สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ผู้ไทย,กรรมวิธีการผลิตอุ,วิถีชีวิต,นครพนม
Author ศิวพร เตโช
Title ความสัมพันธ์ระหว่างอุกับวิถีชีวิตชาวผู้ไทย
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ผู้ไท ภูไท, Language and Linguistic Affiliations ไท(Tai)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 223 Year 2542
Source หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาไทยคดีศึกษา (กลุ่มมนุษยศาสตร์) มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
Abstract

งานนี้แสดงให้เห็นความสำคัญของ "อุ" ในชีวิตของผู้ไทย ซึ่งมีการประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก แต่ได้มีการผลิตอุไว้เพื่อจำหน่ายเป็นรายได้เสริม นอกจากที่ในชีวิตดั้งเดิมตามประเพณีแล้ว อุ เป็นสิ่งสำคัญในการเฉลิมฉลองหลังการเก็บเกี่ยว หรือเป็นของที่ใช้ประกอบในการทำพิธีกรรมสำคัญของ ผู้ไทย

Focus

กรรมวิธีการผลิตอุและความสัมพันธ์ระหว่างอุกับวิถีชีวิตของผู้ไทย

Theoretical Issues

ผู้ไทยเรณูนครยังใช้อุในการประกอบพิธีกรรม เชื่อว่าเพราะอุเป็นสื่อกลางในการติดต่อกับผีต่าง ๆ อุจึงยังมีความสำคัญกับชีวิตผู้ไทยอยู่ (หน้า 201-202)

Ethnic Group in the Focus

ผู้ไทย อ.เรณูนคร จ.นครพนม

Language and Linguistic Affiliations

ผู้ไทยเรณูนครมีภาษาเป็นของตนเอง ไม่มีภาษาเขียน การพูดออกเสียงผิดกับภาษาไทย และภาษาลาว สำเนียงคล้ายพม่า (หน้า 36,187)

Study Period (Data Collection)

1 เมษายน 2541 - 1 เมษายน 2542

History of the Group and Community

ชาวเรณูนคร เป็นผู้อพยพมาจากเมืองวัง ซึ่งตั้งอยู่ในประเทศลาวติดกับเขตประเทศเวียดนาม ซึ่งถูกพวกฮ่อรุกราน จึงพากันอพยพข้ามฝั่งโขงมาตั้งถิ่นฐานที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ตั้งเมืองครั้งแรกที่บ้านโนนดงหวาย ที่มีห้วยบ่อแกไหลผ่าน จึงเรียกว่า บ้านโนนดงหวายสายบ่อแก ภายหลังครัวเรือนที่เมืองวังได้อพยพมาเพิ่มเติม จึงเปลี่ยนชื่อใหม่ว่า เมืองเว ต่อมาในสมัยราชการที่ 3 ได้พระราชทานชื่อเมืองใหม่ว่า เรณูนคร โดยมีท้าวสายเป็นพระแก้วโกมล เจ้าเมืองคนแรก ต่อมาได้มีการยกเลิกระบบการปกครองที่มีเจ้าเมืองอุปฮาด ราชวงศ์ ราชบุตร มาเป็นการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาล เมืองเรณูนครจึงเป็นอำเภอเรณูนคร ต่อมาได้ยุบเป็นตำบลไปขึ้นกับอำเภอธาตุพนม จนถึง พ.ศ. 2513 จึงยกฐานะเป็นกิ่งอำเภอ และ พ.ศ. 2518 จึงเป็นอำเภอเรณูนคร (หน้า 32-33, 186)

Settlement Pattern

ผู้เขียนไม่ได้ระบุการตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนของผู้ไทยไว้ชัดเจน นอกจากกล่าวว่าผู้ไทยเรณูนครชอบรวมกันอยู่เป็นหมู่เป็นพวก (หน้า 35)

Demography

ไม่มีข้อมูล

Economy

ชาวเรณูนครประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก ในอดีตเป็นเกษตรกรรมแบบยังชีพ มีการลงแรงร่วมมือกันทำ ช่วยเหลือกันเป็นอย่างดี เมื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตในนาเสร็จก็ทำ อุ เลี้ยงฉลองกัน อย่างเช่น การผลิตอุมีพัฒนาการที่ผลิตในครัวเรือน แต่ปัจจุบันอุ กลายเป็นเศรษฐกิจในรูปแบบหนึ่งที่ผู้ไทยได้ทำการผลิตขึ้นเพื่อจำหน่าย เป็นรายได้เสริม และผู้ไทยเองก็มักนิสัยการค้าขาย ปัจจุบันเมื่อเรณูนครกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวประชาชนยังหันมายึดอาชีพขายของที่ระลึกมากขึ้นอีกด้วย (หน้า 36,182)

Social Organization

ชาวเรณูนครชอบอยู่รวมกันเป็นหมู่เป็นพวก มีวิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย นิยมผัวเดียวเมียเดียว ภายในหมู่บ้านมีการช่วยเหลือกันเป็นย่างดี เชื่อฟังคำตักเตือนสั่งสอนของหัวหน้าหมู่บ้านและให้ความเคารพนับถือ เชื่อฟังผู้ใหญ่หรือคนแก่ผู้ที่อาวุโสกว่าตนมาก จึงอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างมีความสุข และผู้ไทยเรณูนครยังยึดมั่นในฮีตคอง กฎ ข้อบังคับ จารีตขนบธรรมเนียมประเพณี เป็นสิ่งที่ปลูกฝังถาวรและถ่ายทอดสู่ผู้ไทยเรณูนครรุ่นหลังมาอย่างต่อเนื่อง (หน้า 2-4, 35, 166, 177)

Political Organization

ในอดีตมีเจ้าเมืองอุปฮาด ราชวงศ์และราชบุตร ที่ได้รับการแต่งตั้งให้ปกครองเมือง ต่อมาแก้ไขเป็นระบบการปกครองอย่างมีมณฑล เทศาภิบาล ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอเป็นผู้ปกครองท้องที่ ระดับมณฑล จังหวัด อำเภอ ตามลำดับ (หน้า 33-34,186)

Belief System

ผู้ไทยเรณูนครนั้นมีความเชื่อ และนับถือ ผีบรรพบุรุษ ปู่ย่า ตายาย ทวด ผีบ้าน ผีนา ฯลฯ เช่น เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยจะเชื่อว่าเป็นเพราะผีกระทำ จะต้องทำพิธีแก้ผีจึงจะหาย และยังเชื่อในการเสี่ยงทายด้วย เช่น เวลาทำพิธีกรรมจะมีการเสี่ยงทาย เช่น เสี่ยงทายด้วยอุ หรือไข่ในพานบายศรี เป็นต้น ผู้ไทยมีพิธีกรรมเลี้ยงผีทุกปี เช่น พิธีกรรมเลี้ยงผีตาแฮก เพื่อให้ผลผลิตทางการเกษตรอุดมสมบูรณ์ เลี้ยงผีปู่ตา เพื่อให้หมู่บ้านรอดพ้นจากเพศภัย ชีวิตของคนในหมู่บ้านอยู่ดีมีสุข ในงานศึกษายังกล่าวถึงพราหมณ์ ซึ่งเป็นผู้นำทำ พิธีกรรม อย่างพิธีบายศรีสู่ขวัญซึ่งแทรกอยู่ในพิธีกรรมอื่นแทบทุกพิธี เช่น การแต่งงาน การบวชนาค การขึ้นบ้านใหม่ เป็นต้น ผู้นำพิธีกรรม เรียกว่า หมอสูตรขวัญ (หน้า 38-41, 137-138)

Education and Socialization

ไม่มีข้อมูล

Health and Medicine

ในงานศึกษาได้กล่าวถึงองค์ความรู้ของชาวบ้านในการนำพืชมาใช่ในการผลิต อุ ที่มีสรรพคุณในการรักษาโรคได้ ซึ่งพืชสมุนไพรดังกล่าว อยู่ตามป่า ตามโคก ในเขตอำเภอเรณูนคร ซึ่งแต่ละสูตรก็มีสรรพคุณทางยาที่เหมือนหรือแตกต่างกันออกไป นอกจากนั้น เมื่อเกิดการเจ็บป่วยขึ้นแล้วรักษาไม่หาย ผู้ไทยจะเชื่อว่าเกิดจากการทำผิดผี ซึ่งต้องทำการรักษาโดยผู้ที่มีความสามารถในการขจัดปัดเป่าความเจ็บไข้ คือ หมอเหยา ที่ผู้ไทยเคารพนับถือ เพราะเชื่อว่ามีความศักดิ์สิทธิ์มาก การทำพิธีเหยานั้นจะเริ่มดำเนินการโดย การติดต่อสื่อสารกับผีที่จะมาทำการรักษาโดยวิธีการร้องรำประกอบดนตรีประเภทแคน ในคำร้องนั้นเชื่อว่าเป็นคำบอกของผีที่เชื่อมโยงถึงผู้ป่วย เสร็จพิธีหมอเหยาจะบอกเจ้าภาพว่าผีต้องการอะไร ให้จัดการแก้ผีตามนั้น (หน้า 39, 48-50, 146, 1160, 197-198)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ปัจจุบันชาวเรณูนครมีการแต่งกายเหมือนคนไทยโดยทั่วไป นอกจากมีงานพิธีเท่านั้น จะมีการแต่งกายอย่างพื้นเมืองบ้าง แต่ก็เป็นการประยุกต์แบบสมัยใหม่เข้าไปด้วย ในสมัยก่อน ในเวลาปกติ ผู้ชายจะนุ่งผ้าเมล็ดงาตาสีดำ หรือนุ่งผ้าขาวม้าสีขาว ผู้หญิงสวมเสื้อตัดด้วยผ้าพื้นเมืองสีดำ ใส่เครื่องประดับเป็นประจำ ผมจะเกล้าอย่างสวยงาม เวลานักขัตฤกษ์ ก็จะพิธีพิถันในการแต่งตัวมากขึ้นไปอีก (หน้า 36,187)

Folklore

ตำนานตาแฮก ของผู้ไทยเรณูนครนั้นเล่าว่า แต่ก่อนนานมาแล้ว มีท้าวกำพร้าบิดามารดาเสียชีวิตหมด จึงได้ไปอาศัยนอนอยู่ในนา ท้าวกำพร้าเป็นคนดี พญาแถนจึงช่วยโดยให้นางผู้หนึ่งมาคอยช่วยเหลือท้าวกำพร้า ให้พาท้าวกำพร้าไปขอข้าวจากชาวบ้าน ชาวบ้านถูกพญาแถนดลใจให้ช่วยท้าวกำพร้า จึงเอาข้าวให้ท้าวกำพร้าไปปลูก ท้าวกำพร้าขยันหมั่นเพียรจนนาที่ทำได้ผลดี ท้าวกำพร้าจึงนำข้าวเม็ดโตไปแบ่งปันคนที่แบ่งข้าวให้ ภายหลังท้าวกำพร้ารู้ว่าพญาแถนช่วยเหลือ จึงทำพิธีบวงสรวงพญาแถนและขอให้พญาแถนช่วยเหลือคนที่แบ่งข้าวให้ตนเองด้วย ชาวบ้านจึงซึ้งในน้ำใจของท้าวกำพร้า และตั้งให้ท้าวกำพร้าเป็นเสมือนผู้ที่ตนนับถือ จึงเรียกท้าวกำพร้าว่า "ตาแฮก" ตั้งแต่นั้นมา และในขั้นตอนการแต่งงานของผู้ไทยพิธีที่สำคัญที่สุดก็คือการกล่าวคำเฆี่ยนเขย เพื่อเป็นหลักปฏิบัติของผู้ที่จะมาเป็นเขย เป็นการนำแบบอย่างจากนิทานพื้นบ้านอีสาน เรื่องสังข์ศิลป์ชัยในตอนที่ยักษ์กุมภัณฑ์คิดถึงนางสุมณฑาเมียรัก จึงยอมรับเป็นเขยที่ดี จึงวางกติกาการเฆี่ยนเขยไว้ ผู้ไทยเรณูนครจึงสืบทอดเป็นประเพณีสืบต่อกันมา (หน้า 129, 172)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มีข้อมูล

Social Cultural and Identity Change

ผู้ไทยส่วนใหญ่จะยึดมั่นในวัฒนธรรมประเพณีที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษเหนียวแน่นมาก แต่สมัยนี้ได้ละเลยต่อประเพณีที่ดีงามไปบ้างซึ่งเกิดจากการรับวัฒนธรรมใหม่เข้ามา ซึ่งบทบาทของสังคมเปลี่ยนแปลงไป ตามวัฒนธรรมต่างๆ ของชนต่างชาติ ต่างภาษา ที่เข้ามามีส่วนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสังคม มีเทคโนโลยี มีสื่อต่างๆ ที่เกิดจากการพัฒนาประเทศที่ทันสมัย ทันเหตุการณ์ สะดวกสบายมากขึ้น ซึ่งทำให้วัฒนธรรมที่ดีของคนรุ่นเก่าเลือนหายไป คนรุ่นใหม่ที่ถือกำเนิดขึ้นมาก็นำเอาวัฒนธรรมทั้งดีบ้างไม่ดีบ้างมาปะปนกันจนไม่รู้ว่าสิ่งไหนดี สิ่งไหนไม่ดี จึงเป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลง (หน้า 65, 140, 185)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ภูมิปัญญาพื้นบ้าน กรรมวิธีผลิตอุ ผู้ไทจะมีขั้นตอนการผลิตอุอยู่ 5 กระบวนการ คือ 1. การผลิตแป้งอุ 2. การผสม 3. การบรรจุไห 4. การเก็บรักษา 5. วิธีการดื่ม ซึ่งแบ่งตามกรรมวิธีการผลิตเป็น 3 สูตรคือ 1. สูตรหลักใช้วัสดุในการผลิตเป็นมาตรฐานของทุกสูตร 2. สูตรดั้งเดิม คือสูตรที่ผู้ไทเรณูนครใช้ผลิตในสมัยโบราณ 3. สูตรประยุกต์ เป็นสูตรที่ได้ปรับปรุงมาจากสูตรเดิมแต่ยังคงขบวนการผลิตเหมือนเดิม ซึ่งสำหรับสูตรประยุกต์นี้ก็ยังแบ่งตามกรรมวิธีการผลิตของแต่ละตำบลได้อีก 4 สูตร (หน้า 42) แต่ไม่ว่าจะผลิตอุสูตรใดก็จะใช้กรรมวิธีหลักในการผลิตเหมือนกัน จะแตกต่างกันเฉพาะพืชที่เป็นส่วนผสม โดยในสูตรดั้งเดิมนั้นจะเน้นใช้พืชที่มีประโยชน์ทางยา ในขณะที่สูตรประยุกต์จะเน้นเรื่องรสชาติ ความหอมหวานอร่อยมากกว่าที่จะใช้เป็นยารักษาโรค ในงานศึกษาพบว่าในการผลิตอุแต่ละสูตรจะมีกรรมวิธีการผลิตแตกต่างกันอยู่ 3 ประการ คือ 1. พืชที่จะนำมาทำแป้งอุ บางสูตรใช้พืชหลายชนิด บางสูตรใช้พืชที่เป็นหลักในการผลิต บางสูตรก็ใช้พืชตามกรรมวิธีถ่ายทอดจากบรรพชน ส่วนการปิดปากไหจะใช้ใบตองปิดมากกว่าใบเป้า และการปิดปากไหชั้นนอกปัจจุบันนิยมใช้ซีเมนต์ผสมด้วยเถ้า

Map/Illustration

ตารางเปรียบเทียบชนิดของพืชที่เป็นส่วนผสมของการทำแป้งในอุสูตรต่างๆ (หน้า 43) ตารางเปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่างของพืชที่นำมาทำแป้งอุ 4 สูตร (หน้า 46) ตารางรายชื่อพืชที่ใช้ในการทำแป้งอุ ชื่อวิทยาศาสตร์และประโยชน์ทางยา(หน้า 49) ตารางการใช้อุในพิธีเลี้ยงผีตาแฮก (หน้า 145) การใช้อุในพิธีเหยา (หน้า 163) การใช้อุในพิธีแต่งงาน (หน้า 180) ภาพการเกิดแอลกอฮอล์ในอุ (หน้า52) การเตรียมพืช (หน้า 53) การเตรียมข้าวเหนียว, การผสมพืชและข้าวเหนียวปั้นก้อน(หน้า 54) การทำให้เกิดเชื้อแป้ง, นำแป้งอุไปตากแดด (หน้า 55) การผสมในการทำอุ, การหมักบ่ม (หน้า 56) การบรรจุไห (หน้า 58) การเก็บรักษา (หน้า 60) การผลิตอุโดยรวมในทุกสูตร (หน้า 118) การทำหลอดสำหรับดื่มอุ (หน้า 126) การปักกกแฮก (หน้า 133) เครื่องเซ่นไหว้ที่ใช้ในการทำพิธีเลี้ยงผีแฮก (หน้า 135) การดื่มอุของหมอเหยาในพิธีขี่ช้างโฮมพล (155) การใช้อุในการโอม (หน้า 169) การใช้อุในพิธีเลี้ยงเขย (หน้า 178)

Text Analyst กฤษณา จิจุบาล Date of Report 10 เม.ย 2556
TAG ผู้ไทย, กรรมวิธีการผลิตอุ, วิถีชีวิต, นครพนม, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง