|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
บรู,การมีส่วนร่วม,การอนุรักษ์,ฟื้นฟู,การเปลี่ยนแปลง,ภาษาบรู,ภูมิปัญญา,วัฒนธรรม,อุบลราชธานี |
Author |
พนัส ดอกบัว, พิศพิบูล ละครวงษ์, แพง แก้วใส, สวัสดิ์ พึ่งป่า, อรพิน แก้วใส, ธีระเกียรติ แก้วใส, วุฒิพงษ์ พึ่งป่า, ประดิษฐ์ ละครวงษ์, วิจิตรา แก้วใส, จำลอง สิงห์มณี, สุภาวดี ละครวงษ์ |
Title |
รูปแบบการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และฟื้นฟูภาษาบรู โดยกลุ่มชาติพันธุ์บรู บ้านท่าล้ง ตำบลห้วยไผ่ อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
บรู,
|
Language and Linguistic Affiliations |
- |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
217 หน้า |
Year |
2552 |
Source |
โครงการวิจัย สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ชุดโครงการ CBMAG อีสาน |
Abstract |
โครงการวิจัย รูปแบบการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และฟื้นฟูภาษาบรูโดยกลุ่มชาติพันธุ์บรูบ้านท่าล้ง ตำบลห้วยไผ่ อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประวัติความเป็นมา ภาษาและวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธ์บรูบ้านท่าล้ง ตำบลห้วยไผ่ อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี ศึกษาองค์ความรู้เรื่องภาษาบรู สถานการณ์การใช้ภาษาบรู และสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงภาษาบรู ตลอดจนเพื่อศึกษาและหารูปแบบในการอนุรักษ์และฟื้นฟูภาษาบรูโดยการมีส่วนร่วมของกลุ่มชาติพันธุ์บรูบ้านท่าล้ง ตำบลห้วยไผ่ อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี โดยใช้ระเบียบวิธีการวิจัยแบบมีส่วนร่วม ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องและเก็บข้อมูลภาคสนามด้วยการสังเกตแบบมีส่วนร่วมและไม่มีส่วนร่วม การสัมภาษณ์เชิงลึกผู้นำชุมชน ผู้รู้ และสมาชิกในชุมชน จำนวน 52 คน การจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้
ผลการวิจัยพบว่า เมื่อกลุ่มชาติพันธุ์บรูมาตั้งถิ่นฐานที่บ้านท่าล้ง ประเทศไทย ในพ.ศ. 2452 ได้มีการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมจากเดิมชาวบรูนับถือผีหรือถือฮีตโดยกลุ่มเครือญาติร่วมฮีตกันและมีภาษาพูดเป็นของตนเองมาเป็นนับถือศาสนาพุทธและเข้าวัดทำบุญตามฮีตคองของอีสานแทน
ภาษาบรูเป็นภาษาตระกูลออสโตรเอเชียติกมอญ-เขมร กลุ่มกะตู ชาวบรูใช้พูดสื่อสารกัน ไม่มีตัวหนังสือ ในพ.ศ. 2530 หลังจากชาวบรูบ้านท่าล้งส่งคืนฮีต เลิกนับถือผีแล้วหันมานับถือศาสนาพุทธ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรม การสร้างรัฐชาติของทางการไทยทำให้ชาวบรูใช้ภาษาบรูลดน้อยลงหันมาใช้ภาษาไทยอีสานหรือภาษาไทยกลางโดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ อย่างไรก็ตาม เมื่อชาวบรูได้ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงและคุณค่าความสำคัญของวัฒนธรรม ภาษาบรู จึงได้ร่วมกันศึกษาและหารูปแบบในการอนุรักษ์และฟื้นฟูภาษาบรูด้วยการจัดกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาบรูหลากหลายรูปแบบทั้งในชุมชนและในโรงเรียน ได้แก่ การสืบค้นรวบรวมและถ่ายทอดคำศัพท์ เพลง นิทานภาษาบรูโดยคนเฒ่าคนแก่ และผ่านทางหอกระจายข่าวของหมู่บ้าน เพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟูภาษาบรูให้คงอยู่ต่อไป |
|
Focus |
ประวัติความเป็นมา ภาษา และวัฒนธรรมของชาวบรูบ้านท่าล้ง ตำบลห้วยไผ่ อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อหารูปแบบการมีส่วนร่วมของกลุ่มชาติพันธุ์บรูในการอนุรักษ์และฟื้นฟูภาษาบรู |
|
Theoretical Issues |
ผู้วิจัยพบว่า ภาษาบรูและความเป็นบรูมีลักษณะที่ข้ามพรมแดนรัฐชาติระหว่างไทยกับลาว อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์เชิงอำนาจกับนโยบายรัฐ กระแสโลกาภิวัตน์และทุนนิยมส่งผลให้ชาวบรูต้องปรับตัวและนำไปสู่การใช้ภาษาบรูลดน้อยลงจึงจำเป็นต้องทำการวิจัยแบบมีส่วนร่วมเพื่อให้คนในชุมชนได้มีส่วนร่วมในการวิจัยตั้งแต่ขั้นแรก ทำให้ชาวชุมชนตระหนักถึงปัญหาและค้นหาวิธีแก้ไขร่วมกันกับทีมวิจัย ซึ่งช่วยสร้างองค์ความรู้และประโยชน์กับทั้งคนในชุมชนและทีมวิจัยเอง |
|
Ethnic Group in the Focus |
กลุ่มชาติพันธุ์นี้เรียกตนเองว่า “บรู” ซึ่งหมายความว่า “คน” แต่ชาวพื้นราบมักเรียกขานแบบเหมารวมว่า “ข่า” ในบางท้องถิ่นเรียกว่า “ข่าบรู” ก็มี (หน้า 1, 7) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาบรูจัดอยู่ในตระกูลออสโตรเอเชียติก ตระกูลย่อยมอญ-เขมร (Austroasiatic Mon-Khmer) สาขากะตู ถือเป็นภาษาของกลุ่มชนดั้งเดิมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภาษาบรูไม่มีตัวอักษร มีเพียงภาษาพูดเท่านั้น (หน้า 1, 7, 99-100) |
|
Study Period (Data Collection) |
ระยะเวลาการดำเนินโครงการตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2551 - 31 ตุลาคม 2552
เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการศึกษาค้นคว้าจากสื่อสิ่งพิมพ์และอินเทอร์เน็ต เก็บข้อมูลภาคสนามด้วยการสังเกตแบบมีส่วนร่วมและไม่มีส่วนร่วม รวมถึงการสัมภาษณ์เชิงลึก |
|
History of the Group and Community |
ชาวบรูตั้งถิ่นฐานอยู่ในประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคอินโดจีน ได้แก่ เวียดนาม กัมพูชา พม่า ลาว และไทย โดยในประเทศไทยชาวบรูอพยพเข้ามาอยู่ในจังหวัดมุกดาหาร หนองคาย และอุบลราชธานี
สำหรับจังหวัดมุกดาหาร ชาวบรูที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศลาวได้อพยพเข้ามาในช่วงปี 2426-2430 ในระยะแรกยังชีพด้วยการเก็บของป่าล่าสัตว์ตามวิถีดั้งเดิม แต่ต่อมาเมื่อชุมชนพัฒนาขึ้น ป่าไม้ลดลง ชาวบรูรุ่นใหม่จึงไม่มีความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรเช่นคนรุ่นก่อน ด้านจังหวัดหนองคาย ชาวบรูอพยพมาจากแขวงสะหวันนะเขต ประเทศลาว โดยได้เข้ามาอาศัยอยู่ที่บ้านโพธิ์ จังหวัดหนองคาย ในช่วงที่ฝรั่งเศสปกครองลาวและมีการกดขี่ใช้แรงงานพวกข่า และในจังหวัดอุบลราชธานีนั้น ชาวบรูอพยพจากประเทศลาวเข้ามาตั้งถิ่นฐานในเขตอำเภอโขงเจียม ที่บ้านเวินบึกและบ้านท่าล้ง (หน้า 18)
ชาวบรูอพยพเข้ามาอยู่ที่บ้านท่าล้งในเขตจังหวัดอุบลราชธานีเป็น 3 ช่วง ดังนี้
ช่วง พ.ศ. 2436-2497 ขณะนั้นฝรั่งเศสเข้าปกครองลาว มีการบังคับใช้แรงงานและเก็บภาษีอย่างมาก ชาวบรูบางส่วนจึงได้อพยพมาจากบ้านลาดเสือ แขวงจำปาสัก ประเทศลาว โดยกลุ่มแรกที่อพยพเข้ามาประเทศไทยมีจำนวนประมาณ 10 ครอบครัว เมื่อ พ.ศ. 2452 โดยในครั้งแรกนี้ได้มาขึ้นฝั่งที่ถ้ำทราย (ปัจจุบันคือบ้านตามุย ตำบลห้วยไผ่ อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี) ต่อมาเมื่อถ้ำทรายถูกน้ำท่วมจึงได้ย้ายมาอยู่ที่บ้านท่าล้งในปัจจุบัน หมู่บ้านนี้เดิมชื่อว่า “บ้านท่าลง” เพราะเป็นท่าที่ลงไปยังแม่น้ำโขง แต่ต่อมาชาวบ้านได้ออกเสียงโดยผันไปตามภาษาบรูจึงเรียกกันว่า “บ้านท่าล้ง” ชาวบรูยังชีพด้วยการทำไร่ข้าวบนภูและปลูกผัก เมื่อเกิดชุมชนบ้านท่าล้งปรากฏว่าชาวบรูในประเทศลาวอพยพเข้ามาอยู่กันมากขึ้นเนื่องจากได้รับผลกระทบจากการถูกเรียกเกณฑ์แรงงานและเก็บภาษีอย่างหนักจากฝรั่งเศส ประกอบกับมีโรคระบาดที่ทำให้ผู้คนตายเป็นจำนวนมาก
ช่วง พ.ศ. 2498-2517 เป็นยุคที่ลาวประสบกับสงครามมากมาย เช่น สงครามอินโดจีน สงครามปลดปล่อยชาติ รัฐบาลลาวจึงเกณฑ์ชายฉกรรจ์ไปเป็นทหาร ชาวบรูมีชีวิตอยู่ด้วยความยากลำบากและกลัวว่าจะต้องถูกเกณฑ์ไปรบอีก จึงหนีเข้ามาอยู่กับญาติในหมู่บ้านท่าล้งที่ฝั่งไทย
ช่วง พ.ศ. 2518-ปัจจุบัน เป็นช่วงหลังจากประเทศลาวเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นสังคมนิยม สถาปนาเป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านท่าล้งเล่าว่าในช่วง พ.ศ. 2518 มีคนลาวทั้งที่เป็นลาวลุ่มและชาวบรูอพยพเข้ามาที่บ้านท่าล้งเป็นจำนวนกว่า 100 คน เนื่องจากหนีภัยสงครามและการจับกุมจากทหารของฝ่ายรัฐบาล แต่ส่วนใหญ่ไปอยู่ในศูนย์อพยพและไปประเทศที่ 3(หน้า 64-68) |
|
Settlement Pattern |
ชาวบรูจะสร้างหมู่บ้านเป็นกลุ่ม ไม่มีรั้วบ้าน บ้านเรือนก่อสร้างแบบง่าย ๆ โดยใช้ไม้ไผ่ หลังคามุงด้วยหญ้าคา ส่วนใหญ่จะสร้างบ้านตามแนวตะวันออก-ตะวันตก โดยบันไดอยู่ทิศตะวันตก เมื่อขึ้นบันไดไปจะพบระเบียงหรือ “ห้องเปิง” เป็นพื้นที่ส่วนที่แบ่งจากชานบ้านโดยใช้ตู้หรือม่านกั้นไว้ ห้องเปิงนี้เป็นห้องนอนของพ่อแม่หรือปู่ย่าตายาย ส่วนด้านขวามือจะกั้นเป็นห้องนอน 2 ห้อง ห้องในสุดจะจัดไว้เป็นห้องลูกชายซึ่งจะเป็นที่ตั้งของหิ้งพระและถือว่าเป็นเขตหวงห้าม ไม่ให้ผู้หญิงเข้าไป สำหรับห้องนอนของลูกสาวหรือห้องส้วมจะเป็นห้องที่อยู่ติดบันได หากลูกสาวแต่งงานห้องนี้ก็จะกลายเป็นห้องนอนของลูกเขยด้วย (หน้า 80) สำหรับคอกควายจะทำไว้ข้างบ้าน ไม่นิยมเลี้ยงควายไว้ตรงใต้ถุนบ้าน (หน้า 16)
บ้านของชาวบรูบ้านท่าล้งในปัจจุบันมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบบ้านจนคล้ายกับบ้านของชาวอีสานในชุมชนที่อยู่ใกล้เคียง กล่าวคือ สร้างจากไม้เนื้อแข็ง อาจมีการต่อเติมชั้นล่าง ก่ออิฐถือปูน (หน้า 78-79) |
|
Demography |
ชาวบรูบ้านท่าล้งมีจำนวน 63 ครัวเรือน มีจำนวนประชากรทั้งสิ้น 330 คน เป็นชาย 175 คน และหญิง 155 คน ประชากรส่วนใหญ่มีอายุอยู่ในช่วง 26-45 ปี (จำนวน 120 คน) รองลงมามีอายุอยู่ในช่วง 13-25 ปี (จำนวน 72 คน) ถัดไปคืออายุในช่วง 1-12 ปี (จำนวน 63 คน) 46-60 ปี (จำนวน 47 คน) และอายุ 60 ปีขึ้นไปมีจำนวนน้อยที่สุด คือ (จำนวน 28 คน) (สำรวจเมื่อเดือนมีนาคม 2550) (หน้า 1, 73) |
|
Economy |
บ้านท่าล้งอยู่ติดกับแม่น้ำโขงชาวบรูที่บ้านท่าล้งส่วนใหญ่จึงมีอาชีพหาปลาในแม่น้ำโขงโดยใช้มอง เบ็ด อุปกรณ์จับปลาที่ทำขึ้นเองจากไม้ไผ่ เช่น ลอบ นอกจากนี้ยังประกอบอาชีพทำนา ทำสวน เลี้ยงสัตว์ อีกทั้งพื้นที่ส่วนใหญ่ของชุมชนอยู่ติดกับเขตอุทยานแห่งชาติ ผาแต้มซึ่งมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ชาวบรูจึงได้ใช้ทรัพยากรจากป่าด้วยการหาของป่าและนำไม้ไผ่มาจักสานเป็นกระติบข้าว หวด เครื่องใช้ในครัวเรือนต่าง ๆ โดยเฉพาะกระติบข้าวที่มีเอกลักษณ์ เป็นงานหัตถกรรมขึ้นชื่อที่สามารถสร้างรายได้เป็นอย่างดี ประกอบกับ ปัจจุบันมีการจัดการท่องเที่ยวแบบโฮมสเตย์ กิจกรรมการเดินป่า ล่องเรือให้บริการนักท่องเที่ยวด้วย (หน้า 73, 80-83) |
|
Social Organization |
ชาวบรูถือระบบเครือญาติเป็นสำคัญ และนับถือผีหรือถือฮีตโดยกลุ่มเครือญาติร่วมฮีตกัน ฮีตเป็นสิ่งที่ควบคุมและกำหนดวิถีชีวิต โดยเจ้าฮีตหรือเจ้าโคตรมีอำนาจในการควบคุมดูแลให้สมาชิกปฏิบัติตาม และผีฮีตจะลงโทษผู้ที่ละเมิดหรือทำความผิดที่เรียกว่า ผิดฮีต (หน้า 90) ระบบเครือญาตินี้มีลักษณะคล้ายองค์กรที่ไม่เป็นทางการที่คอยสอดส่อง ควบคุมพฤติกรรมคนในชุมชน อีกทั้งยังทำให้เกิดการขัดเกลาในสังคมของชาวบรู (หน้า 87) นอกจากนี้ ชาวบรูถือระบบผัวเดียวเมียเดียว ในครอบครัวผู้ชายที่อายุมากที่สุดถือเป็นผู้นำ (หน้า 84) |
|
Political Organization |
ชาวบรูตั้งหมู่บ้านอย่างถูกต้องตามกฎหมาย มีการแต่งตั้งผู้ใหญ่บ้านซึ่งมักเป็นผู้ที่อยู่ในครอบครัวซึ่งอพยพเข้ามาตั้งบ้านเรือนที่บ้านท่าล้งเป็นกลุ่มแรก ได้แก่ กลุ่มนามสกุลแก้วตั้งตา (ต่อมาเปลี่ยนเป็น พึ่งป่า), กลุ่มนามสกุลแก้วใส, กลุ่มนามสกุลละครวงษ์ นอกจากนี้ ในหมู่บ้านยังมีผู้นำในการประกอบพิธีกรรมสำคัญ ๆ และนับถือปราชญ์ภูมิปัญญาด้านต่าง ๆ เช่น หมอสมุนไพร หมอลำ/นิทาน นายพราน พรานปลา ผู้เชี่ยวชาญงานจักสาน (หน้า 74-75) |
|
Belief System |
1. ชาวบรูนับถือผีตามที่นับถือกันมานานตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ เรียกว่า “ฮีตข่า คองขอม” คือ กฎจารีตประเพณีที่บรรพบุรุษชาวบรูยึดถือเป็นแนวปฏิบัติมาตั้งแต่สมัยที่อาศัยอยู่ในประเทศลาวหรือนานกว่านั้น (จิตรกร โพธิ์งาม, 2536) ชาวบรูเชื่อว่าหากทำผิดประเพณี
(ผิดผี) จะต้องได้รับการลงโทษจากผีประจำฮีตซึ่งจะพ้นโทษได้ก็ต่อเมื่อเซ่นไหว้ขอขมาผีฮีต การนับถือผียังก่อให้เกิดประเพณีเลี้ยงผีบ้าน โดยทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของหมู่บ้านเป็นที่ตั้งของหอปู่ตาซึ่งชาวบรูเชื่อว่าจะปกป้องคุ้มครองคนในหมู่บ้าน และจัดพิธีเซ่นไหว้เลี้ยงเจ้าปู่เป็นประจำทุกปีและปัจจุบันชาวบรูยังคงนับถือผีบ้านหรือเจ้าปู่แม้จะส่งคืนฮีตหรือส่งคืนผีกับเจ้าฮีตในประเทศลาวแล้ว (หน้า 83, 84, 86-87)
2. ภายหลังจากที่ชาวบรูส่งคืนฮีตอันเป็นความเชื่อที่มาจากประเทศลาว ได้หันมานับถือพระพุทธศาสนา ชาวบรูได้เข้าวัด ร่วมทำพิธีกรรมต่าง ๆ ทำบุญตามฮีตคองของอีสาน ทั้งยังได้ส่งบุตรหลานให้บวชเรียนด้วย ที่พักสงฆ์บ้านท่าล้งกลายเป็นศูนย์รวมในการประกอบพิธีทางพระพุทธศาสนาที่มีบทบาทในวิถีชีวิตของชาวบรูในปัจจุบัน (หน้า 73, 85) อย่างไรก็ตาม ชาวบรูยังคงให้ความสำคัญกับผีซึ่งมีบทบาทในการควบคุมการกระทำต่าง ๆ ในการดำเนินชีวิตโดยมีพุทธศาสนาช่วยกำกับอีกทางหนึ่ง (หน้า 87)
3. ข้อห้ามสำคัญในหมู่บ้านคือห้ามเผาถ่าน โดยเชื่อกันว่าเจ้าปู่ไม่อนุญาตให้เผาถ่านในหมู่บ้าน หากผู้ใดละเมิดจะต้องมีอันเป็นไปและต้องไปขอขมาเจ้าปู่ ซึ่งถือเป็นความเชื่อและวิธีการในการควบคุมการใช้ทรัพยากรป่าไม้ (หน้า 86) |
|
Education and Socialization |
ในพ.ศ. 2506 นายอำเภอโขงเจียมเป็นผู้จัดตั้งโรงเรียนบ้านท่าล้ง ซึ่งสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุบลราชธานี กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย จากนั้นได้โอนมาอยู่ภายใต้สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ ปัจจุบันโรงเรียนบ้านท่าล้งเปิดสอนในระดับก่อนประถมศึกษาและประถมศึกษา มีนักเรียน 43 คน (ปีการศึกษา 2547) ข้าราชการครู 3 คน (หน้า 71)
ด้านการสืบทอดความรู้ของชาวบ้านอาศัยการเรียนรู้ที่ถ่ายทอดกันมาจากบรรพบุรุษหรือคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้าน เช่น การสานหวด กระติบข้าว เครื่องใช้ต่าง ๆ ในครัวเรือนที่ทำจากไม้ไผ่ ความรู้เกี่ยวกับอุปกรณ์จับปลาและเขตหาปลาที่จะจับปลาได้มากอันบอกเล่าสืบต่อกันมาตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่ ประกอบกับการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมและปฏิสัมพันธ์กับคนหาปลาในชุมชนใกล้เคียง (หน้า 80-81) |
|
Health and Medicine |
ยามเจ็บป่วยชาวบ้านจะเดินทางไปรักษาที่ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพชุมชนบ้านหนองผือน้อย หมู่ 7 ตำบลห้วยไผ่ ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากหมู่บ้านท่าล้งเป็นระยะทาง 9 กิโลเมตร นอกจากนี้ยังมีโรงพยาบาลโขงเจียมซึ่งอยู่ห่างออกไป 22 กิโลเมตร (หน้า 71) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ชาวบรูไม่มีเอกลักษณ์ในการแต่งกายเนื่องจากไม่ได้ทอผ้าไว้ใช้เอง มักซื้อเสื้อผ้าจากตลาด การแต่งกายโดยทั่วไปคล้ายกับชาวอีสาน กล่าวคือ ผู้หญิงสวมเสื้อแขนสั้นหรือเสื้อหมากกะแหล่ง นุ่งผ้าถุง ส่วนผู้ชายนุ่งกางเกง (หน้า 17)
วิถีชีวิตของชาวบรูผูกพันอย่างแนบแน่นกับงานจักสานซึ่งเป็นงานหัตถกรรมที่สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ เช่น การสานหวด กระติบข้าว นอกจากใช้ในครัวเรือนแล้วยังสามารถสร้างรายได้นอกฤดูทำนาด้วย การถ่ายทอดความรู้ในการสานจะกระทำเฉพาะในครอบครัวหรือในหมู่เครือญาติ ทั้งนี้ กระติบข้าวซึ่งทำจากติ้วไม้ไผ่ของบ้านท่าล้งถือว่ามีเอกลักษณ์ ไม่เหมือนกับของชุมชนอื่น ๆ โดยเฉพาะวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ นอกจากนี้ยังมีการพัฒนารูปแบบจนกระทั่งกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถสร้างชื่อเสียงให้กับหมู่บ้านได้ (หน้า 81-82) |
|
Folklore |
นิทานที่เล่าถึงสาเหตุที่ทำให้ภาษาบรูไม่มีตัวอักษร โดยกล่าวถึงกษัตริย์อ้ายกก ซึ่งทรงมีพระปรีชาสามารถ ทรงคิดประดิษฐ์ตัวอักษรเพื่อให้ราษฎรได้อ่านเขียนหนังสือ แต่ต่อมาพระองค์สิ้นพระชนม์ในสนามรบเนื่องจากถูกศัตรูทำร้าย อีกทั้งสุนัขยังได้คาบหนังควายซึ่งมีตัวอักษรบันทึกอยู่นั้นไปกินจนหมดสิ้น ส่งผลให้ชาวบรูไม่มีตัวอักษรใช้มาจนถึงทุกวันนี้ ภาษาบรูจึงเหลือเพียงภาษาพูดเท่านั้น (หน้า 100)
นิทานพื้นบ้านที่ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าให้ลูกหลานฟังโดยมีคติสอนใจสอดแทรกอยู่ เรื่อง กอนมูยกับอะการ์ชะลีโลอร์ หรือ กำพร้าปลาบู่ เป็นเรื่องราวของกอนมูย (ลูกกำพร้า) ฐานะยากจนที่อาศัยอยู่กับยาย วันหนึ่งออกไปหาปลาได้ปลาบู่น้อยมาตัวหนึ่ง เขารู้สึกสงสารจึงไม่ได้นำมาทำอาหาร แต่เลี้ยงไว้จนโต ปลาบู่จึงเล่าให้เขาฟังว่าบ่อน้ำในป่ามีจระเข้ทองคำ ให้กอนมูยปล่อยปลาบู่ลงไปกัดกับจระเข้ และบอกว่าถ้าจระเข้ผุดไปทางทิศเหนือให้กอนมูยขอร้องให้เจ้าป่าเจ้าเขาช่วย แต่ถ้าจระเข้ผุดไปทางทิศใต้ให้ดีใจ โห่ร้องไชโย กอนมูยก็ทำตามจนในที่สุดจระเข้ทองคำคลานขึ้นมาตายอยู่บนฝั่ง กอนมูยกับยายจึงกลายเป็นคนร่ำรวย เมื่อพี่ชายของเขารู้ข่าวจึงมาขอยืมปลาบู่ไป แต่ไม่ได้ทำตามสิ่งที่น้องบอก เมื่อปล่อยปลาบู่ลงไปกัดกับจระเข้ ปลาบู่จึงลอยขึ้นมาตาย พี่ชายโกรธและนำปลาบู่มาปิ้งกิน เมื่อน้องรู้เข้าก็เสียใจมาก เขาได้นำก้างปลากลับมาบ้าน วันหนึ่งยายนำก้างปลาบู่มาทเป็นหวี เมื่อหวีแล้วปรากฏว่ายายกลับกลายเป็นสาว พี่ชายจึงมาขอยืมหวีก้างปลาไปหวีผมให้เมียของตัวเอง แต่เมื่อหวีไปแล้วปรากฏว่าหนังหัวหลุดมากองที่ท้ายทอย พี่ชายโกรธมากจึงโยนหวีเข้ากองไฟ กลายเป็นเถ้าถ่าน น้องชายร้องไห้แล้วห่อขี้เถ้าของปลาบู่กลับบ้าน วันหนึ่งกอนมูยเห็นรอยเท้าของเก้ง กวาง จึงลองเอาขี้เถ้าปลาบู่ไปโรยใส่ รุ่งเช้าสัตว์เหล่านั้นก็มานอนตายอยู่ที่รอยเท้านั้นเอง กอนมูยได้นำเนื้อเก้งกวางไปทำอาหารและแจกจ่ายให้ชาวบ้าน ฝ่ายพี่ชายได้ยินเสียงร่ำลือเรื่องนี้จึงมาขอขี้เถ้าปลาบู่ไปโรยรอยเท้าขโมยที่มาลักพืชผักของตนเอง รุ่งเช้าปรากฏว่าพี่ชายและลูกเมียตายกันทั้งครอบครัว (หน้า 113-115) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
กลุ่มชาติพันธุ์นี้เรียกตนเองว่า “บรู” แปลว่า “คน” ชอบอาศัยอยู่ใกล้ภูเขา แต่ชาวพื้นราบมักเรียกขานคนกลุ่มนี้ว่า “ข่า” ซึ่งอาจจะมาจากคำว่าข้าทาสหรือข้อยข้า แปลว่า ผู้รับใช้ ในอดีตชาวไทยที่อาศัยอยู่แถบลุ่มแม่น้ำโขงชอบไปจับชาวบรูหรือที่เรียกว่าพวกข่ามาเป็นข้าทาส จนกระทั่งในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีประกาศห้ามมิให้จับอีก (หน้า 7)
อัตลักษณ์ชาติพันธุ์ ชาวบรูมองว่าตนเองเป็นคนขยัน ตั้งใจทำมาหากิน ซื่อสัตย์ รักความสงบ แต่ในช่วงแรกจะถูกมองจากคนนอกชุมชนว่าเป็นข่า เป็นพวกขี้ข้า ล้าหลัง หรือไม่ก็เข้าใจว่าเป็นชาวเขมรหรือส่วยที่ชอบเล่นคุณไสยมนต์ดำ (หน้า 89-90) อย่างไรก็ตาม เมื่อชุมชนบ้านท่าล้งเปิดมากขึ้น ชาวบรูได้รับการศึกษาและเริ่มทำงานเกี่ยวกับราชการ ชาวบ้านในหมู่บ้านใกล้เคียงจึงเริ่มยอมรับและมองชาวบรูดีขึ้น อย่างไรก็ตาม การที่ชุมชนเปิดมากขึ้น สัมพันธ์กับวัฒนธรรมภายนอกมากขึ้นประกอบกับนโยบายการสร้างรัฐชาติของไทยทำให้
อัตลักษณ์บางอย่างของชาวบรูได้รับผลกระทบ เช่น การพูดภาษาบรูที่เคยสืบทอดกันมาตลอดค่อย ๆ ลดน้อยลงจนเกือบหายไป จึงต้องเกิดการรณรงค์เพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟูภาษาและวัฒนธรรมของชาวบรู (หน้า 91-92, 116)
ชาวบรูบ้านท่าล้งมักติดต่อกับชาวบรูบ้านเวินบึกเนื่องจากเป็นกลุ่มเครือญาติและมักไปมาหาสู่กันเป็นประจำ นอกจากนี้ยังติดต่อกับกลุ่มเครือญาติที่ประเทศลาวเนื่องจากในปัจจุบันการเดินทางข้ามพรมแดนมีความเสรีและสะดวกมากขึ้น สำหรับความสัมพันธ์ข้ามพรมแดนนี้ส่วนใหญ่ชาวบรูบ้านท่าล้งจะไปมาหาสู่กับชาวบรูที่อยู่ในประเทศลาว เช่น บ้านลาดเสือ บ้านนากกอก เพื่อเยี่ยมกัน แลกเปลี่ยนปัจจัยการดำรงชีวิต แรงงาน ตลอดจนด้านการศึกษา โดยชาวบรูในประเทศลาวมองว่าชาวบรูบ้านท่าล้งมีโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคมดีกว่าตน ในขณะที่ชาวบรูบ้านท่าล้งเห็นว่าชาวบรูบ้านลาดเสือคือกลุ่มเครือญาติ (หน้า 93, 98) ส่วนความสัมพันธ์ของกลุ่มชาติพันธุ์บรูกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ มักสัมพันธ์กันทางด้านเศรษฐกิจคือซื้อขายสินค้า (หน้า 89) |
|
Social Cultural and Identity Change |
หลังจากชาวบรูอพยพข้ามแม่น้ำโขงมาจากประเทศลาวและตั้งบ้านเรือนในประเทศไทยก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมดังนี้
ชาวบรูค่อย ๆ ส่งคืนฮีต (คืนผี) ให้กับเจ้าฮีตที่ฝั่งประเทศลาว หันมานับถือพระพุทธศาสนา รวมถึงมีการเปลี่ยนแปลงด้านประเพณี เช่น พิธีแต่งงานที่จัดอย่างเรียบง่ายมากขึ้น เนื่องจากการดำรงชีวิตที่ยากลำบาก ฐานะทางเศรษฐกิจไม่ดี จึงส่งผลกระทบต่อฮีตคองเดิมที่ยึดถือ ทำให้การเดินทางไปร่วมพิธีกรรมของเจ้าฮีตที่เคยปฏิบัติกันนั้นยากลำบากขึ้น รวมถึงการแต่งงานกับคนต่างชุมชนซึ่งไม่ได้นับถือผีทำให้เกิดปัญหาความยุ่งยากในการปฏิบัติตัวจนนำไปสู่การเลิกรากัน ประกอบกับชาวบรูต้องปรับตัวในยุคการสร้างรัฐชาติไทย ชาวบรูจึงเปลี่ยนมานับถือพระพุทธศาสนาแทน มีการเข้าวัดเข้าวาทำบุญตามฮีตคองของอีสาน และสนับสนุนให้ลูกหลานบวช (หน้า 85-86, 90)
วิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลง ระบบสาธารณูปโภคที่พัฒนามากขึ้น การเปิดรับวัฒนธรรมต่างถิ่น มีปฏิสัมพันธ์กับคนนอกชุมชนมากขึ้น ประกอบกับชาวบรูรุ่นใหม่ได้รับการศึกษาในระบบการเรียนการสอนที่ใช้ภาษาไทยกลางตามนโยบายการสร้างรัฐชาติของทางราชการ ทำให้ชาวบรูเริ่มใช้ภาษาบรูลดน้อยลงในชีวิตประจำวัน หันมาใช้ภาษาอีสานหรือภาษาไทยกลางแทน (หน้า 130) อีกทั้งชาวบรูยังรู้สึกภาคภูมิใจในภาษาของตนเองลดน้อยลงด้วย ชาวบรูที่แต่งงานกับคนต่างถิ่นจะไม่นิยมพูภาษาบรูและไม่ฝึกให้ลูกพูด ในชุมชนขาดการส่งเสริมการใช้ภาษาบรู (หน้า 2, 91, 106)
วิถีชีวิตของชาวบรูบ้านท่าล้งสัมพันธ์กับคนนอกชุมชนมากขึ้น การประกอบอาชีพขยายจากการหาปลา ทำนา ทำสวน เลี้ยงสัตว์ หาของป่า จักสาน มาสู่การจัดการท่องเที่ยวแบบโฮมสเตย์ มีการจัดกิจกรรมเดินป่า ล่องเรือชมธรรมชาติ ซึ่งถือเป็นการใช้ต้นทุนทางธรรมชาติ สังคม วัฒนธรรมชุมชนที่โดดเด่นมาใช้หารายได้เข้าหมู่บ้านเพิ่มเติม (หน้า 80-83)
สถานการณ์และการเปลี่ยนแปลงการใช้ภาษาบรู : ช่วงที่ชาวบรูเริ่มอพยพเข้ามาอยู่ในไทย ช่วง พ.ศ. 2452-2503 ชาวบรูยังไม่ค่อยได้ติดต่อกับคนนอกชุมชน การสื่อสารในชุมชนจะใช้ภาษาบรูเป็นหลัก ช่วงพ.ศ. 2503-2530 เริ่มมีหน่วยงานของทางราชการเข้ามาพัฒนาชุมชน ชาวบรูมีปฏิสัมพันธ์กับคนต่างถิ่นมากขึ้น เกิดโรงเรียนบ้านท่าล้ง กลุ่มเยาวชนที่ได้เข้ารับการศึกษาในระบบโรงเรียนรวมถึงกลุ่มที่ไปทำงานนอกชุมชนใช้ภาษาบรูในชีวิตประจำวันน้อยลง โดยหันมาพูดภาษาไทยอีสานหรือภาษาไทยกลางมากขึ้น และช่วงพ.ศ. 2530-ปัจจุบัน สถานการณ์การใช้ภาษาบรูถือว่าอยู่ในขั้นวิกฤตเพราะมีความเสี่ยงที่จะสูญหายไป มีเพียงคนเฒ่าคนแก่เท่านั้นที่ยังคงใช้ภาษาบรู (หน้า 103-106)
รูปแบบในการอนุรักษ์และฟื้นฟูภาษาบรู : หลังจากชาวบรูบ้านท่าล้งได้ทบทวนประวัติความเป็นมาตลอดจนเห็นความสำคัญของภาษาและวัฒนธรรมของชาวบรู จึงได้ร่วมกันคิดหารูปแบบในการอนุรักษ์และฟื้นฟูภาษาบรู โดยจัดกิจกรรมเสนอภาษาบรูวันละ 5 คำ ผ่านหอกระจายข่าวของหมู่บ้าน จัดทำหนังสือนิทานภาพภาษาบรู ซึ่งรวบรวมคำศัพท์ นิทาน ผญา เพลงและเรื่องเล่าภาษาบรู การเปิดห้องเรียนภาษาบรูในหมู่บ้านผ่านกิจกรรมหลากหลาย ได้แก่ ร้องเพลง นับเลข ฟังนิทานภาษาบรู และจัดห้องเรียนภาษาบรูในโรงเรียน (หน้า 107-116)
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชุมชน : จากการที่คนในชุมชนได้มีส่วนร่วมในการดำเนินการวิจัยทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ดังนี้
- บรรยากาศทั่วไปในชุมชน ชาวบ้านพูดคุยแลกเปลี่ยนกันเกี่ยวกับวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของตนมากขึ้น เช่น ประวัติของชุมชนหรือตรกูลของตนเอง สอบถามถึงคำศัพท์ภาษาบรู เด็กและเยาวชนสนใจนิทานภาษาบรูมากขึ้น พูดคุยถึงการอนุรักษ์และฟื้นฟูภาษาและวัฒนธรรมบรูในสถานที่ต่าง ๆ ทั้งที่บ้าน วัด และโรงเรียน
- การเปลี่ยนแปลงในครอบครัว ชาวบรูโดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในทีมวิจัยได้พูดคุยกับคนในครอบครัวและผู้เฒ่าผู้แก่เกี่ยวกับประเพณี ภูมิปัญญาของชาวบรูมากขึ้น
- การเปลี่ยนแปลงในระดับชุมชน ผู้นำชุมชนและคณะกรรมการชุมชนเสนอให้สืบค้นประเพณีและภูมิปัญญาของชาวบรูเพื่อส่งเสริมการจัดการท่องเที่ยวในชุมชน โรงเรียนเสนอการจัดหลักสูตรเกี่ยวกับวัฒนธรรมประเพณีของชาวบรู ด้านวัดเสนอการแปลบทสวดมนต์บางส่วนเป็นภาษาบรู และกลุ่มเยาวชนเสนอให้สืบค้นและบันทึกภูมิปัญญาไว้ เช่น เรื่องฮีต ยาสมุนไพร
สำนึกและความเคลื่อนไหวทางสังคม : หลังการวิจัยเกิดกลุ่มคนในชุมชน โรงเรียน และวัดที่ออกมาร่วมกันทำกิจกรรมเพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟูวัฒนธรรม ภาษาบรู ทั้งยังมีความเคลื่อนไหวตลอดจนการเรียนรู้กันในกลุ่มเครือญาติ นอกจากนี้ยังมีรูปแบบของความร่วมมือของกลุ่มที่ไม่เป็นทางการ เช่น กลุ่มเยาวชน กับกลุ่มที่เป็นทางการ เช่น ผู้ใหญ่บ้าน สมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล เพื่อฟื้นฟูภาษาบรูและนำไปสู่แผนการพัฒนาชุมชนในด้านอื่น ๆ
เช่น การจัดการท่องเที่ยว (หน้า 125-127) |
|
Map/Illustration |
1. ตาราง : 1.1) จำนวนนักเรียน โรงเรียนบ้านท่าล้ง ปีการศึกษา 2550 หน้า 72,
1.2) จำนวนประชากรบ้านท่าล้ง หน้า 74
2. แผนผังที่ : 2.1) แสดงกรอบแนวคิดของการศึกษา หน้า 4, 2.2) แสดงแนวคิดสัมพันธ์ของการมีส่วนร่วม หน้า 22, 2.3) แสดงความสัมพันธ์ระหว่างภาษาบรูกับภาษาอื่น ๆ ในตระกูลออสโตรเอเชียติก หน้า 99
3. ภาพ : 3.1) แสดงการมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรม หน้า 61, 3.2) แสดงแผนที่การตั้งบ้านเรือนของบ้านท่าล้ง หน้า 70, 3.3) แสดงอัตลักษณ์ชาวบรูในกระบวนการสร้างรัฐชาติไทย หน้า 92 |
|
|