|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
คะยัน กะจ๊าง กะเหรี่ยงคอยาว ปาดอง ,วิถีชีวิต,วัฒนธรรม,ภาษา,พม่า,ไทย |
Author |
สมทรง บุรุษพัฒน์, สรินยา คำเมือง |
Title |
สารานุกรมกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงกะยัน |
Document Type |
หนังสือ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
กะยัน แลเคอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มนุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
31 |
Year |
2542 |
Source |
สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยมหิดล |
Abstract |
เนื้อหาครอบคลุมหลายประเด็น อธิบาย ลักษณะทางชาติพันธุ์, ความเป็นมา, วิถีชีวิตวัฒนธรรม, อาชีพความเป็นอยู่, โครงสร้างทางสังคม, เอกลักษณ์ทางวัฒรธรรมด้านต่าง ๆ ของกะยันทั้งในประเทศพม่าและในประเทศไทย ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน |
|
Focus |
ศึกษาประเพณี พิธีกรรม ภาษา และวัฒนธรรมของกะเหรี่ยงกะยันในประเทศพม่า ควบคู่กับสภาพการณ์ของกะยันในประเทศไทย |
|
Ethnic Group in the Focus |
"กะยัน" เป็นชื่อที่กลุ่มชาติพันธุ์นี้เรียกตัวเอง และต้องการให้แทนชื่อ "ปาดอง" ซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วไป คำว่า "ปาดอง" เป็นภาษาไทยใหญ่ สันนิษฐานว่ามาจากคำว่า "ป้ายทอง" หมายความว่าพันคอด้วยทอง คนไทยใหญ่เรียกกลุ่มชนกะเหรี่ยงโดยรวมว่า "ยาง" ดังนั้น จึงเรียกลุ่มชนนี้เต็ม ๆ ว่า "ยางปาดอง", "แลเคอ" เป็นชื่อที่คะยาหรือกะเหรี่ยงแดงเรียกกลุ่มชนกะยัน ส่วนกะยันเรียกคะยาว่า "เลากัง" มีความหมายว่า "ตอนล่างของลำธาร" เพราะคะยามาจากตอนล่างของลำธาร คำว่า "แลเคอ" คะยาบางคนแปลว่า "ขุนห้วย" นอกจากนี้ ยังมีชื่อ "กะจ้าง" ซึ่งกะยันบอกว่าเป็นชื่อเรียกพวกเขา คนไทยในประเทศไทยเรียกกะยันว่า "กะเหรี่ยงคอยาว" ซึ่งเป็นชื่อที่กะยันไม่ชอบให้เรียก (หน้า 5) ถ้าดูตามลักษณะทางสรีรวิทยา กะยันจัดอยู่ในกลุ่มมองโกลอยด์ใต้ จัดเป็นชนเผ่าหนึ่งในกลุ่มกะเหรี่ยงซึ่งแบ่งออกเป็นสาขาใหญ่และสาขาย่อย ดังนี้ กะยันสาขาใหญ่ ได้แก่ สะกอ, โป, ปาโอ, คะยา ส่วน กะยันสาขาย่อย ได้แก่ ปากู, บเวตะวันตก, ปาดอง/ กะยัน, เกโก, ยินบาว, ส่วน กลุ่มกะยันในประเทศพม่าแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มย่อย ได้แก่ กะยันกะเคา, กะยันกะงัน, และ กะยันละทะ และสุดท้าย กะยันที่อพยพมาอยู่ในจังหวัดแม่ฮ่องสอนเป็นกะยันที่มาจากกลุ่มกะยันต่างๆ ในประเทศพม่า เช่นกะยันที่หมู่บ้านห้วยเสือเฒ่าและบ้านในสอย อ.เมือง มาจากหมู่บ้านจั๊ด (หน้า 7 - 8) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษากะยันจัดอยู่ในตระกูลภาษาจีน - ทิเบต ซึ่งประกอบด้วยตระกูลภาษาย่อยคือ ทิเบต - พม่า ภาษากะยันประกอบด้วยหน่วยเสียงพยัญชนะต้น 22 หน่วยเสียง, หน่วยเสียงควบกล้ำ 3 หน่วยเสียง, เสียงพยัญชนะสะกด 7 หน่วยเสียง, และหน่วยเสียงวรรณยุกต์ 4 หน่วยเสียง (หน้า 8 - 9) |
|
Study Period (Data Collection) |
เป็นไปได้ว่า ระยะเวลาน่าจะอยู่ระหว่างปี พ.ศ. 2532 - 2542 เพราะในหน้าคำนำระบุว่า มีการเก็บข้อมูลครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2532 เก็บข้อมูลครั้งที่สองระหว่างปี พ.ศ.2539 - 2540 และเก็บข้อมูลครั้งสุดท้ายในปี พ.ศ. 2542 เพื่อเสนอร่วมกับข้อมูลที่รวบรวมได้ในระยะเวลาสองช่วงแรกในสารานุกรมฉบับนี้ (หน้า คำนำผู้เขียน) |
|
History of the Group and Community |
ถิ่นฐานเดิมของกะยันอยู่บริเวณมองโกเลียเมื่อประมาณ 3000 ปีมาแล้ว แหล่งข้อมูลบางแห่งระบุว่า กะยันมีถิ่นฐานเดิมอยู่ที่มณฑลยูนนาน ประเทศจีน และอพยพลงมาอยู่ที่รัฐคะยา ประเทศพม่า มากกว่า 3000 ปี ขณะผ่านรัฐฉานถูกเรียกว่า "ปาดอง" ในภาษาไทใหญ่ กะยันเข้ามาในประเทศไทยทางจังหวัดแม่ฮ่องสอนเมื่อปลายปี พ.ศ.2527 ในฐานะ "ผู้หลบหนีภัยการสู้รบ" ด้วยสาเหตุ 4 - 5 ประการ ได้แก่ 1.หนีการกวาดล้างของทหารพม่า, 2.นโยบายการท่องเที่ยวของผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน, 3.กะยันมีการชักชวนกันเข้ามาเอง, 4.เข้ามาหาที่ทำกินใหม่, และ 5.ลี้ภัยการเมือง (หน้า 5 - 6) |
|
Settlement Pattern |
บ้านเรือนของกะยันในประเทศพม่าทำด้วยไม้สักยกพื้นสูง มีบันไดขึ้นไปบนเรือน บันไดจะต้องอยู่ทางพระอาทิตย์ขึ้น มุงหลังคาด้วยแฝกหรือสังกะสี มีลักษณะคล้ายหลังคาบ้านของกะเหลี่ยงสะกอ คือหลังคาบ้านจะมีสันตรงกลางและค่อย ๆ ลาดชันลงมาคลุมตัวบ้านไว้จนเกือบถึงพื้นดิน หลังคานี้มีความทนทาน 20 ปี จึงจะเปลี่ยนครั้งหนึ่ง ครัวจะแบ่งบริเวณแยกออกไปจากตัวเรือนในลักษณะที่เชื่อมต่อกัน ห้องน้ำจะแยกออกจากบ้าน บางหมู่บ้านไม่มีห้องน้ำ แต่จะไปทุ่ง (หน้า 15) ส่วนบ้านของกะยันในชุมชน "ผู้หลบภัยจากการสู้รบ" จะอยู่เรียงกันเป็นแถว ยกพื้นสูงใต้ถุนใช้เป็นที่เก็บฟืนและของ อื่น ๆ ฝาบ้านเป็นไม้ไผ่ขัดแตะ หลังคาบ้านใช้หญ้าคา แฝก หรือใบตองตึง ไม่ได้คลุมลงถึงพื้นเหมือนบ้านในประเทศพม่า หน้าบ้านจะมีแคร่ยกพื้นสูงสำหรับนั่งเล่น ภายในบ้านแบ่งกั้นออกเป็นสองสามห้อง มีหิ้งบูชาพระหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นับถือ ครัวจะแยกออกจากครัวเรือน วางเตาบนพื้นดิน เหนือเตาจะสร้างชั้นวางของที่เป็นเครื่องปรุงอาหาร บนขื่อคานจะตากข้าวโพดไว้ เพื่อจะได้แห้งจากความร้อนของเตาไฟ ห้องน้ำเป็นส้วมซึมที่แยกออกจากตัวบ้าน บางบ้านที่เลี้ยงหมู และเป็ดไก่ ก็จะสร้างเล้าไว้ข้างบ้าน หลังบ้านจะปลูกต้นไม้ นอกบ้านจะตั้งศาลเล็ก ๆ ทำด้วยไม้ ลักษณะคล้ายศาลพระภูมิเพื่อเป็นที่สิงสถิตของดวงวิญญาณที่ช่วยปกป้องคนในบ้าน (หน้า 15 - 16) |
|
Demography |
จำนวนครัวเรือน และประชากรจำแนกออกเป็นประชากรของกะยันในอำเภอเมืองจังหวัดแม่ฮ่องสอน มีดังนี้ (1) หมู่บ้านห้วยบุเกง มี 45 ครอบครัวเป็นกะยัน 3 ครอบครัว รวมหญิงชาย 100 คน หญิงใส่ห่วงคอ 20 คน เด็กใส่ห่วงคือ 2 คน (2) หมู่บ้านห้วยเสือเฒ่า มี 15 ครอบครัวเป็นกะยัน 4 ครอบครัว เจ้าหน้าที่สาธารณสุข 1 ครอบครัว รวมหญิงชาย 56 คน หญิงใส่ห่วงคอ 16 คน เด็กใส่ห่วงคือ 4 คน, (3) หมู่บ้านในสอย มี 38 ครอบครัวเป็นกะยัน 5 ครอบครัว เป็นคะยา 2 ครอบครัว รวมหญิงชาย 165 คน หญิงใส่ห่วงคอ 56 คน เด็กใส่ห่วงคือ 17 คน (หน้า 8) |
|
Economy |
กะยันในพม่ามีอาชีพปลูกข้าวในนาดำแบบขั้นบันได และในไร่ข้าวแบบไร่โดยทั่วไปมีการปลูกพืชผักหมุนเวียน, หาของป่าล่าสัตว์, และเลี้ยงสัตว์ นำผลิตผลที่ได้ลงมาแลกเปลี่ยนกับเกลือในตลาด นอกจากนี้ ยังมีการขายเหล้าที่หมักจากข้าว แต่ในประเทศไทยเป็นเพียง "ผู้หลบหนีภัยการสู้รบ" รัฐจึงไม่อนุญาติให้กะยันมีที่ทำกินเป็นของตนเอง แต่อนุญาตให้ปลูกพืชผลใกล้บ้านและเลี้ยงหมู เป็ด ไก่ ไว้กินเองได้ ไก่ 1 ตัวขายได้ 150 บาท หมูกิโลกรัมละ 45 บาท ผู้หญิงที่ใส่ห่วงทองเหลืองรัฐจะให้เงินเดือนคนละ 1,500 บาท และข้าวสาร เกลือ พริก ผงชูรส น้ำมัน ปลาแห้งจำนวนหนึ่ง โดยมีเงื่อนไขว่า ต้องอยู่บ้านตลอดทั้งวันเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยว แต่สามารถทำงานบ้านไปด้วยได้ นอกจากนี้ ยังมีรายได้บางส่วนจากการขายของที่ระลึกให้นักท่องเที่ยว ด้วย (หน้า 18-19) |
|
Social Organization |
ครอบครัว : กะยันมักแต่งงานเมื่ออายุยังน้อย เมื่อชายและหญิงแต่งงานกัน พ่อแม่ของฝ่ายหญิงจะขอคำมั่นสัญญาจากฝ่ายชายว่าจะดูแลฝ่ายหญิงเป็นอย่างดี หากฝ่ายหญิงทำผิดต้องไม่ทุบตี แต่ต้องมารายงานพ่อแม่ของฝ่ายหญิง และพิจารณาโทษโดยผู้อาวุโส หลังแต่งงานฝ่ายหญิงต้องอยู่บ้านตนเองก่อน 1 สัปดาห์ถึง 6 เดือน ในระยะนี้ ฝ่ายหญิงและฝ่ายชายจะทำความคุ้นเคยกัน เพราะในสมัยก่อนการแต่งงานมักจะทำความเห็นชอบของผู้ใหญ่ จากนั้นฝ่ายหญิงจึงจะย้ายไปอยู่บ้านฝ่ายชาย เมื่อมีลูกคนแรกย่าและยายจะมีบทบาทสำคัญหลายอย่าง ตั้งแต่ทำคลอด ช่วยเลี้ยงดูอบรม ลูกคนต่อไปสามีทำคลอดให้ เมือเด็กโตขึ้น พ่อแม่จะแยกบ้านไปอยู่ต่างหากใกล้ๆ กัน กะยันไม่นิยมแต่งงานกับคนนอกกลุ่มที่ห่างไกลตน แต่อาจแต่งงานกับกลุ่มคนที่อาศัยอยู่ใกล้เคียงกันเช่นกะเหรี่ยงคะยา การหย่าร้างจะเกิดขึ้นเมื่อไม่มีบุตรหรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งประพฤติตัวไม่ดี ผู้ใหญ่บ้านและกลุ่มผู้อาวุโสเป็นผู้ตัดสินความ ถ้าผู้ชายประพฤติตัวไม่ดี เมื่อหย่าร้างต้องใช้ค่าสินไหมแก่บิดามารดาฝ่ายหญิงเป็นทรัพย์สินทั้งหมดที่ได้มาระหว่างการแต่งงาน และยกลูกให้อยู่ในความดูแลให้อยู่ในความดูแลของภรรยา ถ้าผู้หญิงทำตัวไม่ดีเมื่อหย่าร้างต้องให้ของมีมูลค่าเท่ากับที่ฝ่ายหญิงได้รับตอนแต่งงานแก่ฝ่ายชาย รวมทั้งลูกด้วย (หน้า 17) |
|
Political Organization |
ในพม่า หมู่บ้านกะยันเป็นชุมชนที่มีความอิสระมาก หัวหน้าหมู่บ้าน รองหัวหน้าหมู่บ้าน และกลุ่มผู้อาวุโสจะเป็นคณะผู้บริหารหมู่บ้านด้วยความเคร่งครัดยุติธรรม คณะผู้บริหารจะทำหน้าที่ทางด้านพิธีกรรมจัดงานประเพณีของหมู่บ้าน ทำหน้าที่ประสานงานกับเจ้าหน้าที่ปกครองในระดับสูงขึ้นไป ควบคุมลูกบ้านให้อยู่ในกรอบประเพณีที่ดีงาม เป็นผู้นำในการชำระความผู้กระทำผิดโดยฟังจากความเห็นของลูกบ้าน ถ้าเป็นคดีความระหว่างลูกบ้าน เช่น ชู้สาว ลักขโมย บทลงโทษจะใช้วิธีการการปรับไหม ด้วยเงินหรือสัตว์เลี้ยง ตามความรุนแรงของความผิด ในประเทศไทย กะยันก็มีการปกครองระดับหมู่บ้านใกล้เคียงกับในพม่า คือ มีผู้ใหญ่บ้านคอยดูแลอยู่เช่นกัน แต่บทลงโทษอาจแตกต่างกันไป นอกจากผู้ใหญ่บ้านหรือหัวหน้าหมู่บ้านแล้ว เหนือขึ้นไปจะมีประธานของทั้งสามหมู่บ้านซึ่งเป็นสมาชิกหอการค้าจังหวัดเป็นผู้ดูแลอีกทีหนึ่ง หากมีเรื่องทะเลาะวิวาท หรือเดือดร้อน ผู้ใหญ่บ้านหรือหัวหน้าหมู่บ้านจะรายงานให้ประธานทราบ แต่ถ้าเป็นเรื่องภายในครอบครัวอาจไม่ต้องรายงาน กะยันที่อยู่ในความดูแลของหัวหน้าหมู่บ้านและประะานหมุ่บ้านต้องปฏิบัติตามข้อปฏิบัติที่พิมพ์ใส่กระดาษโรเนียวติดไว้ที่หน้าเรือนกะยันเมื่อต้นปี พ.ศ.2540 เช่น ผู้ชายปาดองและคะยอห้ามกินเหล้าตั้งแต่เวลา 22.00 น.เป็นต้นไป ยกเว้นมีการจัดงานประเพณีของเผ่า เป็นต้น (หน้า 18) |
|
Belief System |
กะยันในประเทศไทยส่วนใหญ่นับถือผีที่เรียกว่า "ซื่อกาง บเว จะ" ซึ่งเป็นผีโดยรวม ควบคู่ไปกับการนับถือศาสนาพุทธและคริสต์ ผีที่กะยันเชื่อมี 3 กลุ่ม ได้แก่ ผีป่าลึก, ผีภูเขา, และผีน้ำ เรียกผีว่า "นัต" และเรียกผู้ที่เป็นเจ้าแห่งวิญญาณว่า "กะคว้าง บเว จะ" พิธีกะคว้าง เป็นพิธีที่สำคัญของกะยัน ผู้ประกอบพิธีคือผู้ที่ชาวบ้านเคารพนับถือ นอกจากนี้ กะยันยังมีความเชื่อเรื่อง "เส่อหญ่าเกียว" ซึ่งเป็นความเชื่ออย่างหนึ่งในหมู่กะเหรี่ยง - พม่า คนที่นับถือ "เส่อหญ่าเกียว" จะต้องยึดมั่นในความดี ไม่กินเนื้อวัว สุนัข ควาย ไม่ดื่มเหล้า เชื่อกันว่าอำนาจศักดิ์สิทธิ์จะบันดาลให้เกิดผลดีแก่ชีวิต นอกจากผีแล้ว กะยันยังเชื่อเรื่อง "ขวัญ" ด้วย (หน้า 22) กะยันในประเทศพม่านับถือ "ผีลู" ควบคู่ไปกับการนับถือศาสนาพุทธและคริสต์ ส่วนกะยันในประเทศไทยส่วนใหญ่จะนับถือผี อย่างไรก็ตาม, ในการดำเนินชีวิตให้มีศิริมงคลกะยันจะจัดพิธีกรรมต่าง ๆ ได้แก่ งานกะคว้าง, งานเลี้ยงผีน้ำ, งานเลี้ยงผีภูเขา, งานตะกรุ งานเลี้ยงผีไพร พิธีทำขวัญและเรียกขวัญ งานแต่งงาน และ งานศพ เป็นต้น ในการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ จะต้องใช้กระดูกขาไก่ส่วนบนในการทำนายฤกษ์ยาม และเสี่ยงทาย (หน้า 22 - 27) |
|
Education and Socialization |
หมู่บ้านกะงันในประเทศพม่า มีโรงเรียนรัฐบาลชั้นประถม 20 แห่ง มัธยมต้น 5 แห่ง มัธยมปลาย 1 แห่ง โรงเรียนมิชชันนารี ซึ่งสอนเฉพาะคัมภีร์เช้าและเย็น 4 แห่ง หมู่บ้านละทะ มีโรงเรียนประถม 5 แห่ง โรงเรียนมิชชันนารี 1 แห่ง หมู่บ้านยักขุ มีโรงเรียนประถม 5 แห่ง โรงเรียนมิชชันนารี 1 แห่ง หมู่บ้านจั๊ต มีโรงเรียนประถม 1 แห่ง ส่วนกะยันในเมืองลอยก่อ ในพม่า มีมัธยมปลาย 2 แห่ง มัธยมต้น 1 แห่ง ประถม 4 แห่ง กะยันประมาณ 50 % จบชั้นประถม หญิงที่ใส่ห่วงคอไม่ได้ศึกษาต่อในระดับสูง ถ้าจะเรียนสูงต้องถอดห่วงคอก่อน (อย่างไรก็ตาม ผู้วิจัยไม่ระบุเหตุผลว่า ทำไมในหมู่บ้านกะงันจึงมีโรงเรียนจำนวนมากกว่า 20 แห่ง) ส่วน กะยันในประเทศไทย มีโรงเรียนที่ได้รับการสนับสนุนจาก NGOs และรัฐบาลคะเรนนี ที่ต่อสู้กับพม่า ดังนี้ หมู่บ้านทนาเคว่ มีโรงเรียนมัธยม 4 แห่ง มีนักเรียนประมาณ 1,000 คน หมู่บ้านในสอย มีโรงเรียนประถม 2 แห่ง มัธยมต้น 1 แห่ง มีนักเรียนประมาณ 600 คน ที่แม่สุรินทร์มีโรงเรียนทุกระดับชั้นจนถึงระดับ 10 รวมทั้งหลังระดับ 10 ซึ่งเป็นโรงเรียนฝึกอาชีพ ได้แก่ คอมพิวเตอร์ ภาษาอังกฤษ บัญชี และคณิตศาสตร์ ใช้เวลาเรียน 2 ปี ครูที่สอนเป็นชาวต่างประเทศและกะเหรี่ยงคะยา ที่หมู่บ้านห้วยบุเกง มีโรงเรียนประถม 1 แห่ง หมู่บ้านห้วยเสือเฒ่า กะยันสามารถเข้าโรงเรียนรัฐบาลได้ที่ศูนย์เด็กเล็กและโรงเรียนประถมของสำนักงานประถมศึกษา (หน้า 19 - 20) |
|
Health and Medicine |
กะยัน ในประเทศพม่า มีศูนย์สุขภาพอยู่ห่างจากหมู่บ้านจั๊ต ไป 2 - 3 ไมล์ มีโรงพยาบาลที่อำเภอเดโมโซ หรือเมืองลอยก่อ ส่วน กะยันในประเทศไทย โดยเฉพาะที่หมู่บ้านในสอย มีคลินิกที่สนับสนุนโดย IRC และคณะกรรมการท่องเที่ยว ถ้าป่วยมากก็ต้องไปโรงพยาบาลแม่ฮ่องสอน โรคที่ทำให้เสียชีวิตในชุมชน "ผู้หลบหนีภัยจากการสู้รบ" ได้แก่ โรคมาเลเรีย และการแพร่ระบาดของโรคอหิวาตกโรค โรคอุจจาระร่วง และไข้เลือดออก การคลอดบุตรของกะยันใช้วิธีการแบบดั้งเดิม คือ ทำคลอดเอง ไม่ไปโรงพยาบาล (หน้า 21) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
การแต่งกายของผู้ชายกะยันในประเทศพม่า ในชีวิตประจำวันสวมกางเกงขายาว เสื้อตัวสั้น ที่น่องตอนบนจะใส่กำไรที่ทำด้วยไม้ไผ่ หรือ หวาย สวมกำไรที่ข้อเท้าประดับด้วยลูกปัดสีขาว ผู้ชายกะยันในประเทศไทยในปัจจุบันแต่งตัวไม่ต่างไปจากผู้ชายไทยทั่วไปในจังหวัดแม่ฮ่องสอน แต่ในช่วงเทศกาล เช่น งานกะคว้าง ชายหนุ่มกะยันที่เข้าร่วมการเต้นรอบเสากะคว้างจะใส่กางเกงขาก๊วย เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว โพกสีสะด้วยผ้าสีแดง (หน้า 9) ส่วนผู้หญิงกะยันในพม่า จะสวมเสื้อทรงกระสอบสีขาวซึ่งมีแขนในตัว ความยาวของเสื้อลงมาถึงสะโพก แล้วสวมเสื้อแขนยาวสีดำทับอีกที สวมผ้าถุงสีดำทรงกระสอบ พับทบกันด้านหน้า ยาวถึงหัวเข่า ผู้หญิงกะยันจะรวบผมมวยและปักด้วยปิ่นปักผมที่เป็นเงินหรือไม้ยาว ๆ หรือใช้หวีเงินอันใหญ่สับไว้ แล้วผูกด้วยผ้าสีเป็นปมตรงด้านหน้าศรีษะ สวมตุ้มหูเงิน รอบคอสวมห่วงคอทองเหลืองเรียกว่า "เดี้ยงตือ" ประดับด้วยเหรียญเงินและลูกปัด ใส่กำไลทองเหลืองที่ข้อมือ ที่น่องตอนบนใต้เข่าจะใส่ทองเหลืองแล้วพันผ้าไว้ใต้ห่วงกันเสียดสีกับผิว ตรงบริเวณน่องหรือข้อเท้าจะใส่ห่วงทองเหลืองลงมาตลอด รวมน้ำหนักของห่วงทั้งหมดก็ประมาณ 22 - 36 กิโลกรัม (หน้า 9 - 10) อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงกะยันที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนไม่ได้แต่งตัวเต็มที่อย่างผู้หญิงกะยันในประเทศพม่า จะใส่เพียงเสื้อทรงกระสอบสีขาวคอวีตัวยาวถึงสะโพกและสวมผ้าถุงสีดำทรงกระสอบสั้นแค่เขา ที่น่องใส่ห่วงทองเหลืองแค่เข่า และพันผ้าตั้งแต่ใต้ห่วงทองเหลืองจนถึงข้อเท้า ที่ข้อมือจะใส่กำไรอะลูมิเนียมประมาณ 6 - 7 อัน เด็กใส่แค่ 3 อัน หญิงกะยันทุกคนจะไว้ผมม้า ด้านหลังเกล้าเป็นมวยไว้และโพกผ้าสีต่างๆ เด็กๆ มักตัดผมสั้น ที่คอสวมแค่ห่วงทองเหลืองและผ้าสีใต้คางกันการเสียดสี (หน้า 10) |
|
Folklore |
เรื่องเล่าและตำนานของกะยันมักแฝงอยู่ในความเชื่อและพิธีกรรม เช่น เรื่องเล่าเกี่ยวกับ "กระดูกขาไก่ส่วนบน" ที่ใช้ในการเสี่ยงทายหาฤกษ์เพื่อประกอบพิธีกรรมต่างๆ มีความเป็นมาว่า วันหนึ่งมีเทวดามอบทองที่จารึกตัวอักษรให้พี่น้องสองคน ก็ไม่รับเพราะมีค่าเกินไปกลัวจะหาย วันต่อมาเทวดาได้มอบเงินจารึกตัวอักษรให้ ซึ่งไม่รับอีก เทวดาจึงมอบสัตว์ที่จารึกตัวอักษรให้ พี่น้องทั้งสองจึงรับและดูแลอย่างดี จนกระทั่งวันหนึ่งเข้าไปตัดไม้ในป่า ก็เอาหนังสัตว์นั้นแขวนไว้ที่ต้นไม้ ปรากฏว่ามีสุนัขมากินและอุจจาระไว้ และไก่ก็มากินต่ออีกที ในตัวไก่จึงมีตัวหนังสือ กะยันจึงนับถือไก่และใช้กระดูกไก่เป็นเครื่องเสี่ยงทายตั้งแต่นั้นมา (หน้า 22) นอกจากนี้ กะยันก็ยังมีนิทานที่เล่าถึงความเป็นมาของ "เสากะคว้าง" ด้วย ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับ ยายหนึ่งคนกับหลานชายซึ่งมีแต่หัวไม่มีตัว ที่ได้แต่งงานกับลูกสาวเศรษฐี แต่ต่อมาก็ค้นพบว่า มีชายหนุ่มรูปงามและมีเวทมนต์อยู่ในหัวนั้น ต่อมามีคนอิจฉาก็เลยเอาหัวไปเผาไฟ คนหัวเดียวโกรธมากจึงตีกลองเสียงดังทำให้เกิดพายุ พัดยกบ้านของเขาขึ้นบนสวรรค์ แต่พ่อตาแม่ยายกอดยึดเสาเอกเอาไว้ คนหัวเดียวจึงให้พ่อตาแม่ยายรักษาเสาต้นนั้นไว้และบูชาทุกปีเพื่อความเป็นศิริมงคล กะยันจึงทำพิธีเสากะคว้างมาตั้งแต่นั้น (หน้า 25) กะยันเป็นกลุ่มชนที่รักเสียงเพลงและการเต้นในพิธีกรรมต่าง ๆ เช่น งานกะคว้าง งานศพ งานแต่งงาน และงานรื่นเริงต่างๆ เครื่องดนตรีของกะยัน ได้แก่ ฆ้อง ตะยู่ ซึ่งมีลักษณะคล้ายกีต้าร์ ขลุ่ยไม้ไผ่ ฉาบ ฉิ่ง ปี่ไม้ไผ่ กลองยาวตีด้านเดียว กลองยาวตีสองด้าน กลองสองด้าน กลองเล็กสองด้าน และกลองใหญ่สองด้าน นอกจากนี้กะยันยังชอบร้องเพลงด้วย ตัวอย่างของเพลงที่พวกเขาชอบร้องกัน ได้แก่ เพลงลูกกำพร้า เพลงสนุกเมื่อตอนเป็นสาว และเพลงแห่งความตาย เป็นต้น (หน้า 29 - 31) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
สิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของกะเหรี่ยงกะยัน ได้แก่ ภาษา การแต่งกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสวมห่วงทองเหลืองที่คอของหญิงกะยัน การตั้งถิ่นฐานบ้านเรือน ลักษณะความสัมพันธ์ในครอบครัวที่เคารพผู้อาวุโส การแต่งงาน การดูแลสุขภาพอนามัยด้วยตัวเอง ความเชื่อเรื่องผีต่าง ๆ และการนับถือศาสนาพุทธกับคริสต์ ประเพณีและพิธีกรรมต่าง ๆ เช่น งานกะคว้าง งานเลี้ยงผีน้ำ งานตะกรุ งานเลี้ยงผีภูเขา เป็นต้น การละเล่นและดนตรี และเพลง เป็นต้น (หน้า 8 - 31) ความสัมพันธ์กับคนนอกกลุ่ม : ในประเทศพม่ากะยันจะมีการติดต่อกับไทใหญ่ คะยา พม่า ปาโอ โดยการแลกเปลี่ยนสิ่งของกัน เช่น แลกข้าวกับเสื้อผ้า หรือมาร่วมงานพิธีกัน ภาษาที่ใช้ถ้ามีการศึกษาจะใช้ภาษาพม่าเป็นภาษากลาง เพราะกะยัน 60% พูดภาษาพม่าได้ ถ้าไม่เข้าใจภาษาพม่า ก็จะพยายามเข้าใจภาษาของกันและกัน เช่น กะยันและคะยาสามารถพูดภาษาของกันและกันได้ ส่วนในประเทศไทย กะยันในชุมชน "ผู้หลบหนีภัยจากสู้รบ" กะยันอาศัยรวมอยู่กับชาวกะยอ ซุ่งอพยพมาจาก Hooyah แถวเมืองลอยก่อ และชาวคะยา กะยันจึงมีการติดต่อกับชาวคะยา กะยอ รวมทั้งปาโอด้วย สามารถสื่อสารกันพอเข้าใจด้วยภาษากันและกัน เวลาที่พบปะสังสรรค์กันคืองานพิธีกรรมต่าง ๆ (หน้า 28 - 29) |
|
Social Cultural and Identity Change |
งานวิจัยไม่ได้กล่าวถึงประเด็นนี้โดยตรง แต่จากงานวิจัยทั้งหมด สามารถสรุปได้ดังนี้ ในปัจจุบันมีความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเกี่ยวกับสังคมและวัฒนธรรมกะยัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกะยันในประเทศไทย ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัด ได้แก่ เรื่องของ การปกครอง ภาษา การแต่งกาย อาชีพและความเป็นอยู่ การศึกษา กล่าวคือ จากที่เคยปกครองกันเองโดยมีผู้อาวุโสเป็นผู้นำ เมื่ออพยพมาอยู่ในไทยก็ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมและระบบการปกครองของรัฐไทย ภาษาเมื่อกะยันมีการติดต่อกับคนกลุ่มอื่นมากขึ้นและมีการศึกษาสูงขึ้นก็เริ่มหันมาพูดภาษาไทยมากขึ้น เด็กหญิงที่มีการศึกษาและอยากทันสมัยก็เริ่มมีความคิดที่จะถอดห่วงคอทองเหลืองออก อาชีพที่พวกเขาทำอยู่ในปัจจุบันไม่ใช่การทำไร่ทำนาเป็นหลัก แต่กลายเป็นผู้ที่คอยต้อนรับนักท่องเที่ยวเป็นหลัก โดยมีค่าตอบแทนจากรัฐเป็นรายได้หลัก และปัจจุบันกะยันก็เริ่มมีการศึกษามากขึ้น |
|
Map/Illustration |
แผนที่ : บริเวณที่กะยันตั้งบ้านเรือนอยู่ในรัฐคะยาประเทศพม่าและแผนที่ประเทศไทย แสดงบริเวณที่กะยันอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในจังหวัดแม่ฮ่องสอน (หน้า 6) รูปภาพ : การแต่งกายของผู้ชายกะยัน (หน้า 9), เด็กและหญิงกะยัน(หน้า 10 - 11), การใส่ห่วงคอทองเหลืองให้แก่เด็กหญิงกะยัน (หน้า 12), การตั้งถิ่นฐานและสภาพที่อยู่อาศัย (หน้า 15), วัด, ศาลพระภูมิ, แคร่หน้าบ้าน, และโบสถ์คริสต์ (หน้า 16), เด็กหญิงมะนัง, โรงเรียนประถมและห้องเรียน, หมู่บ้านในสอย (หน้า 17), อาชีพและความเป็นอยู่(หน้า 18 - 19), ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่หมู่บ้านห้วยเสือเฒ่า(หน้า 20), รังแตนป้องกันผีและแม่ลูกอ่อนกะยัน (หน้า 21), กะคว้าง บเว จะ และกระดูกขาไก่ (หน้า 22), ประเพณีและพิธีกรรมต่างๆ (หน้า 23 - 27), อาหารกะยัน(หน้า 28), เครื่องดนตรี (หน้า 29) |
|
|