|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลัวะ,ประวัติ,วัฒนธรรม,ภาษา,น่าน |
Author |
ชลธิรา สัตยาวัฒนา |
Title |
ลัวะเมืองน่าน |
Document Type |
หนังสือ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ลัวะ (มัล ปรัย) ลัวะมัล ไปร ลัวะปรัย,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
224 |
Year |
2530 |
Source |
สำนักพิมพ์เมืองโบราณ พิมพ์ที่บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งจำกัด กรุงเทพฯ |
Abstract |
มีเนื้อหาครอบคลุมหลายประเด็นคือ อธิบายความเป็นมาของลัวะ พรรณนาเกี่ยวกับวิถีชีวิตของลัวะในพื้นที่ดอยของจังหวัดน่าน ในอำเภอปัวและทุ่งช้าง และความสัมพันธ์ของลัวะที่มีถึงขมุ ม้ง ผู้ยวน มลาบรี และคนไทยในพื้นราบ มีจุดเน้นในเรื่องการอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างแบบวิถีการผลิตและภาษาของลัวะ |
|
Focus |
แบบวิถีการผลิตกับโครงสร้างสังคมของลัวะเมืองน่าน (หน้า 24-25) |
|
Theoretical Issues |
ผู้เขียนไม่ได้ระบุชัดเจนว่าประเด็นสำคัญที่ต้องการหาคำตอบคืออะไร หรือใช้แนวทฤษฎีอะไรเป็นกรอบหรือหลักในการจัดระเบียบข้อมูล แต่ถ้าดูจากมโนทัศน์สำคัญที่ใช้ใน 2-3 บทที่เกี่ยวข้องกันแล้ว น่าจะสันนิษฐานได้ว่า มี 2 แนวทฤษฎีด้วยกัน คือ แนวมาร์กซิสต์และแนววัฒนธรรมนิเวศในแง่ที่ว่า อาจจะเป็นแนวมาร์กซิสต์ก็เพราะว่าผู้เขียนพยายามแสดงให้เห็นว่าเครื่องมือการผลิตเป็นมาตรวัดสำคัญของพลังการผลิตของแต่ละสังคมและมีส่วนกำหนดการจัดระเบียบสังคมของสังคมนั้นๆ อย่างเช่น ในกรณีของลัวะเมืองน่านมีวิถีการผลิตแบบ "เฮ็ดไฮ่" (ทำไร่) หมุนเวียน ซึ่งเครื่องมือการผลิตยังมีไม่เพียงพอ โดยเฉพาะครอบครัวที่ยากจนต้องไปขอจากครอบครัวใหญ่ที่มีฐานะดีกว่า อย่างเช่น "เจ้าก๊ก" ซึ่งสามารถเข้าถึงทรัพยากรที่ดินที่อุดมสมบูรณ์ได้มากกว่า และสะสม ผลผลิตได้มากกว่า อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์เชื่อมโยงตามแนวดังกล่าวยังขาดข้อมูลที่ชัดเจนเพราะว่าความแตกต่างทางชนชั้นของ ลัวะ เช่น เจ้าก๊ก และลูกเลี้ยงไม่น่าจะเป็นชนชั้นตามแนวมาร์กซ์ ส่วนการวิเคราะห์อีกแนวหนึ่งคือวัฒนธรรมนิเวศที่แอบแฝงไม่ปรากฏชัด แต่ที่น่าสนใจ คือการเชื่อมโยงระหว่างแบบแผนการผลิตที่มีเทคโนโลยีต่ำ และสภาพแวดล้อมที่มีโรคภัยไข้เจ็บทำให้เกิดการล้มตาย และเกิดปรากฏการณ์ทางสังคมที่เรียกว่า "ควันต๊ก" (ลูกเลี้ยง) ซึ่งกลายเป็นกลุ่มที่อยู่ต่ำ ในโครงสร้างความสัมพันธ์ของลัวะเมืองน่าน (หน้า 24-65) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ผู้เขียนเรียกว่า ลัวะ แต่อธิบายเพิ่มเติมว่าอาจจะเป็นกลุ่มเดียวกับละว้าในเอกสารประวัติศาสตร์ล้านนา และหากเป็นเอกสารของกองทัพภาคที่ 3 จะถูกเรียกว่า "ถิ่น" ซึ่งผู้เขียนชี้ให้เห็นว่าพวกเขาเรียกตัวเองว่าลัวะ ฉะนั้น ผู้เขียนสรุปว่า ละว้า-ถิ่น-ลัวะ น่าจะเป็นกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกัน (หน้า 14-201) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ผู้เขียนอธิบายว่าภาษาของลัวะอาจจะถูกเรียกว่า "ภาษาถิ่น" (Thin) หรือ "มาล" โดยนักภาษาศาสตร์อาชีพอย่าง Lebar (1964) และจัดให้อยู่ในตระกูลออสโตรเอเชียติก (Austroasiatic) สาขาย่อยมอญ-เขมร ที่เรียกว่าขมุอิค (khmuic) แต่ผู้เขียนขอเรียกว่า "ภาษาลัวะ" ตามที่เจ้าของภาษาเรียก และจะจัดแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่ ซึ่งมีเสียงเหมือนกันและมีคำศัพท์ไม่เหมือนกัน แต่ข้อมูลที่ใช้ในการวิเคราะห์มาจากหมู่บ้านลัวะแบบดั้งเดิมที่อยู่ห่างไกลความเจริญ ซึ่งสรุปลักษณะร่วมได้ คือ ส่วนใหญ่เป็นคำพยางค์เดียวหากมี 2-3 พยางค์จะลงเสียงหนัก (stress) ที่พยางค์ท้ายและเป็นภาษาที่วรรณยุกต์ไม่เป็นหน่วยเสียงที่มีความหมาย แต่ทำนองเสียงอาจจะมีความหมาย ส่วนคำต่าง ๆ อาจมีบ้าง ที่มีการหยิบยืมจากภาษาไทย (หน้า 120-134) |
|
Study Period (Data Collection) |
รวมเวลาทั้งหมด พ.ศ. 2519-2529 การเก็บข้อมูลภาคสนามมี 2 ช่วง ช่วงแรก : พ.ศ. 2520-2524 ข้อมูลทางเศรษฐกิจ สังคมภาษา วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ช่วงที่ 2 : พ.ศ. 2528 เก็บข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโบราณคดี ภาษา และมรดกวัฒนธรรม (หน้า 10, 26) |
|
History of the Group and Community |
ในงานนี้ในส่วนแรกคือ ภาค 1-3 ไม่ได้แสดงภาพทางประวัติศาสตร์ของชุมชนต่าง ๆ ที่ศึกษาชัดเจน นอกจากจะระบุว่า อาจมีการย้ายหมู่บ้านกันไปมา 2-3 ครั้ง แต่ภาคที่ 4 ซึ่งเป็นการสันนิษฐานเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ลัวะโดยอาศัยตำนานและคำบอกเล่าต่างๆ ได้กล่าวถึง ความเก่าแก่ของลัวะในพื้นที่ทางเหนือของประเทศไทยว่า คนลัวะเคยมีเมืองและอาจอยู่ในที่ราบมาก่อน ซึ่งผู้เขียนได้สันนิษฐานจากตำนานล้านนาว่า ลัวะบนภูดอยน่านกับลัวะหรือละว้า อาจเป็นชาติพันธุ์เดียวกัน หากเป็นเช่นนั้น เมืองสำคัญของลัวะคือ หิรัญนครเงินยางค์ ก็ถูกสร้างเมื่อ พ.ศ. 1181 โดย ลวจังกราช และมีสัมพันธ์กับล้านนามาเป็นเวลาอย่างน้อย 1,000-15,000 ปี แต่ลัวะได้มีการอพยพโยกย้ายมาเป็นระยะ ๆ และกระจายไปในท้องถิ่นต่าง ๆ อย่างเช่น ที่ภูดอยเป็นต้น (หน้า 146-193) |
|
Settlement Pattern |
ผู้เขียนไม่ได้อธิบายชัดเจนเกี่ยวกับแบบแผนการตั้งถิ่นฐานของชุมชนที่ศึกษา แต่มีภาพคร่าว ๆ ว่า "อยู่บนเทือกเขาหลวงพระบาง? ซี่งเป็นภูสูงและแนวเนิน? หุบเขาที่ลดหลั่นคั่นสลับซับซ้อน? ในบางพื้นที่มียอดสูงถึง 6,500 ฟุต แต่บางแห่งอยู่ในที่ต่ำลงมามีน้ำไหลผ่านเช่น "ถ้ำว้า" ซึ่งอยู่ในระดับความสูงเพียง 1,300-1,475 ฟุต จากภาพต่อที่เห็นเป็นหมู่บ้านที่อยู่ในที่หุบเขาไม่สูงนักมีลำน้ำไหลผ่าน มีขนาดประมาณ 50 หลังคาเรือน ตั้งบ้านเรือนเป็นระเบียบเรียบร้อยเป็นแถวเป็นแนว เกือบจะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าระหว่างบ้านมีต้นไม้ปลูกซึ่งส่วนใหญ่เป็นต้นกล้วย นอกนั้นเป็นพื้นที่ทำไร่อยู่รอบๆ ซึ่งต้องใช้เวลาเดินไกลพอสมควร (ภาพหน้า 26) ส่วนตัวบ้านเป็นเรือนกาแล ซึ่งยกพื้นสูงระดับอก ที่เรียกว่ากาแลเพราะว่า "ตรงจั่วหลังคาทั้งด้านหน้าด้านหลัง มีปั้นลมลาดไปตามขอบจั่วหลังคาแล้วไปบรรจบกันที่ปลายจั่วและยื่นต่อออกไปเหมือนเขาสัตว์สองคู่ (ภาพบ้านหน้า 93) (หน้า 24-35, 92-101) |
|
Demography |
ผู้เขียนได้ให้ตัวเลขต่าง ๆ เกี่ยวกับประชากรลัวะในพื้นที่โดยตั้งข้อสังเกตว่าอาจจะไม่เป็นข้อมูลที่ถูกต้องอย่างสมบูรณ์เท่าที่ปรา กฎ ประชากรลัวะทั้งหมด (ในประเทศไทย) มี 11,536 คน สำหรับการสำรวจของผู้เขียน (2529) มีลัวะ (แท้) ในเขตภูดอยจังหวัดน่าน รวม 23 หมู่บ้านจำนวนเท่ากับ 6,456 คน ส่วนประชากรใน 6 หมู่บ้านที่ศึกษาเจาะลึก มีจำนวน 2,045 คน (หน้า 14-19) |
|
Economy |
มีระบบการผลิตแบบทำไร่เลื่อนลอย (ไร่หมุนเวียน) หรือเรียกว่า "แองแซ" ในภาษาลัวะ คือใช้พื้นที่ทำไร่แบบเว้นช่วงว่างแล้วกลับมาทำใหม่ ช่วงเวลาพักจะนานประมาณ 6-15 ปี มีบางครัวเรือนที่มีที่ว่างก็จะทำนา พืชที่ปลูกมีข้าวเป็นหลัก และมีพืชอื่น ๆ เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ในบางปีมีอาหารไม่พอกินต้องขุดกลอย เผือก มันป่ามาเป็นอาหาร การผลิตส่วนใหญ่ เพื่อยังชีพ ปัจจัยสำคัญคือที่ดิน ซึ่งมีไม่เท่ากัน ทำให้เกิดความแตกต่างทางเศรษฐกิจระหว่างครัวเรือน ส่วนเครื่องมือผลิต ก็เรีบบง่ายเช่นมีดพร้า จก (เครื่องมือสักไร่คล้ายเสียมแต่มีขนาดเล็กกว่า) เคียว (มีขนาดเล็กและบางเรียว) ครกกะเดื่อง และกระด้งฝัดข้าวแต่มีปัญหาเพราะหลายครัวเรือนมีเพียงแค่ 1 ชุด ไม่เพียงพอที่จะใช้ ภาชนะสำคัญสำหรับใส่น้ำคือ "ลุนออก" หรือน้ำเต้า ซึ่งลัวะ จะรักและหวงแหนมาก มีการขัดถูให้สวยงามเพราะแสดง "หน้าตา" ของเจ้าของ เมื่อบรรจุแล้วจะตั้งไว้ที่ชานเรือน (หน้า 24-42) |
|
Social Organization |
ครอบครัวของลัวะเมืองน่านมีลักษณะเป็นผัวเดียวเมียเดียวแบบลัวะในที่อื่น ภายในครอบครัว สถานภาพของผู้หญิงมักจะเหนือกว่าชาย แต่ครอบครัวบางครอบครัว เช่น ครอบครัวชนชั้นสูง "เจ้าก๊ก" จะมีลักษณะเป็นครอบครัวขยาย มีสมาชิกเกิน 10 คนขึ้นไป ในเรื่องความรักและการแต่งงานนั้น ผู้หญิงสามารถแสดงท่าทีสนใจก่อนได้และเมื่อตกลงกันได้ต่างฝ่ายต่างบอกพ่อแม่ของตัวเอง ทางฝ่ายหญิงจะส่ง "แก่นสาร" หรือเถ้าแก่ไปสู่ขอ หากฝ่ายชายตกลงก็ได้แต่งงานกัน โดยที่ช่วยกันออกค่าใช้จ่ายในเรื่องงานเลี้ยงส่วนเรื่องการเลี้ยงผี (ฝ่ายหญิง) ผู้หญิงเป็นฝ่ายออกและหลังแต่งงานผู้ชายไปอยู่บ้านผู้หญิง และนับถือผีบรรพบุรุษฝ่ายหญิง การถือผีเดียวกันมีความสำคัญ เพราะทำให้รู้สึกผูกพันโดยที่อาจจะไม่เห็นหน้ากันมาก่อน ในขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดข้อห้ามการแต่งงานของคนผีเดียวกัน ส่วนการสืบผีก็สืบผีข้างแม่ซึ่งอาจกล่าวได้ว่ามีการรวมกลุ่มตามสายตระกูล ผู้เขียนได้ระบุด้วยว่าลัวะเมืองน่านมีร่องรอยของการแยกตัวแบบชนชั้น ซึ่งสามารถจัดลำดับจากต่ำไปหาสูงได้คือ 1. ชนชั้นต่ำคือ ลูกเลี้ยง (ควันต๊ก-ลูกกำพร้า) ไม่มีเรือน เครื่องมือการผลิตของตนเอง 2. ชนชั้นกลาง คือลัวะทั่ว ๆ ไปที่มีเรือนหลังเล็ก มีที่ทำไร่ผืนเล็กอุปกรณ์การผลิต 1-2 ชุด และน้ำเต้า 3-4 ใบ 3. ชนชั้นสูง มีที่นาผืนใหญ่ มีน้ำเต้ามากกว่า 10 ลูก ประกอบด้วยครอบครัวในตระกูลใหญ่ หมอผี เจ้าก๊ก (หน้า 35-59) |
|
Political Organization |
เจ้าก๊กเป็นผู้นำชุมชนซึ่งไม่ได้เป็นอิสระจากรัฐไทย ในช่วงเวลาที่ผู้เขียนได้ศึกษาอยู่ซึ่งกำลังมีปัญหาเกี่ยวกับความมั่นคงชายแดน ลัวะจะรู้จักอำนาจของรัฐไทยผ่านชุดคุ้มครอง 32 ซึ่งเป็นหน่วยปฏิบัติการของกองทัพภาคที่ 3 เจ้าก๊กมีอภิสิทธิ์ที่เกี่ยวกับทรัพยากรต่าง ๆ เช่น แหล่งจับปลา ที่ดินทำไร่ และแรงงานของชนชั้นที่ต่ำกว่าซึ่งมักจะอยู่ในโคตรวงศ์เดียวกับเจ้าก๊ก และยังเป็นผู้ดูแลให้สมาชิกปฏิบัติตามความเชื่อดั้งเดิม (หน้า 21, 49) |
|
Belief System |
พิธีกรรมสำคัญของลัวะมี 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ เกี่ยวกับวงจรชีวิต เช่น การเกิด การแต่งงาน การรักษาพยาบาล และความตาย ส่วนอีกประเภทหนึ่งจะเกี่ยวกับการผลิต แต่เนื่องจากมีข้อจำกัดในการผลิตทำให้มีการสะสมโภคทรัพย์น้อย พิธีกรรมต่าง ๆ มีลักษณะเรียบง่ายอย่างเช่น พิธีกรรมแต่งงาน ก็ไม่มีการเสียสินสอดทองหมั้น และร่วมกันจัดอาหารมา แต่ฝ่ายผู้หญิงต้องเตรียม หมู ไก่ เหล้า เพื่อเซ่นไหว้ผี และสัญลักษณ์การผูกพันเป็นสามีภรรยา ก็คือ การมัดแขนสู่ขวัญ และหากเคร่งครัดประเพณี ฝ่ายชายจะต้องทำพิธีเซ่นไหว้ผีของฝ่ายหญิง และจะถือผีประจำตระกูลของฝ่ายหญิง ส่วนพิธีการตายก็มีการอาบน้ำศพ และแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่ดีที่สุดที่มีอยู่ และฝังของใช้ประจำตัวไปกับศพด้วย หลุมศพจะอยู่สูงกว่าที่ตั้งหมู่บ้าน ซึ่งต้องมีพิธีเสี่ยงทายเลือกและเซ่นไหว้ผีด้วย ข้าว เหล้า ไก่ บนหลุมฝังศพจะมี "ตาแหลว" ปักเป็นสัญลักษณ์ไว้ และมีเครื่องเซ่นผี (ผู้ตาย) วางไว้ใกล้ ๆ ในระหว่างทางที่หามศพไปผู้หญิงจะต้อง "ร้องไห้" เสียงดัง ผู้ที่ไปร่วมพิธีศพจะเป็นญาติใกล้ชิด เพราะลัวะจะกลัวคนตาย และไม่ไปร่วมงานศพถ้าไม่จำเป็น ในฤดูการผลิตของแต่ละปีลัวะจะประกอบพิธี เซ่นไหว้ผีหลายครั้ง ส่วนใหญ่เซ่นด้วยไก่ ในช่วงเวลาการผลิตต่าง ๆ เช่น การกำหนดพื้นที่ ข้าวออกรวง และเก็บเกี่ยว แต่พิธีที่สำคัญคือ"ฤกษ์กยอง" ซึ่งทำหลังจากการเก็บเกี่ยวแล้ว เป็นการฉลองคล้ายกับวันปีใหม่ มีการฆ่าหมู ไก่ และควาย ไหว้ผีและเลี้ยงกันสนุกสนาน ไม่ให้ทำงานในช่วงฉลองนี้ (หน้า 81-91) |
|
Education and Socialization |
|
Health and Medicine |
ลัวะในพื้นที่ศึกษามีสุขภาพอ่อนแอ และมักมีโรคภัยไข้เจ็บเพราะว่าอาหารไม่พอกิน รักษาความสะอาดไม่พอ และมีเชื้อโรคหลายอย่าง เช่น มาลาเรีย ไทฟอยด์ และบิด การรักษาพยาบาลที่สำคัญคือการทำคลอดซึ่งหมอผี (ผู้ชาย) เป็นผู้ทำหน้าที่โดยนวดบีบท้องและสวดคาถาเป็นภาษาลัวะ ซึ่งมีเพื่อหาว่าไม่ให้ผีมารบกวน เมื่อเด็กคลอดผู้อาวุโสเป็นคนตัดสายสะดือ ส่วนแม่ต้องอยู่ไฟแล้วคลอดเป็นเวลา 4-5 วัน (หน้า 35, 81-83) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
การแต่งกาย : ในสมัยโบราณผู้ชายนุงผ้าเตี่ยว ผู้หญิงเปลือยอกและนุ่งผ้านุ่ง แต่จากรูปที่ปรากฏ ลัวะแต่งตัวเหมือนคนไทยในชนบททั่ว ๆ ไป บ้านอาศัย : เป็นบ้านมุงหลังคาจากและแฝก ตั้งอยู่บนเสาสูงประมาณ 1.4 เมตร เครื่องมือเครื่องใช้ : มีครกกะเดื่อง กระด้ง และภาชนะทำจากลูกน้ำเต้าซึ่งมีการตกแต่ง ดนตรี : 1. เป่าเขาแพะ(แองผงก้อย) ซึ่งมีเสียงฟังดูเศร้า ๆ 2. เคาะไม้ไผ่ เมื่อเคาะประสานกันก็จะป็นทำนองดนตรีที่เรียบนุ่ม แต่กังวาลไปไกล จะเล่นกันได้ในระหว่างฟันไร่ หล้าหยอดเมล็ดข้าว และเก็บเกี่ยวเสร็จแล้ว 3.การเล่นพิ (คล้ายระนาดแต่ไม่เชื่อมต่อกัน) ลัวะจะเล่นดนตรีชนิดนี้ ในช่วงข้าวแทงยอด โดยช่วยกันไปหาไม้ไผ่มาเหลา ระบำรำเต้น : เต้นพิ เต้นในระหว่างเล่น "พิ" ซึ่งในระหว่างเต้นห้ามพูดภาษาไทย |
|
Folklore |
การเล่านิทาน (เล่าดยั้ว) เป็นประเพณีสำคัญของลัวะ เรื่องที่เล่าส่วนใหญ่เป็นเรื่องสั้น ๆ และมีเนื้อเรื่องหลากหลาย จัดได้หลายประเภท คือ นิทานเล่าเรื่อง อธิบายปรากฎการณ์ธรรมชาติ นิทานปรัมปรา นิทานภาษิต นิทานตลกและนิทานเรื่องเพศ (หน้า 102-117) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ลัวะมีการรับรู้และมีความสัมพันธ์กับกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ หลายกลุ่มด้วยกัน เช่น กับข่ามุ ซึ่งลัวะเรียกว่าลาวเทิง ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความเกี่ยวข้องกันน้อยไม่เหมือนกับ "ผู้ยวน" ซึ่งลัวะมองว่าเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่เหนือกว่า และมีความเกี่ยวข้องทางประวัติศสตร์ โดยที่ลัวะเป็นผู้ที่มาทีหลัง นอกจากนี้ ภายในท้องถิ่นเอง ลัวะเป็นหนี้ผู้ยวน ส่วนกับม้งนั้นแม้จะมาอยู่หลังลัวะ แต่มีฐานะทางเศรษฐกิจและอาวุธที่ดีกว่า ลัวะรู้สึกว่าม้งเหนือกว่า และในหลายกรณี ลัวะกลายเป็นลูกจ้างม้งอีกด้วย ส่วนกับคนไทยที่ราบซึ่งอยู่ไกลออกไป ลัวะมีปฏิสัมพันธ์น้อย แต่รู้จักผ่านเจ้าหน้าที่ราชการซึ่งลัวะมองว่ากดขี่ และเอาเปรียบ (หน้า 60-66) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Map/Illustration |
รูปภาพ - ภาพหมู่บ้าน หน้า 26 - ภาพบ้าน หน้า 93 |
|
|