สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ม้ง,ชีวิตความเป็นอยู่,สังคม,วัฒนธรรม,การเปลี่ยนแปลง,เชียงขวาง,ประเทศลาว
Author เวียงมาลา วางมัว
Title ผลกระทบของโครงการพัฒนาจุดสุมเมืองหนองแฮดต่อการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมชาวม้ง : ศึกษาเฉพาะกรณี หมู่บ้านแก่วปะตู เมืองหนองแฮด แขวงเชียงขวาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ม้ง, Language and Linguistic Affiliations ม้ง-เมี่ยน
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 100 Year 2545
Source กรุงเทพฯ: ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
Abstract

งานชิ้นนี้เป็นการศึกษาผลกระทบของโครงการพัฒนาจุดสุม เมืองหนองแฮดที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมของม้ง หมู่บ้านแก่วปะตู เมืองหนองแฮด แขวงเชียงขวาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยการสัมภาษณ์ม้งจำนวน 152 คน พบว่า หลังการสร้างโครงสร้างพื้นฐานและการส่งเสริมการเกษตรให้แก่ชาวบ้าน ก่อให้เกิดรายได้ของประชาชนเพิ่มขึ้นและเอื้อต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมของหมู่บ้าน สภาพดังกล่าวนี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานทุกด้านรวมไปถึงวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีท้องถิ่นด้วยโดยเฉพาะประเพณีฉุดเจ้าสาว พิธีกรรมต่าง ๆ การแต่งกาย และการก่อสร้างที่อยู่อาศัย รวมถึงด้านสาธารณสุข และการศึกษา เป็นไปในทางที่ดีขึ้น ส่งผลให้เกิดความสำเร็จตามโครงการในการลบล้างการปลูกฝิ่นและทำลายป่าไม้ของชาวเขาเผ่าต่างๆ โดยใช้วิธีอบรมให้ความรู้ ประชุมชี้แจง พาไปศึกษาดูงานนอกหมู่บ้าน และสถาบันการปกครองที่มีอยู่ในการถ่ายทอดความรู้ต่างๆ สู่ชาวบ้าน นอกจากนี้ ผลจากการขัดเกลาทางสังคมจากสถาบันต่างๆ เช่น ครอบครัว กลุ่มเพื่อน กลุ่มอาชีพ และสื่อมวลชนก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมกับสถาบันทางสังคม ดังนั้นเมื่อสถาบันหนึ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงย่อมส่งผลกระทบต่อสถาบันอื่นๆ ตามไปด้วย โดยเฉพาะสถาบันเศรษฐกิจมีผลให้ประเพณีต่างๆ ของม้งเปลี่ยนแปลงจากเดิม เช่น วันฉลองเทศกาลปีใหม่เหลือเพียง 15 วัน เป็นต้น และการเปลี่ยนแปลงของสถาบันครอบครัวที่กลายมาเป็นครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น หรือแม้แต่การมีสิทธิ์ในการออกเสียงและการเงินของหญิงม้งมากขึ้นเช่นกัน

Focus

ศึกษาผลกระทบของโครงการพัฒนาจุดสุมเมืองหนองแฮดที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมของม้งที่หมู่บ้านแก่วปะตู เมืองหนองแฮด แขวงเชียงขวาง ประเทศลาว

Theoretical Issues

ผู้วิจัยใช้ทฤษฎีเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมในการศึกษาเป็นหลัก ผู้วิจัยพบว่า หลังจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและชาวบ้านได้รับความรู้และแนวปฏิบัติเกี่ยวกับกิจกรรมต่างๆ จากโครงการ เพื่อให้กลุ่มผู้นำเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ให้แก่ชาวบ้านอีกต่อหนึ่ง การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมีลักษณะค่อยเป็นค่อยไปตามความสมัครใจและตรงตามความต้องการของชุมชน เพื่อทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้นกว่าเดิม โดยสถาบันที่เกิดการเปลี่ยนแปลงก่อน คือ สถาบันการปกครอง (นายบ้าน) หลังจากที่มีการยอมรับจึงขยายผลเข้าสู่สถาบันอื่นๆ ทั้งสถาบันเศรษฐกิจ สถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษา สถาบันสาธารณสุข อันสอดคล้องกับแนวคิดโครงสร้างและหน้าที่ กล่าวคือ นายบ้านคนใหม่ที่เป็นคนหนุ่มที่มีการศึกษาและรู้ภาษากลางเป็นผู้สื่อสารความต้องการของทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งยอมรับในองค์ความรู้ใหม่จึงได้ยอมรับและปรับปรุงให้เข้ากับสังคมของหมู่บ้าน แล้วจึงขยายเข้าสู่สถาบันเศรษฐกิจ ม้งได้หันมาทำการเกษตรเพื่อการค้าจากเดิมที่ทำเพื่อการยังชีพ จึงมีรายได้จากการทำการเกษตรมากขึ้น และผลจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจจึงส่งผลต่อระบบครอบครัวให้กลายเป็นแบบครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น นอกจากยังทำให้ม้งมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีโอกาสได้รับการศึกษาสูงขึ้น และปรับทัศนคติความเชื่อในการรักษาด้วยการแพทย์สมัยใหม่แล้ว ยังช่วยกันหยุดยั้งการทำลายป่าและชาวบ้านก็เห็นคุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติมากขึ้นด้วย แต่ทั้งนี้ก็ยังส่งผลกระทบในทางลบด้วย อันทำให้ขนบธรรมเนียมประเพณี พิธีกรรมบางอย่างเสื่อมถอยไป เช่น ภาษา การแต่งกาย โดยที่ความเจริญทางวัตถุเข้ามาแทนวัฒนธรรมดั้งเดิม เช่น การรีบเร่งการหารายได้ทำให้เวลาในการฉลองเทศกาลวันปีใหม่ลดลง

Ethnic Group in the Focus

ม้ง ที่อาศัยอยู่ในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว

Language and Linguistic Affiliations

ภาษาที่ม้งบ้านแก่วปะตูใช้ มี 2 ภาษา คือ ภาษาม้ง และ ภาษากลาง (ภาษาลาว) ม้งจะใช้พูดกันเฉพาะในชุมชนม้งและแขกที่มาหมู่บ้าน ส่วนภาษาที่ 2 เป็นภาษาราชการ เด็ก ๆ ม้งที่เข้าโรงเรียนเรียนภาษากลางจะสามารถพูดได้ดีกว่าผู้ใหญ่ม้ง เด็ก ๆ จะพูดภาษากลางเมื่ออยู่โรงเรียน แต่พอกลับบ้านก็จะพูดภาษาม้งกับพ่อแม่ ม้งจะพูดภาษากลางกับแขกคนภายนอกที่มาหมู่บ้าน (หน้า 44-45)

Study Period (Data Collection)

มิถุนายน พ.ศ. 2544 - พฤษภาคม พ.ศ. 2545 (หน้า 4)

History of the Group and Community

หมู่บ้านแก่วปะตูเป็นหมู่บ้านที่ตั้งขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2471 และมีชื่อว่า "หย่อหาเฉา" ซึ่งเป็นชื่อเรียกของม้ง หมายความว่า บ้านขี้เทา เพราะดินบริเวณที่ตั้งบ้านเป็นดินสีเทา ส่วนเผ่าอื่นจะเรียกว่า "บ้านแก่วปะตู" ผู้วิจัยได้บรรยายถึงคำบอกเล่าของพ่อเฒ่าคนหนึ่งว่า แต่เดิมบริเวณที่เป็นหมู่บ้านปัจจุบันนี้เป็นเขตป่าทึบ ดินมีสีเทา เป็นดินที่เหมาะกับการปลูกฝิ่น เหตุนั้นจึงได้พาญาติ ๆ ของตน 4 ครอบครัวมาตั้งบ้านเรือนที่นี่เพื่อทำสวนฝิ่น ต่อมาปี พ.ศ. 2473 มีครอบครัวแซ่อื่น ๆ มาอยู่อาศัยเพิ่มอีก จนในปี พ.ศ. 2518 การขยายจำนวนสมาชิกของแซ่ต่าง ๆ ในหมู่บ้าน ทำให้มีครัวเรือนเพิ่มขึ้นเป็น 86 ครัวเรือน ในปัจจุบันมีครอบครัว 3 แซ่ ได้แก่ เล่า มัว วาง หลังปี พ.ศ. 2518 รัฐบาลลาวมีนโยบายให้ชาวเขาเผ่าต่าง ๆ ที่อยู่เขตภูเขาสูงลงมาทำนาอยู่ที่พื้นราบ ทำให้หลายครอบครัวม้งในหมู่บ้านแก่วปะตูย้ายบ้านมาอยู่อาศัยในเมือง จนในปัจจุบันมีจำนวนหลังคาเรือน 74 หลังคาเรือน (หน้า 39)

Settlement Pattern

มีการตั้งบ้านเรือนเป็นกลุ่ม มีจำนวนทั้งหมด 74 หลังคาเรือน ซึ่งอยู่กระจายกันไปตามทางเดินเท้า (ดังภาพแผนผังหมู่บ้านหน้า 93) การตั้งบ้านเรือนมักอยู่ห่างกัน แต่ละบ้านมีรั้วกั้นขอบเขตบ้านของตน ในบริเวณรั้วประกอบด้วย ผักสวนครัว สวนผสม นอกจากนี้ยังมีการสร้างคอกหมู ม้า ยุ้งข้าวและเล้าไก่ด้วย ส่วนครอบครัวที่มีฐานะจะมีการสร้างโรงรถ โรงสีข้าว ซึ่งลักษณะการตั้งบ้านเรือนสามารถแบ่งได้ 3 ลักษณะ ดังนี้ (หน้า 41-42) - แบบถาวร เป็นบ้านที่มีพื้นปูน มุงด้วยกะเบื้องหรือสังกะสี และล้มฝาด้วยไม้แปรรูปเนื้อแข็งชนิดต่างๆ ตัวบ้านมี 3 ห้องสำหรับครอบครัวเดี่ยว ส่วนครอบครัวขยายจะมีห้องมากถึง 4-6 ห้อง ในบ้านมีเตาไฟใหญ่และเตาไฟเล็ก เตาไฟใหญ่มีไว้สำหรับหุงต้มเมื่อบ้านมีงาน ส่วนเตาเล็กตั้งอยู่ใกล้เสากลางบ้าน ใช้สำหรับทำอาหารในแต่ละมื้อ - แบบกึ่งถาวร เป็นบ้านพื้นดิน ฝาไม้แปรรูปชนิดต่าง ๆ มุงหลังคาด้วยสังกะสีหรือกะเบื้อง ลักษณะของห้องและการจัดวางพื้นที่ในบ้านเหมือนแบบลักษณะบ้านถาวร เป็นบ้านของผู้ที่ฐานะปานกลาง - แบบชั่วคราว เป็นบ้านที่สร้างแบบดั้งเดิม วัสดุที่ใช้ในการสร้างหาจากในท้องถิ่น เช่น หญ้าคา ไม้เสา บ้านจะสร้างขึ้นด้วยการช่วยกันของเพื่อนบ้านที่สร้างเสร็จภายในหนึ่งวัน บ้านแบบนี้เป็นบ้านของผู้ชอบการย้ายถิ่นบ่อย

Demography

ครอบครัวม้งในบ้านแก่วปะตูเป็นแบบครอบครัวขยาย และระบบเครือญาติ สมาชิกในครอบครัวมี 8-20 คนในหมู่บ้านมีครอบครัวขยายจำนวน 52 ครอบครัว ส่วนครอบครัวเดี่ยวมีจำนวน 22 ครอบครัว ซึ่งมีจำนวนครัวเรือนรวม 74 ครัวเรือน มีประชากร 535 คนแบ่งเป็นเพศหญิง 268 คน และเพศชาย 267 คน (หน้า 38, 40-41)

Economy

อาชีพที่ม้งบ้านแก่วปะตูทำส่วนมากเป็นอาชีพเกษตรกรรม ได้แก่ - การทำนา ที่นาส่วนใหญ่อยู่ตามหุบเขา เชิงเขา ซึ่งมีพื้นที่ไม่มาก ได้เริ่มทำครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2539 โดยการเรียนรู้จากชาวลาวและการแนะนำของเจ้าหน้าที่ในโครงการ และเจ้าหน้าที่การเกษตรเมืองหนองแฮด การทำนาจะทำเฉพาะในฤดูฝนเท่านั้น หลังจากเก็บเกี่ยวแล้วจะเป็นพื้นที่ในการเลี้ยงสัตว์ - การทำไร่ พืชที่ปลูก ได้แก่ ข้าวเจ้า ข้าวโพด มันสำปะหลัง ขิง งา เป็นต้น โดยแบ่งการทำไร่เป็น 2 ประเภท คือ การทำไร่ทุกปีถูกเปลี่ยนจากการปลูกฝิ่นมาเป็นหน่อไม้ฝรั่ง ลูกหว้า ลูกท้อ และผักชนิดต่างๆ และอีกประเภท คือ ทำไร่หมุนเวียนอาจเป็นข้าวไร่ ข้าวโพด มันสำปะหลัง ฯลฯ มักทำเพียงสองปีแล้วย้ายไปถางที่ใหม่ ไร่เก่าจะถูกทิ้งไว้ 3-4 ปี จึงกลับมาถางใหม่ ผลผลิตที่ได้จากการทำไร่หมุนเวียนมักได้ผลผลิตสูง เพราะดินมีความอุดมสมบูรณ์ ได้พัก มีวัชพืชและแมลงศัตรูพืชรบกวนน้อย ส่วนพื้นที่ทำทุกปีหรือพื้นที่ไร่อนุรักษ์ จะได้ผลผลิตน้อย เนื่องจากคุณภาพดินเสื่อม มีแมลงและศัตรูพืชมากจึงต้องใช้สารเคมีรวมทั้งการใช้ปุ๋ยเคมี - การทำสวนแบบผสมในพื้นที่ไร่อนุรักษ์ จะเป็นการทำตามฤดูกาล เช่น ฤดูฝนชาวบ้านปลูกหน่อไม้ฝรั่ง ฤดูแล้งปลูกผักชนิดต่างๆ การปลูกหน่อไม้และผลไม้เมืองหนาวตามการแนะนำของโครงการทำให้บางครอบครัวมีรายได้สูงมาก - การเลี้ยงสัตว์ ได้แก่ การเลี้ยงวัว ควาย ม้า หมูและไก่ - อาชีพนอกภาคเกษตร เช่น การหาของป่า ทำไม้กวาดจากดอกหญ้า สานหวาย งานหัตถกรรมของผู้หญิงม้ง (หน้า 48-53) ชาวบ้านรับประทานอาหารที่เป็นผลผลิตจากไร่และนาเป็นส่วนใหญ่ จะกินข้าวเจ้าเป็นอาหารหลัก ส่วนกับข้าวก็เป็นน้ำพริกกับผักชนิดต่างๆ ตามฤดูกาล ถ้ามีเนื้อหมูหรือเนื้ออื่นๆ ก็จะเอามาผัดเป็นกับข้าวด้วย เนื้อสัตว์ที่ม้งนิยมทานมากที่สุด คือ เนื้อหมู รองลงมาก็คือ เนื้อไก่ อาจมีเนื้ออื่นๆ เช่น หมูป่า กวาง ไก่ป่า นกป่า ที่ได้จาการออกล่า นอกจากนี้ก็ยังทานอาหารสำเร็จรูปเช่นกัน เช่น ปลากระป๋อง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ส่วนไข่และปลาน้ำจืดจะได้จากอ่างที่เลี้ยง การประกอบอาหารนั้นจะใช้ฟืนเป็นเชื้อเพลิงเนื่องจากหาได้ง่ายและไม่เสียเงินซื้อ ม้งรับประทานอาหาร 3 มื้อต่อวัน คือ มื้อเช้า มื้อกลางวัน และมื้อเย็น อาหารเช้าในวันปกติที่ต้องออกไปทำไร่ทำนาจะกินประมาณ 5.00 น. จากนั้นก็จะหิ้วข้าวมื้อกลางวันไปกินในไร่นาสำหรับมื้อกลางวัน ส่วนอาหารมื้อเย็นจะกินในช่วง 20.00-21.00 น. น้ำดื่มในหมู่บ้านนับว่าสบายกว่าเมื่อก่อนมาก เพราะมีปะปาภูเขาที่มีน้ำไหลตลอดทั้งปี มีถังเก็บน้ำตั้งอยู่กลางหมู่บ้าน หากผู้ที่มีฐานะดีก็จะต่อท่อน้ำมาเก็บพักไว้ใส่ใกล้บ้านของตน ส่วนผู้ที่ยังไม่มีท่อต่อเข้าบ้านก็ต้องหาภาชนะมาเก็บไว้ใช้ในครอบครัว และใช้ร่วมกันที่อ่างน้ำรวมของหมู่บ้านในการอาบ และซักผ้า (หน้า 42-44)

Social Organization

ไม่มีข้อมูล

Political Organization

ระบบการปกครองเป็นแบบของราชการ ซึ่งเจ้าเมืองหนองแฮดมีอำนาจในการแต่งตั้งนายบ้านมาเป็นผู้นำของหมู่บ้าน ในปัจจุบันหมู่บ้านแก่วปะตูมีผู้นำของหมู่บ้าน 3 คน คือ นายบ้านหรือผู้ใหญ่บ้าน รองผู้ใหญ่บ้าน และกรรมการหมู่บ้าน ผู้นำทั้ง 3 มีหน้าที่ต่างกัน คือ ผู้ใหญ่บ้านจะรับผิดชอบสภาพรวมทั่วไปในหมู่บ้านและแก้ไขปัญหาต่างๆ ของลูกบ้าน ยังเป็นผู้รักษาตราประทับประจำหมู่บ้านในการเดินทางออกนอกหมู่บ้าน นอกจากนี้ ยังเป็นผู้รับข้อแจ้งการต่าง ๆ จากเมืองและงานต่าง ๆ จากโครงการมาเผยแพร่แก่ลูกบ้าน ส่วนรองผู้ใหญ่บ้านจะเป็นผู้ดูแลทางด้านนโยบายต่าง ๆ ที่มีต่อลูกบ้าน และกรรมการหมู่บ้านเป็นผู้ดูแลด้านการเงินและทรัพย์สินของหมู่บ้าน นอกจากนั้น ยังมีการจัดตั้งกลุ่มหนุ่มสาว กลุ่มเยาวชน และกลุ่มแม่บ้านตามการแนะนำของโครงการ (หน้า 53)

Belief System

-- พิธีฉลองปีใหม่ เป็นพิธีที่เด่นที่สุดของม้ง จะจัดหลังการเก็บเกี่ยวผลผลิตเสร็จ แล้วจะหยุดงานต่างๆเพื่อเตรียมงานฉลอง จึงต้องเตรียมฟืน ข้าวสาร และหมูตัวที่เลี้ยงด้วยอาหารพิเศษ พิธีฉลองปีใหม่ (น่อเป้เจ้า) จะจัดในช่วงเดือนธันวาคม แต่ละบ้านก็ต้องทำความสะอาดและเตรียมเครื่องเซ่นในพิธีเรียกขวัญทั้งของหมู่บ้านและตระกูล หลังจากนั้นก็จะได้พักไป 3 วัน เพื่อเริ่มพิธีตั้งผีคุ้มครองบ้าน (สือก้า) และต้องรับไข่ไก่ให้ขวัญของแต่ละคน ตอนเย็นของคืนสุดท้ายปีเก่าจะมีการจุดไฟเพื่อให้เจ้าถิ่นฐานเจ้าเรือน และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายคุ้มครอง จนในวันที่ 1 ของปีใหม่ จะมีการเล่นโยนลูกบอล (ป๋อป้อ) ที่ลานกลางบ้านแลร่ายรำเพื่อแลกเปลี่ยนของที่ได้ให้ไว้คืนในตอนเย็น -- พิธีเกิด เด็กคลอดได้ 3 วัน พ่อแม่ของเด็กก็จะทำพิธีเรียกขวัญให้เด็ก เป็นการรับเด็กมาเป็นสมาชิกใหม่ของครอบครัวและตั้งชื่อให้เด็ก นอกจากนี้ยังมีความเชื่อเกี่ยวกับอาหารว่า เนื้อไก่ที่ตรงหน้าอกและขา โดยมาทำเป็นแกงใส่พริกไทยและยาสมุนไพรกินกับข้าวจนครบ 30 วันจึงจะกินอย่างอื่นได้ และในช่วงอยู่ไฟห้ามไม่ให้คนภายนอกเข้าเยี่ยม เพราะเชื่อว่าผู้นั้นจะเอาน้ำนมไป -- พิธีแต่งงาน ประกอบด้วย การลมสาว และการแต่งงาน การลมสาว หมายถึง การลักพาตัวเจ้าสาวซึ่งมี 3 กรณี คือ 1. เจ้าสาวไม่เต็มใจหรือไม่ชอบเจ้าบ่าว 2. เจ้าสาวและเจ้าบ่าวตกลงปลงใจกันแล้วรอวันดีมาลักตัวเจ้าสาวไป 3. เจ้าสาวและเจ้าบ่าวตกลงปลงใจกันออกจากบ้านไปกับเจ้าบ่าว หลังจากนั้น ต้องมีการแจ้งข่าวให้พ่อแม่ของเจ้าสาวรู้ในอีกสามวันจะกลับมาทำพิธีแต่ง หากครอบครัวฝ่ายหญิงไม่พร้อมก็ต้องเลื่อนออกไป และในวันก่อนพิธีแต่งงานก็ต้องมีพิธีเปลี่ยนแซ่ของฝ่ายหญิงมาเป็นของฝ่ายสามีก่อน และจัดขบวนแห่ไปทำพิธีแต่งงานที่บ้านของพ่อแม่เจ้าสาวพร้อมทั้งมีการเลี้ยงอาหาร ในปัจจุบันการแต่งงานเป็นไปด้วยความรักของทั้ง 2 ฝ่ายมากกว่าการซื้อขายเหมือนในอดีต -- พิธีศพ ในสมัยก่อนจะมีการเก็บศพที่ไม่ได้บรรจุในโลงเพียงแต่วางไว้ในบ้านนาน 1 อาทิตย์ แล้วค่อยนำไปฝัง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้คนกลัวเมื่อมาเห็นศพ และระยะเวลาที่เก็บศพไว้ก็นานทำให้มีกลิ่นเหม็น ในปัจจุบันมักจะเก็บศพไว้เพียง 1 หรือ 2 วัน หากจะเก็บไว้นานม้งจะให้หมอฉีดยากันศพไม่ให้เน่าเปื่อยและบรรจุศพลงในโลง (หน้า 53-66)

Education and Socialization

ไม่ระบุรายละเอียด

Health and Medicine

ไม่ระบุรายละเอียด

Art and Crafts (including Clothing Costume)

การแต่งกาย - ผู้ชายแต่งตัวเหมือนชาวพื้นราบโดยทั่วไป คือ กางเกงขายาวผ้าฝ้ายหรือผ้าป่าน วัยรุ่นจะใส่เสื้อผ้าที่หาซื้อได้ตามท้องตลาดทั่วไป ที่เป็นเสื้อผ้าสำเร็จรูป มีผู้สูงอายุเท่านั้นที่ยังแต่งกายแบบเดิม คือ เสื้อผ้าที่ตัดเย็บเอง ส่วนผู้หญิงใส่กางเกงสีดำและชุดรัดเอวที่ตัดเย็บเอง มีผ้าดำ 2 ชิ้นปกด้านหน้าและด้านหลัง สาว ๆ ก็จะใส่ผ้าถุงกับเสื้อยืดหรือเสื้อเชิ้ตที่ซื้อตามท้องตลาด สำหรับเด็กเล็กและเด็กนักเรียนมักแต่งตัวแบบเด็กพื้นราบ นอกจากนี้ ม้งทุกคนยังต้องมีชุดพื้นบ้านชุดใหม่ของแต่ละคนไว้ใช้ในงานสำคัญต่าง ๆ เช่น แต่งงาน งานศพและงานเทศกาลปีใหม่ (หน้า 46) ซึ่งเป็นชุดที่นำมาจากประเทศจีนบ้าง เป็นผ้าชั้นดีพื้นดำลายดอกและผ้าสีบัว (เขียวอ่อน) และร้อยเหรียญเงินบนชุดแต่งกาย ซึ่งเมื่อก่อนเป็นเหรียญของฝรั่งแต่ปัจจุบันเปลี่ยนมาใช้เหรียญตะกั่วแทน การละเล่น - การโยนลูกบอลในงานวันเทศกาลปีใหม่ทำให้พวกหนุ่มสาวได้มาเจอกันเพื่อหาเนื้อคู่กัน อันเป็นประเพณีในการหาคู่ครองของม้ง เมื่อก่อนลูกบอลที่โยนกันทำมาจากเศษผ้าที่ต้องเย็บเป็นเวลานาน ดังนั้นในปัจจุบันจึงเปลี่ยนมาใช้ลูกส้มโอเล็ก ๆ โดยฝ่ายที่ทำหล่นจะต้องเสียสิ่งของที่ติดตัวมาให้อีกฝ่าย ในตอนเย็นก็จะมีการรำเพื่อเอาของมาแลกเปลี่ยนกันคืน การรำ - เป็นการรำของหนุ่มสาวในเทศกาลปีใหม่ที่จะรำโต้ตอบกันเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ผู้คน เกี่ยวกับการผลิต ความสวยงามของธรรมชาติ และความรักที่มีต่อกัน แต่ในปัจจุบันการรำเปลี่ยนไปโดยนำเพลงสมัยใหม่เข้ามาร้องตอบโต้กัน (หน้า 46, 58-59)

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มีข้อมูล

Social Cultural and Identity Change

ผลของพัฒนาตามโครงการพัฒนาจุดสุมเมืองหนองแฮดก่อให้เกิดผลกระทบ ดังนี้ ผลกระทบทางบวก - ด้านเศรษฐกิจ รายได้ที่สูงขึ้นจากการเกษตรถือเป็นเครื่องชี้วัดของการพัฒนาที่ชี้ให้เห็นถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจภายในหมู่บ้านดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก - ด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน จากการสร้างถนนใหม่และปรับปรุงถนนเก่าทำให้ชาวบ้านสามารถเดินทางติดต่อกับชุมชนภายนอกได้สะดวกมากขึ้น ตลอดจนสามารถส่งผลผลิตทางการเกษตรออกสู่ตลาดได้ดีขึ้น และยังมีการบริการรถโดยสารระหว่างหมู่บ้านเกิดขึ้นด้วย - ด้านสังคม จากการขยายการศึกษาทำให้มีเด็กม้งได้เข้าเรียนในระดับประถมศึกษาได้ดีกว่าเดิม เด็ก ๆ มีความรู้ทางด้านภาษาและปัญญาสามารถเรียนในระดับสูงๆ อย่างมหาวิทยาลัย โดรงเรียนอาชีพ ผลต่อสตรีม้งทำให้สตรีม้งกล้าที่จะมีส่วนร่วมในเรื่องต่าง ๆ เช่น การประชุมเพื่อแก้ปัญหา มีสิทธิ์ทางการเงินมากขึ้นเพราะสามารถหารายได้เข้าครอบครัว - ด้านความเชื่อและค่านิยม เมื่อมีการเจ็บป่วยม้งจะไปหาและใช้ยาแผนปัจจุบันมากขึ้น ส่วนการการยอมรับในสิ่งใหม่ ๆ อย่างเทคโนโลยีการเกษตร การรับข่าวสาร โดยใช้วิทยุก็มากขึ้นเช่นกัน ผลกระทบทางลบ จากความเจริญทางด้านวัตถุเข้ามา ทำให้ความต้องการทางด้านเงินมีมากขึ้น ต่างดิ้นรนเพื่อให้มีรายได้มากขึ้น ทำให้การสูญเสียเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมไป อย่างใน - ด้านพิธีกรรมต่าง ๆ เช่น ในเทศกาลวันปีใหม่ หนุ่มสาวไม่สามารถมาร่วมพิธีกับครอบครัวได้และไม่มีเวลาไปลมสาวในตอนเย็น การแต่งงานก็เป็นแบบสากลมากขึ้น - ด้านภาษา เนื่องจากการติดต่อคมนาคมกับโลกภายนอกมากขึ้น ภาษาม้งเองก็ค่อย ๆ ถูกลืมไปในที่สุด - ด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม ความนิยมทางวัตถุและความมต้องการสะดวกวบายของเด็กวัยรุ่นทำให้มีรถจักรยานยนต์หรือรถยนต์ เพื่อมาอวดเพื่อนหรือสาวๆ และผลที่ตามมา ก็คือ มลพิษและอุบัติเหตุ - ด้านการแต่งกาย ผ้าไหมและผ้าชนิดต่างๆ ที่มีขายมากมายทำให้ม้งไม่ต้องทำเสื้อผ้าจากต้นป่านที่ผ่านหลายขั้นตอน จึงเปลี่ยนมาซื้อผ้าตามท้องตลาดทั้งสวยและใส่ง่าย หรือซื้อเป็นชุดสำเร็จรูปแบบลาวและแบบสากล ส่งผลให้ผลงานในการร้อยปักถักแซ่วและการแต่งกายแบบดั้งเดิมเริ่มหมดไป (หน้า 74-78)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

ภาพน้ำปะปนภูเขา (หน้า95), ภาพการแต่งกายของหญิงม้งในเทศกาล (หน้า96), ภาพการเลี้ยงหมูด้วยวิธีขังคอก (หน้า 97), ภาพเครื่องจักรทุ่นแรง (หน้า 98) แผนผังเมืองหนองแฮด (หน้า 92), แผนผังหมู่บ้านแก่วปะตู (หน้า93)

Text Analyst ศรายุทธ โรจน์รัตรักษ์ Date of Report 10 เม.ย 2556
TAG ม้ง, ชีวิตความเป็นอยู่, สังคม, วัฒนธรรม, การเปลี่ยนแปลง, เชียงขวาง, ประเทศลาว, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง