สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject เย้า ประวัติศาสตร์ ศาสนาความเชื่อ เต๋า จีนตอนใต้
Author Eli Alberts
Title A History of Daoism and the Yao People of South China
Document Type หนังสือ Original Language of Text -
Ethnic Identity อิ้วเมี่ยน เมี่ยน, Language and Linguistic Affiliations -
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 183 Year 2549
Source Youngstown, New York : Cambria Press
Abstract

          ผู้เขียนสนใจว่า รัฐถูกสร้าง(constructed)อย่างไร ทั้งในเชิงอาณาเขตดินแดนทางกายภาพและในเชิงที่เสนอออกมาในสื่อที่เป็นภาพและตำรา รวมถึงการกำหนดใช้คำ รัฐกลาง(the Central State) หรือจงกว๋อ (Zhongguo)และแผ่นดินทั้งเก้า (the Nine Continents) หรือ จิ่วโจว (Jiuzhou) ซึ่งเป็นคำคู่ตรงกันข้ามระหว่างศูนย์กลาง-ชายขอบ ภายนอก-ภายใน มีอารยะธรรมความเจริญ-ป่าเถื่อน (น.17-18)
          เนื้อหาแบ่งเป็น 3ภาค ภาคแรกแสดงให้เห็นว่าการติดต่อระหว่างเย้ากับราชการจีนไม่ได้เริ่มต้นในสมัยราชวงศ์ซ่ง โดยในบทที่หนึ่ง เป็นการตรวจสอบลักษณะคุณสมบัติพิเศษของคำที่เป็นตราประทับสมัยราชวงศ์ซ่งซ่ง ได้แก่ เย้าเหริน –Yaorenเย้าหมาน –Yaomanและหมานเย้า – Manyaoรวมทั้งคำ โมเย้า –Moyao  คำทั้งหมดนี้บ่งชี้ ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการเก็บภาษี การเกณฑ์แรงงานและการลงทะเบียนประชากร  ทั้งหมดนี้เกี่ยวโยงกับขุนนางเจ้าหน้าที่ แต่ก็แสดงให้เห็นกระแสแนวโน้มการรวมแผ่นดินในช่วงปลายสมัยหกราชวงศ์  ในบทที่สองและสามเป็นการสำรวจงานเขียนชิ้นพิเศษที่บอกเล่าเรื่องราวผู้คนที่ปกครองตนเอง ซึ่งรู้จักกันในนาม “คนหมาน- the Man”ในฮูหนานและพื้นที่โดยรอบ ผู้เขียนยังแสดงการสะท้อนสิ่งที่เหมือนๆกันของงานเขียนเหล่านี้ที่เป็นหลักฐานในสมัยซ่ง และแสดงแหล่งข้อมูลเอกสารสองชิ้น คือ the Yao Charters (quandie) และ the Passport for Crossing the Mountain (guoshanbang) คำกล่าวอ้างที่ใช้ในเอกสารนี้ ทั้งโดยเจ้าหน้าที่รัฐและคนเย้า มีที่มาจากการทำข้อตกลงและข้อผูกพันระหว่างผู้นำหมานกับผู้นำของอาณาจักรต่างๆ (ฉิน ฉู่ ฯลฯ) ในช่วงรัฐสงคราม (the Warring States) และยุคจักรวรรดิตอนต้น(early imperial periods)
          ภาคที่สอง เป็นการตรวจสอบการเกิดกระบวนการเคลื่อนไหวลัทธิเต๋า (the emergence of Daoist movements) ซึ่งได้แก่ the Celestial Masters  และ the Yellow Turbansในปลายสมัยราชวงศ์ฮั่น เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เกิดกองกำลังกบฏหมานกว้างขวาง ผู้นำที่ก่อตั้งกระบวนการเคลื่อนไหว the Celestial Mastersเป็นผู้นำท้องถิ่นในดินแดนทางตะวันตกของแผ่นดินที่เป็นศูนย์กลางของคนหมาน คนป่านชุน( The Banshun)เป็นกลุ่มย่อยกลุ่มแรกๆ ที่สนับสนุนกระบวนการ
          ในบทสรุป ผู้เขียนวิเคราะห์ว่า ”the Passport”  เอกสารที่สืบทอดในตระกูลผู้นำเย้าเท่านั้น เย้าใช้เอกสารนี้เป็นหลักฐานของการรับรู้ของสวรรค์และราชสำนัก (น.18-19) 

Focus

          ผู้เขียนสนใจสถานะตำแหน่งของตำราจีน(the position oftext)และวัตถุเชิงพิธีกรรมในประเพณีความเชื่อทางศาสนา –การเมืองการปกครองเย้า(น.2) 

Theoretical Issues

          ไม่มีแนวคิดชัดเจน  อย่างไรก็ตาม ในการศึกษานี้ผู้เขียนตั้งคำถามว่า  ระบบอักษรจีนและความคิดภายในจิตใจแบบ”เต๋า”(Chinese script and “Daoist” imagery)ทำหน้าที่ในการสร้างและรักษาอัตลักษณ์เย้าอย่างไร ทั้งนี้ผู้เขียนเห็นว่าระบบการเขียนจีนและความคิดแบบเต๋ามี่หน้าที่เหมือนกันกับตำรา(texts)และแบบแผนอื่นๆ(wen)ในศาสนาทางการของจีน กล่าวคือ ขณะที่คัมภีร์หรือของมีค่า (treasures or ‘bao’) ให้ความถูกต้องชอบธรรมต่ออำนาจของจักรพรรดิและราชวงศ์ด้วยการแสดงพลังอำนาจของสวรรค์เชิงสัญลักษณ์ ในทำนองเดียวกัน ตำราภาษาจีนแบบเย้าก็ให้ความถูกต้องชอบธรรมต่ออำนาจของผู้นำหมู่บ้านและสายตระกูลเย้า  รวมทั้งสร้างและธำรงรักษาอัตลักษณ์เย้าในระดับท้องถิ่นและใหญ่กว่าท้องถิ่น (น.2)  
          จากการที่เอกสารก่อนสมัยราชวงศ์ชิงให้ข้อมูลจำนวนมากเกี่ยวกับการติดต่อระหว่างเย้ากับรัฐจีน    รวมทั้งข้อมูลการติดต่อกับหน่วย/องค์กรสังคมการเมืองการปกครองอื่นๆในจีนใต้  ซึ่งผู้เขียนให้ความหมายคำ “รัฐจีน”(Chinese state) ว่า หมายถึง เครือข่ายทางการบริหารปกครองที่เชื่อมท้องถิ่นภูมิภาคกับเมืองหลวง รวมทั้งเจ้าหน้าที่ข้าราชการและผู้นำทหาร(the official bureaucrats and military commanders) ที่ควบคุมดูแลองค์กรปกครองและปราบปรามอิสรชนที่เป็นภัยต่อรัฐ  ผู้เขียนเห็นว่า เรื่องสำคัญประการหนึ่งในความสนใจของผู้บันทึก/เขียนเอกสารเหล่านั้น คือ การกำหนดขอบเขตอาณาจักรของจักรพรรดิ  ซึ่งเอกสารเหล่านี้ใช้คำ  “Zhongguo” (the Central State) และ “Jiuzhou“(the Nine Continents)  ผู้เขียนกล่าวว่าคำทั้งสองนี้ให้ความคิดเรื่องคู่ตรงข้าม (a dichotomy) ระหว่างศูนย์กลางกับชายขอบ (center and periphery)  ภายในกับภายนอก (inside and outside) และเจริญแล้วกับป่าเถื่อน (civilized and wild) (น.17-18) ด้วยเหตุนี้ผู้เขียนมองประวัติศาสตร์ของเย้าและคติความเชื่อเต๋าในเชิงความสัมพันธ์แบบศูนย์กลาง-ชายขอบ

Ethnic Group in the Focus

เย้าในประเทศจีน

Language and Linguistic Affiliations

          ประวัติที่มาของอักษรเขียนคำ “เย้า”  ปัจจุบันคำว่า”เย้า”หมายถึง คน”จีน”ทางตอนใต้ที่ไม่ได้พูดภาษาจีน(non-sinitic speaking) มีกำเนิดอยู่ในจีนตอนกลางทางด้านใต้แม่น้ำแยงซี(south of the Yangzi River) และถูกจำแนกว่าเป็น”เย้า”มีวัฒนธรรมการเพาะปลูกแบบโค่นถางเผา อาศัยอยู่บนพื้นที่สูงและมีการอพยพย้ายถิ่นกระจายในวงกว้าง (widespread migratory pattern) พวกเขาอาศัยอยู่ในมณฑลตอนใต้ของจีน ได้แก่ ฮูหนาน (Hunan) กวางตุ้ง (Guangdong) กวางสี (Guangxi) และยูนนาน(Yunnan) ในเวียดนาม ลาวและไทย และในช่วงสองสามทศวรรษมานี้ พวกเขาได้อพยพไปอยู่ในยุโรปและอเมริกาเหนือด้วย (น.1) แต่ในอดีต “เย้า”มีความหมายต่างจากที่กล่าวมา
          ผู้เขียนพบว่า ตัวอักษรคำ”เย้า”ในเอกสารที่ศึกษาเขียนด้วยตัวอักษรหลายแบบ   กล่าวคือ อักษรจีนที่ใช้แทนคำ “เย้า”เป็นตัวหนังสือผสม ประกอบด้วยตัวอักษร 2ส่วนคือ ส่วนที่แสดงการออกเสียง(the phonetic element) กับส่วนที่แสดงนัยความหมาย(the radical) จากการสำรวจผู้เขียนพบว่า เอกสารในช่วงต้นๆ ตัวอักษรเย้ามีการแปรเปลี่ยน ไม่คงที่ และแม้ว่าในสมัยราชวงศ์ซ่งตอนต้น ส่วนของคำที่แสดงการออกเสียงจะคงที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแล้ว  แต่ส่วนข้างที่แสดงความหมายนั้นยังผันแปร ไม่คงที่แน่นอน  อักษรประกอบที่ใช้มีทั้งอักษรรูปสุนัข (a dog radical) อักษรรูปคนเดี่ยว (a human radical) อักษรรูปคนคู่ (a double human radical)
         จากหลักฐานเอกสารผู้เขียนพบว่า อักษรส่วนข้างที่ใช้สื่อความหมายคนเย้าในระยะแรก คือ อักษรรูปคนเดี่ยวและคนคู่ ซึ่งนักวิจารณ์และพจนานุกรมถือว่า คำเย้าที่เขียนด้วยอักษรคนทั้งสองแบบนี้เป็นอักษรเดียวกัน มีความหมายเหมือนกัน คือ แรงงานที่ถูกเกณฑ์  ผู้เขียนเห็นว่า การจัดเช่นนี้ทำให้คำนี้มีความหมายแฝงทางการปกครองที่แสดงถึงการติดต่อระหว่างศูนย์กลางกับชายขอบ (น.30,32)
         การใช้อักษรสุนัข(a dog radical) เป็นส่วนข้างนั้น นักวิชาการร่วมสมัยจำนวนมากเชื่อกันว่า เป็นเครื่องหมายที่จีนฮั่นแสดงการดูถูกคนกลุ่มอื่นที่ไม่ใช่คนฮั่น (non-Han groups) ก่อนสมัยราชวงศ์ถังไม่ค่อยพบการใช้ความหมายสุนัขในชื่อเรียกกลุ่มคน(ethnonyms) หรือชื่อภูมิประเทศ(toponyms)ของกลุ่มคนที่อยู่ทางตอนใต้ของจีน ผู้เขียนกล่าวว่า เอกสารโบราณส่วนมากใช้อักษรสุนัขกับชื่อภูมิประเทศที่เกี่ยวพันกับทางเหนือของจีนเท่านั้น เช่น ตี้เหนือ (the Northern Di)  ซึ่งในจีนโบราณเป็นการประทับตราคนที่อยู่นอกอาณาจักรจีน(Zhongguo)ตามทิศทั้งสี่ ผู้เขียนจึงเห็นว่า คนจีนยุคต้นไม่ได้คิดและดูถูกกลุ่มคนอื่นที่ไม่ใช่ฮั่น การใช้อักษรสุนัขในคำที่พูดถึงคนที่อยู่ในจีนตอนใต้ซึ่งก็รวมเย้าด้วยนั้นเริ่มปรากฏในเอกสารสมัยราชวงศ์ถัง ต่อมาในคริสต์ศตวรรษ 11 และ 12ก็กลายเป็นอักษรมาตรฐาน (น.26-27) ในพจนานุกรมภาษาจีนมีหมวดคำที่ใช้ส่วนข้างเป็นอักษรสุนัข(the dog category) ได้แก่ สัตว์ตระกูลสุนัข  สัตว์ตระกูลลิงมีหางและลิงไม่มีหาง สัตว์สี่เท้าอื่นๆ เช่น สิงโต หมาป่า คำที่เกี่ยวกับการล่าสัตว์หรือศิลปะในการไล่ล่าและจับสัตว์ป่า  และคำที่แสดงคุณลักษณะป่าเถื่อนหรือไม่เจริญ  ผู้เขียนจึงสรุปว่าแรงจูงใจประการหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังการใช้อักษรสุนัขเป็นส่วนประกอบตัวอักษรที่เขียนกับกลุ่มคนอื่น คือ ความคิดที่คนฮั่นมองตนเองเป็นแหล่งอารยธรรมและอำนาจ ดังนั้นจึงมองคนที่อาศัยอยู่ภายนอกอาณาจักร/รัฐเป็นคนป่าเถื่อน และอาจเป็นเพื่อสะท้อนให้เห็นว่าคนเย้าบูชาพานหู(สุนัข) ว่าเป็นบรรพบุรุษของพวกเขา (น.28  และดูรายละเอียดเพิ่ม น. 42-44)  
        ต่อมา ปี ค.ศ. 1949นักวิชาการชาวจีนเริ่มนำตัวอักษรหยก(a jade radical)มาใช้เป็นส่วนข้างแทนที่อักษรสุนัขและคนในตัวเขียนที่หมายถึง ”คนเย้า” เพื่อสื่อความหมายถึง ”หยกอันงดงาม” ดังจะเห็นได้จากคำต่างๆในพจนานุกรมจีนชื่อ Hanyu Da Cidianและ Zhongwen Da Cidianที่ผสมตัวอักษรหยกกับอักษรคำ“เย้า”เช่น yao yu(beautiful jade), yaoyue (radiant moon) นอกจากนั้นยังใช้อักษรเย้าที่มีตัวอักษรหยกแสดงความหมายกับดินแดนของชีวิตที่สว่างใสและเหมือนสวรรค์ เช่น yaochi (radiant pond) ซึ่งเป็นบ่อน้ำบนยอดเขาคุนหลุน  การเปลี่ยนมาใช้ตัวอักษรหยกเป็นส่วนความหมายของคำว่า “เย้า” นี้ก็เพื่อให้สอดคล้องกับทัศนคติสมัยใหม่ และเป็นการยุติการเชื่อมโยงวาทกรรมร่วมสมัยกับความจริงทางประวัติศาสตร์ ซึ่งไม่เพียงงานวิชาการสมัยใหม่เกี่ยวกับเย้าเท่านั้นที่ใช้ตัวอักษรหยก  เอกสารประวัติศาสตร์ที่พิมพ์เมื่อเร็วๆนี้และการรวบรวมเอกสารเย้าดั้งเดิมก็ยังอธิบายตัวอักษรด้วยบทบาทหน้าที่ใหม่(with modern surrogate)  การทำเช่นนี้ทำให้ไม่แน่ใจว่า คนที่มีการศึกษาอ่านออกเขียนได้สมัยก่อน ซึ่งหลักๆก็คือ เจ้าหน้าที่รัฐ มองผู้คนที่อยู่ตามชายขอบราชอาณาจักรอย่างไรและก็เป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจว่า เย้าเรียกตนเองอย่างไรในเอกสารตำรา (น.25-26)  และจากประวัติการใช้คำดังข้างต้นนั้น ผู้เขียนสรุปว่าคำ “เย้า”–“yao”เป็นตราประทับมากกว่าคำเรียกชื่อตนเอง (an autonymn)     
   
          ความหมายของคำ “โมเย้า”(Moyao) คำนี้เป็นคำคู่(the binome) คือ คำ“mo”ซึ่งเป็นคำแสดงการปฏิเสธ หมายถึง no, not, there is notกับคำ“yao” งานเขียนทางการในช่วงปีแรกๆของราชวงศ์ถังใช้คำนี้กับคนหมานกลุ่มต่างๆที่อยู่ในดินแดนจิ้ง(the Jing region) จากการวิเคราะห์ความหมายของ “โมเย้า”โดยพิจารณาตำแหน่งของคำในประโยคจากเอกสารราชวงศ์เหลียง(Liangshu)ที่ว่า  “there are those that are moyao man “–มีคนกลุ่มที่เป็นหมานโมเย้า ผู้เขียนตีความประโยคนี้ได้สองความหมายคือ “there are Man that are called Moyao” หรือ “There are Man who are not yao” ซึ่งก็คือ คนหมานที่ไม่อยู่ภายใต้การเกณฑ์แรงงาน แรงงานบังคับ การเกณฑ์ทหาร และอื่นๆ  ความหมายที่สองนี้แยกคนหมานกลุ่มหนึ่งออกมาตรงข้ามกับรัฐ และบ่งชี้ว่า มีคนหมาน(Man)พวกที่เป็นเย้าและมีคนหมานพวกที่ไม่ได้เป็นเย้า  ด้วยเหตุนี้ผู้เขียนจึงเสนอให้มองความหมาย”โมเย้า”ในเชิงการบริหารปกครอง นั่นคือ คนหมานพวกที่อยู่ภายใต้(หรือไม่อยู่ภายใต้)อำนาจรัฐ เพราะในเอกสารราชวงศ์สุย(Suishu) แม้นักประวัติศาสตร์จะเลิกใช้ตัวอักษร “หมาน”และเขียนว่า “มีกลุ่มคนที่ถูกเรียกว่า “โมเย้า”(mingyue moyao) แทน แต่ก็วางข้อความเกี่ยวกับโมเย้าไว้ในเนื้อหาที่กล่าวถึงขนบธรรมเนียมประเพณีคนหมาน โดยเฉพาะหัวเรื่องเกี่ยวกับการแต่งกายและการไหว้พานหู่ อีกทั้งยังอธิบายความหมายของชื่อที่พวกเขากล่าวว่ามาจากการทำความดีความชอบของบรรพบุรุษในอดีตแล้วได้รับการยกเว้นการเกณฑ์แรงงาน ดังนั้นพวกเขาจึงนำคำ “โมเย้า” มาเป็นชื่อ  ซึ่งคำกล่าวอ้างนี้ปรากฏในตำนานพานหู่เกือบจะทุกสำนวน (น.33-34)

Study Period (Data Collection)

ไม่ได้ระบุ

History of the Group and Community

         ผู้เขียนไม่ได้กล่าวถึงประวัติเย้าโดยตรง แต่กล่าวถึงกลุ่มคนที่ถูกเรียกว่า”โมเย้า” (“Moyao”), “หมาน”(“man”และ “เย้าเหริน”(“yaoren”)ทั้งหมดนี้อยู่ในดินแดนจีนตอนใต้บริเวณเดียวกัน ผู้เขียนได้วิเคราะห์ว่าพวกเขาเป็นคนกลุ่มเดียวหรือเกี่ยวพันกันหรือไม่ ซึ่งสรุปได้ดังนี้
         โมเย้ากับคนหมาน จากข้อมูลในเอกสารทั้งที่เป็นเอกสารประวัติศาสตร์ บันทึกของเจ้าหน้าที่และวรรณกรรมงานเขียนอื่น ผู้เขียนพบการเกี่ยวโยงกันของคนหมานกับโมเย้า ที่ชี้ชัดว่า ทั้งสามกลุ่มต่างก็สืบเชื้อสายมาจากพ่านหู่เช่นเดียวกัน นั่นคือ  ดินแดนที่โมเย้าอาศัยอยู่เป็นถิ่นที่อยู่ของคนหมานที่สืบเชื้อสายมาจากพานหู่  โดยเฉพาะกลุ่มคนหมานแห่งหวู่หลิง (the Man of wuling) และในพื้นที่อื่นๆของภูมิภาคจิง (the Jing region) ที่รับรู้กันว่าเป็นลูกหลานของพ่านหู่   ขณะที่บันทึกประจำปีของจิน (Jinji or the Annals of Jin) ก็ระบุว่า คนดั้งเดิมที่อยู่ในหวู่หลิง (wuling) ฉางชา (Changsha) และหลู่เจียง (Lujiang) ทั้งหมดสืบเชื้อสายมาจากพ่านหู่ อยู่กระจายกันในพื้นที่แถบลำห้วยห้าสาย และบันทึก Houhanshuของฟาน เย่ (fan Ye) ก็ระบุแคบลงมาว่า คนหมานในฉางชาและหวู่หลิงไม่ได้เป็นอะไรมากกว่านั้น ดังนั้นผู้เขียนจึงเห็นว่า คนหมานกับคนที่สืบเชื้อสายจากพ่านหู่เป็นกลุ่มเดียวกันและอยู่ในพื้นที่บริเวณนี้ (น.54-55)
         โมเย้ากับเย้าเหริน(yaoren) “yaoren” หมายถึง คนเย้า(renแปลว่า คน) คำนี้ปรากฏในเอกสารจีนเป็นครั้งแรกในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 11และยังปรากฏในเอกสารเย้าที่เรียกว่า “Passport for Crossing the Mountains”ด้วย (น.46) ผู้เขียนได้ตรวจสอบว่า เย้าเหรินเป็นกลุ่มเดียวกันกับโมเย้าหรือไม่ เพราะนักวิชาการหลายคนเข้าใจว่า “โมเย้า” กับ “เย้าเหริน”หมายถึงคนกลุ่มเดียวกัน   ริชาร์ด คัชแมน(Richard Cushman)ผู้ศึกษาประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์เย้า ลงความเห็นว่า “โมเย้า”กับ”เย้า”เป็นกลุ่มเดียวกัน โดยตีความ “โมเย้า” ว่าหมายถึง ไม่อยู่ภายใต้การเกณฑ์แรงงาน(น.34)  ทั้งนี้เป็นเพราะการเปลี่ยนคำเรียกกลุ่มคนในเอกสารราชการตั้งแต่สมัยฮั่นเรื่อยมาจนถึงสมัยซ่งที่ทำให้คัชแมนเข้าใจผิดและมองคำเรียกกลุ่มเป็นสิ่งบ่งชี้การค้นพบคนกลุ่มใหม่ที่ไม่รู้จักมาก่อน ผู้เขียนกล่าวว่าความสับสนของเจ้าหน้าที่ซ่งที่เชื่อว่า “เย้า” กับ “โมเย้า” หมายถึงคนกลุ่มเดียวกัน อาจจะมาจากการเขียนผิดหรือตัดรูปตัวอักษรในการเขียน (น.35) การใช้คำ เย้าเหริน”แทนที่”โมเย้า”ในเอกสารสมัยราชวงศ์ซ่งตอนต้นไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม รวมทั้งการใช้คำทั้งสองอ้างถึงคนกลุ่มเดียวกัน มีหลักฐานอยู่ในบันทึกของโอวหยาง สิ่ว (Ouyang Xiu,1007-1072) ที่ส่งถวายพระเจ้าเหรินจง (Emperor Renzong) ในปี ค.ศ.1004 รายงานเกี่ยวกับการก่อความไม่สงบของคนหมานในฮูหนานตอนใต้และการไร้ความสามารถของรัฐในการจัดการ มีความว่า “เพราะว่าคนหมานอยู่บนภูเขาในเหิงโจว(Hengzhou) หยงโจว(Yongzhou) เต้าโจว(Daozhou) และกุ้ยหยาง(Guiyang) พวกเขาจึงมาจากทุกทิศทุกทาง”และท่ามกลางคนหมานแท้ๆแห่งตระกูลพ่าน ก็มีคนกลุ่มอื่นอีก เช่น  “พวกที่ถูกจำแนกว่าเป็นคนภูเขาโมเย้า”(the Moyao mountrain people) คำ”เย้า”ในที่นี้เขียนด้วยตัวอักษรคน แม้ว่าในใจของโอวหยางคนหมานแท้ๆคือคนตระกูลพ่านเท่านั้น –ไม่ว่าจะว่าใช้แซ่พ่านหรืออ้างว่าสืบสายมาจากพ่านหู่- เขาก็ยังระบุด้วยว่า “กล่าวกันว่า ขนบธรรมเนียมประเพณี การแต่งกายและภาษาของโมเย้าเหมือนกันกับของคนหมานแท้ๆ (the True Man)”นอกจากบันทึกของโอวหยางแล้ว ก็ยังมีเอกสารอื่นอีกที่กล่าวถึงเหตุการณ์การก่อความไม่สงบนี้ แต่พูดถึง “เย้าเหริน” ขณะที่โอวหยางพูดถึงโมเย้า  (น.36)
         เอกสารประวัติศาสตร์ราชวงศ์ซ่ง (Songshi)  มีข้อความที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ความไม่สงบนี้ แม้ส่วนข้างของ คำ”เย้า”จะเขียนด้วยอักษรรูปสุนัข แต่ก็มีข้อความกำหนดความหมาย “เย้าเหริน”อย่างชัดเจนว่าหมายถึง การจ่ายภาษีและการให้แรงงานที่ต้องการ ทั้งยังระบุพื้นที่ภูมิประเทศเฉพาะแห่งด้วยว่า เป็นพื้นที่ชายแดนระหว่างฮูหนานตอนใต้ กวางสีทางตะวันออกเฉียงเหนือ และกวางตุ้งตอนเหนือ   ด้วยเหตุนี้แม้ “เย้าเหริน”จะมีความหมายตรงกันข้ามกับ “โมเย้า”แต่ข้อความในเอกสารประวัติศาสตร์ราชวงศ์ซ่ง คำทั้งสองนี้เหมือนกัน (น.37)

Settlement Pattern

ไม่ได้กล่าวถึง

Demography

 ไม่มี

Economy

   ไม่มี

Social Organization

   ไม่มี

Political Organization

          ความสัมพันธ์ระหว่างเย้ากับรัฐจีน  ผู้เขียนเห็นว่า ลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างเย้ากับจีนเป็นความสัมพันธ์แบบศูนย์กลาง-ชายขอบ  สิ่งที่แสดงถึงความสัมพันธ์ดังกล่าว คือ  หลักฐานการศึกษาประวัติคำ(philological evidence)และตำนานพ่านหู่กับเรื่องน้ำพุสวนดอกท้อ 
          จากการศึกษาประวัติคำเรียกกลุ่ม ได้แก่ คำ “เย้า”และ “โมเย้า”ผู้เขียนเห็นว่า คำที่ใช้ไม่ใช่ชื่อกลุ่มชาติพันธ์ แต่เป็นตราประทับที่แสดงถึงการอยู่ชายขอบอำนาจรัฐ คำ”เย้า”หมายถึงคนที่อยู่ภายในอำนาจหน่วยการบริหารปกครองของรัฐ ส่วน “โมเย้า”หมายถึงคนที่อยู่นอกอำนาจการบริหารปกครอง(น.73และดูรายละเอียดในหัวข้อ 13Language and Linguistic Affiliations)
         และจากการวิเคราะห์ความเกี่ยวพันกันระหว่างเรื่องเล่าเชิงประวัติในเอกสารของรัฐกับรูปแบบตำนานที่มีลักษณะซ้ำๆ กัน ผู้เขียนเห็นว่า ตำนานพ่านหู่และเรื่องน้ำพุสวนดอกท้อชี้ให้เห็นการติดต่อเกี่ยวข้องกันศูนย์กลางกับชายขอบเช่นเดียวกับคำ “เย้า”และ”โมเย้า”(น.73)เช่น ในตำนานพ่านหู่ การที่พ่านหู่เป็น มนุษย์ประหลาดผิดธรรมดา(an anomalous creature) แสดงถึงการมองคนหมานเป็นคนอื่นและคนนอกที่แตกต่างจากมนุษย์อื่น  (น.69)  นอกจากนั้นตำนานพ่านหู่ไม่ได้เน้นความเป็นอื่นของคนหมานเพียงอย่างเดียว แต่ยังถักทอคนหมานเข้ากับวาทกรรมรัฐ-ศูนย์กลางของคนชายขอบด้วย ผู้เขียนเห็นว่าพ่านหู่เป็นตำนานที่มีเค้าความจริงสำหรับความสัมพันธ์แบบเป็นเมืองขึ้นส่งส่วย(a tributary relationship)ที่ราชอาณาจักรส่วนกลางดำรงรักษาไว้กับคนหมาน (น.67-68)  ส่วนเรื่องเล่าน้ำพุสวนดอกท้อซึ่งเขียนโดย เถา เชียน ผู้เขียนอธิบายคำ “wairen”ซึ่งตามคำศัพท์หมายถึง คนที่อยู่ข้างนอก(outside people)ว่า ในบริบทเนื้อเรื่องจากตำแหน่งของคำ 3แห่ง แสดงนัยยะบ่งบอกการอยู่นอกอำนาจรัฐ  แห่งแรก คำ”wairen”ใช้ในมุมมองของชายชาวประมงที่เห็นเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของผู้คนในสวนดอกท้อต่างจากคนที่อยู่ในเขตปกครอง ซึ่งบ่งบอกว่า ผู้คนเหล่านี้เป็นคนนอกเขตปกครอง  ส่วนคำ “wairen”ในบริบทที่สองและสามเป็นการใช้ในมุมมองของคนในดินแดนสวนดอกท้อ เมื่อกล่าวถึงคนที่อยู่นอกดินแดนของพวกเขาและกล่าวถึงชายชาวประมงตามลำดับ (น.66) ผู้เขียนกล่าวว่า  คนหมาน(the Man people)ก็เช่นเดียวกับคนภูเขา(the grotto people)ในเรื่องน้ำพุสวนดอกท้อ  พวกเขาอยู่นอกเขตปกครองหวู่หลิง(Wuling) ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นและสิ้นสุดการเดินทางของชายชาวประมง และในมุมมองของชายชาวประมงในฐานะตัวแทนรัฐ คนเหล่านั้นจึงเป็น “คนนอก”เพราะพวกเขาอยู่นอกเขตกำหนดของราชสำนัก  ทั้งนี้นักประวัติศาสตร์ของรัฐก็ให้ความสนใจเครื่องแต่งกายของคนหมานและคนกลุ่มอื่นๆที่อยู่ชายขอบเช่นเดียวกับชายชาวประมงที่สังเกตความเป็นอื่นของเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย  ผู้เขียนเห็นว่า ข้อความที่แวดล้อมคำ “เย้า”ในเอกสารบันทึกของเจ้าหน้าที่ยังเน้นลักษณะความเป็นอื่นที่แน่นอนของกลุ่มและสถานที่ ที่เป็น “ข้างนอก”ได้แก่  สังคมภายนอก นอกรัฐ และนอกโลก (น.67)
 
          การมีอิสระอธิปไตย  เย้ามีอิสระปกครองตนเอง ได้รับการยกเว้นภาษีและการเกณฑ์แรงงานจากรัฐ สิทธิดังกล่าวนี้มาจากการกระทำของพ่านหู่ผู้ที่เย้าถือว่าเป็นต้นบรรพบุรุษของตน  รัฐจีนและเย้าต่างก็มีตำนานเรื่องเล่านี้ในปรากฏอยู่ในเอกสารของทั้งสองฝ่าย    
          ตำนานเรื่องพ่านหู่มีความสำคัญมาก เพราะแสดงพันธะผูกพันระหว่างคนหมาน(เย้า)กับจักรพรรดิจีน ขณะที่การแต่งงานของพ่านหู่กับพระราชธิดาเป็นเครื่องหมายการผูกพันระหว่างลูกหลานชาวของพ่านหู่กับรัฐในตำนานประวัติศาสตร์(the mytho-historical state)  ด้วยพันธะดังกล่าว เย้าจึงได้รับสิทธิเหล่านี้ในฐานะผู้สืบเชื้อสายของพ่านหู่  นอกจากตำนานพ่านหู่ซึ่งเกิดขึ้นในอดีตอันห่างไกลแล้ว ยังมีตำนานเรื่องเล่าหลินจุน(Linjun)และหมานอี้ป่านชุน(Banshun Manyi)ในสมัยฉินและฮั่น(Qin and Han times)ที่แสดงพันธะของตระกูลป่า(the Ba clan)และคนหมานป่านชู่(the Banshu Man)กับรัฐในสมัยราชวงศ์ฉินและฮั่น พันธะนี้นำไปสู่พันธมิตรทางการแต่งงานระหว่างผู้นำหมานกับพระธิดาของจักรพรรดิ อภิสิทธิ์ทางการปกครองพิเศษ และการลดหรือยกเว้นภาษี (น.80-82)
        เอกสารสำคัญที่เย้าใช้เป็นหลักฐาน  คือ  The Passport for Crossing the Mountains  หรือ “Guoshanbang” เอกสารนี้อยู่ในการครอบครองของผู้นำหมู่บ้าน โดยคัดลอกมาจากต้นฉบับที่รู้แหล่งที่มาแน่นอนซึ่งไม่ใช่แหล่งเอกสารของทางการ และเป็นเอกสารจากเย้ากลุ่มอิวเมี่ยน(Iu Mien)เพียงกลุ่มเดียว (น.132)  เอกสารนี้เป็นใบอนุญาตและให้สิทธิแก่บรรพบุรุษของเย้า เป็นอิสระจากการจ่ายภาษี การเกณฑ์แรงงานและเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ทั้งยังมีสิทธิปกครองตนเองเหนือดินแดนบนภูเขาและถ้ำ  อย่างไรก็ตามไม่มีหลักฐานว่า เอกสารนี้ถูกแสดงต่อเจ้าหน้าที่ ยกเว้นก็แต่ในเอกสารเย้า แม้ว่านักวิชาการคนจีนและที่ไม่ใช่คนจีนที่ศึกษา the Passport จะยอมรับการกล่าวอ้างโดยตีความว่าเป็นเอกสารทางการที่เป็นข้อมูลประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะมีการระบุปีแน่นอน  แต่ทว่าเอกสารนี้ก็ดูเหมือนเป็นการประดิษฐ์ขึ้นมาโดยคนเย้า (น.133)  ผู้เขียนกล่าวว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ the Passport มีพลัง/อำนาจสร้างความชอบธรรมให้แก่ผู้ครอบครอง คือ ข้อความที่บ่งบอกการยอมรับของรัฐ โดยเฉพาะส่วนที่สัมพันธ์กับอำนาจของจักรพรรดิ (ดูรายละเอียดใน น.142-143) 

Belief System

          คติความเชื่อเต๋า (Daoism)  ผู้เขียนเห็นว่าตลอดประวัติศาสตร์จีน คติความเชื่อเต๋าทำให้เกิดการเกี่ยวโยงกันระหว่างศูนย์กลางกับชายขอบ  และยังทำให้ศูนย์กลางขยายขอบเขตของอำนาจและสิทธิพิเศษ ดังนั้นในการศึกษานี้จึงสำรวจกระบวนการโผล่ปรากฏประเพณีความเชื่อที่เรียกว่า “religious or orthodox Daoism” โดยเริ่มจากการนิยามความหมาย “Daoism”ของไมเคิล สตริคมันน์(Michel Strickmann)  สตริคมันน์ใช้คำนี้กับประเพณีทางศาสนาที่มาจากกระบวนการเคลื่อนไหวในทางศาสนา-การเมืองการปกครองที่รู้จักกันในชื่อ “the Celestial Masters”–“ผู้ปกครองฟ้า”ซึ่งก่อตั้งโดยจาง เต้าหลิง(Zhang Daoling) สตริคมันน์มองความเชื่อนี้ในฐานะปรากฏการณ์ปลายราชวงศ์ฮั่นที่มีลักษณะเฉพาะ เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงทางศาสนาและปรัชญาอย่างหลวมๆ  ทั้งยังลดความสำคัญของพัฒนาการทางศาสนา-การเมืองการปกครองในสมัยฮั่นช่วงตอนกลางถึงตอนปลาย ซึ่งนำไปสู่การก่อรูปประเพณีความเชื่อแบบผู้ปกครองฟ้า(the Celestial Masters tradition) และการแสดงโลกทัศน์ของเจ้าหน้าที่ฮั่นเกี่ยวกับชุมชนผู้ปกครองฟ้า(the Celestial Masters community)  ยิ่งไปกว่านั้น ผู้เขียนยังเห็นว่า คำจำกัดความของสตริคมันน์ไม่สามารถเชื่อมโยง”ผู้ปกครองฟ้า”ในบริบทของกระบวนการเคลื่อนไหวผ้าโพกเหลือง(the Yellow Turbans) ในปลายสมัยราชวงศ์ฮั่น  ซึ่งกระบวนการเคลื่อนไหวทั้งสองแสดงลักษณะเดียวกัน ผู้นำระดับท้องถิ่นภูมิภาคได้ยึดฉวยถ้อยคำสำนวนและสัญลักษณ์ราชอาณาจักรเพื่อท้าทายจักรพรรดิและราชวงศ์ (น.98-99)
          ผู้เขียนเห็นด้วยกับแอนน์ ซีเดล (Anne Siedel) ซึ่งศึกษา“ผู้ปกครองฟ้า”ในเชิงศาสนา-การเมืองการปกครอง ซีเดลเห็นว่า “ผู้ปกครองฟ้า”เป็นการสิ้นสุดและการกลับมาใหม่ของจิตสำนึกอุดมคติของราชวงศ์ฮั่น และเป็นการเปลี่ยนไปตามธรรมชาติของกระแสการเปลี่ยนแปลงที่มีอยู่ในจีนจากยุคสมัยฮั่นตะวันตกและตอนปลายยุคสมัยการทำสงครามระหว่างรัฐ “ผู้ปกครองฟ้า” ได้สืบทอดตำแหน่งสถานะและบทบาทการเมือง-การปกครองของจักรพรรดิราชวงศ์ฮั่น เนื่องจากโครงสร้างการจัดระเบียบองค์กรทั้งหมดของกระบวนการเคลื่อนไหวเต๋าที่แตกหน่อออกมามีรูปแบบวิธีการปกครองราชสำนักฮั่น (ดูรายละเอียดใน น.101-104)  ซีเดลจึงเห็นว่า การจัดองค์กรและความเป็นพระ/นักบวชของเต๋าเป็นการเกิดใหม่ในระดับจิตวิญญาณแห่งความกลมกลืนกับสวรรค์ที่สูญหายไปของราชวงศ์ฮั่น(ดูรายละเอียดเพิ่มใน หน้า 101-104)  เมื่อการบริหารปกครองราชวงศ์ฮั่นล้มเหลว “ผู้ปกครองฟ้า”และนักบวชก็กลายเป็นผู้ปกครองเหนือธรรมชาติของคนจีน(the supernatural administrators of Chinese people) ดังนั้นนักบวชเต๋าของชุมชน “ผู้ปกครองฟ้า”(the Celestial Masters Community) จึงครอบครองควบคุมหน้าที่เชิงจิตวิญญาณของจักรพรรดิฮั่น (น.100)
 
          ผู้ปกครองฟ้า  (Celestial Masters) ประเพณีความเชื่อ “ผู้ปกครองฟ้า” รับความคิดมาจากราชวงศ์ฮั่น ได้แก่ ความเชื่อที่ว่าจักรพรรดิอยู่ระหว่างสวรรค์ โลก และมนุษย์ จักรพรรดิมีหน้าที่ดูแลรักษาการสอดประสานกลมกลืนกัน อำนาจของจักรพรรดิและชะตาบ้านเมืองขึ้นอยู่กับพลังอำนาจของสวรรค์ แผ่นดินจะมีความสงบสุขตราบเท่าที่จักรพรรดิปฏิบัติหน้าที่เชิงพิธีกรรมของตน ถ้าจักรพรรดิละเมิดพลังอำนาจ แผ่นดินจะล่มสลาย สวรรค์จะส่งสัญญาณให้เห็น เช่น เกิดภัยธรรมชาติต่างๆ  เกิดความแห้งแล้ง น้ำท่วม และเกิดปรากฏการณ์ประหลาดผิดปกติ รวมถึงเกิดการจลาจลในแผ่นดิน ในเอกสาร Huainanzy กล่าวถึงความคิดเรื่องสวรรค์กับการกระทำของผู้ปกครองว่า สังคมที่มีผู้ปกครองทรงภูมิปัญญาเป็นผู้ดูแลควบคุม การกระทำและความตั้งใจของผู้ปกครองจะสอดประสานกับแบบแผนและวัฎจักรของจักรวาล/สวรรค์ ถ้าผู้ปกครองปฏิบัติหน้าที่อย่างเหมาะสม ทุกสิ่งภายใต้สวรรค์ก็สงบสุข ซึ่งเป็นการกระทำในอุดมคติ แต่ถ้าผู้ปกครองกระทำสิ่งตรงกันข้าม ระเบียบของวัฏจักรก็จะสลับสับที่ ธาตุทั้งห้าและฤดูกาลทั้งสี่จะไม่เป็นไปตามลำดับ กลางวันจะมืด กลางคืนจะสว่าง ภูเขาถล่ม แม่น้ำแห้งเหือด ฟ้าผ่าในฤดูหนาว หิมะตกในฤดูร้อน ปรากฏการณ์ผิดปกติเหล่านี้จะถูกผู้นำการต่อต้านใช้เป็นข้ออ้างว่าราชวงศ์สูญสิ้นความชอบธรรมในการปกครอง (น.104-107)
    
         ดินแดนสุขาวดี  ชีวิตตามศาสนาความเชื่อของเย้าและจีนตอนใต้ถือว่า “โลกสรวงสวรรค์”(“grotto world or heaven”) ซึ่งเรียกว่า “ต่งเทียน–dongtian” เป็นสถานที่สำคัญเช่นเดียวกับความเชื่อเต๋าที่เป็นกระแสหลักในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 4  มีเรื่องเล่าหลายเรื่องถึงผู้คนที่ใช้ลำห้วยและทางน้ำเส้นอื่นๆไปยังดินแดนอันเร้นลับ เรื่องเล่าเหล่านี้มีลักษณะสำคัญคือ อยู่ระหว่างความคิดจินตนาการ ลักษณะทางกายภาพที่เป็นภูมิประเทศกับลักษณะกายภาพที่เป็นตำนาน ซึ่งเป็นดินแดนสุขาวดีที่ซ่อนเร้น  ผู้เขียนเห็นว่า การปรากฏตัวของสิ่งที่ไม่ปกติโดยการบรรยายการค้นพบ “โลกสวรรค์” ในเอกสารงานเขียนมีความเกี่ยวข้องกับการสร้างรหัสของสวรรค์ ในประเพณีความเชื่อเต๋าทางใต้สมัยกลาง เช่น การเคลื่อนไหวหลิงเปาชานชิง(the Shanqing and Lingbao movements) ที่มองว่าโลกประกอบด้วยภูเขาศักดิ์สิทธิ์ อันติดต่อได้โดยเส้นทางใต้พื้นดิน (น.61-61)
          ถ้ำคูหาน้ำพุสวนดอกท้อ (Peach Blossom Spring Grotto) มีความสำคัญมากในความเชื่อเต๋าที่เป็นกระแสหลักและในประเพณีความเชื่อเชิงตำนานของเย้าและคนจีนทางใต้ โดยเฉพาะในประเพณีความเชื่อเชิงพิธีกรรมแบบเหมยชานที่ดินแดนคูหาสวรรค์คือ ศูนย์กลางสำคัญ  เอกสารเย้าที่รู้จักกันในฐานะ “ใบผ่านทาง–the Passport” ลงรายการคูหาน้ำพุสวนดอกท้อเป็นสถานที่หนึ่งในหลายๆแห่งที่เย้ามีอธิปไตยในตนเอง ในวัฒนธรรมเย้าและวัฒนธรรมอื่นๆ ทางใต้ที่เกี่ยวกับภูเขาเหมยชาน คูหาสวนดอกท้อเป็นดินแดนสุขาวดีที่วิญญาณคนตายจะต้องกลับไปก่อนจะไปเกิดใหม่ คู่มือพิธีกรรมเย้าที่ชื่อ “เอกสารสำหรับข้ามเหมยชาน” (“the Document for Crossing Meishan”) บรรยายพิธีกรรมการบอกทางวิญญาณคนตายในการเดินทางผ่านถ้ำทั้ง 36 ถ้ำของภูเขาเหมยชานบนเส้นทางที่จะไปศาลสิบแห่งของกษัตริย์ทั้งสิบองค์เพื่อพิพากษาตัดสินวิญญาณก่อนไปเกิดใหม่ (น.63)

Education and Socialization

ไม่มี

Health and Medicine

ไม่มี

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มี

Folklore

          ตำนานพ่านหู่ (the Panhu myth) เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับบรรพบุรุษต้นกำเนิดของเย้า เนื้อหาที่ผู้เขียนอ้างถึงมี 2สำนวน คือ สำนวนจีนกับสำนวนเย้า โดยต่างกันที่ชื่อของกษัตริย์จีนกับชื่อศัตรูของกษัตริย์จีน สรุปใจความได้ดังนี้             พ่านหู่เป็นสุนัข-มังกร(the dragon-dog Panhu) มารับอาสาพระเจ้าเกาซินในสำนวนจีนหรือพระเจ้าผิงในสำนวนเย้า ไปต่อสู้กับศัตรูของพระองค์(ในสำนวนเย้าชื่อพระเจ้าเกา)  หลังจากได้ชัยชนะ พระเจ้าเกาซินได้ยกพระธิดาให้แต่งงานด้วย เมื่อแต่งงานกับพระธิดา พ่านหู่ก็กลายเป็นมนุษย์ (น.133) หลังจากนั้นพ่านหู่ก็พาพระธิดาเดินทางกลับไปยังดินแดนบ้านเกิดของเขา ณ ดินแดนภูเขาใต้(Nansha) การเดินทางใช้เวลาหลายวัน ผ่านภูเขาและหุบเขาหลายแห่ง จนกระทั่งถึงภูเขาสูงหลายพันฟุต มีถ้ำคูหาหินจำนวนมาก และหนึ่งในนั้นเป็นบ้านของเขา ซึ่งอยู่สูงครึ่งหนึ่งของความสูงภูเขา (น.52,59-60)  ทั้งคู่มีลูกด้วยกัน 12คน เป็นหญิง 6คน ชาย 6คน ทั้ง12คนนี้เป็นต้นกำเนิดเย้า 12ตระกูล (น.133)
          ตำนานพ่านหู่ไม่เพียงแต่อธิบายกำเนิดวัฒนธรรมเย้าและการติดต่อเกี่ยวข้องกับรัฐเท่านั้น แต่ยังอธิบายกำเนิดที่มาของ the Passport–ใบผ่าน/หนังสืออนุญาต –ด้วย เพราะพระเจ้าผิงไม่ได้มอบเฉพาะพระธิดาให้พ่านหู่เท่านั้น แต่ยังมอบใบผ่าน/หนังสืออนุญาตให้แก่พ่านหู่และลูกหลานของเขาด้วย  ซึ่งผู้นำเย้าจำนวนมากก็ยังคงเก็บรักษาหนังสือนี้ไว้  การได้รับมอบ “the Passport”จึงเท่ากับพ่านหู่ได้รับอำนาจของพระเจ้าผิง เหมือนกับที่พระเจ้าผิงได้รับอำนาจแห่งสวรรค์ (น.143)  
 
          น้ำพุสวนดอกท้อ (the Peach Blossom Spring) ซึ่งเถา เฉวียน(Tao Quian)เป็นคนเขียน มีใจความว่า ชายชาวประมงคนหนึ่งจากอวู่หลิง(Wuling)พายเรือเรื่อยไปตามลำห้วย ไม่รู้ว่าไกลเพียงใด ทันใดเขาก็มาถึงดงต้นท้อที่กำลังผลิดอก สองฝั่งลำห้วยมีต้นท้อเรียงรายหลายร้อยต้น ไม่มีต้นไม้อื่นเลย บนพื้นดินก็มีกลีบดอกไม้ป่าที่ขึ้นอยู่ใต้ต้นท้อร่วงหล่นปกคลุมพื้น  ชายชาวประมงพิศวงกับสิ่งที่เห็น แต่ก็พายเรือต่อไปเพื่อดูว่าดงต้นท้อยาวไกลขนาดไหน  จนที่สุดดงต้นทอก็มาสิ้นสุด ณ เชิงเขาแห่งหนึ่ง ซึ่งมีน้ำพุผุดลงมาสู่ลำห้วย ข้างในภูเขามีช่องเล็กๆช่องหนึ่ง ที่ดูเหมือนมีแสงลอดผ่านออกมา เขาได้ขึ้นจากเรือ แล้วเดินไปตามช่องทางนั้น จนมาถึงสถานที่แห่งหนึ่ง มีบ้านเรือน ท้องทุ่ง บ่อน้ำสวยงาม ต้นไม้หลากหลายชนิด เขาได้ยินเสียงไก่ขัน หมาเห่า และเห็นชายหญิงกำลังทำงานอยู่ในท้องทุ่ง คนเหล่านั้นสวมใส่เสื้อผ้าเหมือนกับคนข้างนอก  ผู้ชายทั้งคนแก่และเด็กดูมีความสุข ไร้กังวล (น.56, 59-60)     
           ตำนานหลินจุน (the Linjun Myth) เป็นเรื่องราวของคนหมานที่อยู่ในเขตปกครองทางใต้  5ตระกูล คือ ตระกูลป่า (the Ba) ตระกูลฟาน (the Fan) ตระกูลอี้ (the Yi) ตระกูลเซียง (the Xiang) และตระกูลเจิง (the Zheng)  ทั้งห้าตระกูลอาศัยอยู่ในถ้ำสองแห่งที่ภูเขาจงหลี่ (the Zhongli Mountain) ในหวู่โล่ว (Wuluo) ตระกูลป่าอยู่ในถ้ำแดง อีกสี่ตระกูลอยู่ในถ้ำดำ พวกเขาไม่มีผู้ปกครอง (junzhang) แต่นับถือผีร่วมกัน  เพื่อหาผู้ปกครอง พวกเขาจึงจัดการแข่งขันโดยให้แต่ละตระกูลส่งตัวแทนเข้าร่วม ผลปรากกว่า หวู่เซียง (Wuxiang) จากตระกูลป่าเป็นผู้ชนะ ได้รับตำแหน่ง “Lord Lin”  เขาได้นำผู้คนของเขาไปสู่ดินแดนอุดมสมบูรณ์ ในระหว่างการเดินทาง เขาได้พบและต่อสู้กับ the Salt Spiritที่แม่น้ำอี้(the Yi River)จนได้ชัยชนะ  จึงได้รับการยกย่องมีสถานภาพดั่งเทพเจ้า(the deified ruler)และกลายเป็นเทพผู้ปกครองของห้าตระกูล (น.76-79)
 
          เรื่องthe Banshun Manyi  ในสมัยพระเจ้าจ้าวเซียงแห่งแคว้นฉิน (King Zhaoxiang of Qin) มีเสือขาวตัวหนึ่งท่องไปตามดินแดนแคว้นฉิน แคว้นฉู่ แคว้นป่า และแคว้นฮั่น(the realms of Qin, Shu, Ba, and Han) ทำร้ายผู้คนนับพัน พระเจ้าจ้าวเซียงจึงประกาศว่า หากใครฆ่าเสือตัวนี้ได้จะพระราชทานที่ดินและทองให้เป็นรางวัล ในเวลานั้นมีชาวอี้ (Yi people) จากหลางจง (Langzhong) ในเขตปกครองป่า (Ba Commandary) ซึ่งมีความสามารถในการทำหน้าไม้  พวกเขาสร้างหอสูงสำหรับยิงธนู และฆ่าเสือได้ (น.80) พระเจ้าจ้าวเซียงแห่งฉินได้จารึกพันธะข้อตกลง (หรือ mengyao) บนก้อนหิน ใจความสำคัญของพันธะ คือ ภาษีและการให้แรงงาน แก่รัฐ พันธะข้อตกลงนี้นำไปสู่การยกเว้นหรือการลดหรือเปลี่ยนรูปแบบการให้แรงงาน (น.82) 

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

          การระบุจำแนกกลุ่ม จากการศึกษาเอกสาร ผู้เขียนเสนอว่า คำว่า ”เย้า”หมายถึง กลุ่มในเชิงอาณาเขตดินแดนและการบริหารปกครอง ต่อมาคำนี้ได้กลายเป็นเครื่องหมายชาติพันธุ์   ขณะที่ความคิดสมัยใหม่ เช่น ชนชาติเย้า –Yaozu (Yao nationality) กลุ่มชาติพันธุ์–minzu (ethnic group or nationality) และชนกลุ่มน้อย – shaoshu minzu (minority nationality or ethnic minority) ก็บ่งชี้ความคิดความรู้สึกที่มีต่อคนเย้าและคนที่ไม่ใช่ฮั่นกลุ่มอื่นในฐานะการเป็นชุมชนชาติพันธุ์เดี่ยวตามชายขอบที่มีลักษณะเหมือนกัน ความคิดเช่นนี้เป็นการมองแบบการเมืองและแบบมานุษยวิทยาตะวันตกและสอดคล้องกับเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ช่วงก่อนสมัยใหม่ แต่ในความเป็นจริงมีเย้ากลุ่มย่อยจำนวนมาก  และทั้งหมดนี้ก็ไม่มีกลุ่มใดเรียกตนเองว่า “Yaozu”เลย (น.23-24)
          จากการศึกษาที่มาและการแพร่กระจายคำ (an etymology) ผู้เขียนเห็นว่า คำเรียกกลุ่มชาติพันธุ์เย้าในอดีตเป็นตราประทับมากกว่าคำเรียกชื่อตนเอง (an autonym) และคำเรียกที่เป็นทางการก็ไม่เคยคงที่ แต่แปรเปลี่ยนไปตามเจ้าหน้าที่แต่ละคน แม้การใช้คำเหล่านั้นจะเกี่ยวข้องกับการเกณฑ์แรงงาน เก็บภาษี  การลงทะเบียนกลุ่มคนและการอ้างอำนาจเหนือเขตแดนของรัฐ รวมทั้งการอ้างอำนาจปกครองตนเองในภูมิภาคก็ตาม เช่น เจ้าหน้าที่คนหนึ่งจำกัดความโดยใช้คำ “โมเย้า” ขณะที่เจ้าหน้าที่คนอื่นใช้คำ “เย้า” หมายถึงกลุ่มคนที่ทำหน้าที่แรงงานเกณฑ์ให้รัฐ (น.42) ผู้เขียนเห็นว่าการใช้คำเรียกใหม่ๆในการจำแนกกลุ่มคนตามดินแดนชายขอบสะท้อนถึงการเปลี่ยน(transformation) แก่นความคิดของวิธีดำเนินการ ซึ่งมีผลกระทบต่อการกระทำที่ไม่หยุดนิ่งระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับหน่วยสังคมการเมืองที่อยู่ชายขอบอาณาจักร (น.34)        
         อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนกล่าวว่า  นัยยะความหมายของคำที่เข้าใจกันในปัจจุบันกับในอดีตนั้นแตกต่างกัน เช่น ความหมายของ “คนเย้าเหริน” ใน Houshan Congtan ของเฉิน ซือเต้า(Chen Shidao) ที่เขียนเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 11อธิบายชัดเจนว่า “พวกที่อาศัยอยู่ในหุบเขาแห่งสองกว่าง( the mountain valleys of the two Guang) และไม่อยู่ใต้อำนาจของเขตบริหารปกครอง เรียกว่า คนเย้า (Yao people) ซึ่งผู้เขียนชี้ว่า “คนเย้า” ในข้อความนี้ไม่ได้ใช้ในฐานะตราประทับชาติพันธุ์  แต่ใช้ในฐานะที่เป็นการจัดจำแนกประเภทเชิงภูมิศาสตร์การบริหารปกครอง (a geo-administration category) อันเป็นชื่อเขตภูมิศาสตร์ที่ในสมัยซ่งรู้จักกันในชื่อ เอ้อกว่าง (Erguang) หมายถึง สองกว่าง ได้แก่ กว่างหนานตะวันออกและกว่างหนานตะวันตกซึ่งปัจจุบันคือ กว่างตุ้งและกว่างสี  ผู้เขียนเห็นว่าเฉิน ซือเต้าไม่ได้จำกัดความคนเย้าเฉพาะในแง่ภูมิศาสตร์เท่านั้น แต่ยังจำกัดความในเชิงภูมิประเทศที่ตั้งด้วยด้วย นั่นคือ คนเย้าเป็นพวกที่อยู่ในพื้นที่ภูเขาของกว่างสีและกว่างตุ้งนอกเขตบริหารปกครองของรัฐ  การจำกัดความนี้ชี้ให้เห็นลักษณะนิเวศน์ธรรมชาติที่สำคัญเชิงเศรษฐกิจ คือ สภาพถิ่นที่อยู่ของชุมชนบนพื้นที่สูง และการจำกัดความนี้ก็บ่งบอกความสัมพันธ์ของการดำรงชีพกับทรัพยากรธรรมชาติชัดเจน (น.37-38)    
          หรือกรณีความสัมพันธ์ของคนหมานที่หวู่หลิง(the Wuling Man) คนหมานที่หลิงหลิง(the Lingling Man) คนหมานที่ฉางชา(the Changsha Man) และคนหมานในที่อื่นๆ ที่ฟาน เย่กล่าวถึงใน  Houhanshu  ซึ่งเอกสารสมัยใหม่ตีความว่าคนกลุ่มต่างๆนี้เป็นกลุ่มย่อย( แต่ผู้เขียนเห็นว่า ไม่ใช่ เพราะสิ่งที่ฟาน เย่สนใจคือ ปฏิบัติการกองกำลังหมาน(Man insurgencies) ไม่ใช่การให้ข้อมูลทางภาษาและชาติพันธุ์วรรณนา(น.52-53)  ฟาน เย่ ไม่ได้มองคนหมานเหล่านั้นในแง่กลุ่มย่อยตามความหมายสมัยใหม่ เขากำหนดถิ่นที่อยู่คนหมานในเชิงที่สัมพันธ์กับเขตปกครองที่รัฐบาลฮั่นแต่งตั้งและตามผู้นำของพวกหมานที่มีตำแหน่งเป็น jing fuและ qui zhangผู้เขียนเห็นว่าเมื่อพิจารณาจากงานเขียนของฟาน เย่ และเจ้าหน้าที่รัฐจำนวนมาก กลุ่มหมานทั้งหมดนี้มาจากที่เดียวกัน คือ หวู่หลิง สถานที่ที่พ่านหู่และพระธิดาของพระเจ้าเกาซินตั้งถิ่นฐานและให้กำเนิดบุตร 12คนที่เป็นบรรพบุรุษหมาน (น.53-54)
 
          ตราประทับกลุ่มย่อย จากเอกสารที่ศึกษาผู้เขียนพบว่า มีคำเรียกคนหมานกลุ่มหนึ่ง คือ “Congren”  เป็นคำผสมประกอบด้วยคำ “cong” กับคำ “ren” ซึ่งแปลว่า “คน” “cong” เป็นภาษีส่วยที่คนหมานจ่ายให้รัฐ เช่น “congbu” หมายถึง ผ้าที่คนหมานหวู่หลิงทอส่งให้แก่รัฐปีละหนึ่งครั้ง (น.83) ในเอกสารราชวงศ์จิน(Jinshu or Documents of the Jins Dynasty) ระบุว่า คนปา (the Ba people) เรียกการจ่ายเงินของพวกเขาให้รัฐคนละ 40 ว่า “cong”และพวกเขาก็ถูกเรียกว่า “congren” อย่างไรก็ตาม ความหมายของ “congren”ก็ยังมีข้อถกเถียงอยู่  แม้คลีแมน(Kleeman) จะยอมรับว่า “cong” เป็นคำที่ใช้กับภาษี แต่เขาก็เห็นว่าคำผสม “congren” เป็นชื่อกลุ่มชาติพันธุ์  ขณะที่ผู้เขียนเห็นว่า “cong” เป็นการนำคำในภาษาปาที่ใช้เรียกภาษีมารวมกับคำว่าคน “คน” แล้วใช้เป็นชื่อที่คนนอกเรียคนปา นั่นคือ ไม่ใช่คำที่พวกเขาเรียกตนเอง แต่เป็นคำที่เจ้าหน้าที่จีนเรียกพวกเขา เพราะในเอกสารราชวงศ์จิน(Jinshu) ก็บันทึกว่า ประชาชนที่ถูกระบุว่าเป็น “congren” นั้น ช่วยฮั่นเกาซู(Han Gaozu) ต่อสู้ก่อนที่จะขึ้นเป็นจักรพรรดิ ดังนั้นพวกเขาจึงได้รับการยกเว้นภาษี (น.83-84)
          นอกจากคำ “congren” แล้ว  ยังมีคำ“Banshun” อีกคำหนึ่ง ซึ่งผู้เขียนเห็นว่า เป็นตราประทับคนหมานกลุ่มหนึ่งในดินแดนป่าตอนกลาง เนื่องจากในเอกสาร Houhanshu แม้จะกล่าวถึง cong ว่าเป็นภาษีลักษณะพิเศษที่คนในดินแดนป่า(Ba) จ่ายให้รัฐ แต่ก็ไม่ได้รวมเอาคำผสม congren เข้าไว้ด้วย ซึ่งมีเพียงผู้นำตระกูลทั้งเจ็ดเท่านั้นที่ไม่ต้องจ่ายภาษี ส่วนครัวเรือนอื่นต้องจ่ายเงินปีละ 40ต่อคน เอกสารนี้แทนที่คำ “congren” ด้วย “yi” และ “banshun manyi” สองคำนี้เป็นตราประทับที่ไม่ปรากฏในเอกสารราชวงศ์จิน  (น.84)  เอกสาร Huayangguo zhiก็ใช้ตราประทับ “Banshun”เช่นกัน เมื่อกล่าวถึงพวกป่าในสมัยฮั่น  แต่เมื่อกล่าวถึงตระกูลหลี่(the Li family) ยุคหลังราชวงศ์ฮั่น เอกสารนี้ไม่ใช้ตราประทับนี้ แม้จะเรียกพวกเขาว่า “congren”ซึ่งเป็นการจัดกลุ่มตามลักษณะภาษีมากกว่าเป็นชื่อชาติพันธุ์(ethnonym) และเอกสารราชวงศ์จินก็แทนที่ Banshunด้วย congrenเช่นกัน (น.90)

Social Cultural and Identity Change

          การกลายเป็นจีน  คนหมานในเขตปกครองปา(Ba)ไม่เพียงเข้าร่วมในกองกำลังกบฏผ้าโพกเหลือง(the Yellow Turban rebellion) แต่ยังเป็นกลุ่มแรกที่ปฏิบัติตามประเพณีความเชื่อผู้ปกครองฟ้า พวกเขายอมรับการใช้แซ่แบบจีน และก่อตั้งรัฐ/แคว้นในเสฉวนตอนใต้ โดยใช้หลักความเชื่อเต๋า  ผู้เขียนวิพากษ์ข้อเสนอของคลีแมน (Kleeman) ซึ่งมองสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นกระบวนการกลายเป็นจีน  ประชาชนที่มีวัฒนธรรมและชาติพันธุ์ต่างกันได้ก่อตัวรวมกันใหม่เข้ากับคนจีน โดยยังคงรักษาอัตลักษณ์ของตนเองในฐานะ “Ba”  คลีแมนเชื่อว่า การก่อตัวของชุมชนทางศาสนาความเชื่อที่มีชาติพันธุ์หลากหลายนี้มีลักษณะพิเศษไม่เหมือนใครเป็น “an unprecedent event in Chinese history”แต่ผู้เขียนไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ (น.118)
          แม้คลีแมนจะรับรู้ว่าใครๆก็กลายเป็นจีนได้  หากเขาก็มองเห็นความต่างกันมากระหว่าง “คนป่าเถื่อน”กับ”คนจีน” กล่าวคือ ทั้งสองกลุ่มไม่ใช่การจัดเกณฑ์จำแนกคงที่  เกณฑ์ที่ใช้เป็นความคิดซึ่งเจ้าหน้าที่ทางการสร้างขึ้นมา ผู้เขียนยกตัวอย่างว่า คำ”เย้า”ไม่ค่อยถูกกล่าวถึงในความหมายตรงข้ามกับ “ฮั่น –Han”หรือในความคิดเชิงชาติพันธุ์อื่นของความเป็นจีน ในเอกสารซ่ง ผู้คนถูกประทับตรา “เย้า” เพราะพวกเขาไม่ได้เป็นคนในบังคับ ไม่ได้จ่ายภาษีและเป็นแรงงานเกณฑ์ให้รัฐ  ต่อมาคำจำกัดความนี้ค่อยๆ เปลี่ยนไป และความหมายตรงข้ามกันของคำก็ไม่ได้กลายเป็นตราประทับเชิงชาติพันธุ์ จนกระทั่งถึงสมัยราชวงศ์หมิงและต่อๆมา  ส่วนมากแล้ว คำ”เย้า”จะตรงข้ามกับ “หมิน –Min(subjects)” หรือ  “เซิงหมิน –Shengmin(provincial subjects)”คือ พวกที่เป็นส่วนหนึ่งขององค์กรบริหารปกครองของรัฐและพวกที่ไม่ใช่คนในการปกครอง (น.118-119)
          การใช้คำ “หมาน –Man”และคำอื่นๆที่มักแปลว่า “คนป่า –barbarian” ก็เป็นความคิดการสร้างของเจ้าหน้าที่เช่นเดียวกัน  ความหมายของคำ “หมาน” ที่ใช้ปกติทั่วไป หมายถึง ทิศใต้ และใช้ตรงข้ามกับคำ ตรงกลาง หรือ “จง(Zhong)” ในภาษาจีน รวมถึงคำเฉพาะที่สัมพันธ์กับทิศเหนือ ตะวันออก และตะวันตก (น.119)

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

ไม่มี

Text Analyst อธิตา สุนทโรทก Date of Report 02 ต.ค. 2567
TAG เย้า, ประวัติศาสตร์, ศาสนาความเชื่อ, เต๋า, จีนตอนใต้, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง