|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ผู้ไทย,ภูไท,การแต่งงาน, ค่าใช้จ่าย, มุกดาหาร |
Author |
ดวงมณี นารีนุช, พยอม รัตพันธ์, สิทธิพจน์ กลางประพันธ์, จิก นารีนุช, ถาวร วงษ์ชา, สุริวัน วงษ์ชา, วันนา อุปัญ, ปิยะ รัตพันธ์, ลินนา นารีนุช, ติว ยืนยง |
Title |
โครงการการฟื้นฟูอัตลักษณ์การแต่งงานของคนภูไท เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการแต่งงาน : กรณีศึกษาคนภูไทบ้านนาโด่ ตำบลนาโสก อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ผู้ไท ภูไท,
|
Language and Linguistic Affiliations |
- |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
125 หน้า |
Year |
2552 |
Source |
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) |
Abstract |
งานวิจัยนี้ศึกษาประเพณีการแต่งงานของคนภูไท(ผู้ไทย)ที่บ้านนาโด่ ตำบลนาโสก อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร ว่า “การเอ็ดปาซู” มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบในการจัดงาน ซึ่งส่งผลต่ออัตลักษณ์และพบว่า อัตลักษณ์ด้านประเพณีการแต่งงานที่พบนั้นมีทั้งหมด 9 อัตลักษณ์ ดังนี้
1. อัตลักษณ์ด้านการแต่งกาย ทั้งนี้อัตลักษณ์ดังกล่าวมีการเปลี่ยนแปลง คือ จากในอดีตใส่ชุดภูไทในการแต่งงาน แต่มาในปัจจุบันก็ใส่ชุดตามสมัยนิยมของสังคม เช่น ชุดราตรี ชุดไทย เป็นต้น
2. อัตลักษณ์ทางภาษา ในประเพณีการแต่งงานนั้นคนภูไทจะใช้ภาษาภูไทที่เป็นคำผญาในการจรจาสู่ขอ แต่ปัจจุบันการใช้คำผญาลดน้อยลง
3. อัตลักษณ์ความแตกต่างระหว่างบทบาทของหญิงชาย ชายเป็นใหญ่ ซึ่งปัจจุบันนั้นชายหญิงมีบทบาทเท่าเทียมกัน แต่หญิงต้องให้ความเคารพชายเช่นเดิม
4. อัตลักษณ์ด้านความเชื่อ เชื่อเรื่องต้นแบบ เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ
5. อัตลักษณ์ในด้านการให้ความเคารพนับถือผู้ที่อาวุโส และให้ความสำคัญกับญาติพี่น้อง 6. อัตลักษณ์ด้านความอ่อนน้อมถ่อมตน ให้เกียรติผู้อื่น
7. อัตลักษณ์ด้านความกตัญญู ตอบแทนบุญคุณซึ่งกันและกัน
8. อัตลักษณ์ด้านความมีสัมพันธไมตรีที่ดี
9. อัตลักษณ์ด้านความสามัคคีกัน ซึ่งในปัจจุบันนั้นอัตลักษณ์เหล่านี้มีความสำคัญลดน้อยลง และการดำรงอัตลักษณ์ดังกล่าวจะซ้อนทับการดำรงอัตลักษณ์เพื่อให้สังคมยอมรับ นอกจากอัตลักษณ์ที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ในประเพณีการแต่งงานของคนภูไทนั้นยังมีการสร้างอัตลักษณ์ใหม่ขึ้นมา เมื่อมีการปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มคนอื่นๆ เป็นต้น
จากการเปลี่ยนแปลงประเพณีการแต่งงานของคนภูไทนั้น ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงคือการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจ ชุมชน สังคม อาชีพ รายได้ การศึกษา และฐานะทางสังคมของปัจเจกบุคคล การแต่งงานกับคนต่างวัฒนธรรม และการแพร่กระจายของวัฒนธรรม ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ ส่งผลให้ขั้นตอนในประเพณีการแต่งงานมีการเปลี่ยนแปลง คือ มีขั้นตอนบางขั้นตอนเพิ่มขึ้นมา และขั้นตอนบางขั้นตอนที่เคยปฏิบัติกันมาตั้งแต่อดีตนั้นหายไป
ทั้งนี้การศึกษาเพื่อหาแนวทางลดภาระค่าใช้จ่ายในการจัดงานแต่งงานนั้น พบว่า แนวทางที่จะทำให้ชุมชนสามารถลดภาระค่าใช้จ่ายได้ คือ ใช้พลังของชุมชน และใช้อัตลักษณ์และคุณค่าที่อยู่ในประเพณีการแต่งงานจูงใจให้คนในชุมชนลดค่าใช้จ่ายในการแต่งงาน ซึ่งรายการที่จะสามารถลดภาระค่าใช้จ่ายได้ คือ ค่าใช้จ่ายที่พ่อล่ามเลี้ยงต้อนรับคนที่ไปส่งในวันแต่งงาน ค่าอาหาร ค่าเครื่องดื่ม ค่าเช่าชุดเจ้าบ่าวเจ้าสาว ค่าแต่งหน้า ค่าพิมพ์การ์ดเชิญ และค่ามหรสพ (เครื่องดนตรี อิเล็กโทน) เป็นต้น |
|
Focus |
ศึกษาประเพณีการแต่งงานของคนภูไท และวิเคราะห์หาแนวทางการลดค่าใช้จ่ายในการจัดงานแต่งงานของคนภูไทในชุมชนบ้านนาโด่ (หน้า 115) |
|
Theoretical Issues |
งานวิจัยเล่มนี้ได้ใช้แนวคิดเรื่องอัตลักษณ์และแนวคิดเรื่องการเปลี่ยนแปลงสังคมวัฒนธรรมอีสาน มาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล (หน้า 115) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ชนเผ่าภูไท หรือ ผู้ไทย ,ผู้ไท ,พูไท (หน้า 52) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ในอดีตจะใช้ภาษาภูไท โดยพูดเป็นกลอนที่คล้องจอง (คำผญา) ใช้ในการเจรจาสู่ขอ หรืออวยพรในวันแต่งงาน ปัจจุบันยังปรากฏให้เห็นอยู่ แต่ก็มีการเปลี่ยนแปลงบ้าง เมื่อมีการแต่งงานกับชาติพันธุ์อื่น อีกทั้งบางครั้งยังมีการปรับเปลี่ยนคำพูดให้เข้ากับยุคสมัยด้วย เช่น ให้ถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชร เป็นต้น |
|
Study Period (Data Collection) |
เก็บข้อมูลในช่วงเดือนมิถุนายน 2552 – เดือนตุลาคม 2552 (หน้า 4) โดยการใช้วิจัยเชิงคุณภาพ วิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม ระหว่างนักวิจัยกับชุมชน ซึ่งมีขั้นตอนการสัมภาษณ์เชิงลึก การสนทนากลุ่มย่อย การสังเกตการณ์ และเวทีชาวบ้าน (หน้า 115) |
|
History of the Group and Community |
ชนเผ่าภูไท หรือผู้ไทย ,ผู้ไท และพูไท มีถิ่นฐานดั้งเดิมอยู่ในแคว้นสิบสองจุไทยและแคว้นสิบสองปันนา แต่เดิมก่อนที่ราชอาณาจักรไทยสูญเสียดินแดนแคว้นสิบสองจุไทยให้แก่ฝรั่งเศสเมื่อ ร.ศ. 107(พ.ศ. 2431) ชาวผู้ไทยแบ่งออกเป็นสองพวก คือ ผู้ไทยดำ มีอยู่ 8เมือง นิยมแต่งกายด้วยผ้าสีดำและสีคราม และผู้ไทยขาว มีอยู่ 4เมือง อยู่ใกล้ชิดติดกับชายแดนจีน นิยมแต่งด้วยเสื้อผ้าสีขาว จึงเรียกดินแดนส่วนนี้ว่า “สิบสองจุไทย” หรือ “สิบสองเจ้าไทย”
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 3 เมื่อกองทัพไทยยกไปปราบกบฏอนุวงศ์ จึงได้กวาดต้อนผู้ไทยจากเมืองวัง เมืองตะโปน เมืองพิน เมืองนอง และเมืองคำอ้อคำเขียว ให้มาตั้งบ้านตั้งเมืองทางฝั่งขวาแม่น้ำโขงในเขตเมืองกาฬสินธุ์ สกลนคร นครพนม และมุกดาหาร (หน้า 53)
ชาวบ้านบ้านนาโด่ได้ย้ายมาจากประเทศลาวแล้วมาตั้งบ้านเมืองที่เมืองโพนทอง หลังจากนั้นก็มีการย้ายและแบ่งกลุ่มกันไปแต่ละที่ ซึ่งชาวบ้านบ้านนาโด่ก็ได้ย้ายมาจากเมืองโพนทอง สาเหตุที่เลือกพื้นที่บ้านนาโด่ เพราะเป็นพื้นที่สูงน้ำท่วมไม่ถึง เป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์มาก มีทั้ง หนองน้ำ ป่าไม้ ภูเขา
สาเหตุที่ชื่อ “บ้านนาโด่” เพราะบริเวณที่ตั้งบ้านนั้นจะมีหนองน้ำอยู่ทางทิศใต้ของหมู่บ้าน และบริเวณรอบหนองนั้นมีต้นไม้ใหญ่มากชนิดหนึ่ง ลักษณะลำต้นสูงใหญ่ ไม่มีกิ่งก้านออกระหว่างลำต้น มีแต่กิ่งก้านที่อยู่บนยอดเท่านั้น แม้ว่าจะไม่ทราบชัดเจนว่ามีการตั้งหมู่บ้านในปีพ.ศ. ใด แต่จากการสืบรุ่นของคนที่อพยพเข้ามา ประมาณว่าตั้งถิ่นฐานกว่า 150 ปีมาแล้ว
ทั้งนี้หมู่บ้านบ้านนาโด่ก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงมาเรื่อยๆ เมื่อมีถนนและไฟฟ้าเข้ามาในหมู่บ้าน ทำให้การคมนาคมขนส่งมีความสะดวกสบายมากขึ้น และวัฒนธรรมจากภายนอกก็ได้แพร่ขยายไปสู่หมู่บ้านบ้านนาโด่ ไม่ว่าจะเป็น รูปแบบการดำเนินชีวิตของคนในหมู่บ้าน ลักษณะการตั้งบ้านเรือนที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงความเจริญทางด้านวัตถุ เช่น โทรทัศน์ ตู้เย็น เตาแก๊ส ตลอดจนเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ เป็นต้น (หน้า 52-55) |
|
Settlement Pattern |
ก่อนช่วง พ.ศ. 2497หมู่บ้านนาโด่เป็นหมู่บ้านเกษตรแบบยังชีพ มีการดำเนินชิวิตแบบพึ่งพาธรรมชาติ ลักษณะบ้านเรือนจะทำด้วยไม้ทั้งหมด เรียกว่า “บ้านเรือนฝาแฝก” ครัวจะอยู่บนบ้าน โดยมีการแยกระหว่างเรือนนอนกับเรือนครัว (หน้า 60) และหลังช่วง พ.ศ. 2497 จนถึงปัจจุบัน เมื่อถนนและไฟฟ้าเริ่มเข้ามาในหมู่บ้าน ส่งผลให้การคมนาคมขนส่งมีความสะดวกสบายมากขึ้น ทำให้ความเจริญทางด้านวัตถุเข้ามาสู่หมู่บ้านอย่างหลากหลาย (หน้า 55) ทั้งนี้ลักษณะบ้านเรือนนั้นได้เปลี่ยนแปลงไปตามช่วงเวลา โดยเริ่มมีการมุงสังกะสี และมีบ้านชั้นล่าง ซึ่งทำด้วยปูน กระทั่งบ้านมีลักษณะสองชั้น ข้างบนเป็นไม้ข้างล่างเป็นปูน บางหลังก็เป็นบ้านชั้นเดียวทำด้วยปูนซีเมนต์ (หน้า 60) |
|
Demography |
กลุ่มชาติพันธ์ชาวภูไทหรือผู้ไทย ที่อยู่ในหมู่บ้านนาโด่ ตำบลนาโสก อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร มี 2 หมู่บ้าน คือ หมู่ 6 และหมู่ 12 มีประชากรทั้งหมด 1,127 คน แบ่งเป็นชาย 551 คน หญิง 576 คน และมีครัวเรือนทั้งหมด 256 ครัวเรือน (หน้า 56) เดิมเป็นชาติพันธุ์ภูไททั้งหมด แต่ปัจจุบันมีการแต่งงานข้ามชาติพันธุ์ จึงมีชาติพันธุ์อื่นๆ เช่น กะเหรี่ยง ข่า ชาวไทยอีสาน เป็นต้น |
|
Economy |
หมู่บ้านบ้านนาโด่เป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์มาก ประกอบด้วย หนองน้ำ ป่าไม้ ภูเขา เป็นต้น ชาวบ้านมีการดำเนินชีวิตแบบพึ่งพาธรรมชาติ โดยอาศัยทรัพยกรเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นการหากุ้ง หอย ปู ปลา หรือการเข้าไปล่าสัตว์ป่า เก็บเห็ด เก็บหน่อไม้ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการใช้ประโยฃน์จากทรัพยากรดังกล่าวเพื่อการเกษตร เช่น ใช้น้ำเพื่อปลูกพืชผักต่างๆ เป็นต้น อีกทั้งชาวบ้านก็ได้มีการจัดการและใช้ประโยชน์ของทรัพยากรร่วมกัน ทั้งนี้แต่เดิมทรัพยากรเหล่านี้มีความอุดมสมบูรณ์มาก แต่ในปัจจุบันเนื่องจากประชากรในหมู่บ้านมีจำนวนมากขึ้น ส่งผลให้ทรัพยากรเหล่านี้ไม่เพียงพอต่อความต้องการของชาวบ้าน (หน้า 57-58) นอกจากทำเกษตรแล้ว ชาวบ้านยังออกไปรับจ้าง ส่วนลูกหลานที่จบการศึกษาภาคบังคับ มักเข้าไปทำงานในตัวเมือง และส่งเงินให้ครอบครัว (หน้า 59-60) |
|
Social Organization |
ลักษณะครอบครัวของชาวภูไทสมัยก่อน (ก่อนปี พ.ศ. 2530) เป็นครอบครัวขยาย มีการดำรงชีพแบบช่วยเหลือเกื้อกูลกัน แต่ปัจจุบัน (หลังปี พ.ศ. 2530) จากครอบครัวขยายก็เริ่มมีครอบครัวเดียวมาก ซึ่งเมื่อแต่งงานแล้ว ลูกหลานบางคนก็จะแยกออก มาตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้ๆ แต่ก็ไม่ได้มีกิจกรรมร่วมกันมากนัก เนื่องจาก สังคมเริ่มเข้าสู่ระบบการค้า การเกษตรเชิงพาณิชย์ เงินตราได้เข้ามามีบทบาทในการดำเนินชีวิต เน้นวัตถุเพื่อตอบสนองความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต ส่งผลให้เกิดครอบครัวเดี่ยวเพิ่มมากขึ้น ความสัมพันธ์ในด้านการช่วยเหลือลดน้อยลง (หน้า 61) มีการจัดองค์กรในรูปแบบต่างๆ เช่น หมู่ 6 มีทั้งหมด 8 กลุ่ม ดังนี้ 1. ออมทรัพย์เพื่อการผลิต 2. กองทุนสหกรณ์ร้านค้า 3. สตรีแม่บ้าน 4. ผู้ใช้น้ำ 5. สวนยางพารา ส.ก.ย. 6. เยาวชนการกีฬาต่อต้านยาเสพติด 7. พลังมวลชนต่อต้านยาเสพติด 8. ทอผ้า และหมู่ 12 มีทั้งหมด 6 กลุ่ม ดังนี้ 1. แม่บ้าน 2. พัฒนาสวนยางพารา 3. กองทุนหมู่บ้าน 4. เลี้ยงสัตว์ 5. เยาวชน 6. ผู้ใช้น้ำประปา (หน้า 58) |
|
Political Organization |
หมู่บ้านนาโด่ ตำบลนาโสก อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร มีผู้นำหมู่บ้านที่มาจากการแต่งตั้งโดยทางภาครัฐ ต่อมาหลังปี 2528 ก็ได้มีการเสนอชื่อของคนในหมู่บ้านและมีการเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้านในปัจจุบัน โดยได้แบ่งการปกครองออกเป็น 2 หมู่บ้าน คือ หมู่ 6 และหมู่ 12(หน้า 55-56) |
|
Belief System |
ด้านความเชื่อ
เชื่อเรื่องต้นแบบ เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ เชื่อเรื่องผี ไม่ว่าจะเป็นผีบ้าน ผีเรือน เชื่อเรื่องโชคลาภ และฤกษ์ยาม ปัจจุบันความเชื่อเรื่องสิ่งเหนือธรรมชาติ ผีบ้าน ผีเรือนยังมีความเชื่อเหมือนเดิม แต่ความเชื่อในเรื่องโชคลาง และฤกษ์ยาม มีการเปลี่ยนแปลง คือ มีความสำคัญน้อยลง
คนภูไทบ้านนาโด่จะนับถือผี และนับถือศาสนาพุทธไปพร้อมๆกัน ผีที่ชาวบ้านนับถือผีในปัจจุบันมีดังนี้
ผีบรรพบุรุษ หรือ ผีปู่ผีย่า และผีบ้านผีเรือน โดยมีความเชื่อว่าพ่อแม่ปู่ย่าตายายที่ล่วงลับไปแล้วจะเป็นผี แล้วคอยปกป้องคุ้มครองลูกหลาน ส่งผลให้ชาวบ้านเมื่อจะทำอะไรต้องมีการบอกให้ผีบรรพบุรุษรู้ก่อน เช่น ลูกจะแต่งงานก็ต้องมีการบอกให้ผีบรรพบุรุษ ผีบ้านผีเรือนได้รู้ก่อน ไม่อย่างนั้นก็ไม่สามารถทำได้ ถ้าลืมบอกก็อาจจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นโดยไม่มีสาเหตุ ต้องทำพิธีเลี้ยงผี เพื่อขอขมาบรรพบุรุษ
ผีตาแหะ หรือ ผีไร่ผีนา ชาวบ้านว่าไร่นาแต่ละผืนนั้นมีผีเฝ้ารักษาอยู่แล้ว หากจะทำอะไรก็ต้องมีการบอกกล่าวให้รู้ก่อน เมื่อชาวบ้านจะทำนา ต้องมีการบอกผีนาก่อนว่าจะทำนาในวันไหน เป็นต้น ซึ่งเชื่อว่าจะส่งผลให้ผลผลิตที่ได้ออกมาสวยงาม แต่ถ้าลืมบอก คนในครอบครัวก็จะมีอาการเจ็บป่วยขึ้น เป็นต้น
ผีปู่ตา หรือ ผีประจำหมู่บ้าน ทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองคนในหมู่บ้านให้อยู่อย่างสงบร่มเย็น ชาวบ้านจะมีการเลี้ยงปู่ตาทุกปี ปีละ 2 ครั้ง คือ เดือนพฤษภาคม กับเดือนพฤศจิกายน โดยเป็นการเลี้ยงรวมกันทั้งหมู่บ้าน
ทั้งนี้ความเชื่อเรื่องต้นแบบ ความเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็น ผีบ้าน ผีเรือน โชคลาง และฤกษ์ยาม คนภูไทก็ได้สะท้อนผ่านประเพณีแต่งงาน เช่น ในการหาพ่อล่าม หรือ คนที่จะไปจูงเขยหรือสะใภ้เข้าบ้านนั้นต้องเป็นคนที่ไม่เคยหย่าร้างมาก่อน และต้องมีครอบครัวที่อบอุ่น เพราะมีความเชื่อว่าจะทำให้ครอบครัวของคู่แต่งงานมีความอบอุ่นไปด้วย อีกทั้งความเชื่อเรื่องผีบ้าน ผีเรือน คือก่อนที่จะมีการจัดงาน จะต้องทำพิธีไหว้บอกผีบ้าน ผีเรือนก่อน เพราะมีความเชื่อว่าถ้าไม่บอกจะส่งผลให้คนในครอบครัวมีอันเป็นไป อาจจะป่วย เจ็บไข้ เป็นต้น ส่วนความเชื่อเรื่องฤกษ์ยาม คือ เมื่อจะมีการจัดงานแต่งงานนั้นต้องหาวันแต่งงานที่ดีเป็นสิริมงคล เพราะมีความเชื่อว่าถ้าแต่งงานในวันที่ดี จะส่งผลให้ชีวิตคู่ยืนยาว เป็นต้น แต่ในปัจจุบันความเชื่อเรื่องโชคลาง และฤกษ์ยามนั้นมีความสำคัญลดน้อยลง คือ ส่วนมากจะเลือกเอาวันที่ทั้ง 2 ฝ่ายสะดวก เพราะในปัจจุบันนั้นการดำเนินชีวิตมีความเร่งรีบมากขึ้น มีเวลาว่างลดน้อยลง จึงทำให้ความเชื่อพวกนี้มีความสำคัญน้อยลง
และนอกจากนี้ยังมีการปฏิบัติตาม “ฮีตยี่คองเจียง” หรือที่เรียกว่า ฮีตสิบสอง คองสิบสี่ ในสมัยก่อนนั้นชุมชนมีการปฏิบัติอย่างเคร่งครัด แต่เมื่อช่วงความเจริญด้านวัตถุเริ่มแผ่ขยายเข้ามา เศรษฐกิจของชุมชนเป็นเศรษฐกิจเชิงพาณิชย์อย่างเต็มรูปแบบ ทำให้ประเพณีวัฒนธรรมตามฮีตสิบสองคองสิบสี่ มีความสำคัญน้อยลง เพราะชาวบ้านไม่ค่อยมีเวลาปฏิบัติ อีกทั้งความเชื่อต่างๆ ลดลงด้วย เพราะเนื่องจากอำนาจของเงินเข้าครอบงำ ส่งผลให้ชาวบ้านเห็นเงินหรือวัตถุต่างๆสำคัญกว่า เมื่อความเจริญด้านวัตถุมีมากขึ้น ส่งผลให้การสื่อสารต่างๆสะดวกสบายรวดเร็วขึ้น ชาวบ้านได้เห็นวัฒนธรรมของพื้นที่อื่นๆมากขึ้น ก่อให้เกิดการเปรียบเทียบทางวัฒนธรรม และมีการเลียนแบบวัฒนธรรมในที่สุด (หน้า 61-62)
ประเพณีการแต่งงานของคนภูไท บ้านนาโด่ ตำบลนาโสก อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร ในอดีตจะเรียกประเพณีการแต่งงานว่า “เอ็ดปาซู” หลังจากการเข้าพิธีการแต่งงานตอนแรกนั้น ฝ่ายชายหรือเจ้าบ่าวจะไปอยู่กับฝ่ายหญิงก่อน เรียกการที่ฝ่ายชายไปอยู่กับฝ่ายหญิงว่า “ไปซูเมีย” จะอาศัยอยู่แค่ช่วงแรกเท่านั้น ประมาณ 1-3 เดือน หรือบางคนก็ 1-2 ปี ถึงกลับมาอยู่บ้านฝ่ายชายได้ โดยก่อนจะกลับมาอยู่บ้านฝ่ายชายได้นั้น พ่อแม่ของฝ่ายชายจะต้องไปสู่ขอหรือไปพูดคุยกับพ่อแม่ฝ่ายหญิง เพื่อให้ลูกชายและลูกสะใภ้กลับมาอยู่บ้านได้ เนื่องจากสมัยก่อนฝ่ายชายไม่มีค่าสินสอดแก่พ่อแม่ฝ่ายหญิง ดังนั้นจึงต้องไปอยู่เพื่อเป็นแรงงานให้กับครอบครัวของฝ่ายหญิง เปรียบเสมือนการให้แรงงานแทนเงินค่าสินสอด ส่วนในปัจจุบันคนรุ่นใหม่เรียกการ “เอ็ดปาซู” ว่า “การแต่งงาน” เพราะใช้ภาษาไทยในการเรียนหนังสือ ส่งผลให้การเรียกชื่อต่างๆ เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง อีกทั้งคนในชุมชนต้องอพยพไปเป็นแรงงานในตัวเมือง ส่งผลให้มีการรับวัฒนธรรมในด้านภาษามาใช้ ปัจจุบันลูกหลาน วัยกลางคน ในหมู่บ้านจะเรียกว่าการแต่งงาน แต่คนเฒ่าคนแก่ส่วนมากยังคงเรียกการเอ็ดปาซูเหมือนเดิม ประเพณีการแต่งงาน หรือ การเอ็ดปาซู ของคนภูไทบ้านนาโด่ ตำบลนาโสก อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร มีขั้นตอนการจัดงาน ดังนี้
1. การไปหาพ่อล่าม (พ่อสื่อ) ฝ่ายชายจะต้องนำดอกไม้กับเทียน อย่างละ 1 คู่ ไปหาพ่อล่าม ซึ่งจะต้องไม่เป็นญาติฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เป็นคนที่มีครอบครัวที่อบอุ่น ไม่เคยมีประวัติการหย่าร้างมาก่อน มาเจรจาสู่ขอให้ (หน้า 64-67)
2. ไปขอสาว (ไปเจรจาสู่ขอ) เมื่อถึงวันนัด ญาติผู้ใหญ่ทางฝ่ายชายและพ่อล่ามประมาณ 5-10 คน ก็จะไปเจรจาสู่ขอฝ่ายหญิงกับญาติผู้ใหญ่ทางฝ่ายหญิงที่บ้านของฝ่ายหญิงเอง โดยผู้ใหญ่ส่วนมากเป็นผู้สูงอายุหรือผู้อาวุโสในหมู่บ้าน พร้อมกับเตรียมสิ่งของ ได้แก่ เหล้า ดอกไม้ เงินไขคำปาก พลูสองแลบ ไปให้กับผู้ใหญ่ของฝ่ายหญิง และทำการเจรจาตกลงเรื่องฤกษ์ยาม ที่อยู่หลังการแต่งงาน การปรับไหม หากมีเหตุต้องเลิกกัน เป็นต้น หลังจากมีการเจรจาสู่ขอเรียบร้อยแล้ว พ่อแม่ฝ่ายหญิงจะนำขันขอไปไหว้ผีบ้านผีเรือน เพื่อบอกกล่าว (หน้า 67-73)
3. การเตรียมงานเพื่อจัดงานแต่งงาน ฝ่ายหญิงจะเตรียมจำพวกผ้า หมอน แพร เสื้อผ้าต่างๆ เป็นต้น เพื่อเป็นเครื่องสมมาสำหรับพ่อแม่ ซึ่งถ้าเป็นสมัยก่อน ฝ่ายหญิงจะทำเครื่องสมมาเอง คือ ทำผ้า หมอน เองทั้งหมด แต่ในปัจจุบันนิยมซื้อเอาทั้งหมด เพราะบางอย่างไม่สามารถทำเองได้แล้ว อีกทั้งยังไม่มีเวลาสำหรับทำสิ่งเหล่านี้เหมือนแต่ก่อน ส่วนพ่อแม่ของเจ้าบ่าวเจ้าสาวจะมีการไปบอกกล่าวญาติตัวเอง เพื่อให้มาช่วยงานหรือแสดงความยินดี โดยในการบอกกล่าว ผู้ที่ไปต้องนั่งพับเพียบและไปบอกกล่าวถึงที่บ้าน ในวันแต่ง เจ้าบ่าวเจ้าสาวต้องมีเพื่อน เรียกว่า “คู่แก้ว” ด้วย พ่อแม่บ่าวสาวจะผูกแขน (หน้า 73-74)
4. การสู่ขวัญพี่สาว ในกรณีที่เจ้าสาวที่จะเข้าพิธีแต่งงานนั้นมีพี่สาว ซึ่งยังไม่แต่งงาน (ทั้งนี้โดยปกติแล้วพี่สาวจะต้องแต่งงานก่อนน้องสาว) ในวันแต่งงานของคู่บ่าวสาวจะจัดการสู่ขวัญพี่สาวก่อนแต่งงาน โดยญาติผู้ใหญ่ทางฝ่ายชายจะนำหัวหมูและเงินจำนวนหนึ่งมาสู่ขวัญให้ (หน้า 75)
5. การไปขอแต่งขอแปลง เป็นขั้นตอนหนึ่งในวันแต่งงานก่อนที่จะมีการสู่ขวัญ คือ เมื่อทางฝ่ายเจ้าบ่าวแห่ไปถึงบ้านเจ้าสาวจะยังไม่สามารถขึ้นบ้านเจ้าสาวได้ ต้องให้ญาติผู้ใหญ่ทางฝ่ายชายและพ่อล่ามขึ้นไปทำพิธีขอแต่งขอแปลงกับญาติฝ่ายหญิงที่บนบ้านของผู้หญิง โดยนำเหล้า ไก่ เทียน และดอกไม้ 4 ชุด มาขอแต่งขอแปลง ขอย้ายตีนนาง ขอปลูกตูบแปลงผาม และขอเฮ้อเฆี้ยนเซอบ่าว่าเซอหัว ใช้คำพูดที่เป็นบทกลอน พร้อมกับเงินค่าสินสอด (หน้า 75-78)
6. การจูงเขย หลังจากทำพิธีของแต่งขอแปลงแล้ว ญาติทางฝ่ายเจ้าสาวจะออกไปรับเจ้าบ่าวที่อยู่อีกที่หนึ่งเข้ามาในบ้าน “การจูงเขย” ทั้งนี้ญาติฝ่ายหญิงที่จะไปจูงเขยได้นั้นจะต้องเป็นผู้หญิงและเป็นพี่หรือน้องของแม่ฝ่ายหญิง และยังต้องเป็นคนที่มีครอบครัวอบอุ่น (หน้า 78-79)
7. การล้างท้าเขย เมื่อจูงเขยมาถึงบันไดบ้าน ก็จะให้เขยยืนบนก้อนหินที่มีใบตองปิดไว้ และทำการล้างเท้าเขย เชื่อถือว่าเป็นการล้างเอาสิ่งไม่ดีออกไป ให้เหลือแต่สิ่งที่ดีไว้ รวมถึงการยืนบนก้อนหินศิลา เชื่อว่าจะทำให้ชีวิตคู่มั่นคงเหมือนกับหินศิลา เป็นต้น (หน้า 79)
8. การสมมาผัว (การขอขมาฝ่ายเจ้าบ่าวก่อนเข้าพิธีแต่งงาน) เมื่อฝ่ายเจ้าบ่าวขึ้นไปนั่งบนบ้านเรียบร้อยแล้ว (นั่งล้อมพาขวัญที่เตรียมไว้) ก็เรียกเจ้าสาวออกมานั่ง ซึ่งเจ้าสาวจะออกมาพร้อมกับถือขันดอกไม้เทียน อย่างละ 5 คู่ เรียกว่า “ขัน 5” และยอดของต้นกล้วย จำนวน 2 ยอด นำมาไหว้เจ้าบ่าว เรียกขั้นตอนนี้ว่า “การสมมาผัว” เมื่อไหว้เสร็จแล้ว เจ้าบ่าวจะหยิบเอาสิ่งของที่เจ้าสาวไหว้มาวางบนขวัญ สาเหตุที่มีการสมมาผัว เพราะว่าผู้ชายเป็นคนหาเลี้ยงครอบครัว (พาเอ็ดพาสร้าง) เป็นผู้สูงศักดิ์กว่า สะท้อนให้เห็นถึงอัตลักษณ์ของคนภูไทในด้านการให้ความเคารพเพศชาย (หน้า 79-80)
9. การสูตรขวัญ หลังจากพิธีการสมมาผัว หมอพราหมณ์ประจำหมู่บ้าน หรือผู้อาวุโสที่มีความรู้ความสามารถในด้านสูตรขวัญ จะทำการสูตรขวัญ ป้อนไข่และผูกแขนอวยพรคู่บ่าวสาว จากนั้นทำการสมมาให้ญาติอาวุโสของฝ่ายหญิง (หน้า 80-81)
10. การสู่ขวัญล่ามของญาติฝ่ายเจ้าสาว ในขณะที่สมมาญาติฝ่ายหญิงนั้น ทางลุงตาจะจัดสู่ขวัญพ่อล่ามขึ้น เพราะเชื่อว่าถ้าไม่จัดสู่ขวัญพ่อล่าม ครอบครัวของพ่อล่ามจะมีคนเจ็บ คนไข้เกิดขึ้น ส่งผลให้ครอบครัวไม่เป็นสุข (หน้า 82)
11. การเลี้ยงเขยและการจัดเลี้ยงเครือญาติ ทางลุงตาก็มีการจัดเลี้ยงเขยทั้งหมด ของครอบครัวฝ่ายหญิง เพราะว่าในวันปกตินั้นเขยจะเป็นคนที่ต้องทำงานทุกอย่าง ดังนั้น จึงต้องมีการเลี้ยงเขยเป็นพิเศษ ใน
วันดี วันโชค และเป็นโอกาสให้ญาติของทั้งสองฝ่ายได้ทำความรู้จักกัน ได้ใกล้ชิดสนิทสนมกัน ส่งผลให้ในอนาคตมีความช่วยเหลือเกื้อกูลกันต่อไปในอนาคต ซึ่งในปัจจุบันนั้นมีความแตกต่างจากสมัยก่อน ไม่ว่าคนภูไทจะแต่งงานกับคนภูไทด้วยกันเอง หรือแต่งงานกับชาติพันธุ์อื่น เมื่ออีกฝ่ายมาบ้านของอีกฝ่ายนั้นจะถือว่าตัวเองเป็นแขกเสมอ และจะรอให้เจ้าบ้านต้อนรับอย่างเดียว (หน้า 82-83)
12. การแห่กลับบ้านเจ้าบ่าว หลังจากการกินเลี้ยง พ่อล่ามก็จะกล่าวเชิญญาติทั้งสองฝ่ายกลับบ้าน ซึ่งเจ้าสาวจะต้องเดินทางกลับไปบ้านของเจ้าบ่าว เพราะถือว่าเจ้าบ่าวได้แต่งเอาฝ่ายเจ้าสาวเรียบร้อยแล้ว เมื่อขบวนแห่เจ้าบ่าวเจ้าสาวมาถึงบ้านของเจ้าบ่าว ญาติทางฝ่ายเจ้าบ่าวก็ต้องปฏิบัติเหมือนกับญาติทางฝ่ายเจ้าสาว คือ มีญาติทางฝ่ายชายมาจูงเอาเจ้าสาวขึ้นบ้าน ทำการล้างเท้าสูตรขวัญ และสมมาญาติฝ่ายชาย จากนั้นจึงส่งตัวบ่าวสาวเข้าหอ (หน้า 83-84)
13. การส่งล่าม หลังจากเสร็จสิ้นพิธีที่บ้านเจ้าบ่าวเรียบร้อยแล้ว พ่อล่ามก็จะกล่าวลากลับบ้าน โดยญาติของทั้งสองฝ่ายพร้อมทั้งเจ้าบ่าวเจ้าสาวก็จะแห่ไปส่งพ่อล่ามถึงบ้าน ญาติของพ่อล่ามก็ต้องนำสำรับอาหารมาต้อนรับคนที่ไปส่ง (หน้า 84-85)
การช่วยปาซู (การช่วยเหลือของญาติที่มาช่วยงาน)ในที่นี้จะไม่กล่าวถึงการช่วยเหลือในด้านการเตรียมงานต่างๆ เพราะได้กล่าวไปแล้ว แต่จะกล่าวถึงการช่วยเมื่อการจัดงานสิ้นสุดแล้ว หรือเมื่อผู้ร่วมงานมาช่วยงานและจะกลับบ้านแล้ว ซึ่งการช่วยเหลือก็จะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่เป็นแขกของพ่อแม่เจ้าสาวหรือเจ้าบ่าว และเพื่อนเจ้าบ่าวเจ้าสาว ในอดีตเป็นการให้สิ่งของช่วยเหลือ |
|
Education and Socialization |
ในหมู่บ้านมีโรงเรียนระดับประถมศึกษา 1แห่ง และมีศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก 1 แห่ง ชาวบ้านในหมู่บ้านนาโด่ช่วงวัยกลางคน (อายุ 45-50) ถึงวัยสูงอายุ (50 ปีขึ้นไป) จะมีการศึกษาระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4ส่วนวัย 20-30ปี จะจบการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาระดับปีที่ 3และมัธยมศึกษาปีที่ 6และมีบางส่วนที่ศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา ปัจจุบันพ่อแม่มีความต้องการให้ลูกหลานของตัวเองได้เรียนหนังสือในระดับที่สูง อย่างน้อยต้องถึงระดับอนุปริญญาเป็นต้นไป นอกจากนี้ในกลุ่มวัยกลางคนในปัจจุบัน เริ่มมีการศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษาในระบบการศึกษานอกโรงเรียนมากขึ้น (หน้า 59) |
|
Health and Medicine |
เดิมเมื่อชาวบ้านเจ็บป่วยจะรักษาด้วยยาสมุนไพร และรักษาด้วยวิธีทางไสยศาสตร์ หมอเป่า หมอผี เป็นต้น เพราะแต่ก่อนยังไม่มีสถานีอนามัย อีกทั้งการเดินทางก็ยากลำบาก ซึ่งในสมัยก่อนความเชื่อเรื่องผีเป็นความเชื่อที่มีความสำคัญอย่างมากต่อชาวบ้าน จึงได้มีการรักษาด้วยวิธีทางไสยศาสตร์ และยาสมุนไพร ในการรักษาทางการแพทย์จึงเป็นทางเลือกสุดท้ายของชาวบ้าน แต่เมื่อสถานีอนามัยเข้ามาในหมู่บ้าน ทำให้ชาวบ้านเข้าถึงบริการสาธารณสุขมากขึ้น ส่งผลให้มีคนที่รักษาด้วยยาสมุนไพร หรือวิธีทางไสยศาสตร์น้อยลง ทำให้การรักษาทางการแพทย์เป็นทางเลือกแรก และการรักษาทางไสยศาสตร์ ยาสมุนไพรเป็นทางเลือกสุดท้าย แต่ก็ยังมีชาวบ้านบางคนที่รักษาด้วยยาสมุนไพรและวิธีการทางการแพทย์ไปพร้อมกัน
(หน้า 59) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ด้านสถาปัตยกรรม ลักษณะบ้านเรือนของคนในชุมชน ก่อนช่วง พ.ศ. 2497 จะเป็นบ้านเรือนที่ทำด้วยไม้ทั้งหมด ชาวบ้านเรียกว่า “บ้านเรือนฝาแฝก” คือ พื้นบ้านและฝาผนังจะทำด้วยไม้ไผ่ หลังคามุงหญ้าหรือแผ่นไม้ ใต้ถุนยกสูง ครัวอยู่ข้างบนบ้าน มีการแยกส่วนกันระหว่างเรือนนอนกับเรือนครัว หลังช่วง พ.ศ. 2497 เป็นต้นมา บ้านเริ่มมีฝาผนังที่ทำจากไม้ใหญ่ และมาถึง พ.ศ. 2520 เป็นต้นมา บ้านเริ่มมีการมุงสังกะสี และมีบ้านชั้นล่าง ซึ่งทำด้วยปูน จนมาถึงปัจจุบัน คือ บ้านส่วนใหญ่มีลักษณะสองชั้น ข้างบนเป็นไม้ข้างล่างเป็นปูน บางหลังก็เป็นบ้านชั้นเดียวทำด้วยปูนซีเมนต์ จากที่หลังคาปูหญ้าก็เปลี่ยนมามุงด้วยสังกะสีและกระเบื้อง พื้นบ้านเป็นแผ่นไม้ และผนังบ้านก็เป็นไม้แผ่นใหญ่(หน้า 60)
ด้านการแต่งกาย ในอดีตการจัดงานแต่งงานนั้น คู่บ่าวสาวจะต้องใส่ชุดประจำของคนภูไทแต่ปัจจุบันจะใส่ชุดตามสมัยนิยมทั่วไป อาทิ ชุดราตรี ชุดไทย เป็นต้น ในอดีตเจ้าสาวเจ้าบ่าวจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าฝ้าย ย้อมด้วยคราม ซึ่งจะเป็นสีดำอมสีน้ำเงิน ต้องเป็นเสื้อแขนยาว ส่วนผู้หญิงจะเป็นผ้าถุงมัดหมี่ ความยาวเลยเข่าลงไป ส่วนผู้ชายเป็นกางเกงผ้าฝ้ายขาวยาวสีดำและมีผ้าสไบหรือที่ภูไท เรียกว่า แพรตาล่อ (มีลักษณะคล้ายกับแพรตาลูกฮ็อดในปัจจุบัน) (แพรเบี่ยงบ้าย) ใส่เพื่อให้รู้ว่าเป็นเจ้าสาวเจ้าบ่าว ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนแต่ทำเองไม่ได้ซื้อ และยังเป็นชุดประจำชาติของคนภูไท แต่เมื่อหลังปี 2510 เป็นต้นมาจะเริ่มใส่ชุดสีขาว จ้างตัดในเมือง คือผู้ชายจะใส่เสื้อขาวกางเกงสีดำ ส่วนผู้หญิงนั้นจะจ้างตัดเอง แต่ก็ยังเป็นแขนยาว กระโปรงยาวอยู่เหมือนเดิม ส่วนสีนั้นจะเป็นโทนอ่อน เช่น สีขาว สีฟ้า สีชมพู เป็นต้น (หน้า 85-86) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ปัจจัยหลักที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธ์ภูไทที่หมู่บ้านบ้านนาโด่ การเปลี่ยนจากการทำเกษตรแบบยังชีพ มาเป็นเกษตรเชิงพาณิชย์ ซึ่งต้องพึ่งพาภายนอก คนในชุมชนช่วยเหลือเกื้อกูลกันน้อยลง เพราะต่างคนต่างมุ่งที่จะสร้างรายได้ให้กับครอบครัวของตนเอง เพื่อความสะดวกสบาย และเพื่อให้สังคมยอมรับ ดังนั้นเมื่อวิถีการดำรงชีวิตเปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้ขนบธรรมเนียม ประเพณี พิธีกรรมต่างๆ ได้มีการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย เห็นได้จากประเพณีการแต่งงานของคนภูไทที่บางขั้นตอน ซึ่งมีในอดีตเริ่มหายไป และมีขั้นตอนใหม่ๆเพิ่มเข้ามาแทน (หน้า 115-116)
ความแตกต่างระหว่างบทบาทของหญิงชาย เพศชายนั้นเป็นเพศที่แข็งแรงกว่า เป็นคนตัดสินใจในเรื่องต่างๆ เป็นคนสร้างครอบครัว และเป็นเพศที่ต้องออกไปทำมาหาเลี้ยงชีพ แต่เพศหญิงนั้นต้องเป็นแม่ศรีเรือน อยู่บ้าน ต้องให้ความเคารพเพศชาย (ชายเป็นใหญ่) แต่ปัจจุบันบทบาททางเพศชายเพศหญิงมีความเท่าเทียมกัน ไม่ว่าหญิงชายก็ออกไปทำงานร่วมกัน แต่ที่ไม่เปลี่ยน คือ เพศหญิงต้องให้ความเคารพเพศชายเสมอ
ด้านการให้ความเคารพนับถือผู้ที่อาวุโส และให้ความสำคัญกับญาติพี่น้อง ปัจจุบันมีการให้ความสำคัญแก่ผู้อาวุโสน้อยลง ครอบครัวกลายเป็นครอบครัวเดี่ยว ไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กันกับญาติพี่น้อง
ด้านความกตัญญู ตอบแทนบุญคุณซึ่งกันและกัน ปัจจุบันยังดำรงอยู่เหมือนเดิม แต่ในการดำรงนั้น จะดำรงอยู่ซ้อนทับกับการแสดงอัตลักษณ์ เพื่อให้สังคมยอมรับ
ด้านความมีสัมพันธไมตรีที่ดี ปัจจุบันยังมีการดำรงอยู่ แต่การดำรงนั้นจะดำรงอยู่ผ่าน การแสดงอัตลักษณ์ เพื่อให้สังคมยอมรับ เช่น จัดการต้อนรับอย่างใหญ่โต จนบางครั้งเกินกำลังที่มีอยู่ หรือการช่วยเหลือคนอื่น เพื่อให้คนอื่นมองว่าตนเองมีฐานะ
ด้านความสามัคคีกัน ปัจจุบันการช่วยเหลือในการเตรียมงาน ทำอาหาร ลดน้อยลง ความสามัคคีของญาติพี่น้อง และคนในชุมชนก็ลดลงด้วย
นอกจากนี้ก็จะเห็นได้ว่าขั้นตอนประเพณีการแต่งงานของคนภูไทในปัจจุบัน มีการสร้างอัตลักษณ์ใหม่ขึ้นมา มีการพิมพ์การ์ดเชิญ เพื่อเชิญแขก จ้างมหรสพ หรือบางงานก็มีประตูเงินประตูทอง เป็นอิทธิพลของสังคมภายนอก เพราะคนในชุมชนมีการปฏิสัมพันธ์กับสังคมภายนอกมากขึ้น เช่น การออกไปทำงานต่างถิ่น การศึกษาที่สูงขึ้น ทำให้เกิดการการแต่งงานกับคนต่างวัฒนธรรม ให้ความสำคัญกับญาติพี่น้องน้อยลง และเน้นความสำคัญ ของฐานะการเงิน อำนาจ วัตถุมากขึ้น ส่งผลให้คนต้องการที่จะแสดงฐานะทางสังคมของตนเอง ผ่านการจัดงานแต่งงานที่หรูหรา เพื่อให้คนอื่นยอมรับ ผู้วิจัยเห็นว่า ในอดีตสังคมผู้ไทดำรงอยู่อย่างเรียบง่าย มีการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน คนภูไทจะนิยามตนเองหรือให้อัตลักษณ์ของตนเองจากภาษา การแต่งกาย และประเพณีวัฒนธรรมต่างๆ เมื่อสังคมพลวัตหรือมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ส่งผลให้คนภูไทมีการปรับเปลี่ยนการดำรงอัต ลักษณ์ของตนเอง ตลอดจนการสร้างอัตลักษณ์ใหม่ขึ้นมา ทำให้อัตลักษณ์เดิมของคนภูไทเลือนหายไปอย่างไม่รู้ตัว (หน้า 115-117) |
|
Map/Illustration |
ตาราง
-
ตารางที่ 3 แสดงกลุ่มองค์กรในหมู่บ้าน หมู่ที่ 6 (หน้า 58)
-
ตารางที่ 4 แสดงกลุ่มองค์กรในหมู่บ้าน หมู่ที่ 12 (หน้า 58)
-
ตารางที่ 5 แสดงค่าสินสอดตามช่วงปี (หน้า 69)
-
ตารางที่ 6 แสดงสิ่งของ / จำนวนเงินที่ช่วย ตามช่วงเวลา (หน้า 87)
-
ตารางที่ 7 แสดงภาระค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่ต้องเสียในประเพณีการแต่งงาน (หน้า 88)
-
ตารางที่ 8 แสดงการเปลี่ยนแปลงประเพณีการแต่งงานของคนภูไท (หน้า 90)
-
ตารางที่ 9 แสดงแนวทางการลดภาระค่าใช้จ่ายในการจัดงานแต่งงาน (หน้า 104)
|
|
|