|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
มุสลิม,ตลาดชายแดนไทย-พม่า,วิถีชีวิตทางเศรษฐกิจ,พหุสังคม,การธำรงชาติพันธุ์,ตาก |
Author |
จักรพันธ์ ขัดชุ่มแสง |
Title |
ชุมชนมุสลิมในตลาดชายแดนไทย-พม่า : สัมพันธภาพระหว่างพหุสังคม วิถีชีวิตทางเศรษฐกิจ และการธำรงชาติพันธุ์ |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไม่ระบุ |
Location of
Documents |
หอสมุดปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ |
Total Pages |
208 |
Year |
2543 |
Source |
ปริญญามหาบัณฑิต คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ |
Abstract |
ผู้เขียนได้นำเสนอถึงภาพความเป็นพหุสังคมในการศึกษาครั้งนี้ไว้ 2 ระดับ คือ ระดับชุมชนมุสลิมและระดับชุมชนแม่สอดอันประกอบไปด้วยคนหลายชาติหลายศาสนา โดยชี้ให้เห็นถึงปัจจัยสำคัญที่ทำให้พหุสังคมดำรงอยู่ได้ว่า ได้แก่ การมีปฏิสัมพันธ์กันทั้งในทางเศรษฐกิจ สังคม และการมีค่านิยมบางอย่างร่วมกัน นอกจากนี้ ผู้เขียนยังได้กล่าวถึงวิถีชีวิตทางเศรษฐกิจ แสดงให้เห็นถึงแนวคิดที่ว่าการเป็นเจ้าของกิจการขนาดเล็กเป็นเอกลักษณ์ของมุสลิม อีกทั้งยังได้กล่าวถึงเอกลักษณ์ทางกายภาพ และทางพิธีกรรม แนวปฏิบัติทางศาสนา และระบบสัญลักษณ์ของมุสลิมในเรื่องของการธำรงชาติพันธุ์ รวมทั้งได้แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างพหุสังคม วิถีชีวิตทางเศรษฐกิจ และการธำรงชาติพันธุ์ของชุมชนมุสลิมในเมืองตลาดชายแดนไทย-พม่า |
|
Focus |
ความสัมพันธ์ระหว่างวิถีชีวิตทางเศรษฐกิจ พหุสังคม และการธำรงชาติพันธุ์ของมุสลิมในตลาดชายแดนไทย-พม่า |
|
Theoretical Issues |
ผู้เขียนได้ระบุไว้ว่าแนวคิดหรือทฤษฎีที่ผู้ศึกษานำมาใช้ในการศึกษาครั้งนี้ได้แก่ 1. พหุสังคม : ตามแนวคิดของ John Sydenham Furnivall ซึ่งเน้นว่า ปัจจัยพื้นฐานที่ช่วยให้พหุสังคมดำรงอยู่ได้คือ การที่คนเหล่านี้มีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจร่วมกัน หรือ การมีค่านิยมร่วมกันและการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมต่อกัน อย่างเช่น บริเวณย่านตลาด 2. การธำรงชาติพันธุ์ : ใช้แนวการศึกษาเชิงสถานการณ์ โดยใช้แนวคิดของ Barth เพื่อแสดงให้เห็นว่าเอกลักษณ์ชาติพันธุ์ได้รับอิทธิพลจากสถานการณ์ทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง (น.22,40) ผสมผสานกับแนวการศึกษาเชิงเสวนาของ Gladney Dru C. และแนวคิดของ ดร.สุเทพ สุนทรเภสัช ที่ให้ความสำคัญของเครื่องบ่งชี้ทางวัฒนธรรม (น.25) และปัจจัยอื่นๆ เช่นการต้องการการยอมรับ จากโลกอิสลาม (น.25,167) ทำให้มุสลิมแม่สอดมีเอกลักษณ์ทางสังคมวัฒนธรรมเป็นของตนเอง มีวิถีชีวิตทางเศรษฐกิจที่มีลักษณะเฉพาะตัว ซึ่งทั้งเอกลักษณ์ทางสังคมวัฒนธรรมและวิถีทางเศรษฐกิจนี้มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงต่อกัน ดังเช่น การเป็นเจ้าของกิจการขนาดเล็ก ซึ่ง ก็พบได้ในกลุ่มจีน มอญ และการตั้งอยู่ในสังคมที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมการมีปฏิสัมพันธ์กันทั้งในอุดมการณ์ ระบบความเชื่อ ก็นำไปสู่การก่อตัวของการธำรงรักษาเอกลักษณ์ชาติพันธุ์ของมุสลิม ทั้งในเชิงของการรักษาและสร้างเอกลักษณ์ขึ้นมาใหม่ (หน้า 43) |
|
Ethnic Group in the Focus |
มุสลิมในเมืองตลาดชายแดนไทย-พม่า ซึ่งมีเชื้อสายต่าง ๆ ประมาณ 6 กลุ่มใหญ่ ๆ ได้แก่ 1. มุสลิมที่สืบเชื้อสายจากมุสลิมบังคลาเทศ 2. มุสลิมอินเดีย 3. มุสลิมปาทาน 4. มุสลิมพม่าหรืออาระกัน 5. มุสลิมมาเลย์ 6. มุสลิมกลุ่มอื่นๆ (หน้า 72-73) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาที่ใช้ในปัจจุบันเป็นไปตามบรรพบุรุษ ได้แก่ ภาษาเบงกาลี อูรดู พม่า ไทยเหนือ และไทยกลาง และใช้ภาษาอาหรับในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา (น.148) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
กล่าวกันว่าชุมชนมุสลิมนี้มีพัฒนาการควบคู่ไปกับเส้นทางการค้าของพ่อค้าวัวในสมัยโบราณ โดยใช้แม่สอดเป็นด่านการค้าที่สำคัญ และเริ่มย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานอย่างถาวรขึ้น เชื่อว่าบรรพบุรุษคนแรกของมุสลิมแม่สอดคือ นายซามอด อาลี ซึ่งมาจากบังคลาเทศ เข้ามาค้าขายที่พม่าและข้ามมาขายที่ประเทศไทย พบว่าที่แม่สอดทำเลดีจึงย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานโดยชวนญาติพี่น้องจากพม่ามาด้วย เกิดเป็นชุมชนมุสลิมขึ้นเช่นในปัจจุบัน (น.83-84) และยังมีคหบดีจากเมืองกัลกัตตา ประเทศอินเดีย ชื่อ ตอเล็บ อุดดีน เข้ามาตั้งถิ่นฐานที่ชุมชนแห่งนี้ นอกจากนี้ยังมี นายตอน แสนพรม ชาวลำปาง ซึ่งเป็นต้นตระกูลแสนพรม ล่องเรือมาตามลำน้ำวังลัดเลาะเข้าสู่น้ำปิงและมาขึ้นฝั่งที่เมืองตาก แล้วเดินเท้าต่อจนถึงชุมชนแม่สอด และในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้มีคหบดีจากเชียงใหม่ชื่อ อับดุลกุสดุส พร้อมด้วยครอบครัวหนีภัยสงครามมาอยู่ที่แม่สอด เมื่อสงครามสงบก็ไม่ได้เดินทางกลับถิ่นฐานเดิม ยังคงปักหลักอยู่บริเวณถนนศรีพานิช มีมุสลิมบางครอบครัวที่หนีภัยสงครามไปค้าขายอยู่ที่เมืองมะละแหม่ง หลังสงครามสงบจึงกลับมาอยู่ทีแม่สอดอีกครั้ง (หน้า 86-87) |
|
Settlement Pattern |
ชุมชนมุสลิมมีการตั้งถิ่นฐานแบบรวมกลุ่มกันและนิยมสร้างบ้านเรือนเรียงรายไปตาม 2 ฟากของถนนศรีพานิชไปจนถึงถนนอิสลามบำรุงและบางส่วนของถนนชิดลม และอาจมีบางส่วนที่ตั้งบ้านเรือนแยกออกไปตามส่วนต่าง ๆ ของเมือง โดยแบ่งชุมชนมุสลิมแม่สอดออกเป็น ชุมชนมุสลิมเดิม และชุมชนมุสลิมรอบนอก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานที่อพยพเข้ามาอยู่ใหม่ แบ่งออกได้เป็น 5 หย่อมบ้านด้วยกัน (น.69-70) |
|
Demography |
จากเอกสาร "ประวัติมุสลิมแม่สอด" พบว่ามีประชากรมุสลิมไทย 2,500 คน 400 ครอบครัว และมุสลิมพม่า 2,000 คน 200 ครอบครัว ส่วนฝ่ายกิจการพิเศษ สำนักงานอำเภอและงานทะเบียนราษฎร เทศบาลตำบลแม่สอด สำรวจเมื่อเดือนมิถุนายน 2541 พบว่ามีผู้พลัดถิ่นสัญชาติพม่า 1,198 คน ส่วนใหญ่นับถืออิสลาม (น.78) |
|
Economy |
ผู้เขียนได้แบ่งเรื่องเศรษฐกิจออกเป็น 2 ระดับ คือ 1.ระดับชุมชนแม่สอด โดยได้แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการทางเศรษฐกิจของชุมชนนี้ว่าเริ่มมาจากการเป็นจุดพักสินค้าของพ่อค้าต่างแหล่งต่างๆ และได้กลายมาเป็นที่แลกเปลี่ยนสินค้ากัน มีการนำสินค้าเข้า-ออกไปขายที่ชายแดนไทย-พม่า นอกจากนี้แม่สอดยังเป็นศูนย์รวมสินค้าที่สำคัญตั้งแต่ สินค้าเกษตร อุตสาหกรรม แร่ธาตุ ของอุปโภคบริโภค และตลาดนัดโค (น.103) 2. ระดับของชุมชนมุสลิม : มุสลิมส่วนใหญ่ประกอบอาชีพค้าขาย มีกิจการของตนเอง โดยมักจะเปิดร้านอาหารที่ขายอาหารที่ไม่ขัดต่อหลักศาสนา รวมทั้งร้านขายของชำและเบ็ดเตล็ด ส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่ใช้สำหรับพิธีกรรมทางศาสนาและเครื่องแต่งกายอิสลาม (หน้า 119) อาจมีผู้ที่รับจ้างตามโรงงาน รับซื้อของเก่าอยู่บ้าง แต่อาชีพนี้ต้องไม่ขัดต่อหลักศาสนา ส่วนกลุ่มชาติพันธุ์อื่นมักเป็นช่างตีมีด ช่างทอง ช่างก่อสร้าง หรือทำการเกษตร ดังนั้น อาชีพค้าขายจึงเป็นช่องทางเศรษฐกิจที่ดี และสามารถตอบสนองความต้องการของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ตนด้วย (หน้า 116-123) |
|
Social Organization |
ลักษณะครอบครัวของมุสลิมในแม่สอดส่วนใหญ่เป็นครอบครัวขยาย (น.81) และมีการแต่งงานแบบพหุภรรยา ที่น่าสนใจคือมุสลิมมีการแต่งงานแบบข้ามชาติพันธุ์ด้วย โดยผู้ที่อยู่ต่างศาสนาจะต้องเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามหลังจากแต่งงานแล้ว (น.82) ลักษณะทางสังคมของชุมชนแม่สอดนี้เป็นแบบพหุนิยม ประกอบด้วยชาวพม่า เงี้ยว กระเหรี่ยงพุทธ ล้านนา จีน มอญ และมุสลิม มีการปฏิสัมพันธ์กันอยู่เสมอโดยผ่านทางกิจกรรมทางสังคม เศรษฐกิจ เช่นในตลาดหรือร้านค้า นอกจากนี้คนในชุมชนยังมีค่านิยมบางประการร่วมกัน แม้ว่าจะอยู่ต่างกลุ่มชาติพันธุ์และต่างศาสนา เช่นเรื่องของอาหารหรือขนม เป็นต้น (น.152-161) |
|
Belief System |
มีองค์การทางศาสนาที่ดูแลชุมชนประกอบด้วย คณะกรรมการมัสยิดนูรูลอิสลาม กลุ่มยุวมุสลิม ชมรมมุสลิม นอกจากนี้มีกลุ่มมุสลิมผู้หญิงเรียกว่า มุสลีมะฮ์ ให้ความรู้ด้านศาสนา มีคณะกรรมการมัสยิด ที่มีหน้าที่ดูแลมัสยิด โรงเรียน และชุมชน นอกจากนี้ในเขตชุมชนมุสลิมรอบนอกมีสถานที่ปฏิบัติศาสนกิจ (นมาซคานา) อีก 4 แห่ง ซึ่งยังไม่ได้จดทะเบียนกับกรมศาสนาและรับรองอย่างเป็นทางการ ผู้มาประกอบพิธีส่วนใหญ่เป็นมุสลิมสัญชาติพม่า (หน้า 76-80) อาจแบ่งพิธีกรรมทางศาสนาอิสลามออกได้เป็น 1. พิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนสถานภาพของมุสลิมที่สำคัญ ได้แก่การตั้งชื่อ พิธีสุหนัด พิธีแต่งงาน และพิธีศพ ผู้ที่มีบทบาทในพิธีกรรมคือ อิหม่าม ถ้าไม่มีจะถือว่าพิธีนั้นไม่สมบูรณ์ (น.135) 2. พิธีกรรมประจำวัน ได้แก่ การละหมาด วันละ 5 เวลา โดยจะต้องชำระร่างกายให้สะอาดก่อนและหันหน้าไปทางทิศตะวันตก อันเป็นที่ตั้งของนครเมกกะ อีกทั้งยังมีละหมาดเนื่องในโอกาสพิเศษ คือในพิธีศพ ในวันอีดดิ้ลพิตริ คือวันที่กลับคืนมาสู่การเว้นจากการถือศีลอด ถือเป็นการเฉลิมฉลองความสำเร็จในการถือศีลอด และวันอีดิลีอัฎฮา หมายถึงวันที่เวียนมาสู่การเสียสละ หรือวันออกฮัจญี (น.139) เป็นพิธีกรรมที่มุสลิมจัดขึ้นในช่วงที่มุสลิมทั่วโลกกำลังเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ที่นครเมกกะ โดยจะมีการเชือดสัตว์จำพวก แพะ แกะ อูฐ หรือวัว แจกจ่ายให้กับผู้ยากไร้ เรียกพิธีนี้ว่า กุรบาน 3. การถือศีลอดในเดือนรอมฎอน |
|
Education and Socialization |
มีโรงเรียนอิสลามศึกษา ซึ่งเป็นโรงเรียนเอกชน 1 แห่ง ให้การศึกษาในระดับประถมศึกษา เป็นโรงเรียนแห่งเดียวในภาคเหนือที่เปิดสอนวิชาสามัญควบคู่ไปกับศาสนา โดยการกำหนดให้เรียนวิชาศาสนาอิสลามทุกวัน วันละ 1 ชั่วโมง ผู้สอนเป็นมุสลีมีนจากปักษ์ใต้ และในช่วงเย็นจะมีมุสลีมีนอาวุโสท้องถิ่นให้ความรู้ทางศาสนาที่มัสยิดนูรุลอิสลาม โรงเรียนแห่งนี้ได้รับงบประมาณจากสำนักงานการศึกษาเอกชน กระทรวงศึกษา และได้รับเงินอุดหนุนจากมัสยิดนูรุลอิสลาม นักเรียนส่วนใหญ่ร้อยละ 98 เป็นมุสลิม เป็นมุสลิมพลัดถิ่นมีอยู่ร้อยละ 30 |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ผู้ชายมุสลิมนิยมสวมเสื้อแขนยาว นุ่งโสร่งหรือกางเกงขายาว ชุดตามประเพณีนิยมนี้เรียกว่า "กุลต่า" สวมหมวกทำจากผ้าหรือหมวกถัก หรือใช้การโพกผ้าแทน ส่วนผู้หญิงสวมเสื้อแขนยาว นุ่งผ้าถุงหรือกระโปรง ทรงสุภาพกรอมเท้า คลุมศีรษะด้วยผ้า เรียกว่า "หิญาบ" (น.132) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
คนที่แม่สอดนิยมเรียกมุสลิมว่า "กะลา" ซึ่งมุสลิมส่วนใหญ่ไม่ค่อยพอใจนักเพราะเป็นคำที่แฝงนัยยะของการดูถูกเอาไว้ (น.126) ตามการให้ความหมายของคำว่า "กะลา" ว่า "อนารยชน" หรือชาวอินเดียและผู้มีผิวดำ ส่วนมุสลิมเองมักจะแทนตนเองว่า "อิสลาม" แทน "มุสลิม" (น.129) ผู้ศึกษาได้แบ่งเอกลักษณ์อันเป็นเครื่องแสดงพรมแดนทางชาติพันธุ์ออกเป็นเอกลักษณ์ทางกายภาพ อันได้แก่ ลักษณะรูปร่าง หน้าตา และเครื่องแต่งกาย เอกลักษณ์ทางพิธีกรรม แนวปฏิบัติทางศาสนา ระบบสัญลักษณ์ และเอกลักษณ์ทางศาสนา อย่างไรก็ตาม มุสลิมแม่สอดก็มีปฏิสัมพันธ์อันดีกับชนกลุ่มอื่นอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นพม่า เงี้ยว ล้านนา จีน โดยผ่านทางกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ที่มักจะพบกันที่ตลาดหรือตามร้านค้า ซึ่งถือเป็นตัวช่วยลดระยะห่างทางสังคมและพรมแดนทางชาติพันธุ์ลงได้ (น.152) หรือในกิจกรรมทางสังคม เช่นที่โรงเรียนอิสลามศึกษาหรือในงานชุมชนต่างๆ (น.156-157) นอกจากนี้ยังพบว่าคนต่างชาติต่างศาสนาเหล่านี้ยังมีค่านิยมบางอย่างร่วมกันด้วย มีการแต่งงานข้ามชาติพันธุ์ และยังคงรักษาความสัมพันธ์ระหว่างเครือญาติภายใต้ความแตกต่างทางศาสนาและชาติพันธุ์ได้อย่างดี (น.82,160) อย่างไรก็ตามมุสลิมเองก็มีการพยายามธำรงเอกลักษณ์ของตนเองไว้โดยการรณรงค์การแต่งกายของนักเรียนหญิงให้ตามแบบเอกลักษณ์ของมุสลิม (น.167) นอกจากความสัมพันธ์กับกลุ่มชนอื่นแล้วยังมีเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างมุสลิมด้วยกันเองแต่มาจากต่างเชื้อสายอีกด้วย โดยมักจะมองว่ามุสลิมเชื้อสายพม่าและอะระกัน จะอยู่ชายขอบและมีฐานะด้อยกว่าชาติอื่น พวกนี้เต็มใจให้เรียก "กะลา" (น.176) แต่มุสลิมส่วนใหญ่จะภูมิใจที่ตนเองเป็น "มุสลิม" อันเป็นเอกลักษณ์ทางชาติพันธุ์ศาสนาและแสดงตัวเป็นคนไทยเพื่อมีสิทธิเท่าเทียมกับสมาชิกของกลุ่มชาติพันธุ์อื่น และปฏิเสธ "กะลา" (น.177) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ลักษณะครอบครัวในปัจจุบันมีแนวโน้มจะเปลี่ยนจะครอบครัวขยายมาเป็นแบบครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น และนิยมการแต่งงานแบบผัวเดียวเมียเดียวแทนแบบพหุภรรยามากขึ้น (น.81-82) |
|
Map/Illustration |
ตารางจำนวนประชากรมุสลิมในเขตอำเภอแม่สอด, จำนวนประชากรมุสลิมสัญชาติพม่าโดยประมาณแยกตามหย่อมบ้าน (หน้า 74) ตารางสินค้าที่ผ่านด่านแม่สอดไปจำหน่ายยังประเทศพม่าระหว่าง พ.ศ. 2433-2435 (หน้า94) ตารางสินค้าขาออกของสยามที่ผ่านด่านแม่สอดไปพม่า พ.ศ. 2434 (หน้า95) ตารางสินค้าขาเข้าจากพม่าที่นำเข้ามาจำหน่ายในสยาม พ.ศ.2434(หน้า96) ตารางข้อมูลการค้าชายแดนไทย-เมียนม่าร์ ด้าน อ.แม่สอด จ.ตาก: มูลค่าการนำเข้าและส่งออกระหว่าง พ.ศ.2536-2542(หน้า 104,106) ตารางอาชีพและกิจการขอมมุสลิมในเขตอ.แม่สอด(หน้า 122) ตารางภาษาอูรดูที่ใช้ภายในครอบครัวหรือชุมชนมุสลิมแม่สอด (หน้า 149) แผนที่ชุมชนมุสลิมแม่สอด (หน้า52) ภาพพื้นที่บางส่วนในเขตชุมชนมุสลิมรอบนอก(หน้า72) ภาพที่ทำการชุมชนอิสลาม(หน้า 75) ภาพมัสยิดนูรุลอิสลาม อ.แม่สอด จ.ตาก (หน้า 76) แผนที่เส้นทางวัวต่าง (เฉพาะที่สำคัญ)ในภาคเหนือของไทย (หน้า 90) ภาพสถานที่สำคัญในเขตเทศบาล ต.แม่สอด (หน้า100) แผนภาพพงศาวลีของการแต่งงานข้ามกลุ่มชาติพันธุ์สองตระกูล(หน้า 162) ภาพมุสลิมพม่า(หน้า 175) |
|
|