่งจะถูกน้ำเซาะตลิ่งอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย (หน้า 7-13) |
|
Settlement Pattern |
ในสมัยก่อนชาวบ้านยาลอมักปลูกบ้านเรือนไว้ใกล้แม่น้ำหรือคลอง และมีบางส่วนตั้งบ้านเรือนใกล้เชิงเขา เนื่องจากชาวบ้านยังคงสามารถพึ่งพิงธรรมชาติที่ยังคงอุดมสมบูรณ์อยู่ได้ โดยตัวบ้านเองก็จะนำวัสดุจากธรรมชาติมาใช้สร้างด้วย เช่น เสาและพื้นบ้านที่ทำจากไม้ ฝาบ้านจากไม้ไผ่สาน หลังคาจากใบสิเหรงเย็บต่อกัน แต่หากเป็นบ้านของผู้มีฐานะจะเลือกใช้กระเบื้องดินเผาเป็นวัสดุสำคัญแทน การตั้งถิ่นฐานจะเป็นแบบกระจัดกระจายเป็นกลุ่มๆ กลุ่มละ 2-3 ครัวเรือน และจะอยู่รวมกันเป็นเครือญาติ (หน้า 55) ภายหลังมีถนนตัดผ่านมาพร้อมกับสาธารณูปโภคต่างๆ ทำให้ชาวบ้านเริ่มย้ายมาตั้งบ้านเรือนใกล้ถนนมากขึ้น ทำให้ราคาของที่ดินเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และเกิดการแย่งชิงที่ดินกันขึ้น เนื่องจากใช้เพียงต้นไม้ใหญ่หรือไม้ปักเป็นขอบเขตไว้เท่านั้น ไม่มีโฉนดที่ดินเหมือนกับปัจจุบัน แต่ก็ยังมีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งที่ยังคงใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติ เพราะคุ้นเคยกับวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมและมีความผูกพันกับพื้นที่บริเวณที่ตนเคยอาศัยอยู่ตั้งแต่ยังเด็ก |
|
Demography |
ประชากรในท้องถิ่นยาลอ เป็นชาวมุสลิมร้อยละ 90 และเป็นชาวไทยพุทธกับจีน ร้อยละ 10 (หน้า 127)
ประชากรของชาวมุสลิมมักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากไม่มีการควบคุมหรือวางแผนครอบครัว เพราะขัดต่อหลักการของศาสนา ประกอบกับส่วนใหญ่นิยมแต่งงานภายในเครือญาติเดียวกัน หรือหมู่บ้านใกล้เคียงกัน เนื่องจากความไม่สะดวกในการคมนาคมในสมัยก่อน จึงทำการกระจายของประชากรภายในหมู่บ้านเป็นไปอย่างรวดเร็ว (หน้า 55) |
|
Economy |
บ้านท่าสาปแห่งเมืองยะลานับเป็นย่านการค้าสำคัญในสมัยรัชกาลที่5 ในช่วงปี พ.ศ. 2499 – พ.ศ. 2432 มีการเก็บภาษีขาเข้า ณ บ้านท่าสาปในอัตราร้อยชักสาม สินค้าที่เก็บภาษีเหล่านั้น ได้แก่ ไม้ขีดไฟ ผ้าขาว ผ้าลาย ผ้าดำ ธูปจีน เกลือ ด้ายสีต่างๆ(ดำ ขาว เหลือง) น้ำมัน มะพร้าว ยาแดง กุ้งแห้ง น้ำตาลกรวด น้ำตาลโตนด กระทะเหล็ก ปลาเค็ม และข้าว (หน้า 5)
ชาวยาลอมีความผูกพันกับอาชีพการเกษตรมาเป็นเวลายาวนาน เนื่องจากเป็นท้องถิ่นที่มีความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรอย่างมาก อาชีพดั้งเดิมและเป็นอาชีพหลักของชาวบ้าน คือ กรีดยาง และเมื่อเสร็จจากงานกรีดยางช่วงเช้า ก็จะไปหาปลาตามลำห้วยหรือคลอง มีการปลูกพืชผักสวนครัวไว้รอบบริเวณบ้าน เลี้ยงเป็ดไก่ไว้กินเศษอาหาร และเลี้ยงวัวควายไว้กินหญ้ารอบๆบ้านและใช้งาน การทำนาจะมีปีละ 1 ครั้ง เพื่อเก็บไว้กินเอง เมื่อหมดฤดูฝนชาวบ้านจะหาพื้นที่กว้างแบ่งเขตกันปลูกแตงโมไว้ใกล้ๆกัน เพื่อจะได้พบปะพูดคุยกันและเป็นหูเป็นตาให้กันและกัน จึงอาจนับได้ว่าการเกษตรของชาวยาลอในสมัยก่อนนั้นเป็นรูปแบบของการเกษตรแบบพอเพียง (หน้า 112) นอกเหนือจากสวนยางก็มีสวนผลไม้ผสมผสานทั้งสมุนไพร พืชผัก และผลไม้ ที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน เรียกว่า สวน “ดูซง” ซึ่งต้นไม้แต่ละต้นจะมีลำต้นขนาดใหญ่อายุนับร้อยปี โดยเฉพาะทุเรียน แต่เมื่อการเกษตรเริ่มพัฒนาขึ้น สวนดูซงก็เริ่มหมดไปเรื่อยๆ โดยชาวบ้านจะเปลี่ยนมาปลูกพืชเชิงเดี่ยวแทน เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2525 เริ่มนิยมปลูกเงาะพันธุ์ตาวีและพันธุ์เจ๊ะมง ต่อมาในปี พ.ศ. 2528 หันมาปลูกทุรียนพันธุ์หมอนทอง ชะนี และก้านยาวแทน ในปี พ.ศ. 2530 ก็มีการนำเงาะพันธุ์เงาะโรงเรียนมาปลูก และในปี พ.ศ. 2534 ได้หันมาปลูกลองกองกันมากเพราะได้ราคาดี แต่ก็ต้องประสบกับเหตุการณ์ลองกองล้นตลาดมาจนถึงปัจจุบัน และในปี พ.ศ. 2540 ได้มีสละพันธุ์จากอินโดนีเซียเข้ามา แต่เนื่องด้วยเทคนิคการปลูกที่ต้องอาศัยความชำนาญสูงเพื่อให้ได้ผลผลิตจึงไม่เป็นที่นิยมปลูกเช่นกัน ซึ่งตลอดระยะเวลาของการปลูกพืชเชิงเดี่ยวเช่นนี้ ชาวบ้านจำเป็นต้องติดตามกระแสของผลผลิตใหม่ๆและราคาที่ไม่เสถียรอยู่ตลอดเวลา (หน้า 112-113)
นอกจากท้องถิ่นยาลอจะเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การทำนา ปลูกพืชผักสวนครัว และหาปลา ล่าสัตว์ป่าแล้ว พื้นที่นี้ยังเป็นศูนย์กลางการค้าขายด้วย โดยเฉพาะในตำบลท่าสาปที่มีการสร้างท่าแพขนาดใหญ่สำหรับแลกเปลี่ยนสินค้าที่มาจากฝั่งปัตตานี และระบายไปยังตัวเมืองยะลาและชุมชนใกล้เคียง เช่น หน้าถ้ำยาลอ ยะหา เป็นต้น รวมถึงชาวบ้านฝั่งบันนังสตาและเบตง ที่มาจอดแพเพื่อจอดพัก ระบายสินค้า และล่องไปสู่ชายฝั่งปัตตานีต่อไป และมีตลาดนัดประจำสัปดาห์ คือ ตลาดนัดวันศุกร์ ซึ่งมีผู้คนเดินทางไปมาค้าขายและชมการละเล่นต่างๆบนท่าแพนี้อย่างคึกคัก(หน้า 35-36) ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนเส้นทางคมนาคมมาเป็นทางบก เริ่มมีการพัฒนาเป็นเมืองมากขึ้น ชุมชนตำบลบ้านท่าสาปเริ่มกลายเป็นเขตอุสาหกรรม มีโรงงานต่างๆเข้ามาตั้งในพื้นที่ เป็นการสร้างอาชีพใหม่ให้กับคนในพื้นที่และลดปัญหาการว่างงาน (หน้า 36) รวมถึงการย้ายที่ตั้งเมืองยะลามาอยู่ในเขตที่มีสถานีรถไฟตัดผ่าน เป็นย่านธุรกิจ มีตลาดขนาดใหญ่เพื่อพักและระบายสินค้าไปยังพื้นที่ประเทศเพื่อนบ้าน ภายหลังจากเมืองยะลาเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจมาก จนกลายเป็นเทศบาลนครยะลา ทำให้มีแหล่งธุรกิจต่างๆเกิดเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก เช่น โรงแรม บ้านเช่า บ้านจัดสรร และร้านค้าต่างๆ รวมถึงห้างแห่งแรกในเมืองยะลา “โคลีเซียมซีนีเพล็กซ์” ด้วย แต่เนื่องจากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ธุรกิจบันเทิงต่างๆก็เริ่มซบเซาลงไป ส่วนคนในเมืองยะลาต่างหันไปเที่ยวตามร้านน้ำชาหรือร้านกาแฟแทน(หน้า 42)
แหล่งทรัพยากรสำคัญของยาลอ
1) ภูเขาที่เป็นแหล่งทรัพยากรสำคัญของชุมชน ได้แก่ ภูเขาหน้าถ้ำ และ ภูเขากำปั่น ภูเขาหน้าถ้ำ เป็นภูเขาหินปูน ตั้งอยู่บริเวณบ้านหน้าถ้ำและบ้านบันนังลูวา เป็นแหล่งทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ทั้งพืชพรรณและสัตว์ป่า เหตุที่ที่แห่งนี้ยังมีทรัพยากรเหลืออยู่มาก เพราะภูเขาแห่งนี้เป็นที่ตั้งของถ้ำคูหาภิมุข มีพระนอนซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของชาวบ้านอย่างมาก ส่วนภูเขากำปั่น เป็นภูเขาหินปูนเช่นกัน ตั้งอยู่บริเวณบ้านหน้าถ้ำเหนือ แต่เนื่องด้วยไม่มีโบราณสถานสำคัญที่นี่ รัฐจึงได้ให้สัมปทานแก่เอกชนขุดเจาะอุโมงค์สำหรับทรัพยากรหินอ่อนไปใช้ ส่วนชาวบ้านจะเก็บมูลค้างคาวจากถ้ำมาทำเป็นปุ๋ยมูลค้างคาวเพื่อการเกษตรและเป็นอาชีพเสริม (หน้า 74-75)
2) แม่น้ำที่เป็นแหล่งทรัพยากรสำคัญของชุมชน คือ แม่น้ำปัตตานี เป็นแหล่งน้ำธรรมชาติที่สำคัญของคนในท้องถิ่น ในอดีตใช้เป็นเส้นทางคมนาคมลำเลียงสินค้าจากบันนังสตาเบตง มาขึ้นที่ท่าสาป หรือ ส่งสินค้าออกไปยังปัตตานีและหนองจิก นอกจากเพื่อการค้าและการคมนาคมแล้ว แม่น้ำปัตตานีก็ยังมีความผูกพันต่อวิถีชีวิตชาวบ้านอย่างแน่นแฟ้น คือ การหาปลาด้วยการดักยอใหญ่ การดักแห และการทำโพงพาง(จาเนะ) เพื่อจับปลาในฤดูน้ำขึ้นหรือฤดูฝน รวมถึงมีการปลูกพืชไร่ริมน้ำ โดยจะปลูกพืชล้มลุกมากกว่าไม้ยืนต้น เพราะเมื่อน้ำขึ้นไม้ยืนต้นจะตายหมด (หน้า 75-76) |
|
Social Organization |
ชาวยาลอส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม คิดเป็น ร้อยละ 90 ชาวไทยพุทธและชาวไทยจีน คิดเป็นร้อยละ 10 ถึงแม้จะมีศาสนา ความคิดความเชื่อและวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน แต่ชาวบ้านในท้องถิ่นต่างก็มีความผูกพันกันทางสังคมและจิตใจเป็นอย่างดี เห็นได้จากการมาร่วมงานประเพณีของชาวบ้าน เช่น การร่วมกันลงแขกในการทำนา ชาวมุสลิมมาร่วมงานประเพณีชิงเปรตที่เป็นของชาวพุทธ ตลอดจนงานจัดเลี้ยงต่างๆของชาวมุสลิม ทั้งงานแต่งงาน เข้าสุนัต และวันรายอ ชาวพุทธและชาวจีนก็มักจะได้เชิญมาร่วมสังสรรค์เสมอ ทำให้กลุ่มคนทั้งสามมีความสนิทสนมใกล้ชิด และไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ ส่วนคนจีนมีบทบาทความสัมพันธ์ในด้านการค้าขายเป็นสำคัญ โดยเฉพาะคนรับซื้อยางคนแรกที่เป็นคนจีนและการริเริ่มเปิดตลาดนัดสามแยกบ้านเนียง ที่สร้างความสัมพันธ์ให้กับกลุ่มคนที่หลากหลายมีมากขึ้นกว่าเดิม (หน้า 80) โดยเขตพื้นที่บริเวณบ้านเนียงเป็นพื้นที่ที่พบความสัมพันธ์ระหว่างชาวพุทธเชื้อสายจีนกับชาวมุสลิมมากที่สุด เนื่องจากเป็นบริเวณตลาดนัดบ้านเนียงเป็นจุดนัดพบปะสังสรรค์ มีร้านค้าต่างๆของชาวพุทธเชื้อสายจีนเปิดขายให้กับชาวมุสลิมเป็นจำนวนมาก และเป็นศูนย์กลางการคมนาคมของชาวบ้านในพื้นที่ คนในชุมชนท้องถิ่นยาลอนี้จะถูกเชื่อมโยงไว้ด้วยวิถีชีวิตแบบการเกษตร เช่น การจับสัตว์น้ำในคลองสายเดียวกัน การดักสัตว์ในไร่สวนของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งแล้วนำมาแบ่งกัน เพื่อใช้ประกอบอาหารในงานบุญประเพณีต่างๆ เป็นต้น อีกทั้งความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในงานบุญประเพณีระหว่างชาวพุทธเชื้อสายจีนกับชาวมุสลิมที่มาโดยตลอด (หน้า 109-110)
ทีมวิจัยจำแนกกลุ่มคนในท้องถิ่นยาลอ ออกเป็น 3กลุ่ม ดังนี้
1. กลุ่มคนจน เป็นกลุ่มคนที่มีค่อนข้างมากในท้องถิ่นยาลอ ส่วนใหญ่ทำงานรับจ้างกรีดยาง ทำไร่ทำนา หาของป่า หรือเป็นกรรมกรตามตัวเมือง ไม่ค่อยมีบทบาทในชุมชน ครอบครัวของกลุ่มคนชนชั้นนี้มีบุตรจำนวนมาก และไม่ค่อยได้รับการศึกษามากนัก เพราะไม่มีรายได้เพียงพอและไม่มีรายได้ที่แน่นอน ที่อยู่อาศัยเป็นที่ดินของญาติพี่น้อง โดยคนกลุ่มนี้นิยมแต่งงานกันในเครือญาติกันเอง จึงเป็นอีกสาเหตุที่ไม่มีการขยับขยายของรายได้และช่องทางทำให้มากขึ้นไปจากเดิม อีกทั้งคนกลุ่มนี้ยังชอบเล่นหวยมากที่สุดด้วย แต่อย่างไรก็ตามคนกลุ่มนี้ก็มักจะได้รับความช่วยเหลือต่างๆ จากเพื่อนบ้านอยู่เสมอ ปัญหาสำคัญของกลุ่มคนกลุ่มนี้ คือ ปัญหายาเสพติด เนื่องจากวัยรุ่นที่ขาดการศึกษาและมีเวลาว่างมาก ทำให้ถูกชักจูงได้ง่าย (หน้า 122-124)
2.กลุ่มคนชั้นกลาง เป็นกลุ่มคนที่มีมากพอๆกับกลุ่มคนจน แต่คนกลุ่มนี้จะมีฐานะทางเศรษฐกิจที่ดี เพราะมีมรดกที่ได้รับสืบทอดจากบรรพบุรุษ ทำให้มีที่ดินที่ใช้สำหรับทำกินและสร้างฐานะขึ้นมาได้ ถึงแม้ว่าคนกลุ่มนี้จะไม่ได้มีฐานะดีมากมาแต่แรก แต่การได้สัมผัสกับโลกภายนอกที่มากกว่า ทำให้พวกเขามีโอกาสในการหาช่องทางสร้างอาชีพใหม่ๆได้ดี เช่น การค้าขาย การเป็นนายหน้า หรือการพาคนในท้องถิ่นไปทำฮัจน์(เมกะห์) หรือ โตะแซะห์ ที่ประเทศซาอุดิอาระเบีย และในคนกลุ่มนี้มีบางส่วนที่เป็นลูกหลานเจ้าเมืองยาลอเก่าด้วย เป็นกลุ่มคนที่มีบทบาทในสังคมเป็นส่วนใหญ่ ทั้งบทบาททางการเมืองและศาสนา ทำให้เป็นคนที่มีการพัฒนาตนเองอยู่เสมอ และสามารถปรับตัวเข้ากับโลกได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งพวกเขาจะไม่มีการแต่งงานกันเองในเครือญาติ เพราะมีการออกไปพบปะและเรียนรู้ในต่างถิ่นเสมอ (หน้า 124-125)
3.กลุ่มชนชั้นสูง เป็นกลุ่มคนที่มีน้อยมากในท้องถิ่น อาชีพส่วนใหญ่ คือ รับราชการ มักคบหาอยู่กับชนชั้นเดียวกัน มีการแข่งขันทางวัตถุกันค่อนข้างสูง ถึงแม้ว่าภายนอกจะดูหรูหราเพื่อให้ได้รับการยอมรับจากสังคม แต่ความจริงเป็นหนี้สินมากมาย เช่น เรื่องการแข่งขันค่าสินสอดของลูกสาวในชนชั้นสูงที่ถือเป็นหน้าเป็นตาต่อตระกูลสูงมากที่สุด จึงทำให้เกิดช่องว่างในสังคม เพราะคนมีฐานะมักจะแต่งงานด้วยกันเอง ทำให้ร่ำรวยมากขึ้นไปอีก แต่เนื่องด้วยสังคมมุสลิมมีหลักการแบ่งปันเป็นเรื่องสำคัญทางศาสนา มีการจ่ายซากาต การแบ่งทรัพย์สินให้คนจน ช่องว่างในสังคมจึงลดลงไปได้บ้าง (หน้า 126-127) |
|
Political Organization |
พื้นที่หนึ่งของยะลาเคยเป็นหนึ่งในเมืองของปัตตานี โดยเมืองปัตตานีหรือปาตานีในอดีตเป็นเมืองท่าที่สำคัญของคาบสมุทรมลายู เป็นศูนย์กลางการค้าขายทั้งภายในและภายนอก ในเวลาต่อมาปัตตานีต้องเสียเมืองให้แก่กรุงเทพฯในสมัยสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ จึงถูกเปลี่ยนจากที่เคยอยู่ในความดูแลของเมืองนครศรีธรรมราชมาอยู่ในความดูแลของเมืองสงขลา และแบ่งเมืองปัตตานีออกเป็น 7 เมือง ได้แก่ ปัตตานี สายบุรี ยะหริ่ง ยาลอ(ยะลา) รามัน ระแงะ และหนองจิก (หน้า 4) ในก่อน พ.ศ. 2360 มีหลักฐานว่า ต่วนยะลา หรือ พระยายะลา เป็นเจ้าเมืองปกครองเมืองยะลา และหลังจากที่ต่วนยะลาถึงแก่กรรม ต่วนบางกอกซึ่งเป็นบุตรชายของต่วนยะลาได้มารับช่วงเป็นพระยายะลาต่อไปในสมัยสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ ต่อมาพระยายะลา(ต่วนบางกอก) ได้คิดเป็นกบฏร่วมกับพระยาปัตตานี พระยาหนองจิก และพระยาระแงะ เข้าตีเอาเมืองยะหริ่ง และหวังจะตีเมืองจะนะและเมืองเทพา ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระยาสงขลาจึงมีคำสั่งให้พระยาเพชรบุรีเป็นแม่ทัพนำทัพไปช่วยเมืองจะนะและเมืองเทพา ภายหลังผู้นำกบฏทั้งหมดถูกจับ และนายเมือง บุตรของพระยายะหริ่งได้ขึ้นเป็นพระยายะลาแทน รับพระราชทานนามบรรดาศักดิ์ว่า พระยาณรงค์ฤทธิ์ศรีปะเทศวังษา ต่อมาในสมัยพระจอมเกล้าฯ ได้แต่งตั้ง ต่วนบาปูเต๊ะ ขึ้นเป็นพระยายะลา และในสมัยสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ได้แต่งตั้งให้ ต่วนกะจิ บุตรของต่วนบาปูเต๊ะ ขึ้นมารับช่วงต่อไป (หน้า 4-5) โดยในรัชสมัยนี้ มีการเปลี่ยนแปลงเป็นระบบเทศาภิบาลใน 7 หัวเมือง (ร.ศ.120) เริ่มแบ่งการปกครองออกเป็น อำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2444 โดยมีพระยาศักดิ์เสนี (หนา บุนนาค) เป็นข้าหลวงใหญ่ประจำบริเวณภายใต้การดูแลของข้าหลวงเทศาภิบาล ณ มณฑลนครศรีธรรมราช ในขณะนั้น เมืองยะลา ถูกแบ่งออกเป็น 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอกลางเมือง อำเภอยะหา และอำเภอกะลาพอ แต่ต่อมาในปี พ.ศ. 2450 เมืองยะลาถูกแบ่งออกเป็นเพียง 2 อำเภอ คือ อำเภอเมืองและอำเภอยะหา และในวันที่ 27 กรกฎาคม 2477 ได้ประกาศตั้งหัวเมืองทั้ง 7 ขึ้นเป็นมณฑลปัตตานี มีพระยาศักดิ์เสนีเป็นข้าหลวงเทศาภิบาล และยุบเมืองเล็กรวมกันเหลือ 4 เมือง โดยเมืองยะลาถูกรวมเข้ากับเมืองรามัน และให้ชื่อว่า เมืองยะลาต่อมาในปี พ.ศ. 2475 ได้ยกเลิกมณฑลปัตตานีลง เปลี่ยนเป็นการบริหารราชการแผ่นดินส่วนภูมิภาค ใช้การปกครองตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2476 แบ่งการปกครองเป็น จังหวัด อำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน ในที่สุดมณฑลปัตตานีได้ถูกแบ่งออกเป็น 3 จังหวัด คือ ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส (หน้า 6-7) ซึ่งการเปลี่ยนแปลงระบบการแบ่งการปกครองมาเป็นอำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน ของเมืองยะลา ส่งผลต่อการแบ่งพื้นที่ทางวัฒนธรรมด้วยสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ จากที่เคยใช้แม่น้ำ ภูเขา เป็นสิ่งแบ่งเขตพื้นที่ กลายเป็นการแบ่งพื้นที่ด้วยจำนวนครัวเรือนและมีผู้นำในรูปแบบใหม่เกิดขึ้นมา คือกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน จากเดิมที่ผู้นำชุมชนจะถูกแต่งตั้งขึ้นมาด้วยความตกลงของคนในท้องถิ่นกันเอง โดยพิจารณาจากผู้มีบทบาทสำคัญ เช่น ผู้นำทางศาสนาหรือผู้อาวุโส เป็นต้น แตกต่างจากปัจจุบันที่ต้องมีการแข่งขันกันอย่างสูงสำหรับตำแหน่งผู้นำชุมชน เนื่องด้วยผลประโยชน์ต่างๆที่จะได้รับ ทำให้ระบบเครือญาติของชุมชนเหินห่างไปและเกิดความขัดแย้งภายในชุมชนมากขึ้น ความรู้สึกต่อผู้นำชุมชนที่เคยเกรงใจและให้ความเคารพนับถือ จึงแปรเปลี่ยนเป็นเพียงความเกรงกลัวต่ออำนาจเท่านั้น (หน้า 119)
การจัดตั้ง อบต. ในปี พ.ศ.2538 ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายด้าน มีการบุกเบิกทางถนนในชุมชนจำนวนมาก ผู้ที่ได้รับประโยชน์จากการสร้างถนนมากที่สุด คือ คนทำสวนยาง เพราะได้รับความสะดวกสบายจากทางถนนที่เข้าไปถึงสวนยางตามที่ต่างๆแม้จะอยู่บนควนหรือเขาก็ตาม ในแต่ละปี อบต. จะดำเนินโครงการต่างๆ ทั้งงานที่เป็นประโยชน์ต่อชาวบ้านและสร้างงานให้กับคนในท้องถิ่น และงานที่เป็นประโยชน์ต่อผู้จัดทำโครงการ การดำเนินงานของ อบต. ในช่วงแรก ยังไม่มีการแข่งขันทางการเมืองในระดับท้องถิ่นที่สูงมากนัก แต่ภายหลังเกิดการแบ่งพรรคพวก เกิดการแตกหักภายในครอบครัว ทำให้ระบบเครือญาติที่เกื้อกูลและสามัคคีแบบเดิมหายไป เพราะมีผลประโยชน์และค่าตอบแทนเข้ามาแทนที่ (หน้า 52)
หากพูดถึงบทบาทสตรีในท้องถิ่นยาลอ นับแต่อดีตมาสังคมไม่ยอมรับผู้หญิงให้มีบทบาทในการทำงานนอกบ้าน การเมือง และการปกครองมากนัก เพราะตามหลักวัฒนธรรมของชาวมุสลิมไม่เอื้อให้ผู้หญิงได้มีบทบาทมากเท่าผู้ชาย แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผู้หญิงได้รับการศึกษาที่สูงขึ้น ได้เปลี่ยนบทบาททางสังคมใหม่ สามารถแสดงความเห็นและทำงานหาเลี้ยงครอบครัวได้เช่นเดียวกับผู้ชาย โดยในปี พ.ศ. 2540 สตรีได้เริ่มขึ้นมามีบทบาทในท้องถิ่นมากขึ้น นอกจากสามารถออกไปทำงานนอกบ้านได้ตามปกติแล้ว ยังมีการจัดตั้งกลุ่มต่างๆ โดยมีผู้หญิงขึ้นมาเป็นประธานกลุ่ม แต่ยังคงเป็นการยอมรับเฉพาะด้านการพัฒนาท้องถิ่นเท่านั้น ยังไม่ได้รับการยอมรับให้ขึ้นมาเป็นผู้นำในด้านการปกครอง (หน้า 52-53)
ความเปลี่ยนแปลงของชีวิต อันเป็นผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ เป็นหนึ่งในประเด็นการศึกษาส่วนย่อยของเรื่องการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวของชาวบ้านในพื้นที่ยาลอ พบว่า พื้นที่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้มีปัญหาสะสมยาวนาน ไม่ได้รับการแก้ไขและพัฒนาในหลายด้านทั้งจากหน่วยงานของรัฐและเอกชน ทั้งปัญหายาเสพติด ปัญหาความยากจน ปัญหาการศึกษา และปัญหาการว่างงาน แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ขึ้น หน่วยงานต่างๆจึงพยายามเข้ามาแก้ไขปัญหามากขึ้น ถึงจะไม่ทำให้สถานการณ์ทั้งหมดคลี่คลายไป แต่พื้นที่นี้ก็ได้รับโอกาสในการเข้าถึงการพัฒนามากขึ้น โดยโครงการต่างๆของรัฐได้นำงานเข้ามาถึงพื้นที่มากขึ้น สามารถแก้ปัญหาการว่างงานได้เป็นอย่างดี แต่อย่างไรก็ตามสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นรายวัน ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของชาวบ้านอย่างมากโดยเฉพาะความสูญเสียต่อชีวิตของผู้คนในท้องถิ่น สร้างความหวาดกลัวแก่ทุกคนเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจอย่างสำคัญ ร้านค้าและบ้านเรือนต่างๆปิดเร็วและเงียบเหงาในยามค่ำคืน รวมถึงการศึกษาที่ต้องชะงักลงบ่อยๆ เนื่องจากต้องมีการปิดการเรียนการสอนของโรงเรียนในพื้นที่ที่มีความเสี่ยง ถึงแม้ว่าความหวาดกลัวที่ฝังใจจะมีผลต่อวิถีชีวิตชาวบ้านเพียงใด แต่ความจำเป็นในการทำมาหากินเพื่อเลี้ยงชีพตนเองและครอบครัวทำให้ต้องพยายามปลอบใจตนเองด้วยความดีที่ตนเองมี และหวังว่าจะไม่มีใครมาทำร้ายเช่นกัน ความเห็นของชาวบ้านที่มีต่อสถานการณ์ดังกล่าว คือ การตัดสินใจใช้อาวุธกับกลุ่มผู้หลงผิดที่ก่อเหตุ ณ ชุมชนบ้านเนียง ในวันที่ 28 เมษายน 2547 และในหลายๆพื้นที่ เป็นสาเหตุสำคัญที่สร้างความรู้สึกสูญเสียและทำให้มีเหตุการณ์ความรุนแรงบานปลายมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งส่วนสำคัญในการสร้างเกราะป้องกัน คือ ครอบครัว ที่ต้องคอยสอดส่องดูแลลูกหลานของตนไม่ให้หลงผิดไปเชื่อการชักจูงจากกลุ่มผู้ไม่หวังดีต่างๆ ส่วนความขัดแย้งทางศาสนานั้น ชาวบ้านได้ทราบกันดีอยู่แล้วว่าไม่เป็นเรื่องจริง เพราะชาวพุทธ มุสลิม และจีน ได้อยู่ร่วมกันและพึ่งพาอาศัยกันมาเป็นเวลานานอย่างเรียบง่ายและสงบสุข (หน้า 131-135)
เหตุการณ์ปะทะกันระหว่างเยาวชนกับเจ้าหน้าที่บริเวณสามแยกบ้านเนียงในปี พ.ศ.2547 เป็นหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อทัศนคติของผู้คนในท้องถิ่นที่มีต่อเจ้าหน้าที่ว่าเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ โดยในวันที่ 28 เมษายน 2547เวลาเช้าตรู่ บริเวณสามแยกบ้านเนียง ชาวบ้านพบเยาวชน 10 คน นอนเสียชีวิตบนถนน โดยไม่มีใครทราบสาเหตุและข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในวันนี้ แต่ด้วยภาพที่เห็นเยาวชนบางคนเสียชีวิตด้วยมือเปล่าและบางครั้งพกเพียงมีดสั้น แต่กลับถูกเจ้าหน้าที่ใช้อาวุธเข้าจัดการจนเสียชีวิตทั้งหมด และไม่มีการจับเป็นแม้แต่คนเดียว ทำให้ชาวบ้านเกิดความคลางแคลงใจต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา (หน้า 53) |
|
Belief System |
การทำข้าวไร่ของชาวบ้านท้องถิ่นยาลอในสมัยก่อนต้องดูฤกษ์ยามตั้งแต่ขั้นตอนแรกคือ การถางป่า โดยวันที่ถือเป็นวันเปิดที่มีสิริมงคล ได้แก่ วันจันทร์ วันพฤหัสบดี วันศุกร์ และวันอาทิตย์ ต่อมาคือ ฤกษ์วันหว่านเมล็ดพันธุ์ ควรเป็นวันที่ 1หรือ 2 ของเดือนอิสลาม (ฮ.ศ.) ถ้าตรงกับสี่วันเปิดที่เป็นสิริมงคลจะดียิ่งขึ้น (หน้า 59) จนถึงขั้นตอนการเก็บเกี่ยวที่ต้องมีการดูฤกษ์ยามและมีพิธีกรรมสำคัญ รวมถึงการคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ดีไว้สำหรับข้าวไร่ปีหน้า หลังจากนั้นก็จะจัดงานเลี้ยงข้าวใหม่เหมือนกับการทำนาปีด้วย (หน้า 60)
ประเพณีที่สำคัญในรอบปีของชาวไทยมุสลิมท้องถิ่นยาลอ(หน้า 80-84)
- เดือนมูฮัรรัมตรงกับเดือนกุมภาพันธ์ มีการทำขนมอาซูรอในวันที่ 10 ของเดือน ซึ่งเป็นการช่วยกันทำของชาวบ้านในท้องถิ่น มีจุดประสงค์เพื่อให้เยาวชนได้ระลึกถึงการเอื้อเฟื้อต่อผู้อื่นและการไม่ดูถูกอาหาร
- เดือนซอฟาร ตรงกับเดือนมีนาคม ชาวมุสลิมนิยมทำน้ำซอฟารหรือน้ำศักดิ์สิทธิ์ เพื่อให้ผู้ที่ดื่มน้ำนี้พ้นจากสิ่งอัปมงคล
- เดือนรอบีอุลอาวัลตรงกับเดือนมิถุนายนเป็นเดือนที่นบีมูฮัมหมัด ศาสดาของศาสนาอิสลามประสูติตรงกับวันจันทร์ที่ 12 ซึ่งถือเป็นวันสำคัญของชาวมุสลิม เพื่อระลึกถึงนบีมูฮัมหมัด มีการสวดดุอาร์ และอ่านอัลกุรอ่านอุทิศให้แด่นบีมูฮัมหมัด
- เดือนราญับ ตรงกับเดือนสิงหาคม เป็นเดือนสำคัญที่นบีมูฮัมหมัดขึ้นไปพบกับองค์อัลลอฮฺ ซึ่งก็คือการละหมาดวันละ 5 ครั้ง ที่ทำมาจนถึงทุกวันนี้ และในเดือนราญับนี้ชาวมุสลิมทุกคนสามารถถือศีลอดได้ทุกวัน โดยผลบุญในแต่ละวันจะแตกต่างกันไป
- เดือนซะอ์บาน ตรงกับเดือนกันยายน โดยในคืนวันที่15จะเป็นคืน นิซฟู ซะอ์บาน จะมีการอ่านอัลกุรอ่านซูเราะฮฺญาซีน3 ครั้ง ให้ความหมาย คือ อายุยืน ทำมาหากินคล่อง และมีศรัทธาต่อองค์อัลลอฮฺ
- เดือนรอมฎอน เป็นเดือนแห่งเทศกาลการถือศีลอด ต้องไม่ทำบาป โดยผู้ถือศีลอดที่จะสามารถทำได้ คือ ชายอายุครบ 15 ปี และหญิงที่ประจำเดือนมาแล้ว และหลังจากวันที่ 15 ของเดือน ยังสามารถบริจาคซากาตฟิตเราะฮฺ ได้จนถึงเช้า
- เดือนเซาวัล ตรงกับเดือนพฤศจิกายน โดยในวันที่ 1 ของเดือน วันฮารีรายออีดิลฟิตรี หรือ รายอปอซอ จะมีการรวมตัวกันที่มัสยิดร่วมกันละหมาด และจากนั้นก็จะสลามกัน จับมือขอมาอัฟกัน โดยใครที่ทะเลาะกันให้คืนดีกัน และใครที่เคยทำอะไรกับใครไว้ให้ขอโทษกัน อัลลอฮฺจะยกโทษให้
- เดือนซูลฮีญะห์ ตรงกับเดือนมกราคม ในวันที่ 10 ของเดือนนี้ จะตรงกับวันฮารีรายออีดีลอัฏฮาร์ หรือ รายอกืรบาน โดยชาวมุสลิมที่มีฐานะจะเชือดวัว(กืรบาน) โดยวัวจะถูกแบ่งเป็น 7 ส่วนเท่าๆกัน สามารถนำไปทำอาหารเลี้ยงหรือนำไปแจกให้แก่ผู้มีฐานะยากจน
ประเพณีและพิธีกรรมสำคัญของชาวมุสลิมท้องถิ่นยาลอ (หน้า 84-96)
- พิธีกรรมการเกิดเมื่อมารดาคลอดบุตรจะกล่าวนามและขอพรต่อองค์อัลลอฮฺ ให้บิดาหรือญาติกล่าวอาซานหรือกล่าวสรรเสริญองค์อัลลอฮและอิกอมะฮ์ที่หูซ้ายของทารก เพื่อปลูกฝังความเป็นมุสลิมตั้งแต่ลืมตา ปัจจุบันคนมักไปทำคลอดที่โรงพยาบาล ซึ่งแพทย์จะทำความสะอาดทารกแล้วก็จะส่งมอบทารกให้กับบิดาและญาติทำพิธีข้างต้น รวมถึงมอบรกคืนให้แก่ญาติของทารกด้วยเพราะตามวัฒนธรรมแล้ว มักจะนำรกไปฝังตามเนินสูงหรือนำไปลอยน้ำ ตามความเชื่อที่ว่าจะทำให้เด็กเป็นคนฉลาดมีไหวพริบในอดีตหญิงที่ตั้งครรภ์ได้ 7 เดือน จะไปฝากท้องกับหมอตำแยและทำพิธี “ฆือแลแงปือโระ” ซึ่งเป็นพิธีกรรมสำหรับลูกคนแรก เมื่อถึงเวลาคลอดออกมา หมอตำแยจะตัดสายสะดือด้วยไม้ไผ่ที่เหลาแหลม ทำความสะอากทารก ห่มผ้า วางในถาด แล้วให้บิดาหรือผู้มีความรู้เป็นที่นับถือมากล่าวอาซานที่หูข้างขวา และอิกอมะฮ์ที่หูข้างซ้าย จากนั้นหมอตำแยทำการอยู่ไฟหลังคลอดให้ผู้คลอด และมีการอาบน้ำรวมถึงกล่าวคาถาด้วย เพื่อให้เกิดสิริมงคลแก่แม่และเด็ก เมื่อทารกมีอายุระหว่าง 1-7 วัน จะต้องทำพิธีเปิดปากด้วยน้ำซัมซัมหรือน้ำจากบ่อน้ำซัมซัมในนครมักกะห์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย โดยจะเปิดปากทารกด้วยของที่มีรสหวาน เช่น น้ำผึ้งอิทผาลัม และตัดผมให้ทารกประมาณ 10-15 เส้น ก่อนจะโกนผมทั้งหัวและกล่าวขอพรจากพระผู้เป็นเจ้า
- เด็กชายชาวมุสลิมทุกคนต้องทำพิธีเข้าสุนัตก่อนอายุจะบรรลุนิติภาวะ ในอดีตจะทำพิธีในช่วงอายุ 15 -19 ปี แต่ปัจจุบันจะทำพิธีในช่วงอายุ 9 –13 ปี ซึ่งถือกันว่าการเข้าสุนัตควรอยู่ในช่วงอายุเลขคี่ ในอดีตผู้ทำพิธีกรรมนี้ คือ “โต๊ะมูเด็ง” การทำพิธีเรียกว่า “บาเกะซือมางัด” ก่อนเริ่มพิธีโต๊ะมูเด็งจะเคี้ยวหมากพลูและขนม ส่วนเด็กชายจะไปอาบน้ำและทำความสะอาดอวัยวะเพศ หลังจากนั้นจะมานั่งบนแท่นกล้วย เริ่มพิธีด้วยการสวดคัมภีร์อัลกุรอาน ชาวบ้านจะมานั่งล้อมและกล่าว “ซอลาวัตนาบี” พร้อมกัน เมื่อมีสัญญาณการยิงปืนขึ้นสู่ฟ้าดังขึ้นด้านนอกบ้าน หมายถึงปลายอวัยวะเพศของเด็กได้ขาดออกแล้ว เด็กชายจะได้รับการทำแผลโดยการใช้ยาสมุนไพรและใช้ยอดใบตองอ่อนพันไว้ นอกจากนี้การจัดงานเข้าสุนัตตามประเพณียังเป็นการบ่งบอกถึงความมีอำนาจของเจ้าภาพด้วย บางงานอาจมีงานมหรสพมาจัดแสดงร่วมด้วย เช่น หนังตะลุง มะอ์โยง ดีเกฮูลู เป็นต้น
- พิธีการแต่งงาน หรือ “นีเกาะห์” ของชาวมุสลิมท้องถิ่นยาลอมีพิธีการที่คล้ายกับการแต่งงานทั่วไป แต่ต่างที่ชุดสวมใส่ ซึ่งจะบ่งบอกถึงเอกลักษณ์และความถูกต้องทางด้านศาสนา การแต่งงานของชาวยาลอส่วนใหญ่จะนิยมแต่งงานภายในหมู่บ้านหรือเครือญาติเดียวกัน โดยเฉพาะคนที่มีเชื้อสายเจ้าเมือง สังเกตจากคนที่มีคำนำหน้าว่า กู นิ ต่วน ตูแว เป็นต้น ซึ่งก่อนการแต่งงานจะมีการหมั้น หรือ “ตูแน” ด้วยการตั้งสินสอด “มาสกาเวณ” ของฝ่ายหญิง ก่อน จากนั้นจะกำหนดวันแต่ง “วลีมะห์” โดยการแต่งงานจะมีการอ่าน “อีญาบ” หรือ คำกล่าวโดยอิหม่าม การ “กอบูร” หรือ การกล่าวยอมรับของฝ่ายชาย โดยจะมีขันหมากจัดขึ้นตามความเหมาะสม โดยนิยมจัดเป็นเลขคี่ เมื่อการจัดงานเสร็จเรียบร้อย เจ้าบ่าวจะเข้าหออยู่ที่บ้านเจ้าสาวเป็นเวลา 7 วัน หลังจากนั้นจากสาวจะมาอยู่ที่บ้านเจ้าบ่าวอีก 7 วัน และสำหรับในสังคมมุสลิมสามารถมีภรรยาได้หลายคน ซึ่งในชุมชนจะพบกับผู้คนที่มีบทบาทในหมู่บ้าน เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน โต๊ะครู และคนมีฐานะ เป็นต้น
- พิธีกรรมเกี่ยวกับความตาย เริ่มตั้งแต่การส่งสัญญาณว่ามีคนตายในหมู่บ้านด้วยการตีกลองที่มัสยิดหรือสุเหร่า เป็นจังหวะ 6 ครั้ง เพื่อให้คนในหมู่บ้านและญาติมาร่วมไว้อาลัย (มือนาวัต) เมื่อมีผู้เสียชีวิตเป็นชาวมุสลิมในทุกกรณีจำเป็นต้องมีการอาบน้ำศพ ยกเว้นบางท้องถิ่นที่ให้ข้อยกเว้นสำหรับศพที่จมน้ำตาย ถูกไฟไหม้ ถูกฆ่า ถูกสัตว์กัดตาย ตายมาแล้วหลายวัน หรือตายจากสนามรบเพื่อป้องกันประเทศหรือศาสนา เป็นต้น เมื่ออาบน้ำเสร็จแล้วจะทำการห่อศพและให้คน 4คน หามศพไปยังมัสยิด เพื่อทำพิธีละหมาดศะ นำโดยการสวดอธิษฐานต่อพระเจ้าของอิหม่าม หลังจากนั้นจากรีบนำศพไปยังกูโบร์ (สุสาน) ทันที เพราะต้องทำการฝังศพภายใน 24 ชั่วโมง ตามหลักการของศาสนา โดยการวางศพจะวางศพแบบตะแคงให้หัวหันไปทางทิศเหนือและหันหน้าไปทางทิศตะวันออก หลังจากกลบดินแล้วทุกคนที่มาร่วมพิธีจะกล่าววิงวอนต่อองค์อัลลอฮฺเพื่อให้ผู้ตายมีจิตใจแน่วแน่พอที่จะเผชิญการสอบสวนจากทูตรับใช้ขององค์อัลลอฮฺ และสุดท้ายกล่าว “ตัลกีม” อำลาศพ ก่อนจะก้าวออกมาจากหลุมศพ 7 ก้าว
ประเพณีสำคัญของชาวบ้านที่นับถือพุทธศาสนาบ้านหน้าถ้ำ (หน้า 96 -102)
- ประเพณีวันสารทเดือนสิบ (ชิงเปรต) ตรงกับวันแรม 15 ค่ำ เดือน 10 มีความเชื่อว่าป็นวันที่มีการปล่อยวิญญาณบรรพบุรุษมาเยี่ยมบ้าน ชาวบ้านจะทำขนมต้ม ขนมลา ขนมกระยาสารท ขนมเจาะหู ขนมบ้า ไปวางไว้ในบริเวณที่ทำพิธีในวัด และเชิญวิญญาณลงมารับเครื่องเสวย หลังเที่ยงก็จะแจกจ่ายขนมแก่ผู้คนในงาน และส่วนหนึ่งจะเก็บไว้ในบัวสกุลแก่ผู้ตาย มีการทำบุญเขียนชื่อบรรพบุรุษใส่ไว้ในบัว หรือ ที่ใส่กระดูกคนตาย หลังวันรับเปรต 15 วัน จะถึงวันส่งเปรต โดยจะมีการเทศนาของพระ 1 กัณฑ์ ภายในงานจะมีเสาสูงที่ทำด้วยต้นหมากแล้วทาด้วยน้ำมันสำหรับให้เปรตปีนขึ้นไป
- ประเพณีตักบาตรเทโว ตรงกับวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 หรือ วันออกพรรษา “เทโวโรหณะ” แปลว่า ลงมาจากเทวโลก หรือ หมายถึงวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงมาจากดาวดึงษ์เทวโลกเพื่อโปรดพระพุทธศาสนา พุทธศาสนิกชนจึงเตรียมอาหารมาสำหรับถวาย มีการทำข้าวต้มลูกโยนสำหรับใส่บาตร หลังจากเสร็จพิธีพระสงฆ์จะประพรมน้ำพระพุทธมนต์ให้กับทุกคน
- ประเพณีการรับเทวดา ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 ของทุกปี โดยมีความเชื่อว่าเทวดาจะเป็นผู้คุ้มครองรักษาคน สัตว์ และบ้านเรือนต่างๆในชุมชนไม่ให้เกิดภัยอันตรายต่างๆ โดยชาวบ้านจะเริ่มพิธีจากการสร้างบ้านเทวดา โดยใช้หยวกกล้วยเป็นลายสวยงาม เตรียมเครื่องสำหรับสังเวยเทวดา และเริ่มทำพิธีรับเทวดาโดยการนำเครื่องสังเวยมาทำพิธีที่วัดในเวลาเก้าโมงเช้า และให้มรรคทายกนำพิธีด้วยการสวดบทชุมนุมเทวดา
- งานบุญชักพระ เป็นประเพณีที่เชื่อกันว่ามีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล เป็นงานบุญใหญ่ตรงกับวันออกพรรษา เมื่อถึงเวลาชักพระ ในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 จะมีการนำพระพุทธรูปขึ้นไปประดิษฐานบนเรือที่ทำด้วยไม้มะม่วงหิมพานต์ที่วัดร่วมทำขึ้นกับชาวบ้าน จากนั้นจะเริ่มชักเรือออกจากวัดไปค้างคืนที่บ้านบุ๊ วันรุ่งขึ้นจึงลากเรือกลับวัด
- ประเพณีสงกรานต์ ตรงกับวันที่ 13 – 15 เมษายน ของทุกปี ถือว่าเป็นวันปีใหม่ไทย แต่ประเพณีสงกรานต์ของบ้านเนียงและหน้าถ้ำ บ้านยาลอ จะมีการจัดประเพณีในวันที่ทุกคนในหมู่บ้านสะดวกที่จะมาร่วมงานกัน โดยจะจัดในช่วงเดือนเมษายนเช่นเดียวกัน แต่อาจไม่ตรงกับวันที่ 13 – 15 เหมือนพื้นที่อื่น
- ประเพณีและพิธีกรรมเกี่ยวกับการเกิดของชาวไทยพุทธท้องถิ่นยาลอแต่เดิม เมื่อผู้หญิงเริ่มตั้งครรภ์จะไปฝากท้องกับหมอตำแย และไปตรวจกับหมอตำแยทุกเดือน ส่วนสามีจะเตรียมแคร่ให้เมื่อใกล้คลอด เพราะหลังคลอดต้องอาบน้ำด้วยสมุนไพร และ ต้องนอนบนแคร่ผิงไฟประมาณ 40 วัน และหลังจากคลอดได้หนึ่งอาทิตย์จะมีการทำพิธีเอาเด็กขึ้นเปล
- การบวช เป็นประเพณีของชาวไทยพุทธ ซึ่งเป็นการทำเพื่อตอบแทนบุญคุณให้แก่ผู้มีพระคุณ การบวชมักนิยมบวชในวันแรม 1 ค่ำ หรือ ขึ้น 15 ค่ำ ก่อนบวชจะมีพิธีโกนผมนาค ทำขัวญนาค และบวชนาค โดยมีพระอุปัชฌาย์เป็นผู้ดำเนินการภายในอุโบสถ แต่เดิมจะนิยมบวชประมาณ 1 พรรษา เพื่อศึกษาเล่าเรียนพระธรรม แต่ปัจจุบันจะบวชเป็นเวลาสั้นๆประมาณ 7 ถึง 9 วัน
- การแต่งงานของชาวไทยพุทธบ้านหน้าถ้ำ พ่อแม่จะเป็นคนหาผู้หญิงมาให้กับบุตรชายของตน เมื่อถูกใจก็จะทำการหมั้น โดยการมอบของเป็นแหวนหรือสร้อยให้กับฝ่ายหญิง หรือบางครอบครัวอาจมีการสร้างเรือนหอและต่อเติมไปจนเสร็จทันก่อนวันแต่งงาน เมื่อถึงวันแต่งงานฝ่ายเจ้าบ่าวจะนำผู้ใหญ่แห่ขันหมากมาพร้อมกับสินสอดตามที่ตกลงไว้ โดยสินสอดจะให้ลงท้ายด้วยเลขหนึ่ง โดยขันหมากจะประกอบด้วย ขันหมากบอก หมาก พลู กล้วย อ้อย มะพร้าวอ่อน ไก่นึ่ง 1 ตัว เหล้า 1ขวด หลังจากเสร็จพิธีแต่งงานจะทำพิธีเรียงหมอน ปูที่นอนและอวยพรโดยผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตคู่
- พิธีกรรมเกี่ยวกับความตาย ในอดีตจะตั้งศพบำเพ็ญกุศลที่บ้านของผู้ตาย และนิมนต์พระมาสวดในตอนกลางคืนและนำศพไปฌาปนกิจที่ป่าช้าใกล้วัด การเผาจะเผากลางแจ่ง โดยใช้ฟืนที่เจ้าภาพเตรียมไว้หรือผู้ร่วมงานเตรียมกันไปด้วย หากเป็นหน้าฝนจะใช้น้ำมันหรือยางรถยนต์เข้าช่วย หลังจากเผาญาติจะเก็บเศษกระดูกไว้ที่วัด บ้าน ฝังไว้ที่ป่าช้า หรือนำไปลอยน้ำ ตามความสะดวก |
|
Education and Socialization |
ในช่วงก่อน พ.ศ. 2520 ชาวมุสลิมในยาลอไม่ได้ให้ความสำคัญเรื่องการศึกษามากนักคนส่วนใหญ่จะเรียนจบเพียงชั้นประถมศึกษา แล้วออกมาช่วยพ่อแม่ทำงาน เพราะโรงเรียนมัธยมมีแต่ในตัวเมืองยะลาเท่านั้น แต่คนในยะลาให้ความสำคัญกับการศึกษาธรรมทางศาสนาอิสลามที่ “ปอเนาะ” มากกว่าโรงเรียนสายสามัญ คนสมัยก่อนจึงไม่สามารถอ่านและเขียนภาษาไทยได้ หากมีผู้ที่สนใจเรียนตามระบบการศึกษาของทางการก็จะไปศึกษาแบบนอกระบบโรงเรียน หรือ กศน. ที่มีตามท้องถิ่นต่างๆ ต่อมาในปี พ.ศ. 2530 ผู้ใหญ่เริ่มเห็นความสำคัญของการศึกษาที่จะช่วยสร้างโอกาสและหาอาชีพให้กับลูกหลานตน แต่ก็ยังจำกัดเฉพาะครอบครัวคนมีฐานะเท่านั้น เพราะคนส่วนใหญ่ก็ยังขัดสนเรื่องเงินสำหรับการศึกษาอยู่ จึงจบได้แค่ชั้นประถมศึกษาเท่าเดิม หากเป็นเด็กชายก็จะได้ไปทำงานรับจ้างหรือกรรมกร ส่วนเด็กหญิงก็จะได้แต่งงานตั้งแต่อายุยังน้อย ประมาณ 15-18 ปี เพราะมีความคิดว่าผู้หญิงไม่จำเป็นต้องเรียนสูง และผู้หญิงไม่ควรทำงานนอกบ้าน (หน้า 127-128) ในเวลาต่อมา โต๊ะครู “หะยีมุสตอฟา หะยีสะอิด” เป็นผู้ริเริ่มการเปิดสอนทางด้านศาสนา และเป็นผู้ที่ก่อให้เกิดโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาแห่งแรกในประเทศไทย(หน้า 40) โดยเริ่มจากการสอนแบบง่ายๆตามบ้านและค่อยพัฒนามาเป็นโรงเรียนที่อยู่ในท้องถิ่นยาลอสอนด้านศาสนาควบคู่กับสายสามัญ นักเรียนไม่ต้องเข้าไปเรียนถึงในตัวเมือง ก็สามารถมีพื้นฐานในการดำรงชีพและการประกอบศาสนกิจต่างๆ ซึ่งการศึกษาที่พัฒนาขึ้นทำให้คนส่วนใหญ่เริ่มมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และทำให้ชาวมุสลิมมีโอกาสทำงานราชการมากขึ้น โดยโรงเรียนสอนศาสนาเอกชนเหล่านี้จะได้รับเงินทุนสนับสนุนจากส่วนราชการ มีค่าธรรมเนียมในการเรียนไม่สูงมาก และมีกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษาจากรัฐบาลให้ (หน้า 49-50) และชาวยาลอยังมีความสนใจไปศึกษาต่อที่กรุงเทพฯมากขึ้น จนการศึกษากลายเป็นค่านิยมที่สำคัญของคนท้องถิ่นไปในที่สุด ผู้หญิงจึงได้รับการศึกษาที่สูงขึ้นจากเดิม และมีแนวโน้มเรียนไปจนถึงระดับปริญญาตรีมากกว่าผู้ชายอีกด้วย แต่เนื่องจากจำนวนคนที่จบปริญญาตรีในปัจจุบันมีจำนวนมาก ไม่สอดคล้องกับทรัพยากรและงานที่มีอยู่อย่างจำกัด ทำให้เกิดภาวะว่างงานเพิ่มขึ้นเช่นกัน (หน้า 129) |
|
Health and Medicine |
ในอดีตพื้นที่ชุมชนตั้งอยู่ในพื้นที่ป่า มีความเชื่อเรื่องหมอผีผูกพันอยู่กับวิถีชีวิตคนในชุมชนอย่างมาก “เปาะวอเยาะฮ์” เป็นหมอผีที่มีชื่อเสียงของบ้านเปาะเส้ง จังหวัดยะลา เมื่อประมาณ 70 ปีก่อน แต่นอกเหนือจากเขาจะเป็นหมอผีแล้ว ก็ยังเป็นทั้งหมอน้ำมนต์และหมอสมุนไพรด้วย ซึ่งหมอน้ำมนต์และหมอสมุนไพรที่ใช้รากพืชต่างๆที่มีอยู่ในท้องถิ่นในการรักษานั้นยังคงมีการสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นอยู่จนถึงปัจจุบัน (หน้า 22)แต่เมื่อชุมชนเริ่มกลายเป็นเมืองและมีหน่วยสาธารณสุข แพทย์แผนปัจจุบันทำให้พิธีกรรมบางอย่างของชาวมุสลิมหายไป เช่น พิธีบลีมา ซึ่งจะทำหลังจากคลอดประมาณ 1สัปดาห์ แต่ในปัจจุบันการไปคลอดที่โรงพยาบาล ชาวบ้านก็จะได้รับคำแนะนำทางด้านสุขภาพอนามัยต่างๆ การรักษาโรคอย่างถูกวิธี และการฉีดวัคซีนให้กับเด็ก (หน้า 51)อีกทั้งปัจจุบันยังมีการจัดพื้นที่เป็นสถานที่สำหรับพักผ่อนหย่อนใจ และออกกำลังกาย โดยเมืองยะลาในปัจจุบันมีสวนสาธารณะหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นสนามช้างเผือก สวนมิ่งเมือง สวนศรีเมือง ซึ่งผู้คนมักใช้เป็นสถานที่พักผ่อนและออกกำลังกาย ในช่วงเย็นสถานที่ซึ่งเป็นที่นิยม คือ สวนขวัญเมืองที่เปรียบเสมือนทะเลสาบของยะลา (หน้า 46) บ่อน้ำหินโบราณอายุกว่าร้อยปี ที่ตำบลบ้านเปาะเส้ง เป็นแหล่งสาธารณูปโภคที่สำคัญตั้งแต่อดีตเรื่อยมาจนปัจจุบันสำหรับชาวบ้าน เพราะบ่อน้ำแห่งนี้มีน้ำใสสะอาดที่ชาวบ้านใช้อุปโภค บริโภค ซึ่งบ่อน้ำแห่งนี้ไม่เคยแห้งเลย ในปัจจุบันมีการใช้เครื่องสูบน้ำ 2-3 เครื่อง เพื่อสูบไปยังครัวเรือนและเพื่อการเกษตร (หน้า 70-71) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
บริเวณทุ่งกาโลของยะลาก่อนปรับเป็นสนามบิน มีผู้พบถ้วยชามฝังดิน พระอวโลกิเตศวร4 กร เนื้อสำริด สูงประมาณ1ศอก รวมถึงเทพเจ้าในท่าร่ายรำและพระพุทธรูปหลายองค์ (หน้า 1) จึงได้รับข้อสันนิษฐานเบื้องต้นว่าเคยเป็นที่ตั้งของชุมชนโบราณ ประกอบกับพบหลักฐานในชั้นสมัยประวัติศาสตร์เป็นพระพิมพ์ดินดิบและพระพุทธรูปแบบศรีวิชัยราวพุทธศตวรรษที่14-15 ที่พบบริเวณบ้านท่าสาป ใกล้ลำน้ำปัตตานี และบริเวณเขตถ้ำคูหาภิมุข ตำบลหน้าถ้ำ (หน้า 2) ส่วนถ้ำศิลป์ซึ่งเป็นถ้ำที่อยู่ถัดไปจากถ้ำคูหาภิมุข ได้ค้นพบภาพเขียนของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์และสมัยประวัติศาสตร์ด้วย (หน้า 3) โดยโบราณสถานเก่าแก่ของชุมชนบ้านหน้าถ้ำ คือ พระพุทธไสยาสน์ ซึ่งมีการสันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยศรีวิชัย เวลาไล่เลี่ยกับการก่อสร้างพระมหาธาตุ อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ และ พระมหาธาตุ อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช (หน้า 28)
สุสาน (กูโบร์หรือหลุมฝังศพ) ของพระยายะลา (ต่วนกูสุไลมาน) หรือ พระยาณรงค์ฤทธิ์ศรีประเทศวิเศษวังษา ที่ตั้งอยู่บริเวณมัสยิดบ้านลางา บ้านเปาะเส้ง จังหวัดยะลา ได้สร้างเป็นศาลารูปจัตุรัส หลังคามุงกระเบื้องดินเผาจากเตาเผาเมืองปัตตานี เครื่องครอบหลุมศพเป็นหินอ่อนแกะสลักรูปหลังคาและรูปโดมจากประเทศตุรกี และมีคำจารึกบนแผ่นหินอ่อนด้วยภาษามลายูเป็นชื่อ เวลา และวันที่ถึงแก่กรรม (หน้า 26)
พิธีการแต่งงานของชาวมุสลิมบ้านเปาะเส้ง ยังคงเอกลักษณ์และความถูกต้องไว้ผ่านเครื่องแต่งกายของเจ้าบ่าวเจ้าสาวเป็นสำคัญ โดยฝ่ายหญิงจะสวมชุดบานงหรือชุดกุรง และใส่ผ้าคลุมศีรษะ ส่วนฝ่ายชายจะสวมชุดจูโล๊ะปลางอ หรือ ชุดโต๊ะ พร้อมกับสวมหมวกและมีกริชเหน็บที่เอว เหมือนกับชุดสุลต่านของมาเลเซีย (หน้า 90)
ริมฝั่งท่าแพของบ้านท่าสาป จะมีการละเล่นต่างๆให้กับผู้คนที่สัญจรไปมาระหว่างการค้าขาย เช่น ดีเกฮูลู หนังกลางแปลง การรำดีกา หนังกลางแปลง และบือซาวัง (การละเล่นของชาวอินโดนีเซีย เป็นการแสดงละครสด คล้ายกับเมาะอ์โมง) (หน้า 36) หลังจากเสร็จสิ้นฤดูเก็บเกี่ยวและฟางข้าวได้ล้มไปหมดแล้วนั้น ชาวบ้านจะมีการละเล่นสำคัญในช่วงเวลานี้ คือ การเล่นว่าวและกังหันลม เนื่องจากท้องทุ่งหลังเก็บเกี่ยวจะโล่งเตียนและมีลมฤดูร้อนพัดแรง โดยว่าวจะเป็นตัวแทนคำขอบคุณต่อสวรรค์ที่บันดาลผลผลิตให้แก่ท้องทุ่ง ว่าวที่นิยมเล่น ได้แก่ ว่าวนก ว่าวจุฬา และว่าวปักเป้า อีกทั้งยังมีการแข่งขันกันเพื่อความบันเทิง หรือสามารถใช้ประดับตกแต่งบ้านเรือน หรือใช้เป็นเครื่องวัดทิศทางลมสำหรับชาวบ้าน ส่วนกังหันลมเป็นที่นิยมเล่นมากในสมัยก่อน สิ่งสำคัญของกังหันลมคือ วัสดุที่ใช้ในการทำใบพัดของกังหันต้องไปหาบนภูเขา เพื่อให้มีเสียงก้องกังวานน่าฟัง แต่ปัจจุบันไม่มีกังหันลมเหลืออยู่แล้ว เพราะไม้ในท้องถิ่นสำหรับทำใบพัดหายากและไม่มีผู้ที่มีฝีมือดีสามารถทำกังหันลมอันใหญ่เหลืออยู่แล้ว |
|
Folklore |
เรื่องเล่าของบ้านท่าสาปสมัยก่อนการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำปัตตานี มีการใช้แพเป็นพาหนะในการเดินทาง โดยกลุ่มคนหนังตะลุง มโนราห์ และหมอดู มีความเชื่อในทางไสยศาสตร์ว่า แม่น้ำแห่งนี้มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่มาก หากเดินข้ามสะพานไปความศักดิ์สิทธิ์จะเสื่อมลง และมีเรื่องเล่าว่าทางข้ามแพนี้จะต้องมีผู้คนถูกสังเวยด้วยชีวิตปีละ 1 คน ทุกปี จึงเป็นที่มาของชื่อบ้านท่าสาป (หน้า 33)
เรื่องอาถรรพ์ของภูเขายาลอ เป็นเรื่องเล่าของชาวบ้านว่าเป็นที่อยู่ของผีพรายและเจ้าที่ “โต๊ะบีแดกูนิง” ซึ่งเจ้าที่จะคอยดูแลปกป้องปากถ้ำ บางครั้งจะแปลงกายเป็นงูสีดำขนาดใหญ่ใหญ่ให้ผู้คนตื่นกลัว ส่วนผีพรายเป็นผู้ที่มีเครื่องแก้วจานชามให้ชาวบ้านหยิบยืมได้ แต่ต้องนำมาคืนเท่านั้นแม้ว่าจะทำแตกก็ตาม อีกทั้งมีเรื่องเล่าจากหมู่บ้านกำปงบูเก๊ะถึงผีพรายว่า มีชายผู้หนึ่งไปหลงทางบนภูเขา และพบเจอหญิงสาวสวยและอยู่กินด้วยเป็นเวลานานจนมีบุตรคนหนึ่ง แต่มาพบภายหลังว่าหญิงผู้นั้นเป็นผีพราย ตนจึงรีบหาทางออกกลับมายังหมู่บ้าน (หน้า 104) ส่วนที่ภูเขาจาเราะนาปาก็มีความเชื่อว่าเป็นที่อยู่ของนางผีพรายที่มักทำให้คนหลงทางในหุบเขา และมีเสือสมิงที่สามารถพรางตัวได้ โดยเสือสมิงตนนี้มีนายเปาะซารีเป็นเจ้าของ ดังนั้นจะมีเพียงนายเปาะซารีและครอบครัวเท่านั้นที่จะสามารถมองเห็นเสือสมิงตนนี้ได้ (หน้า 104-105)
ยักษ์วัดหน้าถ้ำ หรือ พ่อท่านเจ้าเขา ที่ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นผู้ปกป้องรักษาหมู่บ้านจากขโมย ชาวบ้านผู้หนึ่งเล่าว่าเคยฝันถึงพ่อท่านว่า ให้ทำศาลาเป็นที่พักให้ตนบ้าง เนื่องจากเดินตรวจตราทั้งคืน ต้องการที่พัก ภายหลังมีผู้มาบนบานศาลกล่าวก็มักจะสมหวังกันมาก (หน้า 105-106)
ต้นไทรใหญ่ ที่โรงเรียนกูแบปาแย หรือ โรงเรียนบ้านไทรงาม มีเรื่องเล่าลือกันว่าในตอนกลางคืนมักได้ยินเสียงแปลกๆบนอาคารเรียน หากเป็นคนจิตอ่อนก็จะถูกผีซึ่งอาศัยอยู่ที่ต้นไทรใหญ่นี้เข้าสิง อีกทั้งมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับการทำพิธีขอหวยที่ต้นไทรว่า ในขณะทำพิธีมีลมแรงเหมือนพายุพัดพาข้าวของกระจัดกระจาย หมอทำพิธีและชาวบ้านที่ร่วมพิธีต่างวิ่งหนี แต่ชาวบ้านภายในบริเวณใกล้เคียงไม่มีใครรับรู้สึกถึงลมพายุนั้นเลย (หน้า 106)
อาถรรพ์กูโบร์หรือหลุมฝังศพมีหลายแห่งด้วยกัน ตัวอย่างเช่น ที่กูโบร์ชื่อเมาะ มีเรื่องแปลกเกิดขึ้น คือ มีก้อนหินจำนวนมากมาวางเรียงรอบหลุมศพของหมอชาวบ้านที่ชื่อโตะนิ รวมถึงผู้ที่เคยมาขอหวยก็ถูกมือจากเงาดำยื่นออกมาบีบคอ โดยชาวบ้านเชื่อว่าเป็นฝีมือของผีที่โตะนิเคยเลี้ยงไว้ครั้งยังมีชีวิตอยู่ (หน้า 107) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
คนชุมชนท้องถิ่นยาลอส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมประมาณ 90% มีความผูกพันกับอาชีพการเกษตรมาตั้งแต่อดีต ดำรงชีพด้วยทรัพยากรที่มีในท้องถิ่น อาชีพดั้งเดิมคือกรีดยาง (ปลูกยางพื้นเมือง) ชาวบ้านอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข สามัคคี รักใคร่กลมเกลียว มีผู้นำหมู่บ้านเป็นผู้นำด้านจิตวิญญาณและมีผู้นำศาสนาบางคนเป็นหมอน้ำมนต์หรือหมอสมุนไพร (หน้า 80) มีกูโบร์ (สุสานฝังศพ) เก่าแก่ของเจ้าเมืองยะลา เป็นสถานศักดิ์สิทธิ์และแหล่งอนุรักษ์ประจำเมือง พิธีกรรมและประเพณีต่างๆของชาวมุสลิมจะมีความสัมพันธ์กับศาสนาเป็นส่วนใหญ่ ตั้งแต่แรกคลอด แม่ผู้ให้กำเนิดทารกจะกล่าวนามขององค์อัลลอฮฺจะเป็นผู้กำหนดทั้งหมด แต่เดิมมีการตั้งชื่อตามธรรมชาติรอบๆตัว เช่น ชื่อต้นไม้และดอกไม้ต่างๆ ภายหลังเริ่มมีการเรียนศาสนาเพิ่มมากขึ้น ระบบการตั้งชื่อจึงเปลี่ยนไป ส่วนใหญ่จะตั้งชื่อเหมือนกับศาสดา (นบีหรือรอสูล) สาวก บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์อิสลาม เช่น คนที่มีชื่อนำหน้าว่า “อับดุล” เป็นต้น โดยชาวมุสลิมถือว่าจะเป็นสิริมงคลแก่เด็กทารกอย่างยิ่ง เพราะภาษาอัลกุรอานเป็นบทบัญญัติสูงสุดของศาสนาอิสลาม และเมื่อเด็กทารกมีอายุ 7 วันขึ้นไป จะมีการทำ “อากีเกาะฮ์” หรือ การเชือดสัตว์สำหรับทารกที่คลอด โดยพิธีกรรมนี้ถือเป็นการขอบคุณต่ออัลลอฮฺที่มีความเมตตาให้ทารกได้เกิดมา และเพื่อให้อัลลอฮฺรักษาทารกให้อยู่ในขอบเขตของศาสนาอิสลามตลอดไป (หน้า 84 - 88) ความเชื่อและพิธีกรรมทางศาสนาของชาวมุสลิมสามารถพบเห็นได้ตั้งแต่เกิดจนถึงพิธีกรรมเกี่ยวกับความตาย เมื่อมีผู้เสียชีวิตในหมู่บ้าน จะมีการตีกลองที่มัสยิดหรือสุเหร่า เพื่อเป็นสัญญาณให้กับชาวมุสลิมในท้องถิ่นได้รับรู้ไปทั่วกัน จากนั้นจึงทำพิธีอาบน้ำศพด้วยญาติผู้ตายที่เป็นคนสนิท ไปสู่ขั้นตอนการห่อศพ หามศพไปทำพิธีการละหมาดศพที่มัสยิด นำการละหมาดโดยอิหม่ามและอ่านบทสดุดีศาสดานบีมูฮัมหมัด จากนั้นนำศพไปกูโบร์(สุสาน)ทันที เพราะต้องทำการฝังศพภายใน 24 ชั่วโมงหลังเสียชีวิต การประกอบพิธีกรรมจัดการศพตามธรรมเนียมของชาวมุสลิมเป็นวิถีที่ดำรงสืบทอดตามแบบเดิมเรื่อยมา เพราะเป็นหลักการตามศาสนาอิสลามที่กำหนดมาไว้แล้ว (หน้า95-96) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการขุดลอกสองฝั่งคลองตาชี จากอำเภอยะหาจรดแม่น้ำปัตตานี ชาวบ้านชุมชนริมคลองตาชี ได้ให้ความเห็นว่ามีทั้งข้อดีและข้อเสีย กล่าวคือ ช่วยแก้ปัญหาน้ำตื้นเขินให้ไหลได้ดีขึ้นเมื่อน้ำท่วม แต่น้ำมีอุณหภูมิสูงขึ้น จำนวนปลาในน้ำลดน้อยลง เพราะย้ายถิ่นฐานไปอยู่ลำน้ำที่สมบูรณ์กว่า อีกทั้งวิถีชีวิตดั้งเดิมก็ได้เปลี่ยนไป เพราะต้นไม้ใหญ่จำนวนมากถูกโค่นทิ้ง ไม่มีบรรยากาศที่ร่มรื่นให้ชาวบ้านมาพบปะพูดคุยกัน การปฏิสัมพันธ์ของชาวบ้านหมู่บ้านกูแบปาแยและหมู่บ้านมือแนบารู ที่เคยมาใช้เวลาว่างและดำรงชีพบริเวณริมคลองแห่งนี้จึงค่อยๆหายไปตามกาลเวลา ประกอบกับความเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่ต่างคนต่างต้องทำมาหากิน ไม่มีเวลาว่างเหมือนสมัยก่อน (หน้า 58)เหตุการณ์สำคัญที่ส่งผลกระทบต่อผู้คนที่อาศัยริมสองฝั่งคลอง คือ น้ำท่วมฉับพลันในวันที่ 17 ธันวาคม 2548 กระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวกัดเซาะตลิ่งจนพัง เพราะไม่มีต้นไม้ใหญ่ริมฝั่งเหมือนสมัยก่อน ที่ดินและสวนไร่นาต่างๆของชาวบ้านได้รับความเสียหายอย่างมาก ส่งผลให้เกิดการย้ายที่อยู่ของชาวบ้านซึ่งกระทบต่อวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมให้เปลี่ยนด้วย (หน้า 77-78)
ในปัจจุบันไม่มีการทำข้าวไร่อีกแล้ว เนื่องจากขาดพื้นที่ในการทำ โดยชาวบ้านหันไปทำสวนยางและสวนผลไม้กันมาก ประกอบกับการเปลี่ยนมาทำนาปีแทน เพราะใกล้ชุมชน ไม่ต้องขึ้นไปถึงภูเขา อีกทั้งสังคมปัจจุบันไม่มีการลงแขกแบบสมัยก่อน การหว่านเมล็ดให้เสร็จภายในสองวันจึงไม่ทันสำหรับการทำโดยลำพังเพียงครอบครัวเดียว (หน้า 60) อีกทั้งอาชีพทำนาในปัจจุบันลดน้อยลง เพราะมีอาชีพอื่นเข้ามารองรับมากขึ้น เช่น อาชีพรับจ้างตามโรงงาน ปล่อยทิ้งนาตนเองให้รกร้างไป ที่สำคัญคือ พื้นที่ที่ใช้ในการทำนาได้ถูกขายให้แก่นายทุนสำหรับโรงงานอุตสาหกรรมแทน หรือบางกรณีถมที่เพื่อปลูกสร้างบ้านใหม่และหันไปประกอบอาชีพอื่นแทน อย่างไรก็ตาม ยังมีคนส่วนน้อยที่เก็บที่ดินไว้ทำกินในยามขัดสน หรือทำเพื่อสืบทอดเจตนารมณ์ของบรรพบุรุษอยู่ด้วย (หน้า 62)เมื่อสังคมเริ่มเปลี่ยนแปลงไปตามความเจริญของเทคโนโลยีและวิวัฒนาการด้านต่างๆ เมืองยะลาก็ได้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว จากที่ผู้คนในท้องถิ่นยาลอเคยทำการเกษตรเป็นอาชีพหลัก ก็ได้เข้าไปหาทำอาชีพในเมืองที่หลากหลาย เนื่องจากการคมนาคมที่สะดวกมากขึ้น ประกอบกับการเห็นความสำคัญของการศึกษา และสภาพเศรษฐกิจที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้คนรุ่นใหม่ซึ่งได้รับการศึกษาที่มากขึ้นได้เปลี่ยนไปทำงานราชการ รับจ้าง หรือทำธุรกิจส่วนตัว จนถึงการย้ายไปตั้งถิ่นฐานนอกหมู่บ้านตัวเองถาวร ก่อนจะกลับมาอยู่บ้านเดิมเมื่อถึงวัยเกษียณ (หน้า 114-115)
การเข้ามาของกองทุนสงเคราะห์สวนยางของรัฐเพื่อสร้างการทำสวนยางอย่างเป็นระบบในปี พ.ศ. 2500 ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับวิถีปฏิบัติการปลูกยางพื้นบ้านอย่างมาก จากเดิมที่เคยปลูกอย่างไม่เป็นระเบียบ มีการเจริญเติบโตช้าเพราะเลี้ยงปล่อยตามธรรมชาติ ชาวบ้านเริ่มเรียนรู้วิธีการปลูกแบบเป็นแถวให้สวยงามและสะดวกต่อการเก็บยาง และให้ปุ๋ยตามสัดส่วนของอายุต้นยาง ทำให้เจริญเติบโตเร็วสร้างผลผลิตได้มาก ทำให้ยางกลายเป็นพืชเศรษฐกิจและสร้างอาชีพหลักให้แก่ชาวบ้านในชุมชนในเวลาต่อมา (หน้า 48) เนื่องจากยางที่กองทุนสงเคราะห์นำมาแนะนำให้เป็นยางพันธุ์ที่มีอายุเก็บเกี่ยวสั้นภายใน 7-8 ปี อีกทั้งยังให้น้ำยางได้มากเช่นนี้ ชาวบ้านจึงตัดสินใจตัดต้นยางพื้นเมืองเก่าทั้งหมด บางคนไถปรับผืนนาและพื้นที่ปลูกผลไม้ของตนทำเป็นร่องเพื่อปลูกยางแทน ทำให้คนในท้องถิ่นมีอาชีพรับจ้างกรีดยางมารองรับวิถีการทำมาหากินไปอีกทางหนึ่งด้วย (หน้า 67)
แม่น้ำปัตตานีจากที่เคยเป็นน้ำหล่อเลี้ยงชีวิตชาวบ้านท้องถิ่นและยึดโยงวิถีชีวิตของผู้คนได้เปลี่ยนไป เมื่อมีการเข้ามาทำสัมปทานขุดเจาะทราย ทำให้แม่น้ำเกิดแอ่งก้นกระทะ มีน้ำลึกมากขึ้น ทำให้ชาวบ้านไม่กล้าลงเล่นน้ำและปลาต่างๆก็ย้ายที่อยู่อาศัยไปที่อื่น รวมทั้งน้ำเชี่ยวที่เกิดจากความลึกของคนน้ำที่ไม่สม่ำเสมอ ทำให้ตลิ่งบางส่วนพังทลาย นอกจากนั้นชาวบ้านยังไม่สามารถพาสัตว์เลี้ยงไปเลี้ยงบริเวณริมแม่น้ำได้เหมือนเคย เพราะนอกจากเสียงสิบล้อและเสียงเครื่องขุดเจาะทรายจะสร้างความรำคาญให้กับชาวบ้านแล้ว ก็ยังทำให้สัตว์เลี้ยงของชาวบ้านแตกตื่นไปด้วย (หน้า 76)
การเปลี่ยนแปลงและการปรับตัวของชาวบ้านท้องถิ่นยาลอ
- การเปลี่ยนจากเกษตรแบบพอเพียงเป็นการเกษตรเชิงเดี่ยว
ในอดีตคนในท้องถิ่นยาลอ มีความผูกพันกับการทำอาชีพทางด้านการเกษตรมายาวนาน อาชีพหลักดั้งเดิม คือ อาชีพกรีดยาง นอกจากนั้นก็จะทำการหาปลาตามลำห้วย ปลูกพืชผักสวนครัวสำหรับประกอบอาหารและเลี้ยงสัตว์ไว้ใช้งาน แต่เดิมชาวบ้านปลูกยางพันธุ์พื้นบ้าน ที่มีลำต้นขนาดใหญ่น้ำยางไม่มาก การปลูกจะเป็นลักษณะกระจัดกระจาย ไม่เป็นแถวเป็นแนว แต่ในปี พ.ศ.2495 ได้มีกองทุนสังเคราะห์สวนยางมาช่วยอุดหนุนต้นทุนการปลูก สอนวิธีการปลูกการดูแลยางที่ถูกต้อง และนำยางพันธุ์ใหม่มาให้ปลูกอีกด้วย ต่อมาชาวบ้านจึงถางป่าเพื่อปลูกยางพันธุ์ใหม่แทนยางพื้นบ้าน รวมถึงสวนดูซงหรือสวนผลไม้ซึ่งปลูกพืชพรรณจำนวนมาก มีอายุนับร้อยปี ได้รับการดูแลโดยสืบทอดมาจากบรรพบุรุษก็ต้องหมดไป เพราะในปี พ.ศ.2529 วิวัฒนาการทางการเกษตรได้เข้ามาพร้อมๆกับการปลูกพืชเชิงเดี่ยว สวนดูซงจึงค่อยๆหมดความสำคัญลง (หน้า 112-114) ต่อมาเกิดการเปลี่ยนอาชีพการเกษตร ซึ่งเป็นอาชีพดั้งเดิมของคนท้องถิ่น เพราะสังคมเริ่มเปลี่ยนไปตามความเจริญต่างๆที่เข้ามาจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจ รวมถึงการศึกษาที่สูงขึ้นของผู้คนในท้องถิ่นยาลอ มีการส่งลูกหลานเข้าไปเรียนในตัวเมือง พร้อมๆกับเส้นทางคมนาคมที่สะดวกขึ้นทำให้เกิดอาชีพที่หลากหลาย ดังนั้นคนยุคใหม่จึงหันไปนิยมประกอบอาชีพรับราชการหรือธุรกิจส่วนตัวแทน (หน้า 114-115)
ซึ่งการเปลี่ยนแปลงอาชีพได้มาพร้อมๆกับการเปลี่ยนแปลงของศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ เพราะศูนย์กลางทางเศรษฐกิจต่างๆไปรวมอยู่ที่ตัวเมืองยะลา คนท้องถิ่นยาลอจึงต้องเดินทางไปมาระหว่างบ้านยาลอและเมืองยะลา โดยเฉพาะพ่อค้าแม่ค้า เพราะในตัวเมืองมีตลาด ไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง เนื่องจากคนในท้องถิ่นต้องเข้าไปซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคและเข้าไปหางานทำในเมือง ทำให้ร้านค้าต่างๆในชุมชนซบเซาลง และการมีถนนสายต่างๆตัดผ่านทำให้การสัญจรของผู้คนสะดวกมากขึ้น ราคาที่ดินบริเวณที่ถนนตัดผ่านจึงมีราคาสูงขึ้นตาม เจ้าของที่ดินจึงต่างพากันขายที่ดินและออกไปอยู่ชุมชนบริเวณรอบนอกแทน (หน้า 115 , 117 )
การเปลี่ยนแปลงด้านประเพณี วิถีชีวิต และความเชื่อทางศาสนา (หน้า 120 - 121) : ความเจริญทางด้านการศึกษาและเทคโนโลยีสมัยใหม่ทำให้ผู้คนในท้องถิ่นต้องปรับตัวให้ทันกับกระแสโลกปัจจุบัน ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงในด้านวัฒนธรรมและประเพณีไปด้วย เช่น วันรายอที่เป็นวันสำคัญของชาวมุลลิม เนื่องจากเป็นวันระลึกถึงบรรพบุรุษผู้ล่วงลับ จะมีการพาลูกหลานไปละหมาดที่มัสยิดและไปเยี่ยมหลุมฝังศพ(กูโบร์)ของบรรพบุรุษตน รวมถึงการนัดพบเครือญาติหลังจากเสร็จพิธี แต่ปัจจุบันวันรายอได้เปลี่ยนเป็นวันนัดพบของหนุ่มสาว เพราะหลังจากเสร็จพิธีการละหมาดเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็จะแยกย้ายกันไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ
ส่วนการแต่งงานในปัจจุบัน มีการเปลี่ยนแปลงไปเกือบทุกด้าน ช่วงอายุเฉลี่ยของผู้หญิงที่จะแต่งงานอยู่ที่ 15-20 ปี เปลี่ยนเป็นอายุเฉลี่ยที่ 22-24 ปี และพ่อแม่เปลี่ยนการตัดสินใจเลือกคู่ครองให้เป็นไปตามการตัดสินใจของลูกตนเอง ซึ่งผลพวงจากการเป็นสังคมเมือง ทำให้มีผู้คนที่หลากหลายสัญจรผ่านเข้ามามากขึ้น ส่งผลให้มีการแต่งงานนอกพื้นที่ และค่าสินสอดในปัจจุบันกลายเป็นเครื่องบ่งชี้ระดับฐานะทางเศรษฐกิจในสังคมอย่างสำคัญ
ในด้านของความเชื่อและพิธีกรรม:เนื่องจากวิทยาการทางการแพทย์สมัยใหม่ที่เข้ามา ทำให้ผู้คนในท้องถิ่นหันไปทำคลอดที่โรงพยาบาลแทนการทำคลอดกับหมอตำแย จึงทำให้พิธีกรรม “บลีมา” ที่ทำหลังคลอดหนึ่งอาทิตย์ค่อยๆหายไป รวมถึงวิธีการตั้งชื่อเด็กให้เชื่อมโยงกับศาสนา ก็ได้เปลี่ยนเป็นการตั้งชื่อตามสมัยนิยมด้วย แม้กระทั่งในด้านพฤติกรรมของชาวบ้านก็เปลี่ยนไป ตัวอย่างเช่น จากการเสี่ยงโชคหรือการเล่นหวยของชาวบ้าน จากอดีตที่เคยเป็นการเล่นเพื่อสนุกสนานได้เปลี่ยนไปตั้งแต่ปี พ.ศ.2540 ที่มีเบอร์มาเลย์เข้ามา ทำให้ความถี่ในการเสี่ยงโชคมากขึ้น เพราะเบอร์มาเลย์มีการออกรางวัลสัปดาห์ละสามครั้ง คือวันพุธ วันเสาร์และวันอาทิตย์ อีกทั้งบางสัปดาห์ยังมีรอบพิเศษในวันอังคารด้วย ทำให้เกิดพฤติกรรมการใช้เงินทองที่สิ้นเปลืองมากขึ้น |
|
Map/Illustration |
ภาพถ่าย ได้แก่ พระพิมพ์ที่พบบริเวณถ้ำคูหาภิมุข บ้านหน้าถ้ำ จังหวัดยะลา (หน้า 4) ร่องรอยวังเก่ายาลอ (หน้า 8) การเข้ามาของถนนรถไฟ (หน้า 12) ภูเขายาลอ (หน้า 17) สภาพสุสานเจ้าเมืองยาลอ (หน้า 25) เครื่องครอบหลุมศพทำด้วยหินอ่อน (หน้า 26)ภูเขาหน้าถ้ำ และ ความเป็นอยู่ชุมชนหน้าถ้ำ (หน้า 29) รูปยักษ์หน้าถ้ำคูหาภิมุข (หน้า 30)รันเวย์สนามบินเก่าที่บ้านท่าสาป และ บริเวณท่าเรือเก่าท่าสาป (หน้า 34) โรงหนังเก่าท่าสาป (หน้า 35)ห้างโคลีเซียม ห้างสรรพสินค้าแห่งแรกในเมืองยะลา (หน้า 43) สวนสาธารณะสนามช้างเผือก (หน้า 43)สถานีรถไฟยะลาปัจจุบัน (หน้า 44) ถนนสิโรรสในตัวเมืองยะลา (หน้า 44)การรวมกลุ่มของนักเรียน นักศึกษา (หน้า 45) การแต่งกายของนักศึกษาทั่วไป (หน้า 45) การแต่งกายของนักศึกษามุสลิม (หน้า 46) การเกี่ยวข้าวแบบดั้งเดิม และ ข้าวที่เก็บเกี่ยวแล้วเตรียมหาบกลับบ้าน (หน้า 63)การเกี่ยวข้าวของชาวบ้าน (หน้า 64) ว่าวของชาวบ้าน (หน้า 65) รูปลักษณ์ของกังหันลม (หน้า 66) การเกษตรเชิงเดี่ยว (หน้า 68) การปลูกสละแทรกในสวนผลไม้ (หน้า 69) คลองตาชี (หน้า 70) บ่อน้ำที่มีอายุกว่า 100 ปี (หน้า 71) ทุ่งกาโลทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ส่วนรวมของชาวบ้าน (หน้า 73) สนามบินท่าสาป (หน้า 74) สภาพเขากำปั่นที่ถูกระเบิดหิน (หน้า 75) สภาพตลิ่งที่ถูกดูดทราย (หน้า 77) การเลี้ยงปลาในกระชังแม่น้ำปัตตานี (หน้า 77) วันฮารีรายอของมุสลิม (หน้า 83) การเชือดวัวกุรบานในวันอัยฎิลอัฎฮา (หน้า 83) ขันหมากพิธีแต่งงานของมุสลิม (หน้า 91) ขันหมากที่มากับขบวนแห่ (หน้า 92) เจ้าบ่าว – เจ้าสาว ในวันแต่งงาน และ ขบวนแห่ขันหมาก (หน้า 94) ประเพณีชิงเปรตบ้านหน้าถ้ำ (หน้า 97) หินกูโบร์ที่เคลื่อนย้ายมาเอง (หน้า 108) ร้านค้าคนจีนบ้านเนียง (หน้า 111) ตลาดนัดบ้านเนียง (หน้า 111) สภาพการทำมาหากินที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรของชาวบ้าน ซึ่งมีรูปแบบสี่แบบ คือ การทำนาข้าว การทำสวนผลไม้ การทำสวนยาง และการปลูกพืชบริเวณที่ภูเขา (หน้า 113)นาร้างที่บ้านหน้าถ้ำ ถมที่ดินเตรียมเป็นโรงงาน (หน้า 115) ถนนลูโรงค์หรือถนนขนาดเล็กเชื่อมระหว่างหมู่บ้าน (หน้า 116) ถนนขนาดใหญ่สี่เลนที่ผ่านบ้านหน้าถ้ำ (หน้า 116) ตลาดในเมืองและห้างสรรพสินค้าเข้ามาแทนที่ย่านการค้าภายในชุมชน เชื้อเชิญให้คนหนุ่มสาวเข้าไปจับจ่ายใช้สอย (หน้า 118) การขายที่ดินริมถนน (หน้า 118) สภาพบ้านของกลุ่มคนจน (หน้า 123) และสภาพบ้านของกลุ่มคนชั้นกลาง (หน้า 125) ส่วนภาพถ่ายประกอบที่ปรากฏในส่วนของภาคผนวกที่1ได้แก่ ตำราเลือกช้าง (หน้า 144) และ ตำราเลือกม้า (หน้า 145)
ภาพวาดประกอบ ได้แก่ ภาพวาดจำลองสภาพแวดล้อมท้องถิ่นยาลอในอดีต (หน้า 56) การเปลี่ยนแปลงรูปแบบของสภาพแวดล้อมริมคลองตาชี : การจัดการแบบธรรมชาติ และ การจัดการแบบสมัยใหม่และการควบคุมภูมิทัศน์โดยรัฐ (หน้า 57)
แผนที่แบบเขียนมือ ได้แก่ แผนที่แสดงที่ตั้งของกลุ่มบ้านยาลอและเมืองยะลาในปัจจุบัน (หน้า 14) แผนที่ตำบลยาลอในอดีต (หน้า 19) แผนที่ตำบลยาลอในปัจจุบัน (หน้า 20) แผนที่ตำบลเปาะเส้งในอดีต และ แผนที่ตำบลเปาะเส้งในปัจจุบัน (หน้า 27)แผนที่ตำบลหน้าถ้ำในอดีต และ แผนที่ตำบลหน้าถ้ำในปัจจุบัน (หน้า 32) แผนที่ตำบลท่าสาปในอดีต (หน้า 37) แผนที่ตำบลท่าสาปในปัจจุบัน (หน้า 38) แผนที่ตำบลบาโงยซิแนในอดีต และ แผนที่ตำบลบาโงยซิแนในปัจจุบัน (หน้า 41)
แผนที่แบบทางการ ได้แก่ แผนที่แสดงที่ตั้งของเมืองยะลาในปัจจุบัน และ แผนที่ตั้งชุมชนในเขตเมืองเก่ายาลอทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำปัตตานี ตรงข้ามกับเมืองยะลาปัจจุบัน (หน้า 15)
ตารางแสดงช่วงเวลาและเหตุการณ์สำคัญในท้องถิ่นยาลอ (หน้า 47-54) |
|
|