|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ม้ง,เศรษฐกิจ,การเปลี่ยนแปลง,ความขัดแย้ง,เชียงใหม่ |
Author |
Ronald D. Renard |
Title |
The Monk, the Hmong, the Forest, the Cabbage, Fire and Water: Incongruities in Northern Thailand Opium Replacement |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
ม้ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้ง-เมี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
8 |
Year |
2537 |
Source |
Law & Society Review, Volume 28, Number 3, pp.657-664. |
Abstract |
ในกลางทศวรรษ 1980 หมู่บ้านม้งที่ป่ากล้วย ได้กลายเป็นพื้นที่แห่งความขัดแย้งระหว่างม้งกับคนไทยพื้นราบ ซึ่งนำโดยพระภิกษุ โครงการพัฒนาพื้นที่สูงไทยนอรเวย์ และกรมป่าไม้ของรัฐบาลไทย ทั้งนี้เนื่องจากความพยายามในการเปลี่ยนวิถีชีวิตของม้งให้หันมาปลูกกะหล่ำปลีเป็นพืชเศรษฐกิจ เพื่อทดแทนการปลูกฝิ่น ซึ่งต้องใช้ระบบส่งน้ำ ปุ๋ย สารเคมี และยาฆ่าแมลง ทำให้คนพื้นราบ ซึ่งอยู่ปลายน้ำไม่พอใจ และโทษว่า ม้งเป็นต้นเหตุของการทำลายสิ่งแวดล้อม เผาป่า และก่อให้เกิดมลภาวะในน้ำ จึงร่วมกันประท้วงขับไล่ให้ม้งย้ายไป โดยมีพระพงษ์ศักดิ์เป็นแกนนำ มีการล้อมรั้วลวดหนามแบ่งกั้นม้งออกจากคนไทยพื้นราบ และประท้วงให้ย้ายม้งไป แต่เนื่องจากไม่มีพื้นที่อื่น ม้งจึงยังคงอยู่ต่อไป |
|
Focus |
ศึกษาปัญหาความขัดแย้งระหว่างม้งที่บ้านป่ากล้วยและคนพื้นราบที่อยู่ปลายน้ำ และการเข้ามาจัดการกับปัญหานี้ของ 3 เสาหลัก คือ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ |
|
Theoretical Issues |
ผู้เขียนเสนอว่า การส่งเสริมของโครงการต่าง ๆ ให้ม้งเปลี่ยนมาปลูกกะหล่ำปลีและพืชเศรษฐกิจอื่น ๆ เพื่อทดแทนการปลูกฝิ่น ตลอดจนการย้ายถิ่นฐานม้งจากบริเวณที่เคยทำไร่หมุนเวียน ซึ่งกลายเป็นพื้นที่เขตอนุรักษ์ป่ามาอยู่ที่บ้านป่ากล้วยนั้น ทำให้เกิดความขัดแย้งต่อต้านจากชาวบ้านในบริเวณที่ต้องใช้น้ำในพื้นที่ต่ำลงมา ปัญหานี้มิใช่เป็นเพียงความขัดแย้งเรื่องทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมเท่านั้น ผู้เขียนต้องการชี้ว่านี่เป็นปัญหาที่ฝังรากลึกในทัศนคติเกี่ยวกับกลุ่มคนที่อาศัยในป่าและพื้นที่สูง อันสืบเนื่องมาจากการก่อตัวของสามสถาบันหลัก คือ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ในการก่อตั้งรัฐชาติสมัยใหม่ ที่ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตและความคิดว่าด้วยการเป็นพลเมืองไทย (น.657- 658) |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
ไม่ระบุ เป็นการศึกษาจากเอกสาร |
|
History of the Group and Community |
ในทศวรรษ 1930 ม้ง (ที่ป่ากล้วย) อพยพมาที่ อ.จอมทอง ห่างออกไป 60 ก.ม. ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเชียงใหม่ และตั้งถิ่นฐานอยู่ห่างจากบริเวณหมู่บ้านปัจจุบัน 5 ก.ม. จนทศวรรษ 1970 จึงได้ย้ายมาที่ป่ากล้วย (น.662) |
|
Economy |
โครงการผลิตภัณฑ์และการตลาดทางการเกษตรบนพื้นที่สูง ได้เข้ามาสนับสนุนให้ม้งที่บ้านป่ากล้วยปลูกพืชอื่นทดแทนฝิ่น โดยให้เมล็ดพันธุ์ไปเพาะปลูก และรับซื้อผลผลิต แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จนักเพราะฝิ่นสร้างรายได้ให้มากกว่าพืชอื่น ๆ มีขนาดเล็กสะดวกในการขนส่งผ่านพื้นที่ป่าเขาได้โดยไม่บอบช้ำเสียหาย ปลูกได้ดีในพื้นที่ที่มีดินน้อย มีคุณค่าเป็นยาด้วย ไม่จำเป็นต้องเก็บไว้ในตู้เย็นดังเช่นพืชอื่น ๆ ในระหว่างปี 1980-1984 ที่ HAMP เข้าไปนั้น ไม่สามารถจะลดการปลูกฝิ่นได้มากนัก โครงการพัฒนาของไทย-นอรเวย์ (TN-HDP) เข้ามารับช่วงต่อในปี 1984 รัฐบาลได้เข้าไปทำลายไร่ฝิ่นในป่ากล้วยและจับกุมผู้ปลูก ชาวบ้านหันมาปลูกกะหล่ำปลีทดแทน และเหลือเพียงปลูกฝิ่นเล็กน้อยเพื่อใช้เอง ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่พืชที่โครงการสนับสนุน ม้งทำตามอย่างม้งที่แม่โถ และแม่วัน มีรถบรรทุกมารับผลผลิตจากหมู่บ้านส่งไปขายกรุงเทพฯ ทำรายได้มากพอ ๆ กับฝิ่น การปลูกกะหล่ำปลีจำนวนมากทำให้มีการใช้ยาฆ่าแมลง และทำระบบชลประทาน ติดตั้งสปริงเกอร์รดน้ำ จนปี 1985-86 ชาวไทยพื้นราบที่อยู่ปลายน้ำเริ่มสังเกตถึงกระแสน้ำที่ลดลง และมีมลพิษจากสารเคมีที่ม้งใช้ |
|
Political Organization |
สมัยรัชกาลที่ 5 แม้จะเริ่มมีกระบวนการทำให้คนที่อยู่ในพื้นที่ต่าง ๆ กลายเป็นพลเมืองไทย เช่น ร.5 เสด็จเยี่ยมกะเหรี่ยงตามชายแดนตะวันตก และสร้างสัมพันธ์กับผู้นำโดยให้ทำหน้าสอดแนมข่าวบริเวณชายแดน อย่างไรก็ตาม สมัย ร.6 เมื่อมีความชัดเจนเรื่องอาณาเขตประเทศ ผู้นำไทยก็หมดความสนใจ (น.661-662) ชนเผ่าต่าง ๆ ที่อยู่บนที่สูงและห่างไกลก็ยังคงรักษาวิถีชีวิตดั้งเดิมไว้ บางกลุ่มยังไม่ได้เป็นพลเมืองสัญชาติไทย จนกระทั่งปี ค.ศ.1896 จึงมีการตั้งกรมป่าไม้ โดยจ้างชาวอังกฤษมาดูแล เพื่อแก้รวมศูนย์อำนาจแก้ปัญหาการให้สัมปทานทำไม้แก่บริษัทต่างชาติซ้ำซ้อนกันของเจ้าเมืองทางเหนือ ปี 1913 รวบอำนาจให้การตัดไม้ทุกชนิดอยู่ความดูแลของกรมป่าไม้ ปี 1938 ออกกฎหมายป่าสงวน ตามแนวคิดที่ต้องกันคนออกจากป่า จึงเกิดความขัดแย้งกับคนจำนวนมากที่อาศัยอยู่ในป่า ทำไร่หมุนเวียน เก็บของป่า ล่าสัตว์ ปี 1985-86 ได้มีการกำหนดโซนบริเวณลุ่มน้ำในภาคเหนือ ห้ามทำกิจกรรมที่จะก่อผลกระทบต่อป่าและทรัพยากรธรรมชาติ มีการแบ่งระดับตามคุณภาพ เช่น พื้นที่ที่ต้องอนุรักษ์ เป็นระดับ 1 A ไปจนถึงพื้นที่หุบเขาที่มีคนอาศัยอยู่เป็นระดับ 5 เป็นการเข้าควบคุมพื้นที่ป่าทั้งหมดของรัฐ ทำให้เส้นแบ่งเดิมที่แยกคนเมืองกับคนป่าหมดไป เหลือเป็นเพียงประชาชนที่อาศัยอยู่ในประเทศ และแบ่งเป็นผู้ที่มีสัญชาติไทยกับคนต่างด้าวเท่านั้น (658-660) ทศวรรษ 1950 เริ่มมีการต่อสู้ตามชายแดน ม้งและชาวเขาเริ่มถูกมองว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงในแง่ความมั่นคง ปี 1959 รัฐบาลไทยกำหนดให้การปลูกฝิ่นเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ม้งและชาวเขาเริ่มถูกมองว่าเป็นตัวปัญหาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งนี้เพราะแต่งตัวต่างไป ไม่ได้พูดภาษาไทย มีชีวิตที่ต่างไปจากคนไทยพื้นราบ โดยเฉพาะการเพาะปลูกโดยเผาถางป่า จึงมีการตั้งหน่วยงานเฉพาะของรัฐขึ้นจัดการกับคนกลุ่มนี้ เพื่อให้ม้งเลิกปลูกฝิ่นและมีความภักดีต่อชาติ จึงเกิดโครงการพัฒนาปลูกพืชทดแทนขึ้นในปี 1973 ในนามของ HAMP โดยใช้เงินของสหประชาชาติ ป่ากล้วยก็เป็นหมู่บ้านที่เข้าโครงการด้วย (น.662) ม้งบ้านป่ากล้วยหันมาปลูกกะหล่ำปลีเพื่อส่งขายกรุงเทพฯ มีการใช้ยาฆ่าแมลง และทำระบบชลประทานกั้นน้ำ จนเกิดความขัดแย้งกับคนไทยพื้นราบที่อยู่ปลายน้ำซึ่งได้รับผลจากกระแสน้ำที่ลดลง มลพิษทางน้ำ และเห็นว่าม้งไม่ใช่คนไทย ควรจะถูกขับไล่ไปจากป่ากล้วย เกิดความโกรธแค้นจะเข้าไปเผาทำลายหมู่บ้าน (น.663) (ไม่ได้ระบุปี คาดว่าเหตุเกิดหลังปี 1986-ผู้สรุป) พระพงษ์ศักดิ์ เตชะธัมโม (ซึ่งเป็นหนึ่งในลูกศิษย์ท่านพุทธทาสภิกขุ พบว่ามีการตัดไม้และทำถนนโดยม้งและคนพื้นราบ จึงริเริ่มตั้งมูลนิธิธรรมนาทขึ้นในปี 1983 เพื่ออนุรักษ์ป่า เป็นพระสงฆ์ที่มีบทบาทเคลื่อนไหวทางสังคมให้รักษาป่า) (น.661) ได้พยายามจะลดความโกรธของชาวบ้านด้วยการระดมทุนมาสร้างรั้วลวดหนามยาว 14 กม.ตามบริเวณลุ่มน้ำกั้นระหว่างม้งกับคนพื้นราบ (น.663) แม้ว่าจะเกิดความขัดแย้ง แต่โครงการ TN-HDP ก็ยังดำเนินต่อ ข้อพิพาทว่าม้งถางพื้นที่ป่าใหม่นั้นค่อนข้างซับซ้อน เพราะตามระบบเดิมนั้น ม้งเพาะปลูกหมุนเวียน โดยจะปลูกพืชในบริเวณเดิม 1-2 ปี แล้วพักไว้ให้ป่าฟื้นตัว อีก 7-8 ปีจึงกลับมาเพาะปลูก ณ ที่นั้นอีก แต่สำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคย ไม่เข้าใจ ก็จะคิดว่าป่านั้นเป็นป่าดั้งเดิมที่ถูกบุกรุกโดยม้ง (น.663-664) เจ้าหน้าที่ในเชียงใหม่พยายามแก้ปัญหานี้ โดยเสนอให้ย้ายม้งไปอยู่ในพื้นที่อื่น มีหลายครั้งที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกรมป่าไม้ประกาศว่า ป่ากล้วยจะเป็นหมู่บ้านแรกที่ถูกโยกย้าย แต่เพราะไม่มีพื้นที่อื่นอีกแล้ว ม้งจึงยังอยู่ที่ป่ากล้วย ต่อมาพระพงษ์ศักดิ์เริ่มป่วย และมีข่าวลงหนังสือพิมพ์ว่า ยุ่งเกี่ยวกับสีกา ได้ลาสิกขาบท แต่ยังคงนุ่งห่มขาว เมื่อขาดผู้นำในการต่อต้านม้ง ม้งก็ยังคงปลูกกะหล่ำปลีอยู่บนเขาต่อไป (น.664) |
|
Education and Socialization |
มีการตั้งโรงเรียนประถมขึ้นที่บ้านป่ากล้วย สอนด้วยภาษาไทยภาคกลางเพื่อให้เด็กม้งพูดไทยได้ และเรียนรู้ที่จะคิดเหมือนคนพื้นราบ โดยหวังว่าในอนาคตเมื่อม้งกลายเป็นไทยมากพอ (Thai-ized) ก็จะมีความสัมพันธ์กับคนพื้นราบและแก้ปัญหาความขัดแย้งของตนเองกับสังคมภายนอกได้ (น.664) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ม้งมีการแต่งกายที่ต่างออกไปอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งพูดสื่อสารภาษาไทยไม่ค่อยได้ และไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ รวมทั้งมีวิธีเพาะปลูกที่แตกต่างไป (น.663) ดังนั้น จึงทำให้คนไทยพื้นราบรู้สึกว่าม้งไม่ใช่คนไทย ในทางเชื้อชาติและศาสนา แต่สำหรับสถาบันพระมหากษัตริย์แล้ว การให้โอกาสม้งในการเปลี่ยนวิถีชีวิตอย่างค่อยเป็นค่อยไปถือเป็นการผูกใจให้ม้งจงรักภักดี (น.662) |
|
Social Cultural and Identity Change |
โครงการพัฒนาต่าง ๆ และนโยบายของรัฐบาลที่สั่งทำลายไร่ฝิ่นและจับกุมผู้ปลูก ทำให้ม้งบ้านป่ากล้วยหันมาปลูกกะหล่ำปลีเพื่อส่งขายกรุงเทพฯ มีการใช้ยาฆ่าแมลง และทำระบบชลประทานกั้นน้ำ จนเกิดความขัดแย้งกับคนไทยพื้นราบที่อยู่ปลายน้ำ |
|
|