สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ม้ง,ผ้าลายเขียนเทียน,ลวดลาย,การเปลี่ยนแปลง,เชียงใหม่
Author ทัศนาวลัย คำนวนสิน
Title การศึกษาผ้าลายเขียนเทียน ในเขตหมู่บ้านม้งดอยปุย อ.เมือง จ.เชียงใหม่
Document Type รายงานการวิจัย Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ม้ง, Language and Linguistic Affiliations ม้ง-เมี่ยน
Location of
Documents
ห้องสมุดคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ Total Pages 140 Year 2542
Source เชียงใหม่: ภาควิชาศิลปะไทย คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
Abstract

รายงานชิ้นนี้อธิบายขั้นตอนวิธีการทำผ้าลายเขียนเทียน และพรรณนาเกี่ยวกับการจำแนกลวดลายผ้าลายเขียนเทียนของม้งบ้านม้งดอยปุย อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งได้พรรณนาลงสู่รายละเอียดของลวดลายที่พบ ประเภท รูปแบบ ความหมาย อายุ และขนาดของลวดลาย ลักษณะการใช้งาน เส้นใยผ้าที่ใช้ สีและขนาดของผ้า

Focus

ศึกษากระบวนการผลิต การเขียนลวดลาย เทคนิคขั้นตอนการทำ รูปแบบและความหมายของลวดลาย ตลอดจนพัฒนาการและความแตกต่างของการใช้ลวดลายจากอดีตสู่ปัจจุบัน ของผ้าลายเขียนเทียนของม้งบ้านม้งดอยปุย ต. สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่

Theoretical Issues

ไม่ได้ระบุกรอบทฤษฎีที่ใช้ แต่วิเคราะห์ให้เห็นว่า ลักษณะลวดลายเป็นลวดลายประดิษฐ์ ลวดลายสัตว์ และลวดลายอื่น ๆ ตามธรรมชาติและวิถีชีวิตของม้ง ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงไปตามอิทธิพลที่ได้รับและกาลเวลา สามารถแบ่งได้เป็น 3 ช่วงคือ ลวดลายแบบประเพณีดั้งเดิม ลวดลายแบบช่วงกลาง และลวดลายที่คิดขึ้นใหม่ ทั้งนี้ ลวดลายตามแบบประเพณีดั้งเดิมเป็นลวดลายประดิษฐ์ทั้งหมด ซึ่งลักษณะของลวดลายจะเกิดจากกรอบสี่เหลี่ยมจัตุรัส ส่วนลวดลายแบบช่วงกลางเป็นการผสมกันระหว่างลวดลายแบบประเพณีดั้งเดิมและลวดลายแบบที่คิดขึ้นใหม่ และพบว่าลายหอยทากด้านข้างเกิดขึ้นในช่วงนี้ สำหรับลวดลายแบบที่คิดขึ้นใหม่ พบว่า เป็นรูปสัตว์ ต้นไม้ คน ซึ่งมีลักษณะเหมือนจริง และในรายละเอียดต่าง ๆ ของลวดลายที่มีความแตกต่างกันไป

Ethnic Group in the Focus

กลุ่มม้งที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม โดยแบ่งตามลักษณะของภาษา การเรียกชื่อตัวเอง และการแต่งกาย ได้แก่ม้งขาว ม้งกัวม์บา และม้งน้ำเงิน สำหรับม้งน้ำเงินยังแบ่งย่อยออกเป็นม้งดอก ม้งดำ และม้งลาย ที่ดอยปุย อ.เมือง จ. เชียงใหม่ ม้งที่อาศัยอยู่เป็นกลุ่มของม้งลาย (หน้า 1) คำว่า "ม้ง" ที่ม้งเรียกกันหมายถึง "อิสระชน" (liberal man) ส่วนคำว่า "แม้ว" (Meo Meau Miao) เป็นคำที่ชาวจีนเรียกม้ง ซึ่งในระยะแรกหมายถึงต้นข้าวที่ยังไม่ออกรวง บ้างก็หมายถึง บุตรของดิน แต่ในระยะหลังสมัยราชวงศ์ฮั่น แม้ว หมายถึง "ชนเถื่อนทางใต้หรือคนป่า" และมีความหมายไปในทางดูถูกเหยียดหยามเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ หากจัดตามลักษณะเชื้อชาติแล้ว ม้งจัดอยู่ในกลุ่มจีน-ธิเบต (หน้า 6)

Language and Linguistic Affiliations

ม้งมีภาษาพูดแต่ไม่มีภาษาเขียนเป็นของตนเอง ภาษาที่ใช้อยู่จัดอยู่ในสาขา เมี้ยว - เย้า ของตระกูลจีน - ธิเบต และพบว่ามีคำที่ยืมมาจากภาษาจีน ภาษายูนาน ภาษาลาว ภาษาไทยภาคเหนือ เป็นต้น ภาษาที่เป็นของตนมีไม่มากนัก ม้งทั้ง 3 เผ่าพูดภาษาคล้าย ๆ กัน

Study Period (Data Collection)

1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2542 ถึง 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2543

History of the Group and Community

ประวัติศาสตร์ของจีนบันทึกว่า ม้งอาศัยอยู่ในประเทศจีนก่อนชาวจีน กระจัดกระจายเป็นกลุ่มเล็ก ๆ อยู่ทั่วไปแถบลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียง หลังจากมีการต่อสู้กันอย่างรุนแรงระหว่างม้งและชาวจีนที่ต้องการขยายอาณาเขต ม้งพ่ายแพ้จีน อพยพไปอยู่ทางทิศตะวันตกแถบภูเขาสูงมณฑลกีซู (Qui - zhou) และมณฑลต่าง ๆ ที่ติดต่อกัน ได้แก่ มณฑลฮูนาน (Hu-nan) กวางสี (Guang-xi) ยูนนาน (Yun-nan) และเสฉวน (Si-chuan) ต่อมาม้งและชาวจีนมีการต่อสู้กันอย่างรุนแรงอีก ม้งต้องถอยร่นลงมาตามแถบภูเขาในประเทศเวียดนาม ลาว และไทยในที่สุด ม้งอพยพเข้ามาในประเทศไทยช่วงปี ค.ศ. 1840 - 1870 โดยเข้ามาเป็น สามกลุ่ม คือ 1) เข้ามาจุดแรกเป็นจำนวนมาก อยู่ในเขตเมืองคาย ห้วยทราย - เชียงราย 2) เข้ามาแนวสายบุรี - ปัว 3) เข้ามาน้อยที่สุด แนวภูเขาคาย - เลย ใกล้กับเวียงจันทร์ ม้งมักตั้งถิ่นฐานอยู่ตามภูเขาสูง ทำให้ม้งกระจัดกระจายอยู่ในแถบภาคเหนือของไทย เช่น จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ลำปาง ตาก อุตดิตถ์ เลย สุโขทัย กำแพงเพชร และนครสวรรค์ เป็นต้น ซึ่งเป็นพื้นที่ทางใต้ที่ม้งอาศัยอยู่มากที่สุดในทวีปเอเซีย (หน้า 7 -11) บ้านม้งดอยปุย ตั้งขึ้นประมาณปี พ.ศ. 2496 มีการอยพยโยกย้ายถิ่นไปมาระหว่างดอยปางป่าคา อำเภอแม่ริม ดอยปุย และดอยช่างเคี่ยน อำเภอหางดงและอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เนื่องมาจากการปราบปรามชาวจีนฮ่อค้าฝิ่นเถื่อนในยุทธการปางป่าคา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนารถได้เสด็จภูพิงค์ราชนิเวศน์ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2510 เป็นต้นมา พระองค์ทรงมีพระราชดำริจัดตั้งโครงการหลวงพัฒนาชาวเขาขึ้น เมื่อปี พ.ศ.2512 และปี พ.ศ. 2524 รัฐบาลได้ออกพระราชกฤษฎีกาประกาศให้พื้นที่ดอยสุเทพ - ปุยเป็นเขตอุทยานแห่งชาติ ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ม้งบ้านดอยปุย - ช่างเคี่ยน ซึ่งอาศัยอยู่และทำมาหากิน มามากกว่า 40 ปี (หน้า 29)

Settlement Pattern

ภาพรวม หมู่บ้านม้งหนึ่งหมู่บ้าน ประกอบด้วยกลุ่มเรือนหลายกลุ่มรวมกัน แต่ละกลุ่มหมายถึงแต่ละครอบคัว ซึ่งจะมีประมาณ 7 - 8 หลัง โดยมีเรือนใหญ่อยู่ตรงกลาง ล้อมรอบด้วยบ้านของลูกหลาน หมู่บ้านม้งมักตั้งเป็นรูปเกือกม้า บ้านทุกหลังจะหันหน้าออกจากภูเขาและจะไม่สร้างบ้านซ้อนกัน เพราะเกรงว่าจะขวางทางผีบ้านผีเรือน บ้านของม้ง จะเป็นบ้านชั้นเดียว ลักษณะเป็นโรงคลุมพื้นดิน จะมีส่วนที่เป็นที่นอนเท่านั้นที่ยกเหนือพื้นดิน นิยมใช้วัสดุที่หาได้ในท้องถิ่นสร้างบ้าน เช่น ไม้ไผ่ หญ้าคา หรืออื่น ๆ ที่พอหาได้ ภายในบ้านเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ แบ่งมุมหนึ่งไว้ยกแคร่นอนสำหรับแขก ส่วนมุมอื่นใช้ฝากั้นเป็นห้องนอน มีห้องใต้หลังคาสำหรับเก็บพืชผลต่าง ๆ และเครื่องมือเครื่องใช้ จะมีบันไดพาดไว้ ของที่เก็บจะแห้ง ไม่มีแมลงสาบและหนูรบกวน เนื่องจากความร้อนจากแดดและเตาไฟด้านล่าง ถ้าเป็นบ้านม้งเขียว จะมีประตูเข้าออกทางหน้าบ้านเพียงประตูเดียว หากเป็นบ้านม้งขาวจะมีสองประตู คือ ประตูหน้าบ้านใช้ในพิธีเท่านั้น และประตูข้างซึ่งใช้เข้าออกบ้าน ในบ้านม้งจะมีหิ้งบูชาบรรพบุรุษ ซึ่งเป็นกระดาษสี่เหลี่ยมติดอยู่บนฝาบ้านตรงกันข้ามกับประตูทางเข้า เตาไฟในบ้านแบ่งออกเป็นสองเตา เตาไฟใหญ่จะตั้งอยู่กลางบ้านใช้หุงหาอาหาร ตั้งน้ำชาล้อมวงสนทนายามค่ำคืน อีกเตาหนึ่งอยู่ทางหลังบ้าน ใช้หุงข้าวเลี้ยงสัตว์และช่วยเสริมเวลามีงานเลี้ยงใหญ่ ครกกระเดื่องตำข้าวเป็นเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันที่ขาดไม่ได้ตั้งอยู่ภายในบ้านด้วยเช่นกัน (หน้า 12-13, แผนผังและรูปหน้า 14)

Demography

ม้งเป็นชนกลุ่มน้อยในประเทศไทยมีประชากรมากเป็นอันดับสองรองจากประชากรกะเหรี่ยง (หน้า 1) จากการสำรวจในปี พ.ศ. 2532 มีประชากรม้งอาศัยอยู่ในประเทศไทยประมาณ 82,356 คน (หน้า 11) ชาวบ้านดอยปุยมีประชากร 1,220 คน 82 หลังคาเรือน (หน้า 29)

Economy

ม้งโดยภาพรวม อาชีพหลักคือการทำเกษตรกรรม พืชที่ปลูก เช่น ข้าวจ้าว ข้าวเหนียว ข้าวโพด มัน พริก ฟักทอง ถั่ว น้ำเต้า ผักกาดขาว ปอ คาม ยาสูบ ฝิ่น ฝ้าย เป็นต้น การทำไร่ของม้งจะใช้วิธีถางป่าในฤดูแล้ง ทิ้งไว้ให้แห้งแล้วเผา เมื่อถึงฤดูฝนจึงเริ่มเพาะปลูก โดยจะใช้พื้นที่นั้นอยู่ประมาณ 3-5 ปี จนกระทั่งดินเสื่อมคุณภาพ จึงอพยพหาที่ทำกินแห่งใหม่หรือที่เรียกว่า ทำไร่เลื่อนลอย นอกจากนี้ ยังเลี้ยงสัตว์โดยแยกเป็นสามประเภท คือ 1) ใช้สำหรับเป็นอาหาร เช่น หมู ไก่ วัว เป็นต้น 2) ไว้ใช้งาน เช่น ม้า เป็นต้น 3) สำหรับเป็นสินค้า เช่น วัว ควาย แพะ เป็นต้น โดยสมาชิกทุกคนในครอบครัวจะต้องช่วยกันทำงานทำไร่เลี้ยงสัตว์ (หน้า 11) ม้งดอยปุย ส่วนใหญ่มีอาชีพค้าขาย รายได้จากการทำเกษตรกรรมเป็นรายได้รอง ไม่มีการกระจายรายได้ให้แก่คนทั้งหมู่บ้าน ชาวบ้านบางส่วนขายสิทธิหรือให้เช่าสิทธิร้านค้าให้แก่คนพื้นราบ ร้านค้าบางส่วนจึงไม่ใช่ของคนม้ง แต่เป็นของคนพื้นราบด้วย (หน้า 29)

Social Organization

การสืบสกุลของม้งจะถือการสืบตระกูลของฝ่ายชายเป็นหลัก เมื่อแต่งงานแล้วฝ่ายหญิงจะมาอยู่ในครัวเรือนของฝ่ายชาย ผู้ชายที่มีอาวุโสสูงสุดในครอบครัวจะถือว่าเป็นหัวหน้าครอบครัว หากหัวหน้าครอบครัวเสียชีวิต ลูกชายที่แต่งงานแล้วจะแยกครอบครัวออกไปตั้งครอบครัวของตนเอง ในบ้านจะเหลือแต่ลูกชายที่ไม่ได้แต่งงานเท่านั้น แต่ถ้าลูกชายทุกคนแต่งงานหมด ลูกชายคนเล็กจะต้องอยู่บ้านหลังเดิมของตน ดังนั้นในขณะที่หัวหน้าครอบครัวยังมีชีวิตอยู่ สมาชิกในครอบครัวก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เป็นครอบครัวแบบขยาย ม้งยังมีการนับญาติร่วมกับแซ่ตระกูลเดียวกัน (หน้า 16) การแต่งงาน ม้งมีข้อห้ามแต่งงานกับคนแซ่เดียวกัน แต่จะนิยมแต่งงานกันระหว่างญาติลูกพี่ลูกน้องซึ่งมีแซ่ต่างกัน ม้งนิยมแต่งงานอายุประมาณ 15-18 ปี เมื่อแต่งงานแล้วฝ่ายหญิงจะย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านของฝ่ายชาย พิธีแต่งงานมักทำในตอนเช้าที่บ้านของฝ่ายหญิง โดยฝ่ายชายจะเป็นผู้จัดหาหมูและไก่มาให้ฝ่ายหญิงฆ่าเลี้ยงแขก ส่วนฝ่ายชายจะจัดหาเฒ่าแก่เพื่อไปสู่ขอเจ้าสาว จากนั้นเฒ่าแก่พร้อมด้วยเจ้าบ่าวและเพื่อนเจ้าบ่าวจะต้องเตรียมเงินค่าสินสอด ข้าวและไก่ สำหรับนำไปเซ่นผีป่าและผีห้วยที่อยู่ระหว่างทางไปบ้านเจ้าสาว เมื่อเดินทางไปถึงก็จะทำพิธีต่าง ๆ โดยให้ฝ่ายเจ้าบ่าวกราบไหว้ญาติฝ่ายเจ้าสาว ซึ่งประกอบด้วย ปู่ ย่า บิดามารดา ลุงอาและน้องตามลำดับ และให้กราบไหว้ผีบ้านของเจ้าสาวด้วย เสร็จแล้วจึงไหว้เฒ่าแก่ของเจ้าบ่าวและเจ้าสาว หลังจากนั้นก็เลี้ยงฉลองตามธรรมเนียม (หน้า 18) ข้อห้าม ปัจจุบันยังคงเหลือข้อห้ามที่ถูกปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัยและสภาพสังคมในปัจจุบัน เช่น 1) ห้ามให้ชายอื่นแต่งชุดของสามีตน โดยทีสามีไม่อนุญาต จะถือว่าเป็นการนอกใจ 2) ห้ามเป่าเพลงแคนที่ใช้ในพิธีศพในบริเวณบ้าน และห้ามตีกลองใหญ่ในหมู่บ้านม้งด้วย เพราะการตีกลองจะใช้ในงานศพเท่านั้น 3) ห้ามหนุ่มสาวเกี้ยวพาราสีกันในที่สาธารณะโดยเฉพาะต่อหน้าผู้ใหญ่ นอกจากในงานปีใหม่ 4) ห้ามหญิงที่ยังไม่แต่งงานคลอดลูกในบ้านพ่อแม่ เพราะจะเป็นการผิดผี 5) ห้ามหญิงคลอดลูกใหม่ ๆ คือในช่วง 30 วันเข้าไปในบ้านผู้อื่น เพราะเชื่อว่าลูกของหญิงคนนั้นจะไปเหยียบบันไดเงินบันไดทองบ้านนั้นหก จะทำให้ทำมาหากินค้าขายไม่ขึ้น 6) ห้ามแขกผู้มาเยือนนอนขนานกับหิ้งผี เพราะบริเวณนั้นเป็นบริเวณที่ใช้ประกอบพิธีกรรม 7) ในกรณีที่มีเด็กเกิดใหม่ และมารดาอยู่ในช่วง 30 วันหลังคลอด ห้ามผู้ที่ไม่ใช่คนในครอบครัวเข้าประตูบ้าน เพราะเชื่อว่าจะทำให้น้ำนมแม่เด็กแห้ง เป็นต้น (หน้า 21)

Political Organization

หมู่บ้านม้งปกครองโดยคณะกรรมการหมู่บ้าน ซึ่งเลือกมาจากผู้อาวุโสของตระกูลต่าง ๆ ในหมู่บ้าน เป็นผู้มีลักษณะที่น่าเชื่อถือ ซื่อสัตย์ให้ความร่วมมือกับหมู่คณะ และจะต้องมีความรู้ในเรื่องผี เรื่องประเพณีของม้งเป็นอย่างดี

Belief System

ม้งเชื่อว่าสิ่งต่างๆ ในโลกมีวิญญาณสถิตอยู่ วิญญาณที่ม้งนับถือมีทั้งที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเกี่ยวข้องกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เช่น ท้องฟ้า ภูเขา แม่น้ำลำธาร เป็นต้น และที่เป็นวิญญาณของบรรพบุรุษ วิญญาณหรือผีเหล่านี้มีอิทธิพลต่อชีวิตของม้ง เป็นที่พึ่งยามเจ็บไข้ หรือป้องกันภัยธรรมชาติ หรือให้ความสมหวัง ผีแบ่งออกได้หลายระดับ คือ เทพเจ้า เป็นผีที่คอยช่วยเหลือผู้คนยามเจ็บป่วย ผีเรือน จะอยู่ประจำประตูหน้าบ้าน เสากลางบ้าน เตาไฟใหญ่ ฯลฯ วิญญาณบรรพบุรุษ ผีป่า และสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติ ในแต่ละปีม้งจะต้องเซ่นสรวงสังเวยสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ปีละครั้ง (หน้า 15) ประเพณีเกี่ยวกับการเกิด ม้งเชื่อว่าการตั้งครรภ์เกิดจากผีพ่อแม่ให้เด็กมาเกิด เมื่อเวลาใกล้คลอดหญิงมีครรภ์จะไม่ไปไหนมาไหนโดยลำพัง การคลอดบุตรของม้งจะเป็นไปโดยธรรมชาติ มีสามีและญาติผู้หญิงในครอบครัวซึ่งอาจจะเป็นแม่ของสามีเป็นผู้ช่วย หลังจากคลอดจะทำความสะอาดทารก ถ้าเป็นเด็กผู้ชายจะนำรกไปฝังไว้ที่เสากลางบ้าน เพราะผู้ชายจะเป็นผู้สืบสกุลและรับผิดชอบครอบครัวต่อจากบิดา ถ้าเป็นหญิงจะฝังรกไว้ใต้แคร่นอนของมารดา เพราะผู้หญิงจะต้องแต่งงานออกเรือนไปอยู่กับสามี เมื่อเด็กเกิดได้สามวันจะทำพิธีตั้งชื่อพร้อมทั้งบอกกล่าวผีเรือนให้รับเด็กไว้ในครอบครัว ม้งเชื่อว่าเด็กที่เกิดยังไม่ครบสามวัน ยังไม่เป็นมนุษย์ หากเด็กตายก่อนจะครบสามวัน จะไม่มีการทำบุญศพตามประเพณี แต่จะถูกนำไปฝังเช่นสัตว์ (หน้า 18-19) ประเพณีเกี่ยวกับการตาย เมื่อมีคนตายญาติพี่น้องจะช่วยกันล้างหน้าทาแป้งและแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่ให้แก่ศพ หลังจากนั้นวางผู้ตายไว้บนแคร่ ซึ่งอยู่บนพื้นขนานกับฝาผนังที่อยู่ตรงข้ามกับประตูหน้าบ้าน และอยู่ใต้หิ้งบูชาบรรพบุรุษ โดยจะหันศีรษะผู้ตายไปทางมุมบ้านซึ่งเป็นที่ตั้งของเตาไฟใหญ่ และมีการสวดเพื่อให้ผู้ตายทราบว่าตนได้ตายไปแล้ว และกำลังจะเดินทางไปหาผีพ่อผีแม่ซึ่งอยู่อีกโลกหนึ่ง งานศพอาจจะมีต่อไปหลายวันไม่มีกำหนดตายตัวแน่นอน อาจจะ 4 วัน หรือบางครั้งก็นานถึง 7 วัน เพื่อที่จะรอให้ญาติพี่น้องที่อยู่ห่างไกลเดินทางมาร่วมงานศพ จะมีการเป่าแคนและตีกลองเมื่อมีญาติหรือคนรู้จักเดินทางมาเคารพศพ เสียงแคนและเสียงกลองเป็นสัญลักษณ์แสดงว่ามีการประกอบพิธีศพในหมู่บ้าน โดยเฉพาะการตีกลองจะมีเฉพาะในงานศพเท่านั้น ในพิธีศพ ลูกชายที่แต่งงานแล้วทุกคนจะต้องฆ่าวัวอย่างน้อยคนละหนึ่งตัว เพื่อใช้ในการทำบุญเลี้ยงแขกที่มาในงาน อีกทั้งยังเชื่อว่าวัวจะนำวิญญาณของผู้ตายไปสวรรค์ และผู้ตายจะได้มีเนื้อสัตว์เป็นอาหาร ม้งนิยมฝังศพในตอนเย็น เพราะเชื่อว่า หากฝังศพในตอนเช้าผู้ตายจะกลับมารบกวนทางบ้าน แต่ถ้าฝังตอนเย็นผู้ตายจะเดินทางไปตามทางของตนเหมือนตะวันตกดิน จะไม่กลับมารบกวนทางบ้านอีก การไว้ทุกข์ ญาติจะไว้ทุกข์ประมาณ 13 วัน ไม่มีการแต่งตัวที่พิเศษ แต่ห้ามปฏิบัติกิจบางอย่าง ซึ่งจะทำให้ผู้ตายไปเกิดไม่ได้ คือ ห้ามเย็บผ้า เพราะผู้ตายจะถูกเข็มตำ ห้ามต่อด้าย เพราะด้ายจะพันแข้งพันขาผู้ตาย ห้ามซักผ้าและหวีผม เพราะสิ่งสกปรกในผ้าจะเข้าไปในอาหารของผู้ตาย ถ้าสามีหรือภรรยาตาย ห้ามแต่งงานใหม่ทันที จนกว่าจะพ้น 13 วันไปแล้ว เพราะจะทำให้ผู้ตายมีความกังวลถึงสามีหรือภรรยาของตน (หน้า 19-20) งานปีใหม่ เป็นเทศกาลเฉลิมฉลองที่สำคัญของม้ง เรียกว่า "กินสามสิบ" (น่อ เป๊ ไจ่วห์) งานจะเริ่มขึ้นประมาณเดือนธันวาคม คือเมื่อเดือนดับในวันใดของเดือนธันวาคมจะถือเป็นวันสิ้นปีเก่า ซึ่งจะเป็นช่วงเวลาหลังจากฤดูเก็บเกี่ยว ม้งเชื่อว่าการร่วมฉลองปีใหม่จะทำให้มีชีวิตที่ดีมีความสุข ม้งจะหยุดทำงานต่าง ๆ เพื่อฉลองปีใหม่ โดยจะมีการฆ่าสัตว์เพื่อเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษและผีเรือน มีการเดินทางไปพบปะญาติ หนุ่มสาวมีโอกาสพบปะพูดคุยกัน ม้งจะแต่งชุดประจำเผ่าที่ตัดเย็บใหม่ในงานฉลองปีใหม่ ซึ่งจะดำเนินติดต่อกันเป็นระยะเวลานานถึงหนึ่งสัปดาห์หรือมากกว่านั้น (หน้า 18)

Education and Socialization

การที่ไม่มีตัวหนังสือ ทำให้ความรู้ต่าง ๆ ของม้ง ถ่ายทอดต่อ ๆ มาโดยการบอกเล่า เมื่อแยกกระจัดกระจายไปในที่ต่าง ๆ ทำให้ความจำที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมและประเพณีต่าง ๆ ค่อย ๆ ผิดเพี้ยนไปด้วย (หน้า 17) ส่วนในด้านการศึกษาเกี่ยวกับเครื่องแต่งกายม้ง จะเริ่มฝึกหัดตั้งแต่เด็ก มีการเรียนรู้ที่จะดำรงชีวิต ถ้าเป็นเด็กชายจะเรียนในการเพาะปลูก การก่อสร้าง การล่าสัตว์ จากพ่อ ลุง พี่ชาย ส่วนเด็กผู้หญิงจะเรียนรู้การปลูกเส้นใยต่าง ๆ การถักทอ เย็บปักถักร้อย การย้อมผ้าจากแม่ ยาย และญาติที่เป็นหญิง โดยเฉพาะผ้าลายเขียนเทียนจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เด็กหญิงม้งได้ฝึกทักษะ เพราะมีเทคนิคที่ยากต่อการทำ (หน้า 25)

Health and Medicine

ไม่มีข้อมูล

Art and Crafts (including Clothing Costume)

การแต่งกาย เสื้อผ้าของทั้งชายและหญิงมีสีดำเป็นพื้น - ผู้ชายสวมเสื้อสีดำแขนยาวผ่าอก เสื้อตัวสั้นลอยอยู่เหนือเอว ที่สาบเสื้อด้านซ้ายจะปักตกแต่งด้วยลวดลายต่าง ๆ ตามสาขาในเผ่า สวมกางเกงสีดำมีเป้ากว้างและยาว มีผ้าคาดเอวผืนใหญ่สีแดง เวลาคาดจะปล่อยชายผ้าสองข้างลงมาปกด้านหน้า และสวมหมวกสีดำมีพู่สีแดงบนยอดหมวก - ส่วนผู้หญิง สวมเสื้อสีดำแขนยาวถึงข้อมือ ตัวยาวถึงเอว เสื้อผ่าหน้า มีลวดลายปักที่ขอบแขนและด้านหน้าบริเวณหน้าอก ข้างหลังมีปกเป็นผ้าสี่เหลี่ยม ปักด้วยลวดลายต่าง ๆ นุ่งกระโปรงอัดกลีบรอบตัวยาวแค่เข่า ใช้ผ้าสามชิ้นต่อกันตามขวาง มีชิ้นกลางเป็นชิ้นหลักกว้าง 25-30 เซนติเมตร เขียนลวดลายด้วยลายเขียนเทียนอันเป็นเอกลักษณ์ของม้ง ซึ่งเผ่าอื่น ๆ ไม่มี ผ้าชิ้นบนต่อจากเอวถึงสะโพกกว้างประมาณ 15 เซนติเมตร เป็นผ้าสีล้วน เย็บต่อกับผ้าลายเขียนเทียนชิ้นกลาง แล้วต่อด้วยชิ้นชายกระโปรงซึ่งปักด้วยไหมหลากสีเป็นลวดลายครอสติสสลับกับลายปักผ้าสีแดงและสีสดอื่น ๆ ผ้าที่ใช้ทำกระโปรงยาวมากกว่า 6 เมตร จับเกล็ดถี่ด้วยการด้นด้ายไปตามยาวของผ้าลายเส้นเป็นระยะจากเอวถึงชายกระโปรง แล้วรูดเข้าเป็นจีบ ส่วนเอวใช้เข็มตรึงกลัดไว้ แล้วเก็บไว้ในลักษณะนี้จนกว่าจะใช้ จึงดึงด้ายจากสะโพกถึงชายออก ปล่อยเป็นกลีบบานรอบตัว ประดับตกแต่งเสื้อผ้าด้วยเหรียญเงิน ใส่กำไลข้อมือ ห่วงประดับคอ ตุ้มหู ทำด้วยเงิน (หน้า 17) ผ้าลายเขียนเทียน : ขั้นตอนวิธีการทำผ้าลายเขียนเทียน (หน้า 29 - 36) : วัสดุอุปกรณ์ 1) ผ้าฝ้ายไม่ย้อมสี 2) ขี้ผึ้ง 3) ปากกาเขียนเทียนรูปกรวย (Tjanting) หรือที่ภาษาม้งเรียกว่า "อั่วต้า" 4) ดินสอหรือไหล่เต้า (เป็นอุปกรณ์สมัยก่อนของม้ง แต่ปัจจุบันใช้ดินสอแทน) 5) ขี้เถ้า 6) น้ำ 7) ต้นครามหรือสีสังเคราะห์ การเขียนลวดลาย : 1) ตีตารางเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดตามลวดลายที่ต้องการลงบนผ้าฝ้ายสีขาวในกรณีที่จะเขียนลายประดิษฐ์ หากต้องการเขียนลายรูปสัตว์ไม่ต้องตีตาราง สามารถเขียนลายได้เลย 2) เริ่มเขียนลายจากริมผ้า โดยขีดลายเป็นเส้นประตามลักษณะของลายและลากทแยงไปมุมขวา (ภาพหน้า 33) 3) ตั้งขี้ผึ้งไว้บนเตาให้ขี้ผึ้งอุ่นอยู่ตลอดเวลา ใช้ปากกาเขียนเทียนรูปกรวยตักขี้ผึ้ง เขียนทับตามรอยประที่ลงไว้ 4) เมื่อเขียนเส้นประที่ทแยงมุมไปทางขวาครบหมดแล้ว จึงเริ่มเขียนเส้นที่ทแยงไปทางซ้าย (ภาพที่ 5 หน้า 33) 5) เมื่อเขียนเสร็จทิ้งไว้ให้ขี้ผึ้งแห้ง การย้อม : 1) ใส่น้ำลงในถังขี้เถ้า แล้วกรองเอาแต่น้ำ นำน้ำที่ได้มาแช่ผ้าที่เขียนลายเทียนเรียบร้อยแล้ว แช่ให้เปียกทั่วทั้งผืน (หากไม่นำผ้าไปแช่ในน้ำขี้เถ้า สีจะไม่ติดดี - หน้า 34) 2) ผสมน้ำกับสีย้อม (หน้า 35) 3) นำผ้าที่แช่น้ำขี้เถ้ามาแช่ไว้ในถังสีย้อม การกำหนดความเข้มของสีขึ้นกับปริมาณสีและเวลาที่แช่ย้อม 4) นำผ้าที่ย้อมสีแล้วไปตากให้แห้งในที่ที่อากาศถ่ายเทได้สะดวก 5) เมื่อผ้าแห้งแล้ว นำผ้านั้นไปต้มเพื่อลอกขี้ผึ้งออก แล้วนำผ้าไปตากให้แห้ง (ขี้ผึ้งที่ได้จากการต้มครั้งนี้สามารถนำกลับไปใช้ในครั้งต่อ ๆ ไปได้ - หน้า 36) การจำแนกลวดลายผ้าลายเขียนเทียน : ลวดลายมักบอกถึงประเพณี เรื่องราวที่เกี่ยวกับม้ง ซึ่งลวดลายต่าง ๆ จะมีการตีความหมาย เช่น ลายดอกฟักทอง ตีนแมว หอยทาก (ทางตรง) เหรียญ หอยทาก (ด้านข้าง) เม็ดแตงกวา ดอกแตงกวา เฟริ์น ภูเขา เป็นต้น (ภาพหน้า 26) ผู้เขียนจำแนกข้อมูลจากลวดลายผ้าลายเขียนเทียนของม้งบ้านม้งดอยปุยจำนวน 64 ลายได้ 9 ลักษณะ คือ 1) จำแนกตามประเภทของลวดลาย (หน้า 105,ตารางที่ 2 หน้า 107) 1.1) ลวดลายประดิษฐ์ ลักษณะของลวดลายประดิษฐ์เป็นลักษณะเฉพาะของม้งที่แสดงถึงความมีเอกลักษณ์ของตัวเอง ส่วนใหญ่เป็นลายรูปทรงเลขาคณิต และกรอบของลายจะเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส แม้ว่าลวดลายนั้นจะมีลักษณะเป็นวงโค้งก็ตาม (ภาพหน้า 46,48,105) 1.2) ลวดลายรูปสัตว์ (พบว่ามีมากที่สุด) มีลักษณะลวดลายเหมือนจริง มีสัดส่วนที่ถูกต้องและพบเห็นได้ตามธรรมชาติ เช่น ช้าง ม้า วัว หมี ลิง เต่า แพะ เป็นต้น และอาจตกแต่งด้วยจุดไข่ปลา ลายเส้น ลายหอยทาก (ภาพที่ 80 หน้า 106,หน้า 68-104) 1.3) ลวดลายอื่น ๆ เช่น ลายต้นไม้ หรือลายที่แสดงถึงวิถีชีวิตของม้ง เป็นต้น ลวดลายแบบนี้จะมีลักษณะเหมือนจริง เกิดจากการเรียนแบบธรรมชาติ (ภาพที่ 81 หน้า 106) 2) จำแนกตามลักษณะการใช้งาน (ตารางที่ 1 หน้า 39) 2.1) เป็นผ้าชิ้น เพื่อขายนักท่องเที่ยว ส่วนใหญ่ลักษณะเป็นลายประดิษฐ์แบบประเพณีดั้งเดิม (ภาพหน้า 38,42-43,45,47,49-53,65-67) 2.2) เป็นกระโปรงของม้ง ลักษณะลวดลายที่พบเป็นลายประดิษฐ์และเป็นแบบประเพณีดั้งเดิม โดยรวมพบว่าเป็นลายดอกไม้ตกแต่งด้วยลายจุดไข่ปลาและลายภูเขา (ภาพหน้า 41,44,54) 2.3) อื่น ๆ เช่น เป็นหมวก กระเป๋า ชุดกระโปรงแบบต่าง ๆ ตามสมัยนิยม (ภาพหน้า 55-64) 3) จำแนกตามขนาดของผ้า แยกเป็นลายประดิษฐ์ ลายรูปสัตว์ และลวดลายอื่น ๆ (หน้า 107-109,ตารางที่ 3-5 หน้า 108) 4) จำแนกตามลักษณะเส้นใย เส้นใยที่ใช้ทำผ้าลายเขียนเทียนที่พบเป็นฝ้ายทั้งหมด ไม่พบว่ามีการใช้เส้นใยชนิดอื่นเลย (หน้า 110) 5) จำแนกตามลักษณะสี สีที่ใช้ย้อมผ้าลายเขียนเทียนเป็นสีน้ำเงินทั้งหมด แต่ความเข้มอ่อนจะต่างกัน ขึ้นกับขั้นตอนการย้อม และขี้ผึ้งที่นำมาใช้ ส่วนสีที่ใช้ได้มาจากต้นครามหรือสีสังเคราะห์ (หน้า 110) 6) จำแนกตามขนาดของลวดลาย 6.1) จำแนกตามขนาดของลายประดิษฐ์ พบว่าเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสทั้งหมด แม้ว่าบางลายอาจไม่มีลักษณะของลายเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสก็ตาม แต่ขนาดและลักษณะของลวดลายก็อยู่ภายใต้กรอบสี่เหลี่ยมจัตุรัส (ภาพลายเส้นที่ 1 หน้า 111) ขนาดความกว้างและความยาวมี 2 ช่วง คือ 1-5 เซนติเมตรและ 6-10 เซนติเมตร (ตารางที่ 6 หน้า 111) 6.2) จำแนกตามขนาดของลายรูปสัตว์ ขนาดของลายรูปสัตว์ไม่มีขนาดและลักษณะที่แน่นอน เนื่องจากต้องเขียนลวดลายให้ได้สัดส่วนที่ถูกต้อง จะมีขนาดแตกต่างกันไปตามความเหมาะสม (หน้า 111,ตารางที่ 7 หน้า 112) 6.3) จำแนกตามขนาดลวดลายอื่น ๆ จะมีขนาดลวดลายตามความเหมาะสมขึ้นกับลวดลาย (หน้า 111,ตารางที่ 8 หน้า 112) 7) จำแนกตามลักษณะของลวดลายตามความหมาย (หน้า 112-135) 7.1) จำแนกลักษณะลวดลายประดิษฐ์ตามความหมาย ลักษณะของลวดลายที่พบมีดังนี้ ลายเหรียญแปดเหลี่ยม ลายเหรียญสี่เหลี่ยม ลายเหรียญแบบไม่มีกรอบ ลายหอยทากทางตรง ลายหอยทากทางด้านข้าง ลายดอกแตงกวา ลายจุดไข่ปลา ลายดอกไม้ ลายตีนแมว และลายภูเขา ทั้งนี้ ได้พบลายหอยทากด้านข้างและลายดอกไม้มากที่สุด รองลงมาคือลายจุดไข่ปลา ลายที่พบน้อยที่สุดคือลายตีนแมว (หน้า 112-113,ตารางที่9 หน้า 134,ภาพลายเส้นหน้า 114-121) 7.2) จำแนกลักษณะของลวดลายรูปสัตว์ตามความหมาย พบเป็นรูปนกมากที่สุด รองลงมาคือหมี และการเขียนลายรูปสัตว์พบว่ามีการตกแต่งด้วยลายจุด ลายเส้น ภายในรูปสัตว์ (หน้า 113, ตารางที่10 หน้า 135, ภาพลายเส้นหน้า 122-133) 7.3) จำแนกลักษณะของลวดลายอื่น ๆ ตามความหมาย ลวดลายที่พบเป็นภาพต้นไม้และกิจกรรมในวิถีชีวิต มีการใช้จุดไข่ปลาและลายเส้นตกแต่ง (หน้า 113,) 8) จำแนกตามอายุลวดลาย (หน้า ก,136, ตารางหน้า 136-138) ไม่สามารถจำแนกอายุของผ้าได้ เนื่องจากพบว่าเป็นผ้าใหม่ทั้งหมด แต่สามารถสังเกตได้จากลักษณะของลวดลายที่มีความเก่าใหม่ต่างกัน ซึ่งแบ่งได้เป็น ลายแบบประเพณีดั้งเดิม ลายแบบช่วงกลาง และลายที่คิดขึ้นใหม่ ผู้เขียนพบว่า ลายแบบประเพณีดั้งเดิมนั้นเป็นลายประดิษฐ์ทั้งหมด ลายแบบช่วงกลางก็เช่นกัน แต่ต่างกันที่ลายแบบประเพณีดั้งเดิมลวดลายมีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยม สามแหลี่ยม ไม่พบว่ามีลักษณะลวดลายประดิษฐ์ที่เป็นเส้นโค้งงอ แต่ลายแบบช่วงกลางพบว่ามีลายหอยทากด้านข้าง ลายที่มีลักษณะคล้ายใบไม้ผสมอยู่กับลายเหรียญซึ่งเป็นลักษณะลายแบบประเพณีดั้งเดิม ลวดลายแบบช่วงกลางเป็นการผสมกันระหว่างลวดลายแบบประเพณีดั้งเดิมและลวดลายแบบที่คิดขึ้นใหม่ และพบว่าลายหอยทากด้านข้างเกิดขึ้นในช่วงนี้ ส่วนลายที่คิดขึ้นใหม่นั้นจะเป็นลายรูปสัตว์และลายอื่น ๆ เช่น ต้นไม้ และภาพวิถีชีวิตของม้ง และจากข้อมูลพบว่าเป็นลายที่คิดขึ้นใหม่มากที่สุด รองลงมาเป็นลายประเพณีดั้งเดิม และมีลายที่ผสมระหว่างลายประเพณีดั้งเดิมและลายใหม่ด้วย (ตามเนื้อหาในข้อ 8 ผู้เขียนใช้คำว่า "ลายแบบกลาง" เห็นว่าผู้เขียนน่าจะพิมพ์ตกคำว่า "ช่วง" ไป เนื่องจากในบทคัดย่อ (หน้า ก) ใช้คำว่า "ลายแบบช่วงกลาง" ซึ่งได้ความหมายของการจำแนกตามอายุ ฉะนั้น ในข้อ 8 นี้จึงใช้คำว่า "ลายแบบช่วงกลาง" ตามบทคัดย่อ แทนคำว่า "ลายแบบกลาง" - Text Analyst)

Folklore

ม้งมีเรื่อเล่าเป็นตำนานเพื่ออธิบายถึงความเชื่อหรือเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับชาติพันธุ์ของตน เช่น มีตำนานกล่าวถึงที่มาของม้ง (หน้า 7) การไม่มีตัวหนังสือใช้เพราะถูกม้ากินหนังสือไป (หน้า 17) เป็นต้น

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ม้งถืออิสรภาพเหนือสิ่งอื่นใด ฉะนั้น ม้งจึงมานะอดทนทำมาหาเลี้ยงชีพ เพื่อจะได้ไม่ต้องตกเป็นเบี้ยล่างของใครในทางเศรษฐกิจ และมีกำลังทรัพย์ที่จะซื้ออาวุธยุทธภัณฑ์มารักษาอธิปไตย ไม่ยอมถูกคุกคาม (หน้า 5)

Social Cultural and Identity Change

ม้งบ้านดอยปุยยังคงมีวัฒนธรรมเป็นของตนเอง สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปกว่าแต่ก่อนคือ ได้รับอิทธิพลและวัฒนธรรมของคนพื้นราบมาใช้อยู่มาก เช่น การใช้ภาษา แม้จะยังใช้ภาษาม้งอยู่แต่ก็ได้เรียนภาษาไทยเพิ่มขึ้น เพื่อเป็นประโยชน์ในการค้าขายและการศึกษาเล่าเรียน การทำงานหัตถกรรมต่าง ๆ รูปแบบเริ่มเปลี่ยนแปลงไปตามความต้องการของผู้ซื้อ มุ่งเน้นไปเพื่อการค้าขายมากกว่า เนื่องจากหมู่บ้านม้งดอยปุยเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่ ส่วนการแต่งกายได้รับอิทธิพลจากคนพื้นราบอยู่บ้าง แต่ยังรักษาเอกลักษณ์การแต่งกายของม้งไว้ได้อย่างดี (หน้า 29)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

ภาพ : 1) หญิงม้งในแหล่งอาศัย - หน้า 7, 2) ม้งทำงานในไร่ - หน้า 11, 3) บ้านม้ง - หน้า12, 4) ภายในบ้านม้ง - หน้า 14, 5) หิ้งบรรพบุรุษ - หน้า 15, 6) อิริยาบถในบ้านของครอบครัวม้ง - หน้า 15, 7) การละเล่นในงานปีใหม่ - หน้า17, 8) พิธีศพ - หน้า 19, 9) ชายม้งเป่าแคน - หน้า 20, 10) ชายม้งรำ - หน้า 20, 11) กระโปรงหญิงม้ง - หน้า 23, 12) ผ้าลายเขียนเทียน - หน้า 24, 13) ลวดลายที่มีความหมาย - หน้า 26, 14) ภาพที่ 1 การอุ่นขี้ผึ้งใช้ทำลาย - หน้า 30, 15) ภาพที่ 2 ปากกาเขียนเทียนรูปกรวย - หน้า 31, 16) ภาพที่ 3 ไหล่เต้าอุปกรณ์ใช้ประผ้า - หน้า 31, 17) ภาพที่ 4 อุปกรณ์ที่ใช้เขียนลาย - หน้า 32, 18) การตีตาราง - หน้า 32, 19) การลากเส้นทแยงมุม - หน้า 33, 20) ภาพที่ 5 การเขียนลาย - หน้า 33, 21) ภาพที่ 6 ขี้เถ้าใช้สำหรับกรองน้ำที่จะมาแช่ผ้า - หน้า 34, 22) ภาพที่ 7-8 การทดสอบสีย้อมผ้า - หน้า 35, 23) ภาพที่ 9 ผ้าที่ถูกต้มลอกขี้ผึ้งออกเรียบร้อยแล้ว - หน้า 36, 24) ภาพที่ 10,13,14,16,18,20-24,36-38 ผ้าชิ้นลายเขียนเทียน - หน้า 38,42,43,45,47,49-53,65-67 25) ภาพที่ 11,12,15,25 กระโปรงหญิงม้ง - หน้า 39,41,44,54 26) ภาพที่ 17,19,79 ผ้าลายประดิษฐ์ - หน้า 46,48,105 27) ภาพที่ 26,28-34 กระเป๋า - หน้า 55,57-63 28) ภาพที่ 27,35 กระโปรงชุด - หน้า 56,64 29) ภาพที่ 39-75,80 ลวดลายสัตว์ที่ตกแต่งด้วยลายต่าง ๆ - หน้า 68-104,106 30) ภาพที่ 81 ลวดลายอื่น - หน้า 106 ภาพลายเส้น : 1) กรอบสี่เหลี่ยมจัตุรัส - หน้า 111, 2) ลายกากบาทในกรอบเหรียญแปดเหลี่ยม - หน้า 114, 3) การต่อลายของลายเหรียญแปดเหลี่ยม - หน้า 114, 4) ลายเหรียญสี่เหลียม - หน้า 115, 5) การต่อลายของลายเหรียญสี่เหลี่ยม - หน้า 115, 6) ลายเหรียญแบบไม่กรอบ - หน้า 116, 7) การใช้ลายเหรียญแบบไม่มีกรอบร่วมกับลายอื่น ๆ , 8) ลายหอยทาก (ทางตรง) - หน้า 117, 9) ลายหอยทาก (ทางตรง) - หน้า 117, 10) ลายหอยทาก (ด้านข้าง) - หน้า 117, 11) การต่อลายของลายหอยทาก (ด้านข้าง) - หน้า 118, 12) ลายดอกแตงกวา - หน้า 118, 13) การใช้ลายดอกแตงกวาร่วมกับลายดอกไม้ - หน้า 119, 14) ลายจุดไข่ปลา - หน้า 119, 15) ลายดอกไม้ - หน้า 120, 16) ลายตีนแมว - หน้า 120, 17) ลายภูเขา - หน้า 121, 18) ลายภูเขาตกแต่งด้วยลายไข่ปลา - หน้า 121, 19-40) ลายรูปสัตว์ - หน้า 122-133 แผนที่ : 1) การกระจายหลักแหล่งตั้งถิ่นฐานของเผ่าต่าง ๆ - หน้า 5, 2) แผนที่แสดงการอพยพของม้งจากประเทศจีนเข้าสู่คาบสมุทรอินโดจีน - หน้า6, 3) การเคลื่อนไหวของม้งในศตวรรษที่ 19 และ 20 - หน้า 8, 4) แสดงการอพยพของม้งเข้าสู่ประเทศไทย - หน้า 10, แผนภูมิ : 1) ที่ตั้งหมู่บ้านชาวเขาในระดับต่าง ๆ - หน้า 9, แผนผัง : 1) ตำแหน่งต่าง ๆ ภายในบ้านม้ง - หน้า 14 ตารางที่ : 1) จำนวนลักษณะการใช้งานผ้าลายเขียนเทียน - หน้า 39, 2) การจำแนกตามประเภทของลาย - หน้า 107, 3) การจำแนกขนาดของผ้าตามลวดลายประดิษฐ์ - หน้า 108, 4) การจำแนกขนาดของผ้าตามลวดลายรูปสัตว์ - หน้า 108, 5) การจำแนกขนาดของผ้าตามลวดลายอื่น - หน้า 108, 6) การจำแนกขนาดของลายประดิษฐ์ - หน้า 111, 7) การจำแนกตามขนาดของลายรูปสัตว์ - หน้า 112, 8) การจำแนกตามขนาดของลายอื่น - หน้า 112, 9) การจำแนกลักษณะของลวดลายประดิษฐ์ตามความหมาย - หน้า 134, 10) การจำแนกลักษณะของลวดลายรูปสัตว์ตามความหมาย - หน้า135, 11) การจำแนกอายุของลวดลาย - หน้า 136, 12) การจำแนกลักษณะของลายตามแบบประเพณีดั้งเดิม - หน้า 137, 13) การจำแนกลักษณะของลวดลายตามแบบช่วงกลาง - หน้า 137, 14) การจำแนกลักษณะของลวดลายตามแบบลายที่คิดขึ้นใหม่ - หน้า 138

Text Analyst บุญสม ชีรวณิชย์กุล Date of Report 10 มิ.ย 2548
TAG ม้ง, ผ้าลายเขียนเทียน, ลวดลาย, การเปลี่ยนแปลง, เชียงใหม่, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง