|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ม้ง,ชีวิตความเป็นอยู่,สังคม,วัฒนธรรม,การเปลี่ยนแปลง,เชียงขวาง,ประเทศลาว |
Author |
เวียงมาลา วางมัว |
Title |
ผลกระทบของโครงการพัฒนาจุดสุมเมืองหนองแฮดต่อการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมชาวม้ง : ศึกษาเฉพาะกรณี หมู่บ้านแก่วปะตู เมืองหนองแฮด แขวงเชียงขวาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ม้ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้ง-เมี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
100 |
Year |
2545 |
Source |
กรุงเทพฯ: ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ |
Abstract |
งานชิ้นนี้เป็นการศึกษาผลกระทบของโครงการพัฒนาจุดสุม เมืองหนองแฮดที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมของม้ง หมู่บ้านแก่วปะตู เมืองหนองแฮด แขวงเชียงขวาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยการสัมภาษณ์ม้งจำนวน 152 คน พบว่า หลังการสร้างโครงสร้างพื้นฐานและการส่งเสริมการเกษตรให้แก่ชาวบ้าน ก่อให้เกิดรายได้ของประชาชนเพิ่มขึ้นและเอื้อต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมของหมู่บ้าน สภาพดังกล่าวนี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานทุกด้านรวมไปถึงวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีท้องถิ่นด้วยโดยเฉพาะประเพณีฉุดเจ้าสาว พิธีกรรมต่าง ๆ การแต่งกาย และการก่อสร้างที่อยู่อาศัย รวมถึงด้านสาธารณสุข และการศึกษา เป็นไปในทางที่ดีขึ้น ส่งผลให้เกิดความสำเร็จตามโครงการในการลบล้างการปลูกฝิ่นและทำลายป่าไม้ของชาวเขาเผ่าต่างๆ โดยใช้วิธีอบรมให้ความรู้ ประชุมชี้แจง พาไปศึกษาดูงานนอกหมู่บ้าน และสถาบันการปกครองที่มีอยู่ในการถ่ายทอดความรู้ต่างๆ สู่ชาวบ้าน นอกจากนี้ ผลจากการขัดเกลาทางสังคมจากสถาบันต่างๆ เช่น ครอบครัว กลุ่มเพื่อน กลุ่มอาชีพ และสื่อมวลชนก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมกับสถาบันทางสังคม ดังนั้นเมื่อสถาบันหนึ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงย่อมส่งผลกระทบต่อสถาบันอื่นๆ ตามไปด้วย โดยเฉพาะสถาบันเศรษฐกิจมีผลให้ประเพณีต่างๆ ของม้งเปลี่ยนแปลงจากเดิม เช่น วันฉลองเทศกาลปีใหม่เหลือเพียง 15 วัน เป็นต้น และการเปลี่ยนแปลงของสถาบันครอบครัวที่กลายมาเป็นครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น หรือแม้แต่การมีสิทธิ์ในการออกเสียงและการเงินของหญิงม้งมากขึ้นเช่นกัน |
|
Focus |
ศึกษาผลกระทบของโครงการพัฒนาจุดสุมเมืองหนองแฮดที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมของม้งที่หมู่บ้านแก่วปะตู เมืองหนองแฮด แขวงเชียงขวาง ประเทศลาว |
|
Theoretical Issues |
ผู้วิจัยใช้ทฤษฎีเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมในการศึกษาเป็นหลัก ผู้วิจัยพบว่า หลังจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและชาวบ้านได้รับความรู้และแนวปฏิบัติเกี่ยวกับกิจกรรมต่างๆ จากโครงการ เพื่อให้กลุ่มผู้นำเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ให้แก่ชาวบ้านอีกต่อหนึ่ง การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมีลักษณะค่อยเป็นค่อยไปตามความสมัครใจและตรงตามความต้องการของชุมชน เพื่อทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้นกว่าเดิม โดยสถาบันที่เกิดการเปลี่ยนแปลงก่อน คือ สถาบันการปกครอง (นายบ้าน) หลังจากที่มีการยอมรับจึงขยายผลเข้าสู่สถาบันอื่นๆ ทั้งสถาบันเศรษฐกิจ สถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษา สถาบันสาธารณสุข อันสอดคล้องกับแนวคิดโครงสร้างและหน้าที่ กล่าวคือ นายบ้านคนใหม่ที่เป็นคนหนุ่มที่มีการศึกษาและรู้ภาษากลางเป็นผู้สื่อสารความต้องการของทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งยอมรับในองค์ความรู้ใหม่จึงได้ยอมรับและปรับปรุงให้เข้ากับสังคมของหมู่บ้าน แล้วจึงขยายเข้าสู่สถาบันเศรษฐกิจ ม้งได้หันมาทำการเกษตรเพื่อการค้าจากเดิมที่ทำเพื่อการยังชีพ จึงมีรายได้จากการทำการเกษตรมากขึ้น และผลจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจจึงส่งผลต่อระบบครอบครัวให้กลายเป็นแบบครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น นอกจากยังทำให้ม้งมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีโอกาสได้รับการศึกษาสูงขึ้น และปรับทัศนคติความเชื่อในการรักษาด้วยการแพทย์สมัยใหม่แล้ว ยังช่วยกันหยุดยั้งการทำลายป่าและชาวบ้านก็เห็นคุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติมากขึ้นด้วย แต่ทั้งนี้ก็ยังส่งผลกระทบในทางลบด้วย อันทำให้ขนบธรรมเนียมประเพณี พิธีกรรมบางอย่างเสื่อมถอยไป เช่น ภาษา การแต่งกาย โดยที่ความเจริญทางวัตถุเข้ามาแทนวัฒนธรรมดั้งเดิม เช่น การรีบเร่งการหารายได้ทำให้เวลาในการฉลองเทศกาลวันปีใหม่ลดลง |
|
Ethnic Group in the Focus |
ม้ง ที่อาศัยอยู่ในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาที่ม้งบ้านแก่วปะตูใช้ มี 2 ภาษา คือ ภาษาม้ง และ ภาษากลาง (ภาษาลาว) ม้งจะใช้พูดกันเฉพาะในชุมชนม้งและแขกที่มาหมู่บ้าน ส่วนภาษาที่ 2 เป็นภาษาราชการ เด็ก ๆ ม้งที่เข้าโรงเรียนเรียนภาษากลางจะสามารถพูดได้ดีกว่าผู้ใหญ่ม้ง เด็ก ๆ จะพูดภาษากลางเมื่ออยู่โรงเรียน แต่พอกลับบ้านก็จะพูดภาษาม้งกับพ่อแม่ ม้งจะพูดภาษากลางกับแขกคนภายนอกที่มาหมู่บ้าน (หน้า 44-45) |
|
Study Period (Data Collection) |
มิถุนายน พ.ศ. 2544 - พฤษภาคม พ.ศ. 2545 (หน้า 4) |
|
History of the Group and Community |
หมู่บ้านแก่วปะตูเป็นหมู่บ้านที่ตั้งขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2471 และมีชื่อว่า "หย่อหาเฉา" ซึ่งเป็นชื่อเรียกของม้ง หมายความว่า บ้านขี้เทา เพราะดินบริเวณที่ตั้งบ้านเป็นดินสีเทา ส่วนเผ่าอื่นจะเรียกว่า "บ้านแก่วปะตู" ผู้วิจัยได้บรรยายถึงคำบอกเล่าของพ่อเฒ่าคนหนึ่งว่า แต่เดิมบริเวณที่เป็นหมู่บ้านปัจจุบันนี้เป็นเขตป่าทึบ ดินมีสีเทา เป็นดินที่เหมาะกับการปลูกฝิ่น เหตุนั้นจึงได้พาญาติ ๆ ของตน 4 ครอบครัวมาตั้งบ้านเรือนที่นี่เพื่อทำสวนฝิ่น ต่อมาปี พ.ศ. 2473 มีครอบครัวแซ่อื่น ๆ มาอยู่อาศัยเพิ่มอีก จนในปี พ.ศ. 2518 การขยายจำนวนสมาชิกของแซ่ต่าง ๆ ในหมู่บ้าน ทำให้มีครัวเรือนเพิ่มขึ้นเป็น 86 ครัวเรือน ในปัจจุบันมีครอบครัว 3 แซ่ ได้แก่ เล่า มัว วาง หลังปี พ.ศ. 2518 รัฐบาลลาวมีนโยบายให้ชาวเขาเผ่าต่าง ๆ ที่อยู่เขตภูเขาสูงลงมาทำนาอยู่ที่พื้นราบ ทำให้หลายครอบครัวม้งในหมู่บ้านแก่วปะตูย้ายบ้านมาอยู่อาศัยในเมือง จนในปัจจุบันมีจำนวนหลังคาเรือน 74 หลังคาเรือน (หน้า 39) |
|
Settlement Pattern |
มีการตั้งบ้านเรือนเป็นกลุ่ม มีจำนวนทั้งหมด 74 หลังคาเรือน ซึ่งอยู่กระจายกันไปตามทางเดินเท้า (ดังภาพแผนผังหมู่บ้านหน้า 93) การตั้งบ้านเรือนมักอยู่ห่างกัน แต่ละบ้านมีรั้วกั้นขอบเขตบ้านของตน ในบริเวณรั้วประกอบด้วย ผักสวนครัว สวนผสม นอกจากนี้ยังมีการสร้างคอกหมู ม้า ยุ้งข้าวและเล้าไก่ด้วย ส่วนครอบครัวที่มีฐานะจะมีการสร้างโรงรถ โรงสีข้าว ซึ่งลักษณะการตั้งบ้านเรือนสามารถแบ่งได้ 3 ลักษณะ ดังนี้ (หน้า 41-42) - แบบถาวร เป็นบ้านที่มีพื้นปูน มุงด้วยกะเบื้องหรือสังกะสี และล้มฝาด้วยไม้แปรรูปเนื้อแข็งชนิดต่างๆ ตัวบ้านมี 3 ห้องสำหรับครอบครัวเดี่ยว ส่วนครอบครัวขยายจะมีห้องมากถึง 4-6 ห้อง ในบ้านมีเตาไฟใหญ่และเตาไฟเล็ก เตาไฟใหญ่มีไว้สำหรับหุงต้มเมื่อบ้านมีงาน ส่วนเตาเล็กตั้งอยู่ใกล้เสากลางบ้าน ใช้สำหรับทำอาหารในแต่ละมื้อ - แบบกึ่งถาวร เป็นบ้านพื้นดิน ฝาไม้แปรรูปชนิดต่าง ๆ มุงหลังคาด้วยสังกะสีหรือกะเบื้อง ลักษณะของห้องและการจัดวางพื้นที่ในบ้านเหมือนแบบลักษณะบ้านถาวร เป็นบ้านของผู้ที่ฐานะปานกลาง - แบบชั่วคราว เป็นบ้านที่สร้างแบบดั้งเดิม วัสดุที่ใช้ในการสร้างหาจากในท้องถิ่น เช่น หญ้าคา ไม้เสา บ้านจะสร้างขึ้นด้วยการช่วยกันของเพื่อนบ้านที่สร้างเสร็จภายในหนึ่งวัน บ้านแบบนี้เป็นบ้านของผู้ชอบการย้ายถิ่นบ่อย |
|
Demography |
ครอบครัวม้งในบ้านแก่วปะตูเป็นแบบครอบครัวขยาย และระบบเครือญาติ สมาชิกในครอบครัวมี 8-20 คนในหมู่บ้านมีครอบครัวขยายจำนวน 52 ครอบครัว ส่วนครอบครัวเดี่ยวมีจำนวน 22 ครอบครัว ซึ่งมีจำนวนครัวเรือนรวม 74 ครัวเรือน มีประชากร 535 คนแบ่งเป็นเพศหญิง 268 คน และเพศชาย 267 คน (หน้า 38, 40-41) |
|
Economy |
อาชีพที่ม้งบ้านแก่วปะตูทำส่วนมากเป็นอาชีพเกษตรกรรม ได้แก่ - การทำนา ที่นาส่วนใหญ่อยู่ตามหุบเขา เชิงเขา ซึ่งมีพื้นที่ไม่มาก ได้เริ่มทำครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2539 โดยการเรียนรู้จากชาวลาวและการแนะนำของเจ้าหน้าที่ในโครงการ และเจ้าหน้าที่การเกษตรเมืองหนองแฮด การทำนาจะทำเฉพาะในฤดูฝนเท่านั้น หลังจากเก็บเกี่ยวแล้วจะเป็นพื้นที่ในการเลี้ยงสัตว์ - การทำไร่ พืชที่ปลูก ได้แก่ ข้าวเจ้า ข้าวโพด มันสำปะหลัง ขิง งา เป็นต้น โดยแบ่งการทำไร่เป็น 2 ประเภท คือ การทำไร่ทุกปีถูกเปลี่ยนจากการปลูกฝิ่นมาเป็นหน่อไม้ฝรั่ง ลูกหว้า ลูกท้อ และผักชนิดต่างๆ และอีกประเภท คือ ทำไร่หมุนเวียนอาจเป็นข้าวไร่ ข้าวโพด มันสำปะหลัง ฯลฯ มักทำเพียงสองปีแล้วย้ายไปถางที่ใหม่ ไร่เก่าจะถูกทิ้งไว้ 3-4 ปี จึงกลับมาถางใหม่ ผลผลิตที่ได้จากการทำไร่หมุนเวียนมักได้ผลผลิตสูง เพราะดินมีความอุดมสมบูรณ์ ได้พัก มีวัชพืชและแมลงศัตรูพืชรบกวนน้อย ส่วนพื้นที่ทำทุกปีหรือพื้นที่ไร่อนุรักษ์ จะได้ผลผลิตน้อย เนื่องจากคุณภาพดินเสื่อม มีแมลงและศัตรูพืชมากจึงต้องใช้สารเคมีรวมทั้งการใช้ปุ๋ยเคมี - การทำสวนแบบผสมในพื้นที่ไร่อนุรักษ์ จะเป็นการทำตามฤดูกาล เช่น ฤดูฝนชาวบ้านปลูกหน่อไม้ฝรั่ง ฤดูแล้งปลูกผักชนิดต่างๆ การปลูกหน่อไม้และผลไม้เมืองหนาวตามการแนะนำของโครงการทำให้บางครอบครัวมีรายได้สูงมาก - การเลี้ยงสัตว์ ได้แก่ การเลี้ยงวัว ควาย ม้า หมูและไก่ - อาชีพนอกภาคเกษตร เช่น การหาของป่า ทำไม้กวาดจากดอกหญ้า สานหวาย งานหัตถกรรมของผู้หญิงม้ง (หน้า 48-53) ชาวบ้านรับประทานอาหารที่เป็นผลผลิตจากไร่และนาเป็นส่วนใหญ่ จะกินข้าวเจ้าเป็นอาหารหลัก ส่วนกับข้าวก็เป็นน้ำพริกกับผักชนิดต่างๆ ตามฤดูกาล ถ้ามีเนื้อหมูหรือเนื้ออื่นๆ ก็จะเอามาผัดเป็นกับข้าวด้วย เนื้อสัตว์ที่ม้งนิยมทานมากที่สุด คือ เนื้อหมู รองลงมาก็คือ เนื้อไก่ อาจมีเนื้ออื่นๆ เช่น หมูป่า กวาง ไก่ป่า นกป่า ที่ได้จาการออกล่า นอกจากนี้ก็ยังทานอาหารสำเร็จรูปเช่นกัน เช่น ปลากระป๋อง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ส่วนไข่และปลาน้ำจืดจะได้จากอ่างที่เลี้ยง การประกอบอาหารนั้นจะใช้ฟืนเป็นเชื้อเพลิงเนื่องจากหาได้ง่ายและไม่เสียเงินซื้อ ม้งรับประทานอาหาร 3 มื้อต่อวัน คือ มื้อเช้า มื้อกลางวัน และมื้อเย็น อาหารเช้าในวันปกติที่ต้องออกไปทำไร่ทำนาจะกินประมาณ 5.00 น. จากนั้นก็จะหิ้วข้าวมื้อกลางวันไปกินในไร่นาสำหรับมื้อกลางวัน ส่วนอาหารมื้อเย็นจะกินในช่วง 20.00-21.00 น. น้ำดื่มในหมู่บ้านนับว่าสบายกว่าเมื่อก่อนมาก เพราะมีปะปาภูเขาที่มีน้ำไหลตลอดทั้งปี มีถังเก็บน้ำตั้งอยู่กลางหมู่บ้าน หากผู้ที่มีฐานะดีก็จะต่อท่อน้ำมาเก็บพักไว้ใส่ใกล้บ้านของตน ส่วนผู้ที่ยังไม่มีท่อต่อเข้าบ้านก็ต้องหาภาชนะมาเก็บไว้ใช้ในครอบครัว และใช้ร่วมกันที่อ่างน้ำรวมของหมู่บ้านในการอาบ และซักผ้า (หน้า 42-44) |
|
Political Organization |
ระบบการปกครองเป็นแบบของราชการ ซึ่งเจ้าเมืองหนองแฮดมีอำนาจในการแต่งตั้งนายบ้านมาเป็นผู้นำของหมู่บ้าน ในปัจจุบันหมู่บ้านแก่วปะตูมีผู้นำของหมู่บ้าน 3 คน คือ นายบ้านหรือผู้ใหญ่บ้าน รองผู้ใหญ่บ้าน และกรรมการหมู่บ้าน ผู้นำทั้ง 3 มีหน้าที่ต่างกัน คือ ผู้ใหญ่บ้านจะรับผิดชอบสภาพรวมทั่วไปในหมู่บ้านและแก้ไขปัญหาต่างๆ ของลูกบ้าน ยังเป็นผู้รักษาตราประทับประจำหมู่บ้านในการเดินทางออกนอกหมู่บ้าน นอกจากนี้ ยังเป็นผู้รับข้อแจ้งการต่าง ๆ จากเมืองและงานต่าง ๆ จากโครงการมาเผยแพร่แก่ลูกบ้าน ส่วนรองผู้ใหญ่บ้านจะเป็นผู้ดูแลทางด้านนโยบายต่าง ๆ ที่มีต่อลูกบ้าน และกรรมการหมู่บ้านเป็นผู้ดูแลด้านการเงินและทรัพย์สินของหมู่บ้าน นอกจากนั้น ยังมีการจัดตั้งกลุ่มหนุ่มสาว กลุ่มเยาวชน และกลุ่มแม่บ้านตามการแนะนำของโครงการ (หน้า 53) |
|
Belief System |
-- พิธีฉลองปีใหม่ เป็นพิธีที่เด่นที่สุดของม้ง จะจัดหลังการเก็บเกี่ยวผลผลิตเสร็จ แล้วจะหยุดงานต่างๆเพื่อเตรียมงานฉลอง จึงต้องเตรียมฟืน ข้าวสาร และหมูตัวที่เลี้ยงด้วยอาหารพิเศษ พิธีฉลองปีใหม่ (น่อเป้เจ้า) จะจัดในช่วงเดือนธันวาคม แต่ละบ้านก็ต้องทำความสะอาดและเตรียมเครื่องเซ่นในพิธีเรียกขวัญทั้งของหมู่บ้านและตระกูล หลังจากนั้นก็จะได้พักไป 3 วัน เพื่อเริ่มพิธีตั้งผีคุ้มครองบ้าน (สือก้า) และต้องรับไข่ไก่ให้ขวัญของแต่ละคน ตอนเย็นของคืนสุดท้ายปีเก่าจะมีการจุดไฟเพื่อให้เจ้าถิ่นฐานเจ้าเรือน และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายคุ้มครอง จนในวันที่ 1 ของปีใหม่ จะมีการเล่นโยนลูกบอล (ป๋อป้อ) ที่ลานกลางบ้านแลร่ายรำเพื่อแลกเปลี่ยนของที่ได้ให้ไว้คืนในตอนเย็น -- พิธีเกิด เด็กคลอดได้ 3 วัน พ่อแม่ของเด็กก็จะทำพิธีเรียกขวัญให้เด็ก เป็นการรับเด็กมาเป็นสมาชิกใหม่ของครอบครัวและตั้งชื่อให้เด็ก นอกจากนี้ยังมีความเชื่อเกี่ยวกับอาหารว่า เนื้อไก่ที่ตรงหน้าอกและขา โดยมาทำเป็นแกงใส่พริกไทยและยาสมุนไพรกินกับข้าวจนครบ 30 วันจึงจะกินอย่างอื่นได้ และในช่วงอยู่ไฟห้ามไม่ให้คนภายนอกเข้าเยี่ยม เพราะเชื่อว่าผู้นั้นจะเอาน้ำนมไป -- พิธีแต่งงาน ประกอบด้วย การลมสาว และการแต่งงาน การลมสาว หมายถึง การลักพาตัวเจ้าสาวซึ่งมี 3 กรณี คือ 1. เจ้าสาวไม่เต็มใจหรือไม่ชอบเจ้าบ่าว 2. เจ้าสาวและเจ้าบ่าวตกลงปลงใจกันแล้วรอวันดีมาลักตัวเจ้าสาวไป 3. เจ้าสาวและเจ้าบ่าวตกลงปลงใจกันออกจากบ้านไปกับเจ้าบ่าว หลังจากนั้น ต้องมีการแจ้งข่าวให้พ่อแม่ของเจ้าสาวรู้ในอีกสามวันจะกลับมาทำพิธีแต่ง หากครอบครัวฝ่ายหญิงไม่พร้อมก็ต้องเลื่อนออกไป และในวันก่อนพิธีแต่งงานก็ต้องมีพิธีเปลี่ยนแซ่ของฝ่ายหญิงมาเป็นของฝ่ายสามีก่อน และจัดขบวนแห่ไปทำพิธีแต่งงานที่บ้านของพ่อแม่เจ้าสาวพร้อมทั้งมีการเลี้ยงอาหาร ในปัจจุบันการแต่งงานเป็นไปด้วยความรักของทั้ง 2 ฝ่ายมากกว่าการซื้อขายเหมือนในอดีต -- พิธีศพ ในสมัยก่อนจะมีการเก็บศพที่ไม่ได้บรรจุในโลงเพียงแต่วางไว้ในบ้านนาน 1 อาทิตย์ แล้วค่อยนำไปฝัง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้คนกลัวเมื่อมาเห็นศพ และระยะเวลาที่เก็บศพไว้ก็นานทำให้มีกลิ่นเหม็น ในปัจจุบันมักจะเก็บศพไว้เพียง 1 หรือ 2 วัน หากจะเก็บไว้นานม้งจะให้หมอฉีดยากันศพไม่ให้เน่าเปื่อยและบรรจุศพลงในโลง (หน้า 53-66) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
การแต่งกาย - ผู้ชายแต่งตัวเหมือนชาวพื้นราบโดยทั่วไป คือ กางเกงขายาวผ้าฝ้ายหรือผ้าป่าน วัยรุ่นจะใส่เสื้อผ้าที่หาซื้อได้ตามท้องตลาดทั่วไป ที่เป็นเสื้อผ้าสำเร็จรูป มีผู้สูงอายุเท่านั้นที่ยังแต่งกายแบบเดิม คือ เสื้อผ้าที่ตัดเย็บเอง ส่วนผู้หญิงใส่กางเกงสีดำและชุดรัดเอวที่ตัดเย็บเอง มีผ้าดำ 2 ชิ้นปกด้านหน้าและด้านหลัง สาว ๆ ก็จะใส่ผ้าถุงกับเสื้อยืดหรือเสื้อเชิ้ตที่ซื้อตามท้องตลาด สำหรับเด็กเล็กและเด็กนักเรียนมักแต่งตัวแบบเด็กพื้นราบ นอกจากนี้ ม้งทุกคนยังต้องมีชุดพื้นบ้านชุดใหม่ของแต่ละคนไว้ใช้ในงานสำคัญต่าง ๆ เช่น แต่งงาน งานศพและงานเทศกาลปีใหม่ (หน้า 46) ซึ่งเป็นชุดที่นำมาจากประเทศจีนบ้าง เป็นผ้าชั้นดีพื้นดำลายดอกและผ้าสีบัว (เขียวอ่อน) และร้อยเหรียญเงินบนชุดแต่งกาย ซึ่งเมื่อก่อนเป็นเหรียญของฝรั่งแต่ปัจจุบันเปลี่ยนมาใช้เหรียญตะกั่วแทน การละเล่น - การโยนลูกบอลในงานวันเทศกาลปีใหม่ทำให้พวกหนุ่มสาวได้มาเจอกันเพื่อหาเนื้อคู่กัน อันเป็นประเพณีในการหาคู่ครองของม้ง เมื่อก่อนลูกบอลที่โยนกันทำมาจากเศษผ้าที่ต้องเย็บเป็นเวลานาน ดังนั้นในปัจจุบันจึงเปลี่ยนมาใช้ลูกส้มโอเล็ก ๆ โดยฝ่ายที่ทำหล่นจะต้องเสียสิ่งของที่ติดตัวมาให้อีกฝ่าย ในตอนเย็นก็จะมีการรำเพื่อเอาของมาแลกเปลี่ยนกันคืน การรำ - เป็นการรำของหนุ่มสาวในเทศกาลปีใหม่ที่จะรำโต้ตอบกันเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ผู้คน เกี่ยวกับการผลิต ความสวยงามของธรรมชาติ และความรักที่มีต่อกัน แต่ในปัจจุบันการรำเปลี่ยนไปโดยนำเพลงสมัยใหม่เข้ามาร้องตอบโต้กัน (หน้า 46, 58-59) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ผลของพัฒนาตามโครงการพัฒนาจุดสุมเมืองหนองแฮดก่อให้เกิดผลกระทบ ดังนี้ ผลกระทบทางบวก - ด้านเศรษฐกิจ รายได้ที่สูงขึ้นจากการเกษตรถือเป็นเครื่องชี้วัดของการพัฒนาที่ชี้ให้เห็นถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจภายในหมู่บ้านดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก - ด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน จากการสร้างถนนใหม่และปรับปรุงถนนเก่าทำให้ชาวบ้านสามารถเดินทางติดต่อกับชุมชนภายนอกได้สะดวกมากขึ้น ตลอดจนสามารถส่งผลผลิตทางการเกษตรออกสู่ตลาดได้ดีขึ้น และยังมีการบริการรถโดยสารระหว่างหมู่บ้านเกิดขึ้นด้วย - ด้านสังคม จากการขยายการศึกษาทำให้มีเด็กม้งได้เข้าเรียนในระดับประถมศึกษาได้ดีกว่าเดิม เด็ก ๆ มีความรู้ทางด้านภาษาและปัญญาสามารถเรียนในระดับสูงๆ อย่างมหาวิทยาลัย โดรงเรียนอาชีพ ผลต่อสตรีม้งทำให้สตรีม้งกล้าที่จะมีส่วนร่วมในเรื่องต่าง ๆ เช่น การประชุมเพื่อแก้ปัญหา มีสิทธิ์ทางการเงินมากขึ้นเพราะสามารถหารายได้เข้าครอบครัว - ด้านความเชื่อและค่านิยม เมื่อมีการเจ็บป่วยม้งจะไปหาและใช้ยาแผนปัจจุบันมากขึ้น ส่วนการการยอมรับในสิ่งใหม่ ๆ อย่างเทคโนโลยีการเกษตร การรับข่าวสาร โดยใช้วิทยุก็มากขึ้นเช่นกัน ผลกระทบทางลบ จากความเจริญทางด้านวัตถุเข้ามา ทำให้ความต้องการทางด้านเงินมีมากขึ้น ต่างดิ้นรนเพื่อให้มีรายได้มากขึ้น ทำให้การสูญเสียเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมไป อย่างใน - ด้านพิธีกรรมต่าง ๆ เช่น ในเทศกาลวันปีใหม่ หนุ่มสาวไม่สามารถมาร่วมพิธีกับครอบครัวได้และไม่มีเวลาไปลมสาวในตอนเย็น การแต่งงานก็เป็นแบบสากลมากขึ้น - ด้านภาษา เนื่องจากการติดต่อคมนาคมกับโลกภายนอกมากขึ้น ภาษาม้งเองก็ค่อย ๆ ถูกลืมไปในที่สุด - ด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม ความนิยมทางวัตถุและความมต้องการสะดวกวบายของเด็กวัยรุ่นทำให้มีรถจักรยานยนต์หรือรถยนต์ เพื่อมาอวดเพื่อนหรือสาวๆ และผลที่ตามมา ก็คือ มลพิษและอุบัติเหตุ - ด้านการแต่งกาย ผ้าไหมและผ้าชนิดต่างๆ ที่มีขายมากมายทำให้ม้งไม่ต้องทำเสื้อผ้าจากต้นป่านที่ผ่านหลายขั้นตอน จึงเปลี่ยนมาซื้อผ้าตามท้องตลาดทั้งสวยและใส่ง่าย หรือซื้อเป็นชุดสำเร็จรูปแบบลาวและแบบสากล ส่งผลให้ผลงานในการร้อยปักถักแซ่วและการแต่งกายแบบดั้งเดิมเริ่มหมดไป (หน้า 74-78) |
|
Map/Illustration |
ภาพน้ำปะปนภูเขา (หน้า95), ภาพการแต่งกายของหญิงม้งในเทศกาล (หน้า96), ภาพการเลี้ยงหมูด้วยวิธีขังคอก (หน้า 97), ภาพเครื่องจักรทุ่นแรง (หน้า 98) แผนผังเมืองหนองแฮด (หน้า 92), แผนผังหมู่บ้านแก่วปะตู (หน้า93) |
|
|