|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
มลายูมุสลิม , ซาไก ,เชิงเขาบูโด-สันการาคีรี , อำเภอรือเสาะ อำเภอศรีสาคร จังหวัดนราธิวาส |
Author |
มะอีซอ โซะมะตะ, สะแม ซิมา, งามพล จะปะกิยา, มะดามิง อารียู, อับดุลย์ลาเต๊ะ สาและ |
Title |
การเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศวัฒนธรรม ในเขตเชิงเขาบูโด-สันการาคีรี กรณีศึกษาบริเวณบ้านตะโหนดอำเภอรือเสาะและอำเภอศรีสาคร จังหวัดนราธิวาส |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเนเชี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
100 หน้า |
Year |
2549 |
Source |
โครงการวิจัยเชิงปฏิบัติการเพื่อศึกษาท้องถิ่นในสามจังหวัดภาคใต้ (ส่วนหนึ่งในโครงการแผนงานร่วมศึกษาหาความจริง เสริมสร้างสุขภาวะ กรณี 3 จังหวัดภาคใต้ คณะทำงานวาระทางสังคม คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) |
Abstract |
การเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศวัฒนธรรม ในเขตเชิงเขาบูโด-สันการาคีรี กรณีศึกษาบริเวณบ้านตะโหนดอำเภอรือเสาะ และอำเภอศรีสาคร จังหวัดนราธิวาส เป็นการศึกษาเชิงเปรียบเทียบความเป็นท้องถิ่นของสองพื้นที่ คือ หมู่บ้านเก่าแก่เชิงเขาบูโด กับ ชุมชนเกิดใหม่ซึ่งมาจากท่าเรือริมน้ำสายบุรี ต้องการหาคำตอบเรื่องการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศและการจัดการทรัพยากรธรรมชาติว่า ได้ส่งผลอย่างไรต่อวิถีชีวิตและการปรับตัวของมลายูมุสลิมในบริเวณลุ่มน้ำสายบุรีตอนกลาง ใช้วิธีการศึกษาด้วยการวิเคราะห์ เก็บข้อมูล และแลกเปลี่ยนความเห็นกับคนในท้องถิ่นและนักวิชาการ โดยในการศึกษาเปรียบเทียบพบว่า ชุมชนมลายูมุสลิมกลุ่มบ้านเชิงเขา ในเขตอำเภอศรีสาคร เป็นชุมชนของมลายูมุสลิมที่เกิดขึ้นใหม่ มีการเคลื่อนย้ายผู้คนมาจากอำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี และ เมืองโกตาบาลูรัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย มีความสัมพันธ์กับกลุ่มชาติพันธุ์ซาไก ในการแลกเปลี่ยนของป่า โดยชาวชุมชนเชิงเขาจะมีชุมทางสำคัญสำหรับแลกเปลี่ยนสินค้าต่างระบบนิเวศกับชุมชนใหญ่ชุมชนอื่น รวมถึงการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและการเคลื่อนย้ายของผู้คนต่างสภาพภูมินิเวศตลอดเวลา ส่วนกลุ่มบ้านตะโหนดในหุบเขาอำเภอรือเสาะ เป็นชุมชนที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน เนื่องด้วยความเชื่อท้องถิ่นและการปกครองด้วยระบบเจ้าเมืองในสมัยก่อน จึงทำให้กลุ่มบ้านตะโหนดยังมีความสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นภายในชุมชนอยู่สูง เห็นได้จากการการทำสวนดูซงและสวนยาง ซึ่งเป็นการปลูกพืชผสมผสานที่แสดงถึงความสามารถในการพึ่งพาภายในชุมชนกันเองได้อย่างดี อย่างไรก็ตามกลุ่มบ้านตะโหนดก็มีความสัมพันธ์ทางการค้ากับบ้านพะปูเงาะด้วย ข้อค้นพบสำคัญของลักษณะเฉพาะของพื้นที่การศึกษา คือ การเติบโตทางเศรษฐกิจของทั้งสองชุมชน มีการเติบโตและถ่ายทอดความรู้ของพืชเศรษฐกิจเชิงเดี่ยวก่อนที่แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติจะเข้ามาในพื้นที่ ตัวแปรสำคัญในการขับเคลื่อน เป็นลักษณะทางวัฒนธรรมของมุสลิมที่ให้ความสำคัญกับเครือญาติและศาสนา ซึ่งทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนภายในวัฒนธรรมได้ง่าย แต่การเข้ามาของพืชพาณิชย์ก็ได้ส่งผลต่อการสูญเสียระบบจัดการทรัพย์สินและทรัพยากรในแบบเครือญาติให้แก่รัฐ ในการเข้ามาควบคุมการใช้ทรัพยากรและเข้าครอบครองสิทธิ์ อีกทั้งส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของกลุ่มซาไกบนเขาสันการาคีรีด้วย ชาวบ้านทั้งสองชุมชนต้องหันมาทำธุรกิจใหม่ คือ การค้าไม้ยาง ซึ่งทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจในสังคมมลายูมุสลิมกันเอง เพราะไม่อาจปรับตัวได้ทันและไม่เกิดการกระจายของรายได้อย่างทั่วถึง |
|
Focus |
เป็นการศึกษาในเชิงเปรียบเทียบระหว่างสองชุมชน ในเรื่องการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศและการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ที่ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตและการปรับตัวของชาวมลายูมุสลิม โดยพิจารณาจากความเป็นท้องถิ่นที่แตกต่างกันไปตามวัฒนธรรม ซึ่งเกิดจากความพยายามในการปรับตัวให้สอดคล้องกับระบบนิเวศที่แต่ละกลุ่มอาศัย รวมไปถึงการศึกษาเรื่องของสิทธิและกรรมสิทธิ์ในทรัพยากรท้องถิ่น อันเกิดจากนโยบายการพัฒนาพื้นที่ ในช่วงเหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ |
|
Theoretical Issues |
ใช้แนวทางการศึกษาแบบเปรียบเทียบระหว่างสองพื้นที่ ซึ่งมีลักษณะทางกายภาพและพัฒนาการความเป็นชุมชนที่แตกต่าง เพื่อหาคำตอบว่าการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศและการจัดการทรัพยากร ส่งผลต่อวิถีชีวิตของชุมชนมลายูมุสลิม ในบริเวณลุ่มน้ำสายบุรีตอนกลางอย่างไร (หน้า ฑ) |
|
Study Period (Data Collection) |
พบข้อมูลการเก็บข้อมูลราคาสินค้า ระบุเวลาไว้ที่ กรกฎาคม ปี 2549 (หน้า 239) |
|
History of the Group and Community |
ชุมชนบริเวณเชิงเขาบูโดตอนกลางของลำน้ำสายบุรี เขตกลุ่มบ้านตะโหนด ประกอบด้วย 4 หมู่บ้าน คือ บ้านตะโหนด บ้านกูโบร์ บ้านดือแยหะยี และบ้านปอเนาะ
1) บ้านตะโหนด มีคลองที่มีต้นกำเนิดจากเทือกเขาบูโด คือ คลองพระพุทธรูปหรือ จาเฆาะบราลอ ซึ่งเป็นบริเวณที่ตั้งถิ่นฐานที่สำคัญของชุมชน มีการใช้ภาษาไทยและมลายู ในสมัยก่อนมีพิธีกรรมสำคัญต่างๆตามแบบศาสนาพราหมณ์-ฮินดู
2) บ้านกูโบร์ พื้นที่บริเวณนี้ถูกเลือกให้เป็นพื้นที่สำหรับเป็นสุสาน เนื่องจากมีลักษณะภูมิประเทศเป็นพื้นที่ราบและแวดล้อมด้วยทุ่งนา เดิมทีมีบ้านเรือนอยู่ไม่มากนัก แต่ชุมชนบริเวณรอบๆได้ขยายที่อยู่อาศัยและครัวเรือนมาเรื่อยๆ จนเกิดเป็นชุมชนบ้านกูโบร์
3) บ้านดือแยหะยี เป็นพื้นที่ของสวนดูซงมากที่สุด สวนดูซง เป็นการปลูกพืชหว่านเมล็ดแบบไม่ได้ตั้งใจ จึงมีพันธุ์ไม้หลายชนิดอยู่รวมกันในสวน ครอบคลุมพื้นที่ริมสองฝั่งคลองเป็นแนวยาว 30 ไร่ แต่ในปัจจุบันได้กลายเป็นสวนระบบใหม่ แทนที่สวนแบบดั้งเดิมและที่อยู่อาศัยของชาวบ้าน
4) บ้านปอเนาะ เป็นชื่อเรียกสถานสอนศาสนา ซึ่งมีที่พักชั่วคราวให้ผู้ที่มาศึกษาหรือคนในพื้นที่
ชุมชนบ้านตะโหนดในอดีตมีหน้าที่ทำนาข้าวและเป็นผู้ติดตามไปป่าให้กับเจ้าเมือง เป็นชุมชนที่เชื่อว่ามีการก่อตั้งขึ้นโดยวงศ์ตระกูลใหญ่ๆของหมู่บ้าน ได้แก่ วงศ์ตระกูลของโต๊ะกูแช เป็นตระกูลที่เข้ามาบุกเบิกพื้นที่และทำสวนดูซง ส่วนวงศ์ตระกูลของซัยยิดซามะและแชนะห์ เป็นตระกูลที่มีความใกล้ชิดกับเจ้าเมือง เนื่องจากเป็นตระกูลที่คอยดูแลกิจการต่างๆ โดยเฉพาะนาข้าวของเจ้าเมือง อีกทั้งมีส่วนสำคัญในการขอพื้นที่ทำกูโบร์ในชุมชนและนำความรู้ของศาสนาอิสลามเข้ามาในชุมชน (หน้า 168-170) |
|
Settlement Pattern |
การตั้งหลักแหล่งของชุมชนบ้านตะโหนดในสมัยแรกเริ่ม จะสร้างบ้านเรือนริมคลอง “จาเฆาะบราลอ” เนื่องจากหาเลี้ยงชีพด้วยการทำไร่และหาของป่า แต่ต่อมาเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ สร้างความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สิน จึงได้ย้ายที่อยู่อาศัยจากริมคลองมาที่เชิงเขา “เป๊าะแอลง” เขตบ้านกำปงตะโหนดและบ้านกูโบร์ (หน้า 167)
ชุมชนเขตภูเขาสันการาคีรี แม่น้ำสายบุรีตอนกลางต่อเนื่องกับตอนบนบริเวณอำเภอศรีสาคร มีการตั้งถิ่นฐานที่เชื่อมโยงกับการใช้ทรัพยากรและลักษณะทางสังคมของชาวมลายูมุสลิม มีการตั้งถิ่นฐานตามสภาพภูมิศาสตร์ลักษณะต่างๆ ดังนี้ ชุมชนเชิงเขา (ไอร์จูโจ๊ะ , ไอร์แตแต , ไอร์โซ) ชุมชนพื้นราบ (กาเยาะมาตี , ตะโต๊ะ , กะลุบี) และชุมชนที่เป็นชุมทาง (ซากอ และ คอลอดาฮง) (หน้า 177) |
|
Demography |
ตำบลซากอ อำเภอศรีสาคร มี 1,176 ครัวเรือน ประชากรทั้งสิ้น 6,826 คน ส่วนตำบลศรีสาคร อำเภอศรีสาคร มี 6390 ครัวเรือน ประชากรทั้งสิ้น 28,439 คน (หน้า 246-247)
อำเภอศรีสาคร มีประชากรประมาณ 30,915 คน โดยในตำบลซากอ มีประชากร 3,640 คน เป็นชาย 1,891 คน หญิง 1,740 คน ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามและประกอบอาชีพเกษตรกร (หน้า 187) |
|
Economy |
การบุกเบิกพื้นที่ทำกินของชุมชนบ้านตะโหนดสามารถแบ่งได้เป็น 3ยุค (หน้า 190) ได้แก่
1. ยุคทำมาหากินอยู่กับป่า มีการพึ่งพาทรัพยากรจากป่าเป็นสำคัญในการดำรงชีวิต มีการรับประทานพืชประเภทหัวใต้ดินเป็นอาหารหลักแทนข้าวในยามขาดแคลน เช่น มันต่างหรือหัวบุก เป็นต้น รวมไปถึงการดักนกในป่า การเก็บน้ำผึ้งบนต้นหยวน(มาดูตอแล) และยิงสัตว์น้ำด้วยธนูจากแม่น้ำลำธารที่อุดมสมบูรณ์มารับประทานร่วมด้วย อีกทั้งเครื่องเทศที่ได้จากป่า เช่น ลูกกระวาน ลูกดีปลี พริกไทย และลูกกูเล็ง สามารถนำมาใช้แกงและต้มเนื้อสัตว์ต่างๆที่หามาได้ ส่วนผลไม้ที่เก็บได้จะเก็บไว้รับประทานเป็นอาหารว่าง ผลไม้ป่าที่นิยมนำมารับประทานกัน เช่น ลูกสือกือระ ลูกตือระ ลูกเยาะ ลูกกีนะ ลูกหว้า ลูกหยี มะม่วงป่า เป็นต้น นอกเหนือจากของป่าที่ได้มาเป็นอาหารสำหรับประทังชีวิต ยังมีชันไม้ที่เป็นเชื้อเพลิงอย่างดี อีกทั้งเปลือกไม้ยังสามารถนำมาทำเป็นเสื้อผ้าได้อีกด้วย ในระบบการทำนายุคแรกของชุมชนบ้านตะโหนดจะอาศัยน้ำที่ไหลจากธรรมชาติจากภูเขาเป็นหลัก จึงได้ทำนาปีละหนึ่งครั้ง แต่หลังจากที่ระบบเจ้าเมืองได้ขยายมาสู่บ้านตะโหนด ได้มีการสร้างทำนบเก็บน้ำ โดยปิดน้ำจากคลองจาเราะรมให้ไหลสู่ทำนบ ชาวบ้านเริ่มมีพัฒนาการด้านอุปกรณ์การทำนา มีการขุดคูน้ำสองข้างแปลงนาเพื่อส่งน้ำ จึงเกิดประเพณีการขุดคลองและซ่อมบำรุงก่อนไถนาหนึ่งเดือน ป้องกันบ้านเรือนที่อาจถูกกัดเซาะ อีกทั้งยังมีการร่วมกันลงแขกช่วยเพื่อนบ้านในกรณีจำเป็น และมีพิธีทำบุญกินข้าวใหม่หลังเก็บเกี่ยวผลผลิต ที่ทำกินที่สำคัญอีกที่ คือ “พรุ” หรือ “บาโระ” เป็นพื้นที่แหล่งน้ำอันอุดมสมบูรณ์ สามารถใช้ในการปลูกข้าว หาปลา และเลี้ยงสัตว์ ซึ่งการทำนาพรุไม่จำเป็นต้องใช้ทุน แต่ต้องคอยระวังน้ำท่วม เก็บเกี่ยวให้ทันเวลา เนื่องจากข้าวนาพรุไม่ทนน้ำ จึงเกิดวิธีการดูดาว เพื่อคำนวณเวลาและฤดูการลงพันธุ์ และดูการเปลี่ยนแปลงทางสภาพแวดล้อมประกอบ เช่น การออกดอกของต้นเสือสาปหรือต้นขนุนแตกฝัก ที่บ่งบอกถึงการจากลาของฝน เป็นต้น และหลังจากการทำนาพรุเสร็จสิ้นก็จะใช้พรุในการหาปลาและเลี้ยงสัตว์ต่อไป
2.ยุคการแลกเปลี่ยน (แลกของได้ของ) เป็นการนำของท้องถิ่นที่ได้จากป่า เช่น น้ำผึ้ง ชันไม้ กำยาน ไม้หอม เครื่องเทศ ผลไม้ เนื้อสัตว์ และข้าวเปลือก ไปแลกกับสิ่งของที่ไม่มีในท้องถิ่น เช่น เกลือ น้ำบูดู ปลาแห้งทะเล โดยสถานที่แลกเปลี่ยนจุดแรกของชุมชนบ้านตะโหนด คือ “กูวาลอสา” เป็นปากอ่าวแม่น้ำที่มีต้นน้ำไหลมาจากภูเขาบูโด จุดแลกเปลี่ยนจุดที่สอง คือ บ้านทอน เป็นหมู่บ้านติดทะเล ในตำบลโคกเคียง จังหวัดนราธิวาส โดยชาวบ้านจะเตรียมภาชนะที่ทำจากไม้ไผ่หรือหวายเพื่อแบกสิ่งของกลับหมู่บ้านตนเอง และจุดแลกเปลี่ยนล่าสุด คือ แม่น้ำสายบุรี ซึ่งจะมีคนกลางนำสิ่งของจากทะเลมาแลกเปลี่ยนกับแพในแม่น้ำสายบุรี และเกิดท่าเทียบเรือ “บือกาแลบาโงลืมแฆง” โดยวิธีการเดินทางมาแลกเปลี่ยนสิ่งของที่นี่ มีทั้งการสร้างแพมาบรรทุกของและเดินกลับ เพราะใช้แพแลกของด้วย หรือ การใช้ช้างบรรทุกสิ่งของต่างๆ และการเดินทางเท้าพร้อมกับบรรจุสิ่งของใส่ภาชนะที่เตรียมมา
3. ยุคเงินตรา เป็นการนำสิ่งของในท้องถิ่นไปขายให้ได้เงิน แล้วนำเงินไปซื้อสิ่งของที่ต้องการ โดยในยุคแลกเปลี่ยนเงินตรานี้ ทำให้เกิดการแสดงกรรมสิทธิ์ในทรัพยากรมากขึ้น การเติบโตของพืชพาณิชย์และการถือครองที่ดินในระบบกรรมสิทธิ์เอกชนส่งผลต่อความสัมพันธ์ทางเครือญาติและการค้า เกิดพืชเศรษฐกิจ คือ มะพร้าวและยาง โดยมะพร้าวเป็นผลไม้ที่ใช้ในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและประเพณีต่างๆ ส่วนยางเป็นพืชที่คนนอกพื้นที่นำเข้ามาในหมู่บ้านตะโหนด ทั้งคนไทยพุทธ คนจากรัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย คนจีน และคนจากปานนาเระ(หน้า 207)
สวนดูซงนับเป็นพื้นที่ทำกินอันสำคัญของชาวบ้านในชุมชนท้องถิ่น เป็นสวนที่เกิดขึ้นอย่างไม่ตั้งใจในบริเวณที่อยู่อาศัย แบ่งออกได้เป็น 2แบบ คือ สวนที่ตั้งอยู่บริเวณริมน้ำ กับ สวนที่ตั้งอยู่บนภูเขา โดยสวนแบบที่ตั้งอยู่ริมน้ำ สืบเนื่องจากการบุกเบิกที่ดินและสร้างที่อยู่อาศัยริมน้ำ ซึ่งมีการทำไร่และโปรยเมล็ดพันธุ์ต่างๆตามฤดูกาล ทั้งดูกู มะเฟือง มะไฟ กระท้อน มะปราง และโดยเฉพาะทุเรียนที่มีมากที่สุด เป็นต้น สวนดูซงที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุด คือ สวนดูซงบือซา ของตระกูลโต๊ะกูแช โดยเครือญาติทุกคนจะมีกรรมสิทธิ์ในพื้นที่ดูซงใหญ่ แต่สำหรับดูซงเล็กที่อยู่รอบๆ จะมีกรรมสิทธิ์เป็นของรุ่นลูกหลานที่แยกออกมา ส่วนสวนดูซงบนภูเขา เกิดจากการที่ชาวบ้านหลบหนีสงครามขึ้นไปอยู่บนภูเขา การขึ้นไปทำงานบนภูเขาและสร้างกระท่อมพักชั่วคราวไว้ และเกิดจากการที่เคยเป็นพื้นที่เลี้ยงช้างของเจ้าเมืองในอดีต (หน้า 225-226) แต่เมื่อเวลาผ่านไปสวนยางพาราได้เข้ามาแทนที่สวนดูซง เนื่องจากนโยบายของรัฐที่ให้กองทุนสงเคราะห์สวนยางพารา เพื่อให้ปลูกยางพันธุ์แทนยางพื้นบ้าน ประกอบกับการส่งเสริมการปลูกผลไม้เชิงเดี่ยว และมีการแบ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่เคยเป็นของเครือญาติร่วมกัน นำไปสู่ความแตกแยกภายในครอบครัว จนทำให้สวนดูซงล่มสลายลง
ส่วนธุรกิจยางพาราในอำเภอศรีสาครนั้น จะมีการโค่นยางพาราเพื่อแปรรูปประมาณ 100 ตัน หรือ 20 ไร่ ต่อวัน โดยชาวมลายูมุสลิมเจ้าของสวนติดต่อขายให้กับนายหน้าชาวมลายูมุสลิมในพื้นที่ ซึ่งมีหน้าที่ติดต่อหาเส้นทางในการขนส่ง มีเถ้าแก่ทำการประเมินราคายางและตกลงการซื้อขาย และมีเจ้าของบริษัทที่โดยส่วนมากเป็นชาวจีน เป็นผู้รับซื้อไม้ยางป้อนให้กับโรงงานในลำดับท้ายสุด (หน้า 242) |
|
Social Organization |
ระบบความสัมพันธ์ภายในเครือญาติของชาวบ้านตะโหนด ค่อนข้างมีความสัมพันธ์ที่ผูกพันแน่นแฟ้นมาก เพราะมีการแต่งงานภายในเครือญาติ โดยนับจากลูกพี่ลูกน้องขึ้นไปสามารถแต่งกันได้ (หน้า 167)
ดูซงบือซา (DusongBesar) เป็นสวนดูซงที่ใหญ่ที่สุด มีเนื้อที่ประมาณ 10กว่าไร่ และนับเป็นดูซงที่มีอายุเก่าแก่ของวงศ์ตระกูลโต๊ะกูแช โดยเครือญาติทุกคนในวงศ์ตระกูลจะมีส่วนได้รับผลประโยชน์ในฤดูทุเรียน ซึ่งเป็นผลไม้หลักที่ปลูกในดูซงบือซาใหญ่ หรือดูซงบือซาของรุ่นบุกเบิกหรือรุ่นปู่ทวด และมีดูซงเล็กๆล้อมรอบดูซงใหญ่อยู่ โดยผู้ที่ได้รับสิทธิ์ในพื้นที่ดูซงเล็กนี้ก็คือ รุ่นลูกหลานที่แยกตัวออกมาเมื่อมีครอบครัวใหม่นั่นเอง สำหรับผู้ดูแลสวนจะได้รับการแต่งตั้งขึ้นภายในเครือญาติ ซึ่งจะเป็นผู้อาวุโสที่สุด มีหน้าที่ดูแลการออกผลผลิตของทุเรียนในฤดูกาลผลไม้ปีละ1ครั้ง หากผู้ดูแลถางป่าและพบต้นทุเรียนเล็กจะปักไม้เป็นสัญลักษณ์ เพื่อให้ดูแลรักษาต่อไป เมื่อถึงเวลาที่ทุเรียนสุกผู้ดูแลจะตระเวนบอกญาติและมีการอยู่เวรกันดูแลตลอด 24 ชั่วโมง ส่วนญาติที่อยู่ห่างไกลกันจะได้รับข่าวให้มารับผลผลิต แต่หากไม่มารับ ทางญาติก็จะนำทุเรียนมากวนเก็บไว้ให้ สวนดูวงในยุคเงินตราเป็นยุคที่ลูกหลานของระบบสวนดูซงเริ่มคิดจับจองและแบ่งแยกพื้นที่ทำกิน เพื่อปลูกพืชเศรษฐกิจแบบใหม่ คือ มะพร้าวและยางพารา (หน้า 226-228)
ความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนภายในธุรกิจไม้ยางเป็นไปแบบ “ระบบอุปถัมภ์” ซึ่งพบเห็นได้ทั้งความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของบริษัทกับเถ้าแก่ และ คนในท้องถิ่นกับถ้าแก่ โดยเจ้าของบริษัทมักจะสร้างข้อผูกพันให้กับเถ้าแก่ด้วยวิธีการให้กู้เงินล่วงหน้าสำหรับไปทำกิจการอื่น เพื่อให้เถ้าแก่ทำงานกับบริษัทให้ดีที่สุด ส่วนเถ้าแก่เองก็ต้องลงไปพื้นที่ในเขตที่ตนรับผิดชอบอยู่ โดยการไปร่วมงานต่างๆของคนในพื้นที่ ทั้งงานแต่งงาน งานสุนัต หรือแม้แต่เยี่ยมเยียนผู้เจ็บไข้ได้ป่วย เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและไว้วางใจของชาวบ้านที่มีต่อตนเองและบริษัท ส่วนเรื่องความขัดแย้งทางผลประโยชน์ในอดีต อาจมีการเรียกค่าคุ้มครองจากฝ่ายตรงข้ามอยู่บ้าง แต่ในปัจจุบันใช้การแข่งขันในเรื่องการสร้างราคาและการบริการมากกว่า เพราะธุรกิจไม้ยางมีอัตราความต้องการสูงขึ้นเรื่อย (หน้า 242)
มัสยิดกับชุมชนมุสลิมที่คู่กัน ไม่อาจแยกจากกันได้ ซึ่งชาวมุสลิมต้องละหมาดวันละ 5 ครั้ง ทำให้มัสยิดไม่ได้เป็นเพียงสถานที่ปฏิบัติกิจกรรมทางศาสนาเท่านั้น แต่ยังเป็นศูนย์รวมของชุมชนด้วย คือ เป็นทั้งสถานศึกษา สถานที่สำหรับร่วมแสดงความคิดเห็น และสถานที่สำหรับพึ่งพิงทางจิตใจ (หน้า 187) นอกเหนือจากมัสยิดแล้ว ก็ยังมีสถานที่ทางสังคมสำหรับพบปะกันของคนในชุมชนอีกแห่ง คือ ร้านน้ำชา ซึ่งเป็นสถานที่แลกเปลี่ยนข่าวสารต่างๆภายในชุมชนมุสลิม หากแต่การอยู่ที่ร้านน้ำชามากเกินไป ก็จะถูกมองว่าเป็นคนเกียจคร้านการงาน แต่หากไม่พบอยู่ที่ร้านน้ำชาเลย ก็จะถูกมองว่าเป็นคนไม่เข้าสังคม (หน้า 188)
การรวมกลุ่มทางสังคมในชุมชน สามารถแบ่งความแตกต่างของรูปแบบงาน บทบาท สมาชิก และวิธีการในการจัดการ ดังตัวอย่างต่อไปนี้ งานฌาปนกิจของคนในชุมชนจะได้รับเงินช่วยเหลือ 300 บาท ต่อหนึ่งศพ โดยเงินที่ได้จะเก็บจากสมาชิกซึ่งเป็นคนภายในชุมชน คนละ 30 บาท ส่วนกลุ่มงานของคณะกรรมการมัสยิด มีบทบาทสำคัญในการดูแลกิจการของมัสยิด มีโต๊ะอิหม่ามเป็นประธานและเป็นผู้ที่คัดเลือกสมาชิกเข้ากลุ่ม และสำหรับกลุ่มสมาชิกออมทรัพย์ เป็นกลุ่มที่ไม่จำกัดจำนวนสมาชิก มีการซื้อสินค้าปลอดดอกเบี้ยมาให้สมาชิกขายและปันผลกัน (หน้า 217) |
|
Political Organization |
การเดินทางแลกเปลี่ยนสินค้าของกลุ่มบ้านเชิงเขา พื้นราบ และชุมทาง อำเภอศรีสาคร ได้เกื้อหนุนให้เกิดพัฒนาการด้านการปกครอง เพราะระบบการปกครองได้เกิดขึ้นในเมืองริมฝั่งทะเลก่อนที่จะเข้ามาถึงบริเวณหุบเขา (หน้า 214) ระบอบการปกครองของอิสลาม จะมีอิหม่ามเป็นผู้นำชุมชน เพราะมีความรู้ทางศาสนาเป็นอย่างดี สามารถแก้ปัญหาความขัดแย้งในสังคมอิสลามได้ แต่ภายหลังมีจำนวนประชากรเพิ่มมากขึ้น ปัญหาทางสังคมก็มากขึ้นตาม รัฐบาลจึงนำระบบการปกครองแบบกำนันผู้ใหญ่บ้านเข้ามาควบคุมดูแลแทน ซึ่งอำนาจการปกครองแบ่งออกเป็น 2 ทาง ในส่วนของกฎหมายบ้านเมือง จะมีกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เป็นผู้นำ ส่วนในทางศาสนา จะมีโต๊ะอิหม่ามเป็นผู้นำเหมือนเช่นเดิม ในปัจจุบันอำนาจในการปกครองมีความซับซ้อนมากขึ้น ผู้นำในสังคมปัจจุบันเกิดจากบนสู่ล่าง มีการปกครองที่ควบคุมจากศูนย์กลางเป็นหลัก ต่างจากผู้นำสมัยก่อนที่ต้องเป็นคนขยันขันแข็งและมีจิตสาธารณะ เห็นได้จากลักษณะของผู้นำ 3 รูปแบบ ดังนี้ 1) กำนัน อบต. และผู้ใหญ่บ้าน ได้อำนาจมาจากการเลือกตั้งตามกฎหมาย แสดงบทบาทหน้าที่ตามนโยบายของรัฐ 2) โต๊ะอิหม่าม โต๊ะบีลาล และโต๊ะคอเต็บ ได้อำนาจมาจากการเลือกตั้ง มีคัมภัร์อัลกุรอานและหะดิษเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการปกครอง แสดงบทบาทตามหลักคำสอนทางศาสนาอิสลาม 3) ผู้นำตามธรรมชาติ ต้องเป็นผู้ที่มีผลงานและความสามารถส่วนตัว ใช้ภูมิปัญญาในการปกครองคนในชุมชน แสดงบทบาทหน้าที่ตามหลักการทางวัฒนธรรมของท้องถิ่น (หน้า 215-216)
บ้านตะโหนดเคยเป็นพื้นที่สำหรับกลุ่มเคลื่อนไหวแบ่งแยกดินแดน ในสมัย พ.ศ.2500 เนื่องจากเป็นหมู่บ้านที่ล้อมรอบด้วยภูเขา จึงถูกใช้เป็นทางผ่านและที่ซุ่มซ่อนของกลุ่มเปาะเยห์ พรรค BRN. PP และกลุ่มไม่ทราบสังกัดอย่าง กลุ่มมะสือราตี กลุ่มเจ๊ะฆูมา กลุ่มเปาะจิปียา กลุ่มมะสุไหงบาตู และกลุ่มมะแซเต เป็นต้น อย่างไรก็ตามกลุ่มแบ่งแยกดินแดนเหล่านี้มีบทบาทสำคัญต่อวิถีชีวิตของชาวบ้าน โดยเฉพาะการให้ความสำคัญทางด้านศาสนา เช่น การละหมาด 5 เวลา การถือศีลอด และการเรียนการสอนศาสนา อีกทั้งยังช่วยปกป้องชาวบ้านจากผู้มีอิทธิพล เจ้าหน้าที่รัฐที่ไม่ให้ความเป็นธรรม และหัวขโมยด้วย แต่ภายหลังกลุ่มแบ่งแยกดินแดนขัดแย้งกันและมีพฤติกรรมไปในทางเสื่อมเสีย เช่น ปิดสะพาน ปิดการสร้างถนน จับคนจีนเพื่อเรียกค่าไถ่ ยิงชาวบ้านที่เป็นสายให้กับราชการ เป็นต้น ส่วนทางราชการเมื่อทราบความเป็นอยู่ของชาวบ้านว่าได้รับอิทธิพลจากกลุ่มเคลื่อนไหวแบ่งแยกดินแดน จึงได้เกณฑ์คนที่เป็นสายให้กับฝ่ายแบ่งแยกดินแดนไปฝึกเป็นอาสาสมัครป้องกันหมู่บ้านที่ค่ายทหารในจังหวัดนราธิวาส ทำให้บางคนที่ไม่สมัครใจหนีไปเข้าร่วมกลุ่มกับฝ่ายแบ่งแยกดินแดนอย่างถาวร แต่สำหรับคนที่ผ่านการฝึกและได้กลับมาดูแลลาดตระเวนในหมู่บ้านพร้อมกับตำรวจ ต่อมามีการตอบโต้ระหว่างสองฝ่ายอย่างหนัก ประชาชนจำนวนหนึ่งที่อาศัยอยู่แนวป่าท้ายหมู่บ้านถูกจับกุมและทำร้าย ประชาชนส่วนใหญ่จึงย้ายที่อยู่อาศัยไปตั้งบนที่ดินติดถนนใหญ่แทน (หน้า 176-177)
ในสมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย ในปีพ.ศ.2542 ได้มีประกาศกฤษฎีกาอุทยานแห่งชาติ บูโด-สุไหงปาดี เริ่มปักหลักเขตพื้นที่อุทยานติดกับพื้นที่ของชาวบ้านที่อาศัยอยู่รอบๆเขตภูเขาบูโดในปี พ.ศ.2543และทำให้เกิดการทับซ้อนพื้นที่ทำกินของชาวบ้าน หรือ สวนดูซงที่เป็นที่ทำกินของชาวบ้านตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ ทำให้ชาวบ้านเขตเขาบูโดรวมตัวกัน เพื่อเรียกร้องสิทธิที่ทำกินอันชอบธรรม โดยได้เข้าร่วมกับกลุ่มชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากการประกาศเขตอุทยานทับที่ทำกินของประชาชนใน 14 จังหวัดภาคใต้ และร่วมต่อสู้กับกลุ่มสมัชชาคนจนด้วย การประกาศเขตอุทยานจึงทำให้ระบบการจัดการของสวนดูซง หรือ การจัดการในระบบเครือญาติ สูญหายไปด้วย เพราะชาวบ้านไม่อาจเข้าไปเป็นผู้ดูแลจัดการได้เหมือนสมัยก่อนอีกต่อไป (หน้า 232) เช่นเดียวกับการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ในกรณีโครงการสร้างนิคมสร้างตนเองพัฒนาภาคใต้จังหวัดยะลา และแยกออกมาเป็นนิคมสร้างตนเองศรีสาคร ในปี พ.ศ.2526 ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดสรรที่ดินให้ราษฏรที่ยากจน แก้ปัญหาด้านสังคม การเมือง เศรษฐกิจ และความมั่นคงของชาติ เพื่อความคล่องตัวในการสนองงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ(หน้า 234)และ การริเริ่มโครงการอนุรักษ์ธรรมชาติและสัตว์ป่า สวนป่าพระนามาภิไธยภาคใต้ พื้นที่ส่วนที่2 ในปี พ.ศ.2533ตามพระราชดำริเกี่ยวกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ธรรมชาติ และการักษาป่าไม้ต้นน้ำลำธาร ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถฯ ทางคณะกรรมการดำเนินโครงการจึงพิจารณาลงความเห็นให้รวมพื้นที่ป่าบริเวณเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า สวนป่าบาลา-ฮาลา อุทยานแห่งชาติบางลาง ป่าสงวนนิคมกือลอง ศรีสาคร และสุคิริน ซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์และเป็นป่าต้นไม้ลำธารผนวกเข้าในโครงการฯ เพื่อเฉลิมพระเกียรติและถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในวโรกาสที่จะทรงมีพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ ในปี พ.ศ.2535(หน้า 235) แต่อย่างไรก็ตามจากการสำรวจเบื้องต้นของนักวิจัยท้องถิ่นพบว่า โครงการที่เกิดขึ้นเหล่านี้ก่อให้เกิดปัญหาเรื่องที่ดินทำกินและการพึ่งพาป่าของประชาชนมากขึ้น เพราะประชาชนจำนวนมากต้องอพยพออกจากป่าโดยไม่ได้รับค่าชดเชยหรือปันที่ดินทำกินให้ โดยเฉพาะสวนดูซงบนภูเขาและริมน้ำที่ชาวบ้านไม่อาจกลับไปดูแลได้เช่นเดิม อีกทั้งยังพบการบุกรุกป่าที่เพิ่มขึ้นจากผู้ที่มีความสัมพันธ์กับข้าราชการ และการจัดสรรพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมแก่การผลิตดั้งเดิมให้กับประชาชนอีกด้วย (หน้า 235-236)
ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในชุมชนของชาวศรีสาครที่ทำธุรกิจสวนยาง อันเนื่องมาจากไม่มีระบบการจัดการที่ดีเหมือนกับระบบสวนดูซงในอดีต จึงทำให้เกิดปัญหาการแย่งชิงทรัพยากรกันเองภายในเครือญาติ ปัญหาความสามารถในการเข้าถึงทรัพยากรที่ลดน้อยลง ปัญหาการกลายเป็นคนไร้ที่ดินทำกิน เพราะขายที่ดินให้กับนายทุนจนหมด หลังจากขายผลผลิตจนหมด กลายเป็นปัญหาสำคัญของชาวมลายูมุสลิมที่ต้องสูญเสียที่ดินทำกินให้กับนายหน้าและเถ้าแก่(หน้า 243)
สถานการณ์ความไม่สงบกับความสัมพันธ์ในเรื่องสิทธิและกรรมสิทธิ์ในทรัพยากรท้องถิ่น เป็นหนึ่งในประเด็นการศึกษานิเวศวัฒนธรรม การเปลี่ยนแปลงของสวนดูซง เป็นเรื่องความสัมพันธ์ชาวบ้านและเจ้าหน้าที่รัฐ เกิดขึ้นในปี 2547 ซึ่งตรงกับช่วงที่มีเหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีการตั้งฐานประจำการของทหารที่ตำบลซากอ และได้มีการริเริ่มโครงการพัฒนาพื้นที่ทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ 900 ไร่ ในปลายปี 2548 ได้เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมเกือบทุกอำเภอในนราธิวาส เกษตรกรจากที่ต่างๆจึงเข้ามาตัดหญ้าในพื้นที่เลี้ยงสัตว์ของชาวบ้านตำบลซากอ สร้างความไม่พอใจให้กับชาวบ้านซากออย่างยิ่ง เพราะเกษตรกรจากที่อื่นได้ทราบข้อมูลจากทหารที่เคยมาประจำการ และไม่มีการแจ้งให้ผู้ดูแลพื้นที่ทราบล่วงหน้า เนื่องจากชาวบ้านมีมุมมองเกี่ยวกับทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ว่าเป็นทรัพยากรของท้องถิ่น แตกต่างจากมุมมองของทหารที่เห็นว่าเป็นที่ดินของรัฐ และตนเองเป็นผู้ริเริ่มโครงการ โดยรวมจะพบว่า นโยบายการพัฒนาชุมชนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่เพียงแต่นำความเจริญของพื้นทางเศรษฐกิจเข้ามาเท่านั้น แต่ได้มีการสร้างระบบการครอบครองสิทธิ์ในแบบของเอกชน เช่น การจัดการพื้นที่สวนดูซงของรัฐ ที่เข้ามาแทนที่การจัดการแบบวงศ์ตระกูล หรือ การประกาศเขตอุทยานแห่งชาติในเขตบ้านตะโหนด และการสร้างสวนป่าพระนามาภิไธย ในอำเภอศรีสาคร ทับพื้นที่ทำกินและสวนดูซงของชาวบ้าน นับเป็นแผนทางเศรษฐกิจที่ถูกกำหนดจากนโยบายรัฐ ซึ่งสามารถอ้างสิทธิ์ในการควบคุมดูแลแทนได้อย่างสมบูรณ์ (หน้า 247-249) |
|
Belief System |
แต่เดิมชุมชนบ้านตะโหนดมีความเชื่อและนับถือผี ก่อนที่ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู จะเข้ามาเผยแพร่ เมื่อศาสนาอิสลามเข้ามาใหม่ๆ ก็ยังคงมีพิธีกรรมทางศาสนาพราหมณ์ฮินดูอยู่ เช่น การกราบไหว้ก้านมะพร้าวหรือตาลตะโหนดในพิธีเข้าสุนัต หรือ การขึ้นเสาเอกในการสร้างบ้านเป็นต้น (หน้า 210) โดยความเชื่อดั้งเดิมในการนับถือเจ้าที่เจ้าทาง บูชาผีบรรพบุรุษในวงศ์ตระกูล และการเลี้ยงผีไว้ใช้งาน ยังปรากฏอยู่ในวิถีปฏิบัติของชาวบ้านตะโหนด ตั้งแต่การสร้างที่อยู่อาศัยที่ต้องทำการขออนุญาตอยู่อาศัยจากเจ้าที่เจ้าทางก่อน เพื่อให้ช่วยปกปักรักษาคุ้มครอง และมีพิธีกันดูรีฮีแดบาลาอาสะแป ซึ่งปฏิบัติกันทุกปี โดยการตักข้าวใส่จานต้องมีการทิ้งลงดินก่อนเพื่อเซ่นไหว้ เช่นเดียวกับการหาของป่าที่ต้องมีการบูชาผีป่าด้วยการสร้างศาลและเซ่นไหว้ ส่วนการปีนต้นไม้ขึ้นไปเก็บของป่าก็ต้องทิ้งสิ่งของชิ้นแรกลงพื้นให้กับผีก่อน ส่วนการเลี้ยงผีไว้ใช้งานนั้น ก็เพื่อป้องกันทรัพย์สิน รักษาอาการเจ็บป่วย แก้แค้น หรือทำสเน่ห์ (หน้า 208-209) รวมไปถึงการดูฤกษ์ยามต่างๆมีหลักเกณฑ์โดยยึดเวลาตามจันทรคติ โดยทุกครั้งก่อนเริ่มพิธีกรรม หมอพื้นบ้านของชุมชนจะแจ้งแก่ผู้ที่มาดูฤกษ์ว่า สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงสื่อเท่านั้น เพราะผู้กำหนดเหตุการณ์ทุกอย่างคือ พระเจ้าอัลลอฮฺ (หน้า 211) การเริ่มพิธีจะเริ่มจากการกล่าวสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าด้วยการอ่านบทในอัลกุรอ่าน ตามด้วยการดำเนินพิธีกรรมและขอพรจากพระเจ้า โดยไม่มีการเก็บค่าบริการแต่จะให้เป็นสินน้ำใจด้วยเงิน 20 บาทแทน หรือไม่เก็บค่าตอบแทนจากคนยากจน |
|
Education and Socialization |
ชุมชนบ้านตะโหนดในช่วงแรกเคยมีการเชิญผู้นำศาสนามาสู่ชุมชน โดยเจ้าเมืองได้เลือกมาจากบ้านกะดูนงตาโมง หรือ ตำบลกะดูนง อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี คือ โต๊ะซาฆาห์ มาให้เป็นโต๊ะอิหม่าม หรือ โต๊ะซาฆาหู ทำให้ชาวบ้านต่างศรัทธาและส่งลูกหลานไปเรียนอัลกุรอานและวิชาศาสนา (หน้า 167) ซึ่งแม้ชาวบ้านที่อยู่ห่างไกลก็ได้ร่วมกันติดตามมาเพื่อศึกษาศาสนาและสร้างชุมชนแห่งใหม่ การเป็นผู้นำศาสนาของโต๊ะซาฆาห์ ได้สืบทอดการเป็นผู้นำสู่รุ่นลูกหลานเรื่อยมา (หน้า 172) โดยในสมัยที่แชดิงเป็นกำนันและแชอุเป็นผู้ใหญ่บ้าน (แชดิงและแชอุเป็นหลานของโต๊ะซาฆาห์) ได้มีการเปิดโรงเรียนเป็นครั้งแรกโดยการจัดการของรัฐบาล แต่เมื่อสอนได้เพียงรุ่นเดียวก็ต้องปิดไป เพราะไม่มีครูสอน 5-6 ปีต่อมาชาวบ้านจึงได้ช่วยกันสร้างโรงเรียนในเขตพื้นที่ของผู้ใหญ่บ้านแชอุอีกครั้ง โรงเรียนแห่งนี้ชื่อว่า โรงเรียนประชาบาล และในสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มีการสร้างโรงเรียนประถมขึ้นอีกแห่ง ชื่อโรงเรียนบ้านดือแยหะยี และเริ่มมีการออกไปเรียนโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามนอกพื้นที่ จนถึงปี 2526 ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะโรงเรียนสอนศาสนาเหล่านี้สอนวิชาสามัญควบคู่ไปด้วย ทำให้นักเรียนสามารถไปเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาได้ (หน้า 211-212) |
|
Health and Medicine |
ชาวซาไกมีหญิงอาวุโสเป็นหมอตำแยทำคลอดให้หญิงซาไก การรักษาด้วยสมุนไพรเป็นวิธีหลักในการรักษาหลังคลอด คือ การดื่มน้ำต้มรากไม้ เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงเป็นปกติ และสามารถกลับมาทำงานต่างๆได้(หน้า 181)
ชุมชนบ้านตะโหนดมีการใช้สมุนไพรท้องถิ่นในการรักษาโรคทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็น แผลสด อาการบวมตามร่างกาย โรคนิ่ว โรคกลากเกลื้อน ไข้หวัด ปวดฟัน กระดูกหัก โรคเส้นเอ็น ยาลดกำหนัด ยาบำรุงทางเพศ รักษาสตรีหลังคลอด ยาแก้ปวด ท้องร่วง อาเจียน แมลงกัดต่อย ท้องอืด หรือริดสีดวง เป็นต้น ซึ่งโรคต่างๆเหล่านี้ชาวบ้านสามารถคิดค้นวิธีรักษาด้วยการใช้สมุนไพรในรูปแบบต่างๆ ทั้งการต้มน้ำเพื่อดื่ม การบดให้ละเอียดเพื่อทา หรือให้กินกับข้าว เป็นต้น นอกจากสรรพคุณทางการรักษาโรคแล้ว สมุนไพรท้องถิ่นยังสามารถใช้สำหรับทำความสะอาดให้กับร่างกายและสิ่งของได้อีกด้วย โดยเนื้อใยของสะบ้าสามารถใช้ขัดถูทำความสะอาดร่างกาย ส่วนใบอ่อนเถารกช้าง รากมะละกอ และขี้เถ้าสด สามารถนำมาใช้ทำความสะอาดเสื้อผ้าได้ (หน้า 193-194) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
กลุ่มบ้านตะโหนดมีการนับถือผีบรรพบุรุษประจำวงศ์ตระกูลเป็นสำคัญ นำไปสู่วัฒนธรรมการแต่งกายที่สอดคล้องกับความเชื่อประจำท้องถิ่น ดังนี้ ชุดแรกที่เจ้าสาวต้องใส่ในวันแต่งงาน ต้องเป็นชุดที่เป็นสีประจำตระกูล สำหรับในงานเข้าสุนัตคนในงานต้องสวมเสื้อผ้าสีเดียวกัน ในส่วนของเครื่องแต่งกายประจำตระกูลที่สำคัญ คือ เชือกผูกคอ เอว และสายสะพาย ซึ่งเป็นของประจำตระกูลที่ผู้อาวุโสจะผูกให้แก่เด็กตั้งแต่อายุ 5 ขวบขึ้นไปเพื่อป้องกันภยันตรายต่างๆ ส่วนทรงผมสำหรับเด็กแรกเกิดจนถึงอายุ 15 ปี ต้องไว้ทรงผมประจำตระกูล ซึ่งมีอยู่สามแบบ ได้แก่ เก็บผมข้างหน้าบนหน้าผาก (กระหม่อม) เก็บผมตรงกลางศีรษะ และ เก็บผมด้านหลัง (ท้ายทอย) คือ จะโกนทั้งศีรษะ ยกเว้นสามที่ดังกล่าวที่จะปล่อยไว้ให้ยาว (หน้า 209) |
|
Folklore |
สมัยก่อนบ้านตะโหนดเป็นเส้นทางผ่านของคณะติดตามช้างเผือกงาสีดำที่หลุดออกมา โดยช้างตัวดังกล่าวได้ข้ามเขามาลงที่บ้านโต๊ะปาแน ทางทิศใต้ของบ้านตะโหนด ในครั้งนั้นมีผู้ติดตาม 6 คนที่ตามสะกดรอยเท้าตามช้างเผือก เกิดล้มป่วยระหว่างเดินทางไปตลอดจนถึงบริเวณโต๊ะแนปา โดยศพทั้งหมดได้ถูกฝังอยู่ในสุสานชุมชนบ้านตะโหนด และเมื่อเจอช้างเผือกและพยายามจะนำกลับ ช้างเผือกนั้นก็เกิดอาการตกมันอย่างรุนแรง ทำให้ต้องตัดไม้ตะเคียนต้นใหญ่ 7 ต้น มาปักลงดินเป็นวงกลม ติดกับคลองจาเฆาะบราลอ เป็นที่อาบน้ำให้กับช้าง ในเวลาต่อมาต้นตะเคียนทั้งเจ็ดได้เจริญงอกงามแตกกิ่งก้านสาขา เป็นที่สักการะบูชาของชาวบ้านในละแวกนั้น (หน้า 170-171)
นิทานปรัมปรา “เมาะแซกดูแว” ที่มีการสันนิษฐานว่าเมาะแซกดูแว มีลักษณะเหมือนคนแต่มีขนาดเท่ายักษ์ ที่เคยตั้งหลักปักฐานบริเวณเชิงเขาเขตหมู่บ้านลูโบะบูโละ ตำบลสามัคคี อำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส โดยที่มนุษย์ได้เข้ามารุกล้ำในเขตพื้นที่ทำกินของพวกเมาะแซกดูแว จึงเกิดความต้องการที่จะเข้าไปซุ่มดูว่ามนุษย์เป็นอย่างไร ซึ่งระหว่างทางไปซุ่มดูพวกเขาได้เจอกับกอไม้ไผ่กอหนึ่งที่ปลายของต้นไม้มีรอยถูกตัดทิ้งจึงคิดในใจว่า มนุษย์น่าจะมีตัวใหญ่เพราะสามารถตัดต้นไผ่ที่สูงได้ จึงเดินทางซุ่มดูต่อไปอีกจนได้พบกับนาข้าวของมนุษย์ที่เตรียมพร้อมสำหรับการดำนา ที่ต้องใช้”คราด” ในการพรวนดิน ที่พวกเขาไม่เคยรู้จักมาก่อน จึงคิดว่าเป็นหวีของมนุษย์ อีกทั้งยังได้พบเห็นเต่าคลานอยู่ในนา จึงคิดว่าน่าจะเป็นเหาที่ตกมาจากหัวของมนุษย์ จึงเกิดความกลัวในอันตรายของมนุษย์จนพวกเมาะแซกดูแวต้องล่าถอยกลับไป (หน้า 171) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ชนเผ่าซาไก เป็นชนดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ในบริเวณเทือกเขาสันการาคีรี ยังคงแต่งกายด้วยใบไม้ดาฮงลือมอ (ต้นมะพร้าวนกคุ่ม) สำหรับท่อนล่าง และเปลือยเปล่าสำหรับท่อนบน ไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง มักจะอพยพไปเรื่อยๆ ใช้ใบไม้สร้างเป็นกระท่อม ก่อกองไฟรอบที่พักในยามค่ำคืน และมีการผลัดเวรกันดูแลความปลอดภัยให้กันจากสัตว์ร้ายต่างๆในป่าด้วย บริเวณหุบเขาบูเก๊ะบาตูฮาปา (ภูเขาหินลาด) เป็นเขตป่าที่ชาวซาไกมักมาพบปะกับคนพื้นราบอยู่เสมอ ชาวซาไกมักมาขอทำงานถางวัชพืชในสวนแทนค่าอาหาร บางครั้งชาวซาไกก็ได้เข้าไปซื้อของในตัวเมืองตามคำชวนของคนพื้นราบ โดยพวกเขามักจะซื้อข้าวสาร ใบจาก ยาเส้น ผ้าถุงสีสด โดยเฉพาะสีแดงซึ่งเป็นสีที่ชอบเป็นพิเศษ ผ้าถุงที่ชายชาวซาไกซื้อเก็บไว้มักจะนำไปเป็นสินสอดขอหญิงแต่งงาน ชายชาวซาไกมักนิยมมีภรรยามากกว่าหนึ่งคน หลังแต่งงานฝ่ายชายต้องย้ายไปอยู่กับครอบครัวของฝ่ายหญิง ครอบครัวชาวซาไกมักนิยมมีลูกมาก เพื่อจะได้มีคนดูแลในยามแก่ชรา ความเชื่อเกี่ยวกับโลกหลังความตายของชาวซาไก เห็นได้จากพิธีฝังศพที่มักจะใส่สิ่งของต่างๆไปพร้อมกับศพด้วย (หน้า 180-181)
วิถีการดำรงชีวิตของชาวมุสลิมมีความผูกพันกับความเชื่อทางศาสนาและวัฒนธรรมของชุมชนอยู่อย่างแน่นแฟ้น เห็นได้จากการปฏิบัติศาสนกิจทางศาสนาอย่างเคร่งครัดในทุกวัน เริ่มตั้งแต่เช้าก่อนพระอาทิตย์ขึ้นจะเริ่มทำละหมาดซุบฮิ และออกไปทำงานกรีดยางในสวนก่อนจะกลับมามาทำละหมาดซุฮรีตอนเที่ยง หลังจากนั้นจะใช้เวลาอยู่บ้าน ทำงานบ้าน หรือไปร้านน้ำชาในช่วงบ่าย และกลับบ้านมาละหมาดอัสรีในตอนเย็น จนถึงช่วงเย็นหลังพระอาทิตย์ตกดินจะมีการละหมาดมัฆริบอีกครั้ง และละหมาดอีซาในช่วงค่ำเป็นครั้งสุดท้ายของวัน สถานที่ที่ชาวมุสลิมมักไปพบปะสังสรรค์ คือ ร้านน้ำชาและมัสยิดโดยเฉพาะมัสยิดที่นอกจากเป็นสถานที่ที่ใช้ในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาแล้ว ก็ยังเป็นศูนย์รวมของชุมชนในฐานะพื้นที่ทางความคิดที่ชาวมุสลิมใช้ในการแสดงความเห็นและจัดกิจกรรมต่างๆ สำหรับวันศุกร์เป็นวันพิเศษของชาวมุสลิม เพราะทุกคนต้องไปละหมาดที่มัสยิดทุกวันศุกร์ และในช่วงเที่ยงของทุกวันศุกร์จะหยุดงานเพื่อทำกิจกรรมสร้างความสัมพันธ์ภายในชุมชนชาวมุสลิม เช่น การฟังการบรรยายตามมัสยิดต่างๆ หรือ การแวะไปเยี่ยมเยียนญาติพี่น้อง เป็นต้น(หน้า 187-188) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศบริเวณชุมทางของอำเภอศรีสาคร เกิดจากการเข้ามาตั้งถิ่นฐานของคนต่างถิ่น เช่น ชาวสายบุรีและคนบริเวณปากน้ำและการเข้ามาของหน่วยงานรัฐ การติดต่อซื้อขายทางทะเลได้ซบเซาลงในปี 2510-2514 เนื่องจากมีถนนทางหลวง สายบุรี-รือเสาะ-ศรีสาคร การเปลี่ยนเส้นทางคมนาคมจากทางน้ำไปสู่ทางบก ส่งผลต่อความสัมพันธ์ทางการค้า เพราะทำให้การคมนาคมสะดวกยิ่งขึ้น และต่อมาในปี 2517 ก็เริ่มมีหน่วยงานราชการต่างๆเข้ามาตั้งในกิ่งอำเภอศรีสาครมากขึ้น เช่น โรงพยาบาล โรงพัก เป็นต้น ส่วนในปัจจุบันจะพบความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการสื่อสารเพิ่มขึ้นอย่างสูง โดยเฉพาะวัยรุ่นที่มีศักยภาพในการเรียนอย่างรวดเร็ว มีการแต่งกายตามสมัยนิยมมากขึ้น แต่ยังคงมีการคลุมฮิญาบสำหรับผู้หญิงอยู่ตามหลักการทางศาสนาอิสลาม โดยปกติชาวมุสลิมจะพูดภาษายาวี แต่เมื่อมีผู้คนจากต่างถิ่นเข้ามาปะปนก็จะมีการพูดภาษายาวีปนภาษาไทยด้วย (หน้า 217-218) |
|
Map/Illustration |
ในงานการศึกษาชิ้นนี้มีภาพวาดประกอบ คือ ภาพแสดงอุปกรณ์และการเก็บชันไม้ (หน้า 195) และภาพถ่าย ได้แก่ สภาพภูมิประเทศของบ้านตะโหนด มีพรุและที่ราบอยู่ระหว่างหุบเขา (หน้า 161) สภาพกูโบร์หรือสุสาน ที่ตั้งอยู่ใกล้เคียงกับบ้านกูโบร์ (หน้า 163) สภาพสวนดูซงในปัจจุบัน (หน้า 164)สภาพที่ราบกว้างใหญ่ระหว่างหุบเขา บ้านตะโหนดที่เหมาะสมกับการตั้งถิ่นฐาน (หน้า 168)กลุ่มคนที่ชุมชนเชิงเขา (หน้า 179) สภาพชีวิตที่เปลี่ยนแปลงของซาไก (หน้า 182) ซาไก กลุ่มชนเผ่าดั้งเดิมของเทือกเขาสันการาคีรี (หน้า 183)ที่ราบสำหรับทำนาในชุมชนพื้นราบ (หน้า 184) ชุมชนชุมทาง ชุมชนบนพื้นที่ทางการค้า (หน้า 185)ทำนบเก่าเชิงเขาที่บ้านตะโหนด โดยการบัญชาของเจ้าเมืองรือมัญ (หน้า 199) การทำนาที่บ้านตะโหนด (หน้า 200) ข้าวพันธุ์ “จือปอ” พันธุ์ข้าวในนาพรุ (หน้า 204) “คอลอกาเว” หรือ แม่น้ำสายบุรี ส่วนที่ไหลผ่านอำเภอศรีสาคร (หน้า 218) เด็กเตรียมเข้าพิธี มาโซ๊ะยาวี หรือ สุนัต (หน้า 220) สภาพสวนดูซงบนภูเขา และ สภาพสวนดูซงริมน้ำ (หน้า 229) การตากยางและลักษณะของยางแผ่น (หน้า 237) การเก็บแผ่นยางรอขาย หลังจากเป็นที่นิยมปลูกในบ้านตะโหนด (หน้า 238) การขนไม้ยางไปขายในอำเภอศรีสาคร และ โรงงานทำไม้ขนาดเล็กที่มีอยู่ทั่วไป (หน้า 241)
ตารางแสดงข้อมูลได้แก่ ตารางปฏิทินการทำนาในรอบปี (หน้า 204) ตารางแสดงเมล็ดพันธุ์ข้าวในท้องถิ่น และ ตารางแสดงพันธุ์ข้าวในพรุ (หน้า 205) ตารางสังเขปช่วงเวลาการเปลี่ยนแปลงในกลุ่มบ้านตะโหนด (หน้า 212-213) ตารางแสดงการเปรียบเทียบผู้นำสามรูปแบบ (หน้า 216) ตารางแสดงกลุ่มทางสังคม (หน้า 217) การดูฤกษ์ยาม (หน้า 221) ตารางแสดงประเพณีวัฒนธรรมสมัยใหม่ในชุมชน (หน้า 222-223)
แผนที่ประกอบมีทั้งแผนที่แบบทางการ ได้แก่ แผนที่แสดงที่ตั้งของบริเวณบ้านตะโหนดที่ตั้งอยู่บริเวณช่องเขาเทือกเขาบูโด ซึ่งกำลังสร้างถนนในปัจจุบันสายยะลา-นราธิวาส อำเภอยี่งอ (หน้า 162)และ แผนที่แสดงที่ตั้งของอำเภอศรีสาครที่ต่อเนื่องกับเทือกเขาสันการาคีรีและบริเวณริมฝั่งน้ำสายบุรี (หน้า 178) และแผนที่แบบเขียนมือ ได้แก่ แผนที่แสดงลักษณะของนิเวศวัฒนธรรมในเขตเชิงเขาบูโด – สันการาคีรี (หน้า 160) แผนที่หมู่บ้านตะโหนดราว พ.ศ.2516-2517 (หน้า 165) แผนที่หมู่บ้านตะโหนดแสดงการแยกหมู่บ้านและสร้างถนน ราว พ.ศ.2527 และ แผนที่หมู่บ้านตะโหนดในปัจจุบัน (หน้า 166)
นอกจากนั้นยังมีภาพในลักษณะแผนผังและสัดส่วนแสดงประกอบ ดังนี้ ภาพตัวอย่างลักษณะพื้นที่ไร่ ที่มีการทำไร่ 3ครอบครัว (หน้า 197) แผนผังแจกแจงเส้นทางการค้า ของกลุ่มบ้านเชิงเขา พื้นราบ และชุมทาง อำเภอศรีสาคร (หน้า 214) ตัวอย่างการพยากรณ์ของหายเพื่อให้หาพบด้วยทิศ (หน้า 222) แผนผังดูซงบือซา แสดงการแตกแขนงที่อยู่อาศัยของรุ่นบุกเบิกและรุ่นลูกหลาน (หน้า 227) แผนผังการจัดการสวนดูซง (หน้า 230) และ แผนผังแสดงสวนดูซงมืองือแค (หน้า 233) |
|
|