|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ไต,ไทใหญ่,ประวัติศาสตร์ชุมชน,เชียงใหม่ |
Author |
จรรยา พนาวงค์, อุไรวรรณ แก้วคำมูล |
Title |
ประวัติศาสตร์ชุมชนบ้านเวียงหวาย ตำบลม่อนปิ่น อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ไทใหญ่ ไต คนไต,
|
Language and Linguistic Affiliations |
- |
Location of
Documents |
ห้องสมุด ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
129 หน้า |
Year |
2546 |
Source |
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย |
Abstract |
ประวัติศาสตร์ชุมชนไทใหญ่อยู่ในบริบทของความสัมพันธ์เชิงอำนาจ เป็นชุมชนของคนไทใหญ่ที่มีการอพยพจากฝั่งพม่าหนีจากความโหดร้ายทารุณและการกดขี่ข่มเหงเข้ามาตั้งรกรากในประเทศไทยด้วยสภาพแวดล้อมต่างๆทำให้คนชุมชนบ้านเวียงหวายเปลี่ยนไป จากการสืบเสาะเนื้อหาประวัติศาสตร์ ในเวทีชาวบ้าน ทำให้ทราบเรื่องราวของหมู่บ้าน การอพยพเข้ามา การดำเนินชีวิตของคนสมัยก่อนกับปัจจุบัน และปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไป
การวิจัยนี้ทำให้เห็นถึงช่องว่าง ความแตกต่างระหว่างวัยของคนในชุมชนที่มีค่านิยมที่ต่างกัน และสร้างอัตลักษณ์ของคนแต่ละวัยขึ้นมา เช่น คนเฒ่าคนแก่ยังคงอนุรักษ์และสืบทอดประเพณีไทใหญ่ให้คงอยู่ต่อไป ในขณะที่ เด็กๆจะรับวัฒนธรรมตะวันตก ค่านิยมใหม่ๆเข้ามา ทำให้หลงลืมประเพณีดั้งเดิม มีมุมมองการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป และคนวัยทำงาน ที่ออกไปรับจ้างนอกชุมชนก็สร้างอัตลักษณ์เป็นไทย เพื่อปกป้องตนเองและเพื่อให้ได้สิทธิอันชอบธรรม กระบวนการทำวิจัยนี้ก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ระหว่างทีมวิจัย(ครู)กับชาวบ้านเกิดความเข้าใจและเกิดการเปลี่ยนแปลงตนเองทั้งผู้วิจัยและชาวบ้าน ได้เรียนรู้การสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน เพื่อกระตุ้นจิตสำนึกสร้างความรู้สึกเป็นตัวตนขึ้นมา การที่ครูและนักเรียนมีส่วนร่วมกันในการทำวิจัยเป็นการพัฒนาศักยภาพของตนเองและสามารถนำเรื่องราวประวัติศาสตร์ ภูมิปัญญา ประเพณี และวัฒนธรรมของชุมชนมาประยุกต์นำเข้าสู่การเรียนการสอนในหลักสูตรการศึกษาได้ เพื่อเป็นการเผยแพร่ความรู้สู่ชุมชนและคนรุ่นหลังต่อๆไป |
|
Focus |
งานวิจัยเน้นศึกษาประวัติศาสตร์ชุมชนไทใหญ่ บ้านเวียงหวาย เพื่อนำภูมิปัญญาท้องถิ่น เรื่องราวของหมู่บ้านไปทำเป็นหลักสูตรการเรียนการสอน |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาพูดของชาวไทใหญ่จะใช้ภาษาไต และใช้ภาษาไตเขินเป็นภาษาเขียน การสื่อสารกันภายในชุมชนส่วนใหญ่จะใช้ภาษาไทใหญ่ แต่เวลาที่ต้องติดต่อกับคนไทย จะใช้ภาษาพื้นเมืองปะปน ส่วนเด็กๆที่อยู่ในโรงเรียนจะใช้ภาษาไทยกลางกับครู แต่จะใช้ภาษาไทใหญ่แบบใหม่ (ที่มีการผสมผสานภาษาไทยพื้นเมืองทางภาคเหนือเข้าไป) กับเพื่อนนักเรียนด้วยกัน โดยที่คนเฒ่าคนแก่ยังคงใช้ภาษาไทใหญ่แบบดั้งเดิมอยู่ (หน้า4) |
|
Study Period (Data Collection) |
ใช้วิธีการเก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก การสนทนากลุ่ม และเวทีชาวบ้าน ในช่วงเดือนเมษายน 2544 – เดือนพฤศจิกายน 2545 (หน้า68) |
|
History of the Group and Community |
เขตพื้นที่อำเภอฝาง เป็นดินแดนเก่าแก่ที่มีการตั้งบ้านเมืองมานานแล้ว ผู้ที่เข้ามาอาศัยอยู่ส่วนใหญ่เป็นคนเชื้อสายไทใหญ่ ลาว เขมร มีคนไทยเข้ามาปะปนอยู่บ้างในบางยุคสมัย ในดินแดนนี้มีการอพยพเข้ามาของชนชาวไทใหญ่อยู่เสมอ เนื่องจากมีเขตแดนติดต่อกับพม่าและในอดีตเส้นแบ่งเขตแดนยังไม่ชัดเจน จึงมีคนไทใหญ่บางส่วนอพยพข้ามไปมาระหว่างชายแดนไทย-พม่า บางส่วนก็ตั้งรกรากอยู่ที่ อ.ฝาง กลายเป็นคนดั้งเดิมของพื้นที่ สาเหตุที่อพยพเข้ามาเนื่องจากหนีจากการถูกรังแก ข่มเหงจากพม่า
เมื่อประมาณร้อยกว่าปีมาแล้วชาวไทใหญ่กลุ่มหนึ่งได้อพยพเข้ามาทางบ้านเปียงกอก บ้านโป่งน้ำร้อน บ้านต้นผึ้ง ไทใหญ่กลุ่มนี้บางส่วนกระจายอยู่ในตัวเมืองฝาง บางส่วนได้ตั้งรกรากอยู่ที่บ้านป่าฮิ้น บ้านม่อนปิ่น คนไทใหญ่ที่อพยพมาตั้งรกรากที่บ้านป่าฮิ้น บ้านม่อนปิ่นนั้นจะมีผู้นำคือ พ่อล่าม ซึ่งแต่งตั้งโดยอังกฤษ เพราะในช่วงนั้นพม่าตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษพ่อล่ามมีหน้าที่ปกครองคนในหมู่บ้านและจัดเก็บภาษีคนเวียงหวาย 4 บาทต่อปี ส่งให้กงศุลอังกฤษ (หน้า 22)
ต่อมาพ่อล่ามนำชาวบ้านจำนวนหนึ่งอพยพ ย้ายมาตั้งอยู่ที่หมู่บ้านบนเนินสูงซึ่งเป็นเวียงหวายเก่า เนื่องจากที่ป่าฮิ้น บ้านเด่นนั้น มักเกิดน้ำท่วมในช่วงฤดูฝน ราว พ.ศ. 2440 ช่วงที่พ่อล่ามย้ายมาก่อตั้งหมู่บ้านเวียงหวาย สภาพหมู่บ้านในตอนนั้นยังเป็นป่า เริ่มแรกมีเพียง 10 กว่าครอบครัว ต่อมาเริ่มมีคนไทใหญ่ทยอยเข้ามาอยู่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ปีพ.ศ.2447 ชาวบ้านได้ช่วยกันตัดไม้ในป่ามาสร้างวัดเวียงหวายหรือวัดสุนทราวาสขึ้น ในยุคที่พ่อล่ามเป็นผู้นำ คนในชุมชนทำการเกษตร ค้าขาย และทำงานในบ่อนพนัน มีการค้าขายระหว่างเมืองฝางกับเมืองในฝั่งพม่า บ้านเวียงหวายจึงเป็นจุดพักของพ่อค้าวัวต่าง ที่นำสินค้าจากพม่าไปขายที่เชียงใหม่ และซื้อสินค้ากลับไปขายที่พม่าและเป็นศูนย์รวมของคนชาวไทใหญ่ ทั้งแม่อาย ไชยปราการเชียงดาว เวลาคนไทใหญ่มีปัญหาอะไรก็ขอให้พ่อล่ามเป็นผู้ตัดสิน หากเรื่องใดที่แก้ไม่ได้ก็ต้องส่งเรื่องไปที่กงสุลอังกฤษ เพราะในขณะนั้นถือเป็นคนในสังกัดของอังกฤษ (หน้า55)
ต่อมาเนื่องจากลูกชายคนเล็กพ่อล่ามมีนิสัยเกเร มักพาลูกน้องไปปล้น สร้างความเดือดร้อนแก่มูเซอ กะเหรี่ยง ซึ่งไปร้องทุกข์กับเจ้าหน้าที่ของไทย จนเจ้าหน้าที่ไทยมาตักเตือนและจะลงโทษอย่างเด็ดขาด ทำให้พ่อล่ามลำบากใจในการเป็นผู้นำหมู่บ้าน อีกทั้งไม่อยากให้ลูกชายโดนลงโทษจึงตัดสินใจที่จะย้ายกลับพม่าในช่วงประมาณ พ.ศ.2486 โดยมีชาวบ้านบางส่วนย้ายตามไปด้วย ขณะที่ชาวบ้านอีกส่วนหนึ่งตัดสินใจอยู่ที่เมืองไทยตามเดิม หลังจากที่ไม่มีพ่อล่ามแล้ว
สภาพหมู่บ้านเวียงหวายก็ไร้ผู้นำ แต่วิถีชีวิตของคนเวียงหวายก็ยังดำเนินต่อไป หมู่บ้านที่เคยคึกคักก็กลับเงียบเหงา บ่อนการพนันถูกปิดลง เพราะไม่มีคนดำเนินการต่อจากพ่อล่าม คนที่เคยค้าขายหากินทำงานกับบ่อนก็หันมาทำการเกษตรในพื้นที่ที่ตนเองมีอยู่ เพื่อเลี้ยงชีพต่อไป (หน้า19,20,23)
เมื่อไม่มีพ่อล่าม ทหารไทยได้ประกาศให้ชาวเวียงหวายทราบว่า หากไม่ต้องการย้ายกลับพม่า และไม่ต้องการไปอยู่ในสังกัดของทหารญี่ปุ่น ก็ให้ไปรายงานตัวเพื่อขอเป็นคนไทยที่อำเภอฝาง คนไทใหญ่ที่เวียงหวายจึงได้รวมตัวกับคนไทใหญ่ที่อาศัยในตัวอำเภอฝาง พากันจัดขบวนแห่ธงชาติไทยไปที่อำเภอฝาง เพื่อขอเป็นคนไทย ปีพ.ศ.2500 เจ้าหน้าที่ของไทยได้เข้ามาทำการขึ้นทะเบียนให้คนไทใหญ่ในหมู่บ้านเวียงหวาย ได้เป็นคนไทยอย่างถูกต้อง โดยจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมปีละ 4 บาทต่อครอบครัว และหัวหน้าครอบครัวต้องไปรายงานทุก 7วัน ทำให้บางครอบครัวย้ายออกไปอยู่พม่า เพราะไม่อยากเสียค่าธรรมเนียมทุกปี เจ้าหน้าที่อำเภอฝางได้เข้ามาจดชื่อ-นามสกุล แต่เนื่องจากคนไทใหญ่ไม่เคยมีนามสกุล ทางเจ้าหน้าที่จึงแนะนำให้ชาวบ้านใช้ชื่อพ่อ ชื่อปู่หรือบรรพบุรุษ มาตั้งเป็นนามสกุลแทน ดังนั้นนามสกุลของคนเวียงหวายส่วนใหญ่จึงมักขึ้นต้นด้วยคำว่า ลุง จิ่งต๊ะ คำเอ้ย เป็นต้น (หน้า 24)
เมื่อมีบัตรประจำตัวประชาชน เป็นคนไทยถูกต้องตามกฎหมายมีสำเนาทะเบียนบ้านจึงมีการแต่งตั้งผู้ใหญ่บ้านคนแรก แต่คนไทใหญ่ในหมู่บ้านเวียงหวายยังไม่มีโฉนดที่ดินที่ตนครอบครองอยู่ จึงไม่สามารถซื้อขายที่ดินได้ (หน้า28)
ช่วงหลังปีพ.ศ.2525 ปัญหาการเมืองและการใช้ความรุนแรงของทหารในพม่า มีการสังหารโหดเกิดขึ้นและบังคับให้คนไทใหญ่ย้ายถิ่นทำให้ชาวไทใหญ่อพยพหนีความเดือดร้อนเข้ามาอยู่ในประเทศไทยจำนวนมาก ในระยะแรกเข้ามาตามสายญาติพี่น้อง จำนวนหนึ่งได้อพยพมาที่บ้านเวียงหวาย แม้ปัจจุบันทางการของไทยมีมาตรการผลักดันผู้อพยพจากพม่า แต่ก็ยังมีการลักลอบหนีเข้ามาเป็นประจำ โดยมีพี่น้องชาวไทใหญ่ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยก่อนแล้วเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือ (หน้า45,46) |
|
Settlement Pattern |
มีการตั้งบ้านเรือนกันแบบง่ายๆ มีการนำไม้ในป่ามาเป็นวัสดุในการปลูกสร้างสภาพบ้านเป็นบ้านหลังเล็กๆ คนในหมู่บ้านช่วยกันสร้างบ้านโดยไม่ต้องจ้างใคร และมีการสร้างวัดขึ้นในหมู่บ้าน (หน้า12,20,89) |
|
Demography |
จำนวนประชากรทั้งหมด 1,032 คน เป็นหญิง 532 คน เป็นชาย 500 คน ทั้งนี้ยังไม่รวมผู้ที่ไม่มีบัตรประจำตัวประชาชน โดยประชากรมีสัญชาติไทยร้อยละ 45.99 ไม่มีสัญชาติไทยร้อยละ 54.00ประชากรที่แบ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ มีชาวไทยพื้นราบ ร้อยละ 31.22 เชื้อสายไทใหญ่ ร้อยละ 68.35 และชนกลุ่มน้อยชาวเขาเผ่าต่างๆ ร้อยละ 42 (หน้า1-2) |
|
Economy |
คนเวียงหวายมีความเป็นอยู่ที่พึ่งพิงกับธรรมชาติ ได้แก่ พื้นที่ทำกินและแหล่งน้ำ ช่วงแรกที่มีการเข้าอยู่อาศัย ชาวบ้านมีการถากถางที่ดินเพื่อไปปักหลักตั้งถิ่นฐานเป็นที่ทำมาหากินของตนเองตามกำลังของแต่ละคน โดยชาวบ้านได้ทำการเพาะปลูกบนพื้นที่เหล่านั้น ซึ่งมีการทำการเกษตรแบบพอเพียงมีการปลูกพืช เช่น ถั่วงา และมีการทำนาหมุนเวียน ซึ่งชาวบ้านมีการแปรรูปผลผลิตทางเกษตรจากข้าวมาทำเป็นขนมจีน ข้าวแตน ข้าวหมาก ส่วนถั่วเหลืองก็ทำเป็นถั่วเน่าแฟ้น เต้าหู้ เพื่อเก็บไว้บริโภคกันเอง (หน้า18) ต่อมาการปลูกพืชแบบพอเพียงก็เปลี่ยนไปเป็นการปลูกพืชเศรษฐกิจเพื่อขาย มีการปลูกหอมหัวใหญ่ หอมแดง กระเทียม รวมทั้งส้มและลิ้นจี่เพิ่มขึ้น โดยมีพ่อค้าคนกลางมารับซื้อผลผลิตถึงที่ (หน้า29) เนื่องจากผลผลิตเป็นที่ต้องการของตลาดมากขึ้น จึงมีการขยายพื้นที่ในการเพาะปลูก และมีการสร้างโกดังเพื่อไว้เก็บผลผลิต ทำให้ต้องจ้างแรงงานเพิ่ม บางครั้งมีการเพาะปลูกตลอดปี ทำให้การจ้างแรงงานคนไทใหญ่เพียงอย่างเดียวไม่พอ จึงมีการจ้างแรงงานที่เป็นมูเซอ ที่อาศัยอยู่ใกล้ๆมาเป็นคนงานด้วย (หน้า13) |
|
Social Organization |
ไทใหญ่เป็นสังคมที่ให้ความนับถือผู้สูงอายุและเคร่งครัดในการทำบุญตามประเพณีทางพุทธศาสนา เมื่อมีงานบุญจะมีการรวมตัวกันทำบุญตามวัดในหมู่บ้าน (หน้า20,21) เมื่อมีผู้อพยพรุ่นใหม่ทะลักเข้ามามาก จึงเกิดการแบ่งแยก (หน้า 33, 35, 44, 49) แต่ยังมีกลุ่มคนไทใหญ่ที่อยู่ในประเทศไทยก่อนแล้วนั้น คอยให้ความช่วยเหลือคนไทใหญ่ยุคหลังที่อพยพเข้ามา โดยมีการจัดตั้งมูลนิธิรักน้องขึ้น เพื่อช่วยเหลือในเรื่องการศึกษาสำหรับเด็กชาวไทใหญ่ที่ไม่มีโอกาสได้เข้าเรียนหนังสือในระบบโรงเรียน (หน้า 46) |
|
Political Organization |
ในอดีต ชาวไทใหญ่มีพ่อล่ามเป็นผู้นำของหมู่บ้านซึ่งแต่งตั้งโดยอังกฤษ พ่อล่ามมีอำนาจหน้าที่ปกครองและดูแลคนในหมู่บ้าน (หน้า20) ชาวบ้านทุกคนให้ความเคารพเชื่อฟังพ่อล่าม ต่อมาเมื่อไม่มีพ่อล่าม ชาวบ้านก็จะยกย่องคนที่มีอาวุโสเป็นผู้นำ แต่ยังไม่มีการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ จนกระทั่งเมื่อมีเจ้าหน้าที่ของรัฐไทยเข้ามาขึ้นทะเบียนราษฏร์ ทำให้มีการเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้านขึ้น นับตั้งแต่ปี 2500 เป็นต้นมา ผู้ใหญ่บ้านคนแรกคือ จ้าง คำมาด (หน้า28)
แม้จะเป็นพลเมืองไทยแล้ว แต่ชาวไทใหญ่ก็ยังมีความสัมพันธ์กับไทใหญ่ที่อยู่ในพม่า เมื่อพม่าได้เป็นเอกราชจากระบบอาณานิคมของอังฤษแล้ว พม่าได้ละเมิดสนธิสัญญาปางโหลงที่มีข้อตกลง “ทุกรัฐสามารถแยกตัวออกเป็นอิสระได้ หลังจากได้รับเอกราชแล้วภายใน10 ปี” โดยผู้นำของรัฐบาลไม่ยอมคืนเมืองไทใหญ่ให้ผู้นำไทใหญ่ เพราะเมืองไตมีทรัพยากรธรรมชาติมากมาย เช่นป่าไม้อุดมสมบูรณ์ มีไม้สักมากมาย ต้นน้ำลำธารก็ดี พม่ากับไต(ไทใหญ่) จึงเกิดปัญหาและสู้รบกันมาตลอดทำให้ชาวไตไร้ที่อยู่อาศัยแล้วหนีกระจัดกระจายไปตามหัวเมืองต่างๆ ตามแนวชายแดนไทยและอพยพหนีเข้ามาในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก (หน้า40,41)
ในปี1962 พม่าได้ส่งกองกำลังทหารเข้ามาในรัฐไทใหญ่ โดยอ้างว่าจะส่งทหารพม่าเข้ามาช่วยทหารไทใหญ่ตอสู้ขับไล่ทหารจีนคณะชาติ หรือ ก๊กมินตั๋ง ออกจากไทใหญ่ แต่กลับใช้กำลังทหารเข้ายึดครองแผ่นดินไทใหญ่ และละเมิดสิทธิมนุษยชน กดขี่ข่มเหงคนไทใหญ่อย่างโหดเหี้ยมป่าเถื่อน ใช้นโยบายทำลายเผ่าพันธุ์และกลืนชาติโดยวิธีการต่างๆ จนถึงปัจจุบันคนไทใหญ่หลายหมื่นครอบครัวได้ถูกพม่าบังคับให้ย้ายถิ่นจากถิ่นฐานชนบทเข้าสู่ตัวเมือง โดยไม่มีที่อยู่อาศัยและที่ทำกินรองรับ ชาวไทใหญ่ถูกลิดรอนสิทธิขั้นพื้นฐาน ในภาคกลางกลายเป็นเมืองร้างไร้ผู้คน เพราะประชาชนถูกทหารพม่าสังหารอย่างทารุณนับพันคน นอกจากนี้พม่ายังได้ใช้นโยบายแบ่งแยกให้ชนกลุ่มน้อยในรัฐฉานมีความเกลียดชังกันเอง โดยการใช้วิธีการแบ่งแยกให้อภิสิทธิ์กลุ่มชนส่วนน้อยมีอำนาจและสิทธิทุกอย่าง ยกเว้นประชาชนที่เป็นเชื้อสายไทใหญ่ ซึ่งจะถูกกดขี่ข่มเหงบังคับใช้แรงงานทุกอย่างตามที่ทหารพม่าต้องการ (หน้า42,43)ปัญหาความขัดแย้งภายในพม่า ส่งผลให้มีคนไทใหญ่อพยพเข้ามาในเขตไทยเป็นจำนวนมาก ก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้งระหว่างไตเก่าที่มีบัตรประชน มีฐานะมั่นคง และไตใหม่ หรือ “เงี้ยวเมืองนอก” ซึ่งไม่มีใบอนุญาติเข้าเมือง ลักลอบเป็นแรงงานรับจ้างนอกระบบ (หน้า 45,46)
ความขัดแย้ง: ในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา มีกลุ่มคนไทใหญ่อพยพเข้ามาในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องและทะลักเข้ามาเป็นจำนวนมาก จึงทำให้เกิดข้อขัดแย้งระหว่างไตเก่าและไตใหม่ค่อนข้างสูง ชุมชนที่อยู่นอกหมู่บ้านและชุมชนที่ฝางจึงตั้งข้อรังเกียจไตใหม่ ไตเก่าที่มีฐานะครอบครัวมั่นคงแล้ว มีบัตรประชาชนเป็นคนไทยก็จะมีชีวิตความเป็นอยู่อีกระดับหนึ่ง และจะเรียกตัวเองว่า “คนไทย” และเรียกไตใหม่ที่เข้ามาว่า “เงี้ยวเมืองนอก” บางคนก็แสดงอาการปลีกตัวออกห่าง ทำให้ชาวไตใหม่น้อยใจว่าได้รับการดูถูก ไม่เห็นใจว่าเป็นคนไตด้วยกัน ไม่นับว่าเป็นพี่น้องกัน เป็นต้น (หน้า45) |
|
Belief System |
คนไทใหญ่ให้ความสำคัญด้านพุทธศาสนามาก จะนิยมทำบุญเข้าวัด โดยสถานที่สำคัญของหมู่บ้านก็คือวัด โดยจะมีวัดสุนทราวาส และวัดพระธาตุจุฬามณี เป็นศูนย์กลางที่คนไทใหญ่ไปประกอบพิธีกรรมสำคัญทางศาสนา (หน้า14,15) ประเพณีโบราณของคนไทใหญ่ที่ปฏิบัติสืบทอดต่อๆกันมา คือ ประเพณีปอยเตียน ปอยส่างลอง ปอยกองหลัว ออกหว่า ประเพณีวันเข้าพรรษา ในประเพณีวันออกพรรษา จะมีการตานข้าวยากู๊ ไปกั๋นตอ (ขอขมา) ผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุที่นับถือ (หน้า4)
ในวันสำคัญทางศาสนาและวันที่มีประเพณีสำคัญของชาวไทใหญ่ คนในชุมชนจะมาประกอบพิธีที่วัดเป็นจำนวนมาก เช่น วันออกพรรษา วันเข้าพรรษา จะมีคนเฒ่าคนแก่ คนหนุ่มสาวและเด็กๆ จะมาร่วมกันทำบุญที่วัดกันอย่างมากมายในช่วงเข้าพรรษา คนเฒ่าคนแก่จะไปจำศีลที่วัด ซึ่งคนไทใหญ่มีความเชื่อว่า การจำศีล นอนวัด นั้นเป็นการทำบุญไว้ภายภาคหน้า ทำให้ชีวิตพวกเขาประสบแต่สิ่งที่ดีๆ ทำให้ช่วยผ่อนคลายความทุกข์ และเป็นกิจกรรมที่สืบต่อกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ (หน้า14) ประเพณีปอยเตียนหรือปอยเดือน11 เป็นประเพณีที่คนไตจัดขึ้นเพื่อทำบุญระลึกถึงพระพุทธเจ้า และทำให้คนหนุ่มสาวได้มีโอกาสมาพบปะกัน มาเที่ยวงานกันอย่างสนุกสนาน (หน้า87) ในงานประเพณีสงกรานต์ เชื่อกันว่าถ้าทำบุญด้วย “จั๊ดจ่า” (หมายถึง ลิ้นของไก่ ซึ่งคนไตถือว่าไก่คือภาคหนึ่งของพระพุทธเจ้า) จะทำให้มีอายุยืนยาว ช่วยให้อยู่ดีมีสุข ร่ำรวย และทำเพื่อบูชาพระพุทธเจ้า (หน้า91)
คนไตใหญ่ใช้ตุงในพิธีกรรมงานศพ เพราะมีความเชื่อว่า ตุงมีความยาวจะได้ไปช่วยดึงวิญญาณของผู้ตายให้ไปอยู่ในที่ดีๆ วิญญาณก็จะเกาะชายของตุงขึ้นมาจากความทุกข์ยาก ในงานศพจึงมีการทำตุง 1 อันมาตานถึงคนตายและถวายพร้อมกับต้นตะแปชาให้วัด เพื่อให้ผู้ตายมีกินมีใช้ในภพหน้า (หน้า92) |
|
Education and Socialization |
ในสมัยก่อน เริ่มแรกเด็กในหมู่บ้านเดินทางไปเรียนตามระบบการศึกษาของไทยที่โรงเรียนที่ม่อนปิ่น เด็กในยุคนั้นเชื่อฟังพ่อแม่ เป็นเด็กขยัน แต่การศึกษาจะไม่ค่อยสูงนัก มีการสืบทอดทางวัฒนธรรมที่ดี คงความเป็นไทใหญ่ในด้านต่างๆได้ดี (หน้า18) ในปี พ.ศ. 2498 หมู่บ้านเวียงหวายได้ตั้งโรงเรียงบ้านเวียงหวายขึ้น (หน้า30) ปัจจุบันโรงเรียนบ้านเวียงหวายเปิดสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาล1 – ชั้นประถมปีที่ 6 มีนักเรียนประมาณ 185 คน ซึ่งเป็นนักเรียนที่มี ทร.14 ประมาณ20%นอกนั้นเป็นนักเรียนที่ยังไม่มี ทร.14 ส่วนเด็กที่อยู่ในหมู่บ้านเวียงหวายที่มีสำเนาทะเบียนบ้าน และผู้ปกครองมีฐานะค่อนข้างดี ก็จะออกไปเรียนที่ตัวอำเภอฝางซึ่งเป็นโรงเรียนของเอกชน นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 จนถึงปัจจุบัน คนในเวียงหวายมีการส่งลูกหลานออกไปเรียนนอกหมู่บ้านมากขึ้น (หน้า32) ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของเด็กรุ่นใหม่ อยากทำงานตามแขนงที่เรียนมา มีการนำเอาวัฒนธรรม ค่านิยมใหม่ๆเข้าไปในหมู่บ้าน |
|
Health and Medicine |
คนไทใหญ่ในสมัยก่อน จะมีการรักษาอาการเจ็บป่วยโดยพึ่งไสยศาสตร์มากกว่าทางวิทยาศาสตร์ บางครั้งมีการใช้ฝิ่นในการรักษาโรคปัจจุบันหมู่บ้านเวียงหวายมีความเจริญขึ้น จึงมีการเข้ามาของสถานีอนามัย ชาวบ้านจึงเลือกไปรักษาสุขภาพกันที่สถานีอนามัยแทน เพราะเห็นว่ามีความสะดวกสบายและรวดเร็วมากขึ้น (หน้า4,5,23) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ด้านสถาปัตยกรรม
วัดสุนทราวาสหรือวัดเวียงหวาย สร้างขึ้นประมาณปี พ.ศ. 2450 โดยการร่วมแรงร่วมใจของชาวบ้านเป็นสิ่งปลูกสร้างโดยใช้ศิลปะการก่อสร้างแบบไทใหญ่ และได้มีการพัฒนาปรับปรุงมาเรื่อย ๆ จนถึงสมัยที่หลวงพ่อลายคำ เป็นเจ้าอาวาส ชาวไทใหญ่ก็ได้สร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรม ศาลา และทำให้วัดเวียงหวายมีศิลปะการก่อสร้างที่งดงามตามแบบของไทยใหญ่มากขึ้น (หน้า14)
การแต่งกาย
คนไทใหญ่จะอนุรักษ์นิยมชุดไต ส่วนมากก็จะแต่งชุดไตในโอกาสที่มีประเพณีต่างๆ แต่ในยามปกติทั่วไป ก็จะแต่งกายเป็นแบบง่ายๆทั่วไป (หน้า5) ในปีพ.ศ.2545 เริ่มมีการเปิดร้านตัดชุดไทใหญ่ ซึ่งได้รับความนิยมจากคนไทใหญ่ทั้งคนไทใหญ่เก่าและคนไทใหญ่ใหม่ ทำให้เกิดกระแสการแต่งกายแบบอนุรักษ์ไทใหญ่กลับมาอีกครั้ง ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ โดยเฉพาะช่วงเข้าพรรษาจะเห็นภาพหนุ่มสาวและเด็กๆแต่งชุดไตไปวัดอย่างสวยงาม (หน้า13)
ศิลปะการแสดง ดนตรี
เพลงพื้นบ้านไต (เฮ็ดความไต) มีการปรับเปลี่ยนเป็นเพลงสมัยใหม่ เรียกสตริงเพลงรัก ขับร้องโดยจายสายมาว นักร้องชื่อดังของชาวไทใหญ่ เมื่อมีงานประเพณีที่วัดต้นฮุง ต้องมีวงดนตรีของจายสายมาวแสดงเสมอ การมาแสดงของจายสายมาวแต่ละครั้ง จะมีนายทุนขายเทปเพลงที่แม่สายเป็นผู้จัดการมารับเหมากับผู้จัดงานที่วัดครั้งละประมาณ ห้าหมื่นบาท แต่เดิมจายสายมาวเคยร้องเพลง “สัญญาปางโหลง” และเพลงอื่นๆที่เป็นเพลงเพื่อชีวิต แต่ถูกพม่าจับ ปัจจุบันนี้จึงร้องแต่เพลงรักเป็นหลัก (หน้า48) |
|
Folklore |
ตำนานเรื่องเล่าทางศาสนาพุทธ ที่อธิบายถึงความเชื่อเกี่ยวกับประเพณีปอยเตียน การทำบุญการทำเข่งต่างพุทธ เป็นความเชื่อของคนไต ที่เชื่อว่าเป็นการต้อนรับพระพุทธเจ้าที่เสด็จไปโปรดพระมารดาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พระพุทธเจ้าจะเสด็จมาที่เมืองสังขะนครเพื่อมาโปรดลูกศิษย์ ของพระสารีบุตร 500รูป วันที่เสด็จลงมานั้นถือเป็นวันเปิดโลก คือโลกสวรรค์ โลกมนุษย์ โลกบาดาล จะมองเห็นกันหมด ดังนั้น ในประเพณีปอยเตียนจึงมีสัตว์ป่าหิมพานต์ คือ นกโต มาแสดงความเคารพพระพุทธเจ้าด้วย (หน้า87) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
อัตลักษณ์ชาติพันธุ์: คนไทใหญ่เป็นนักอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีอย่างเหนียวแน่น สิ่งที่บ่งบอกถึงความเป็นไทใหญ่ได้ดีที่สุดคือ 1.คนไทใหญ่จะไม่ทิ้งภาษาของตนเองจะสื่อสารด้วยภาษาของตนเองอยู่เสมอ 2.ยึดมั่นในประเพณีโบราณที่สืบทอดต่อๆกันมา 3.วัฒนธรรมความเป็นอยู่ สภาพบ้านเรือน การดำรงชีวิตประจำวันด้านการรับประทานอาหาร ที่อยู่อาศัยจะคงความเป็นไต (หน้า4,5) คนไทใหญ่มีอัตลักษณ์ที่แตกต่างกันระหว่างวัย คือ คนเฒ่าคนแก่จะมีอัตลักษณ์ในการสืบทอดประเพณีวัฒนธรรมของไทใหญ่ให้คงอยู่ คนวัยทำงานที่ต้องออกไปรับจ้างนอกชุมชนก็สร้างอัตลักษณ์เป็นไทย เพื่อปกป้องตนเองและเพื่อให้ได้รับสิทธิอันชอบธรรม ส่วนเด็กวัยรุ่น มีการรับเอาวัฒนธรรม ประเพณีและค่านิยมใหม่ๆเข้ามา ทำให้การดำเนินชีวิตเปลี่ยนไป |
|
Social Cultural and Identity Change |
เมื่อหมู่บ้านเวียงหวายเข้าสู่ยุคความเป็นไทยที่มาพร้อมกับกระแสบริโภคนิยม การดำเนินชิวิตของชาวบ้านก็เปลี่ยนไป จากเดิมเคยมีชีวิต ความเป็นอยู่เรียบง่าย ไม่มีหนี้สิน กลายเป็นมีหนี้สินเพราะคนมีความต้องการปัจจัยต่างๆทางวัตถุ และต้องการความสะดวกสบายในด้านต่างๆ จากหมู่บ้านเล็กๆก็ขยายเป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ขึ้น เนื่องจากการอพยพเข้ามาของคนไทใหญ่และการเพิ่มจำนวนสมาชิกของคนในหมู่บ้าน การส่งลูกหลานเรียนในเมือง ทำให้วิถีชีวิตเด็กรุ่นใหม่เปลี่ยนไป มีการรับวัฒนธรรม ค่านิยมใหม่ๆเข้ามาในหมู่บ้านทำให้เด็กบางคนหลงลืมวัฒนธรรม อีกทั้งการปลูกพืชแบบยังชีพก็เปลี่ยนเป็นการปลูกพืชแบบการค้า (การปลูกพืชเงินสด) เพื่อที่จะได้มีเงิน มีรายได้ จากแต่ก่อนปลูกเพื่อบริโภคและแลกเปลี่ยนเท่านั้น ปัจจุบันมีการเปลี่ยนจากระบบเกษตรกรรมเป็นระบบอุตสาหกรรม ทำให้ไม่ค่อยมีการจ้างแรงงานเหมือนแต่ก่อน เพราะมีเทคโนโลยีเข้ามาช่วยทุ่นแรงและลดต้นทุนในการจ้างแรงงาน
พลวัตและการเปลี่ยนแปลงทางชาติพันธุ์: จุดเปลี่ยนที่เกิดขึ้นของกลุ่มคนไทใหญ่อยู่ในช่วงประมาณปีพ.ศ.2535 คือ เยาวชนรุ่นใหม่ที่ออกไปเรียนในตัวเมือง เริ่มรับเอาวัฒนธรรมภายนอกเข้ามาในหมู่บ้าน ประเพณีต่างๆที่เคยปฏิบัติกันมารุ่นปู่ยาตายายเริ่มเปลี่ยนไปตามยุคสมัย มีประเพณีพื้นเมืองเข้ามาปะปน มีค่านิยม วัฒนธรรมและวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปตามแบบตะวันตก แต่คนรุ่นพ่อแม่ก็พยายามที่จะยึดแบบแผนของความเป็นไทใหญ่ไว้ได้อยู่พอควร ดังนั้นสิ่งที่แสดงออกความเป็นไทใหญ่ก็ยังมีให้เห็นอยู่เป็นส่วนมาก ในปัจจุบันมีนโยบายที่เน้นให้อนุรักษ์สิ่งดีๆที่เป็นของชุมชนเอาไว้ ก็คงจะทำให้ประเพณี วัฒนธรรม ภาษาค่านิยมที่ดีๆของชุมชนไทใหญ่แห่งนี้คงอยู่สืบไป (หน้า32) |
|
Map/Illustration |
1.แผนที่เวียงเก่าโบราณ (หน้า5)
2.แผนที่เวียงฝางโบราณ (หน้า6)
3.แผนที่อำเภอฝางปัจจุบัน (หน้า7)
4.แผนที่หมู่บ้านเวียงหวาย (หน้า8)
5.รูปคูเมืองเวียงฝางเก่า (หน้า9)
6.รูปคูเมืองเก่า เวียงนางคำเอ้ย (หน้า10)
7.รูปสภาพทางเข้าหมู่บ้านเวียงหวายในปัจจุบัน (ปีพ.ศ2545) (หน้า11)
8.รูปวัดเวียงหวายปัจจุบัน (ปีพ.ศ.2545)-(หน้า17)
9.ภาพพ่อล่าม-แม่ล่าม(หน้า19)
10.ภาพศาลเจ้าพ่อเวียงหวาย (หน้า28)
11.ภาพศาลเจ้าต้นฮุง (หน้า47)
12.ภาพการแต่งกายไทใหญ่ (หน้า83) |
|
|