|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ,การนับถือผี,เลย |
Author |
เพ็ญนิภา อินทรตระกูล |
Title |
การนับถือผีของชาวไทยดำบ้านนาป่าหนาด ต.เขาแก้ว อ.เชียงคาน จังหวัดเลย |
Document Type |
ปริญญานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ไทดำ ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ไทยทรงดำ ไทดำ ไตดำ โซ่ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
197 |
Year |
2535 |
Source |
ปริญญานิพนธ์สาขาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต วิชาเอกไทยคดีศึกษา (เน้นมนุษยศาสตร์) มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ |
Abstract |
การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาคติความเชื่อการนับถือผีของไทยดำ และความสัมพันธ์กับโครงสร้างทางสังคมในด้านต่าง ๆ ซึ่งไทยดำนี้มีคติความเชื่อเรื่องการนับถืออย่างแน่นแฟ้นและเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต ที่ถึงแม้ว่าจะมีการเข้ามาของวัฒนธรรมจากภายนอกก็เกิดผลกระทบกับความเชื่อดั้งเดิมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งลักษณะของความเชื่อนั้นได้ครอบคลุมวิถีการดำเนินชีวิตโดยทั่วไปของไทยดำ ทั้งในด้านครอบครัวและเครือญาติ, ศาสนาพิธีกรรม, เศรษฐกิจ, การปกครอง, การศึกษาและสุขอนามัย |
|
Focus |
ศึกษาคติความเชื่อและพิธีการนับถือผีของไทยดำ และวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของการนับถือผีกับโครงสร้างทางสังคมของไทยดำในด้านต่าง ๆ (หน้า 5) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ไทยดำหรือลาวโซ่ง (หน้า 5) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไทยดำมีภาษาพูดเป็นของตัวเอง รูปศัพท์โดยมากจะมีความคล้ายคลึงกับภาษาไทยโดยทั่วไป ต่างกันที่ระบบเสียง วรรณยุกต์และเสียงสระ แต่มีคำศัพท์เฉพาะที่แตกต่างไปจากภาษาไทยมาตรฐานและภาษาไทยอีสาน แต่เมื่อมีการติดต่อกับกลุ่มชาติพันธ์อื่นมากขึ้นก็ทำให้ภาษาพูดเปลี่ยนไป คือมีทั้งพูดไทยดำและก็พูดภาษาอื่นกับบุคคลอื่น และไทยดำที่ได้รับการศึกษาในโรงเรียนก็สามารถพูดภาษาไทยกลางได้ด้วย อย่างไรก็ตาม จะใช้ภาษาไทยดำกับกลุ่มไทยดำด้วยกัน (หน้า 37-38) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ไทยดำหรือลาวโซ่ง หรือ ไทยโซ่ง หรือ ผู้ไทยดำ ฯลฯ นั้นเดิมมีถิ่นฐานอยู่บริเวณแม่น้ำอู ในแคว้นสิบสองจุไทย มีเมืองแถงเป็นเมืองหลวง เป็นหัวเมืองที่ขึ้นตรงกับแคว้นสิบสองจุไทย และปกครองตัวเองมาเป็นระยะเวลานาน แต่ก็มีการอพยพย้ายถิ่นไปหลายที่ ไทยดำนั้นมีการอพยพข้าสู่ประเทศไทยหลายครั้ง คือตั้งแต่สมัยธนบุรี ปี พ.ศ.2321 เนื่องจากการสงครามที่มีการกวาดต้อนกลุ่มไทยดำและชาวเวียงจันทน์มาในประเทศไทย และให้ไปอยู่ที่เมืองเพชรบุรี จวบจนในสมัย ร.5 ก็มีการกวาดต้อนไทยดำเข้ามาในประเทศไทยหลายครั้ง (หน้า 17-18) สำหรับไทยดำที่หมู่บ้านป่าหนาดนั้น อพยพมาจากเมืองแถง เมืองพวนและเมืองเชียงขวาง ซึ่งเป็นผลมาจากการปราบฮ่อเมื่อสมัย รัชกาลที่ 5 (หน้า 18) โดยได้ไปตั้งถิ่นฐานที่ลพบุรีอยู่ประมาณ 8-9 ปี จึงย้ายไปยังเมืองหล่มสัก เพชรบูรณ์ ตั้งบ้านเรือนที่นั่นประมาณ 16 ปี ต่อมาฝรั่งเศสซึ่งขณะนั้นได้ปกครองลาวอยู่ได้มาขอนำราษฎรที่ตกค้างอยู่กลับลาว ซึ่งกลับไปเพียงบางส่วน ส่วนที่กลับไปก็ไปได้ถึงแค่เวียงจันทน์เนื่องจากชาวฝรั่งเศสนั้นไม่ได้ไปส่งถึงเมืองเชียงขวาง ไทยดำส่วนหนึ่งจึงเดินทางไปเมืองเชียงขวางเอง เมื่อถึงเมืองเชียงขวางพบว่าไม่เหมาะสมที่จะตั้งหลักแหล่งอยู่ จึงคิดอพยพกลับมายังเมืองหล่มสัก โดยข้ามแม่น้ำโขงที่บ้านสงาว เมืองเชียงคาน เจ้าเมืองเชียงคานได้อนุญาตให้บุกเบิกทำไร่ทำนาได้ จึงตั้งบ้านเรือนกันที่บ้านท่าบม และได้ย้ายมาที่บ้านนาเบนและตั้งถิ่นฐานถาวรที่บ้านนาป่าหนาดในปี พ.ศ. 2448 ซึ่งบ้านนาป่าหนาดนี้มีลักษณะเป็นที่ดอนคล้ายบ้านเก่าที่เมืองพวน เมืองแถง จึงได้ตั้งหลักปักฐานกันอย่างมั่นคง โดยมีครอบครัวที่อพยพมาอยู่ที่บ้านป่าหนาดครั้งแรก 15 ครอบครัวมีประชากรประมาณ 60 คน (หน้า 19-20) |
|
Settlement Pattern |
ในระยะแรกที่ตั้งบ้านเรือนของไทยดำจะตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของหมู่บ้านซึ่งเป็นที่ดอน ศาลเจ้าและป่าช้าก็อยู่ทางทิศตะวันตกเช่นเดียวกัน และจัดพื้นที่ด้านตะวันออกซึ่งเป็นที่ลุ่มนั้นทำนา เมื่อประชากรมากขึ้นจึงขยายการตั้งบ้านเรือนออกไปทางทิศตะวันออก (หน้า 22) การตั้งบ้านเรือนจะรวมกันเป็นกลุ่มและเรียงรายไปตามถนนภายในหมู่บ้านซึ่งมีถนนหลักเป็นเส้นแบ่งกลางหมู่บ้าน 1 สาย จากถนนสายนี้จะมีถนนเล็กๆ ตัดเข้าไปในหมู่บ้าน (หน้า 14) (ลักษณะบ้านเรือนดูหัวข้อ Art and Craft) เนื่องด้วยลักษณะพื้นที่ทางเหนือนั้นเป็นที่ลุ่ม จึงทำให้ชาวบ้านได้จัดสรรพื้นที่ส่วนนี้ในการทำนา และพื้นที่ทางตอนใต้และตะวันออกนั้นเป็นที่ดอนก็เป็นที่ทำกิน และจัดพื้นที่ให้วัดอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ ทิศใต้เป็นที่ตั้งของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สถานีอนามัย และสถานีตำรวจภูธร ด้านตะวันตกเป็นที่ตั้งของโรงเรียนบ้านป่าหนาดและโรงเรียนเขาแก้วประชาสรรค์ ซึ่งเป็นโรงเรียนประถมศึกษาและโรงเรียนมัธยมประจำหมู่บ้าน นอกจากนี้ป่าช้าและศาลเจ้าบ้านหรือหอเจ้าบ้านยังตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกอีกด้วย(หน้า 15) |
|
Demography |
มีประชากร 182 ครัวเรือน รวมทั้งสิ้น 811 คน ชาย 453 คน หญิง 358 คน มีคู่สมรสที่เป็นไทยดำแท้ 31 ครอบครัว และคู่สมรสที่เป็นไทยลาว 17 ครอบครัว (หน้า 14) |
|
Economy |
ชาวบ้านนาป่าหนาดประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นส่วนใหญ่ มีรายได้เฉลี่ยต่อคน 10,192 บาท ต่อปี ซึ่งจะประกอบอาชีพต่าง ๆ ดังนี้ - การทำนา จะเริ่มทำเมื่อเดือนพฤษภาคม (หน้า 43) - การทำไร่ นิยมทำ ฝ้าย ข้าวโพด ถั่วเหลืองเป็นส่วนใหญ่ (หน้า 44) - การเลี้ยงสัตว์ นิยมเลี้ยงหมู เป็ด ไก่ วัว ควาย เพื่อบริโภค ขาย และไว้ประกอบพิธีกรรม ซึ่งหากใช้ประกอบพิธีกรรมจะใช้พันธุ์พื้นเมือง หากเลี้ยงขายจะเลี้ยงพันธุ์เกษตร (หน้า 45) |
|
Social Organization |
ไทยดำจะเรียกสกุลว่า "ซิง" การสืบสายสกุลจะใช้สายบิดา ภรรยาจะใช้ "ซิง" ตามสามี บุตรจะใช้ "ซิง" ตามบิดา หญิงใดแต่งงานใน "ซิง" ใด ก็จะต้องปฏิบัติตามข้อบังคับของ "ซิง" นั้น ซึ่ง "ซิง" นี้มีลักษณะคล้ายกับแซ่ของจีน (หน้า 25) ระบบเครือญาติจะนับญาติทางสายโลหิตและญาติทางการแต่งงาน โดยที่ญาติตระกูลเดียวกันจะประกอบพิธีกรรมร่วมกัน ยึดหลักอาวุโส และ ญาติฝ่ายพ่อเป็นสำคัญ บุตรจะใช้นามสกุลของฝ่ายพ่อและจะนับถือผีตามฝ่ายพ่อด้วย แต่ฝ่ายหญิงยังนับถือผีฝ่ายตนอยู่ รวมทั้งญาติฝ่ายหญิงจะเป็นญาติกับฝ่ายชายด้วย (หน้า 26) สำหรับข้อห้ามเกี่ยวกับเครือญาตินั้นจะห้ามแต่งงานระหว่างบุคคลที่สืบสายโลหิตโดยตรง คือลูกพ่อแม่เดียวกัน ให้โครงสร้างทางสังคมของไทยดำเป็นสังคมเปิดสามารถแต่งงานนอกเผ่าพันธุ์ได้ แต่ก็มีผลทำให้ไทยดำแท้ ๆ ลดจำนวนลง พิธีแต่งงานของไทยดำ ก่อนที่จะมีการผสมกลมกลืนของประเพณีทางภาคกลางและอีสาน จะมีลักษณะเฉพาะถิ่น คือเมื่อหนุ่มสาวชอบพอกัน ฝ่ายชายจะให้ผู้ใหญ่ไปขอ หรือส่องหมากส่องพลู จะจัดขันหมากอันประกอบด้วย หมาก พลู สีเสียด ใส่ตะกร้าเล็ก ๆ ไปให้ผู้ใหญ่ฝ่ายหญิง ถ้าผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงรับขันหมาก ก็ถือว่าตกลงรับฝ่ายชายเป็นเขย จากนั้นก็จะหาฤกษ์หายามเพื่อแต่งงานกัน หากฝ่ายหญิงไม่รับขันหมาก แต่หนุ่มสาวรักกันก็จะทำพิธีส่องไก่ ฝ่ายชายจะนำไก่ไปสู่ขอ โดยนำไก่ที่ถอนขนแล้วไปต้มทั้งตัวให้สุก แล้วนำไปให้ผู้ใหญ่ฝ่ายหญิง ผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงจะดูไก่ ถ้าเท้าไก่เหยียดตรงสวยงาม แสดงว่าหนุ่มสาวเป็นเนื้อคู่กัน ก็จะรับเป็นเขย หากไม่ถูกใจผู้ใหญ่ฝ่ายหญิง ฝ่ายชายจะกลับไปต้มไก่มาใหม่กี่ครั้งก็ได้จนกว่าจะพอใจ หากตกลงรับแล้ว ก็จะหาฤกษ์เพื่อกำหนดวันแต่งงานต่อไป (หน้า 32-33) พิธีแต่งงานนั้นฝ่ายชายจะเซ่นไหว้ผีเรือนฝ่ายหญิงในตอนเช้า โดยจัดสำรับมี หมู ไก่ เหล้าแกลบ ข้าว น้ำ ไปที่กะล่อห้องบ้านเจ้าสาว บอกผีเรือนว่าจะมาเป็นเขย วางสำรับไว้ที่กะล่อฮ่องแล้วออกมากราบญาติฝ่ายหญิง กราบญาติฝ่ายชาย แล้วรับประทานอาหารร่วมกัน เมื่อประกอบพิธีแต่งงานเสร็จ ฝ่ายชายจะนำเสื่อ เสื้อผ้า หมอน ผ้าห่ม งอบ จอบ เสียม มีด เพื่อไปอยู่บ้านเจ้าสาว โดยไม่ได้นอนห้องเดียวกับฝ่ายหญิง แต่จะนอนอยู่ที่ชานบ้าน เป็นการลองใจ ซึ่งระยะเวลาในการลองใจนี้ขึ้นอยู่กับการตกลงของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย และระหว่างที่ฝ่ายชายอยู่บ้านฝ่ายหญิงก็ต้องช่วยทำไร่ทำนาและงานอื่น ๆ ทดสอบว่าฝ่ายชายจะขยันทำมาหากินและซื่อตรงเพียงใด เมื่อครบกำหนดก็จะประกอบพิธีสำคัญในการอยู่ร่วมกัน ฝ่ายหญิงจะเกล้าผมสูงกลางศีรษะเป็นสัญลักษณ์ว่ามีคู่ครองแล้ว และฝ่ายชายจะเอาปิ่นมาปักบนผมที่เกล้าไว้ พ่อแม่ฝ่ายหญิงจะนำเหล้า 1แก้วเข้าไปที่กะล่อห้อง บอกกล่าวผีเรือน และทำพิธีปูเสื่อ ฝ่ายชายสามารถอยู่ร่วมห้องกับฝ่ายหญิงได้ ในวันรุ่งขึ้น ฝ่ายชายจะต้องตื่นก่อนพ่อตาแม่ยาย เตรียมน้ำล้างหน้าไว้ให้ เป็นเวลา 3 วัน และอยู่บ้านภรรยาต่ออีก 2-5 ปี แล้วจะย้ายกลับไปอยู่บ้ายของฝ่ายชายทั้งสามีและภรรยา(หน้า 33-34) ในครอบครัวของไทยดำ ฝ่ายชายจะได้รับการยกย่องมากกว่าฝ่ายหญิง ในฐานะที่เป็นหัวหน้าครอบครัว บุตรชายจะมีความสำคัญมากเพราะจะเป็นผู้ไว้ทุกข์ จำศีล และจูงศพ เมื่อแต่งงานมีครอบครัว ฝ่ายชายจะทำหน้าที่เป็นผู้นำครอบครัว รับผิดชอบต่อสมาชิกในครอบครัวและเป็นผู้นำในการทำงาน(หน้า 119) การจัดลำดับชั้นทางสังคมนั้น จะใช้วงศ์หรือตระกูลในการแบ่งชั้น คือจะแบ่งออกเป็น 2 ชนชั้นคือ 1. ชนชั้นผู้ท้าว หมายถึงบุคคลและกลุ่มบุคคลที่เกิดในตระกูลผู้ท้าว ซึ่งไทยดำมีความเชื่อว่าเป็นผู้สืบเชื้อสายมาจากเจ้าหรือผู้ปกครองเมืองในสมัยเมื่ออยู่เมืองแถง 2. ชนชั้นผู้น้อย หมายถึง บุคคลและกลุ่มบุคคลที่เกิดในตระกูลสามัญชน ซึ่งเชื่อว่าจะอยู่ใต้ปกครองของชนชั้นผู้ท้าว ไทยดำทุกคนจะรู้ว่าตนอยู่กลุ่มผู้ท้าวหรือผู้น้อยโดยดูจากซิง ถ้าอยู่ในซิงใหญ่จะเป็นชนชั้นผู้ท้าว แต่ก็ไม่ทำให้เกิดความแตกต่างในการดำรงชีวิตโดยทั่วไป หากแต่แตกต่างทางพิธีกรรม (หน้า 130) |
|
Political Organization |
ไทยดำให้ผีมีอำนาจในการปกครองพวกตน เช่นการนับถือผีเรือน มีการเซ่นไหว้ และเมื่อมีการทำผิดก็ต้องขอขมาผีเรือน ผีเรือนจึงทำหน้าที่เป็นผู้ปกครองคอยควบคุมให้ไทยดำยึดมั่นในขนบธรรมเนียมประเพณี และรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยในสังคม นอกจากนี้ พิธีกรรมเกี่ยวกับการนับถือผีนั้นได้แสดงให้เห็นถึงการป้องกันการรุกรานทางวัฒนธรรมจากสังคมภายนอก แม้ไทยดำจะไปวัด ทำบุญตามประเพณีทางพุทธศาสนา แต่พิธีกรรมเกี่ยวกับผีแล้วจะไม่มีการนิมนต์พระไปเกี่ยวข้องเด็ดขาด เช่น ไม่มีพระพุทธรูปในบ้านหรือพิธีศพ ไม่นิมนต์พระไปสวดศพ และป่าช้าของไทยดำจะแยกจากป่าช้าของชาวพุทธ (หน้า 142) แม้ไทยดำจะยอมรับความสัมพันธ์กับสังคมอื่น แต่ในบางพิธีกรรมนั้นก็ยังป้องกันมิให้คนภายนอกเข้าร่วมพิธีกรรมในส่วนที่เป็นลักษณะเฉพาะของตน (หน้า 132) สำหรับการปกครองนั้นนอกจากจะมีการปกครองตามกฎหมายแล้ว ยังผู้นำอย่างไม่เป็นทางการอีกด้วยซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้อาวุโสของหมู่บ้าน (หน้า 43) |
|
Belief System |
ไทยดำมีความเชื่อเรื่องผี ซึ่งจะนับถือผีเรือน ผีเจ้าบ้าน ผีแถน ผีมด และผีมนต์ ผีเรือน คือเมื่อ ปู่ ย่า ตา ยาย ในสกุลตายแล้ว วิญญาณจะมาคุ้มครองรักษาอยู่ภายในบ้านเรือน โดยจะอัญเชิญให้มาอยู่ที่กะล่อห้อง(ภาพประกอบที่ 7 และ 8 หน้า 169) ซึ่งจะจัดให้มีการเซ่นปีละ 1 ครั้ง (หน้า 29) ผีเจ้าบ้าน คือ ผีที่อยู่ประจำในหมู่บ้าน เป็นผีที่คอยเฝ้าติดตามดูแลมาแต่บ้านเดิมของตน ซึ่งชาวบ้านจะสร้างศาลหรือหอรักษาอยู่ 4 หอ คือ หอเจ้าบ้านเมืองแถง, หอเจ้าอนุวงศ์, หอเจ้าที่เจ้าแผ่นดิน, หอเจ้าภูหวดภูแก้ว ซึ่งหอเหล่านี้จะตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของหมู่บ้าน บริเวณนี้จะมีต้นไม้ใหญ่ล้อมรอบ (ภาพที่ 21 หน้า 178) ซ่างจะมีการสักการะ 3 โอกาสคือ ทุกวันพระใหญ่ (ขึ้น 15 ค่ำและแรม 15 ค่ำ) ในพิธีเลี้ยงผีเจ้าบ้านประจำปีครั้งใหญ่ ซึ่งจัดในเดือน 6 และพิธีเลี้ยงประจำปีครั้งที่สองจัดในเดือน 12 (หน้า30-31) ผีมดและผีมนต์ คือ ผีตามเชื้อสาย ผู้ที่เป็นร่างทรงของผีมดหรือหมอมดจะต้องมีเชื้อสายของหมอมด จะอยู่กับใครนั้นจะบ่งบอกมาตั้งแต่เกิด คือ เมื่อแรกเกิดจะมีสายรกพันจากก้นเกี้ยวมาที่คอและมีกลิ่นหอม หมอมดเป็นได้ทั้งชายและหญิง เมื่อไทยดำคนใดเจ็บป่วยญาติพี่น้องจะไปตามหมอมดมารักษา การรักษาคือการไล่ผี เมื่อหายป่วยแล้วผู้ป่วยก็จะเป็นลูกเลี้ยงของหมอมดต่อไป ซึ่งลูกเลี้ยงนี้จะต้องช่วยงานต่าง ๆ ของหมอมดตามสมควร(หน้า 31) ซึ่งหมอมดนี้จะต้องเรียนวิชาของหมอมนต์ด้วย จึงเรียกควบคู่กันว่าหมอมดหมอมนต์ หากหมอมดคนใดไม่เรียนวิชาหมอมนต์ก็จะเรียกว่าหมอมดเฉย ๆ (หน้า 63) การเลี้ยงผีมดของหมอมดจะเลี้ยง 3 ปีครั้ง เรียกว่า พิธีเลี้ยงปาง จัดในเดือน 6 (หน้า 64) ผีแถน คือผีสูงสุดของไทยดำ เป็นผีผู้สร้างโลก และเมื่อตายไปก็จะได้พบกับผีแถนบนฟ้าอีก ผีแถนประกอบไปด้วย แถนหลวงซึ่งเป็นหัวหน้าแถน, แถนแนน เป็นผู้กำหนดอายุ, แถนเคอ เป็นผู้กำหนดชะตาชีวิต, แถนเคาะทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ, และแถนแม่นาง เป็นแถนที่ทำให้มนุษย์เติบโต ซึ่งแถนเหล่านี้จะทำหน้าที่คุ้มครองดูแลรักษาและลงโทษไทยดำตามหน้าที่ของตน (หน้า54-55) |
|
Education and Socialization |
ภายในหมู่บ้านนั้นมีสถาบันการศึกษา 3 แห่งคือ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก, โรงเรียนบ้านนาป่าหนาด ซึ่งเป็นโรงเรียนประถมศึกษาประจำหมู่บ้านและโรงเรียนเขาแก้ววิทยาสรรค์ ซึ่งเป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาประจำตำบล ประชาชนส่วนใหญ่นิยมส่งบุตรหลานไปเข้าเรียนกันมาก (หน้า 15) |
|
Health and Medicine |
การนับถือผีของไทยดำ มีส่วนสัมพันธ์กับสุขอนามัยคือ 1. การเซ่นไหว้ เครื่องเซ่นนั้นจะต้องนำอาหารที่ดีมาเซ่นไหว้ คือไก่พันธุ์พื้นบ้านและหมูพันธุ์พื้นบ้าน เมื่อเซ่นไหว้เสร็จ เครื่องเซ่นจะกลายเป็นอาหารของผู้ร่วมพิธีกรรมต่อไป ทำให้ผู้ร่วมพิธีนั้นมีโอกาสได้รับประทานอาหารอย่างอิ่มเอม โดยเฉพาะได้รับสารอาหารประเภทโปรตีนจากเนื้อไก่และหมู 2. จากพิธีศพ ผู้ที่ไปร่วมพิธีศพนั้นกลับมาจะต้องอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนขึ้นเรือน ซึ่งเมื่อไปประกอบพิธีศพนั้นอาจไปจับต้องศพหรือขุดดินช่วยฝังศพ ทำให้ร่างกายสกปรก เมื่อกลับบ้านจึงควรได้รับการทำความสะอาดร่างกายก่อน ซึ่งเป็นกุศโลบายที่มีผลต่อสุขอนามัยของไทยดำ (หน้า 137) นอกจากนี้ยังมีความเชื่อเรื่องผีว่าหากผู้ใดไปลบหลู่ผีหรือถูกผีเข้าสิงจะต้องเชิญหมอมดมารักษา โดยประกอบพิธีต้นเคอ ซึ่งจะเป็นการไล่ผีออกจากร่างกายของผู้ป่วย ช่วยลดอาการหวาดกลัวในสิ่งเหนือธรรมชาติได้ (หน้า 125) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
สถาปัตยกรรม (หน้า 22) แบบดั้งเดิม มี 2 ลักษณะ - บ้านใต้ถุนสูง ใช้เสาหลายต้นเชื่อมต่อกัน มีชานยื่นออกมา ครัวอยู่นอกตัวบ้าน (ภาพประกอบที่ 1 หน้า 173) - บ้านใต้ถุนเตี้ย ยกพื้นสูงประมาณ 1 มุงหลังคาด้วยกระเบื้องดินเผา ฝาและพื้นใช้ไม้ ครัวอยู่นอกชานหลังบ้าน สาเหตุที่สร้างใต้ถุนเตี้ยเนื่องจากป้องกันลมตีจากใต้ถุนขึ้นบ้านในฤดูหนาว (ภาพประกอบที่ 2 หน้า 174) บ้านเรือนแบบปัจจุบัน มี 2 ลักษณะ - บ้านสองชั้น ชั้นล่างเป็นอิฐโบกปูน ชั้นบนเป็นไม้ มุงหลังคาสังกะสี พื้นล่างโล่ง ลาดซีเมนต์ ด้านหลังมีห้องน้ำ และห้องครัว หน้าต่างเป็นกระจก - บ้านชั้นเดียว ใช้อิฐบล็อกเป็นฝาผนัง หลังคามุงสังกะสี พื้นลาดปูนซีเมนต์ เป็นบ้านขนาดเล็ก เครื่องนุ่งห่ม ชาย : นุ่งกางเกงสีดำแบบจีน ยาวแค่น่อง เสื้อสีดำ คอกลมแขนยาวถึงข้อมือ กระดุมเฉียงจากไหล่ซ้ายพาดมาเอวข้างขวา บริเวณเอวถักและปักด้วยลวดลายสีสันต่าง ๆ ทั้งด้านในและด้านนอก แต่ด้านในจะมีลายปักสวยงามกว่าด้านนอก เสื้อจะมีขนาดใหญ่คล้ายเสื้อนอก ทอด้วยฝ้ายทั้งตัวย้อมสีดำ เรียกว่า ก๊อล้อง ในปัจจุบันจะใช้ในพิธีกรรมที่สำคัญ และเมื่อถึงแก่กรรมญาติจะสวมเสื้อตัวนี้ให้กับผู้ตายโดยจะกลับด้านในไว้ด้านนอก นิยมไว้ผมมวยข้างท้ายทอย แล้วใช้ผ้าดำประมาณ 2 วา กว้าง 30 - 40 เซนติเมตร เป็นผ้าบาง ๆ อาจทอด้วยไหมหรือฝ้าย โพกศีรษะเวลาออกจากบ้าน ผ้านี้เรียกว่า ผ้าเตี่ยวเบาะ หญิง : นุ่งซิ่นดำ มีลายตรงพาดจดบนลงล่าง และมีลายของซิ่นด้านล่างเป็นลายขวางเรียกว่าตีนซิ่น ด้านบนที่เหน็บเอวเรียกว่าหัวซิ่น เสื้อจะเป็นเสื้อคลุมยาวแบบญวน สีดำ ทอด้วยฝ้าย ตัวเสื้อยาวถึงเข่าหรือน่อง คอกลมมีลาย ผ่าอกจากบนถึงล่างสุด แขนเสื้อปักลายให้งดงาม ด้านในตอนล่างก็จะมีการปักลวดลายด้วยผ้าสี ซึ่งเสื้อนี้จะใส่ในโอกาสสำคัญเช่นเดียวกับฝ่ายชาย (ภาพประกอบที่ 4 หน้า 166) นิยมเกล้ามวย หญิงสาวหรือหญิงหม้ายจะเกล้ามวยต่ำที่ท้ายทอย ถ้ามีสามีจะเกล้ามวยสูง |
|
Folklore |
การนับถือผีของไทยดำนี้มีพื้นฐานความเชื่อมาจากมโนภาพเกี่ยวกับโลกและจักรวาล ดังนี้ เดิมแผ่นดินของมนุษย์กับเมืองฟ้านั้นอยู่ติดกัน มีสายโยงเชื่อมกัน มีรูปพรรณสัณฐานคล้ายดอกเห็ด มนุษย์อยู่ส่วนพื้นดินตอนล่าง ตอนบนเป็นที่อยู่ของผีฟ้า เนื่องจากตอนบนและตอนล่างอยู่ใกล้กันมากทำให้เดินทางไปมาลำบาก บรรพบุรุษของมนุษย์หรือปู่เจ้าจึงตัดสายโยงฟ้าออกจากดิน ฟ้าจึงลอยขึ้นไปสูงมาก สัตว์ในสมัยก่อนพูดได้จึงก่อให้เกิดเสียงดังไปถึงสวรรค์เสมอ ทำให้แถนโกรธและบันดาลให้เกิดความแห้งแล้งให้คนและสัตว์ต่าง ๆ ในโลกตาย ปู่เจ้าจึงทำพิธีขอฝนจนฝนตกมามากมายทำให้น้ำท่วม มนุษย์และสัตว์ได้ล้มตายกันมากมาย แถนสงสาร จึงช่วยเหลือเอาคนและสัตว์ใส่ในน้ำเต้ายักษ์เพื่อมิให้สูญพันธ์ พอน้ำลดแถนจึงให้ท้าวสวงและท้าวเงินเอาน้ำเต้าปุงลงมาจากฟ้าเพื่อปลดปล่อยคนและสัตว์สู่โลกมนุษย์อีกครั้ง ท้าวสวงและท้าวเงินจึงกลายเป็นผู้ปกครองของไทยดำต่อมา (หน้า 51-52) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
มีข้อห้ามในการแต่งงานระหว่างบุคคลที่สืบสายโลหิตโดยตรง คือลูกพ่อแม่เดียวกัน ทำให้โครงสร้างทางสังคมของไทยดำเป็นสังคมเปิดสามารถแต่งงานนอกเผ่าพันธุ์ได้ แต่ก็มีผลทำให้ไทยดำแท้ ๆ ลดจำนวนลง (หน้า 32) แม้ไทยดำจะไปวัด ทำบุญตามประเพณีทางพุทธศาสนา แต่พิธีกรรมเกี่ยวกับผีแล้วจะไม่มีการนิมนต์พระไปเกี่ยวข้องเด็ดขาด เช่น ไม่มีพระพุทธรูปในบ้านหรือพิธีศพ ไม่นิมนต์พระไปสวดศพ และป่าช้าของไทยดำจะแยกจากป่าช้าของชาวพุทธ (หน้า 142) แม้ไทยดำจะยอมรับความสัมพันธ์กับสังคมอื่น แต่ในบางพิธีกรรมนั้นก็ยังป้องกันมิให้คนภายนอกเข้าร่วมพิธีกรรมในส่วนที่เป็นลักษณะเฉพาะของตน (หน้า 132) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การเข้ามาของวัฒนธรรมจากภายนอกได้ทำให้เกิดการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรม กล่าวคือไทยดำนับถือผีมาแต่เดิม แต่เมื่อมาอยู่ในสังคมที่นับถือพระพุทธศาสนา ก็ยอมรับพระพุทธศาสนาด้วย แต่การยอมรับนั้นจะไม่ขัดกับความเชื่อดั้งเดิมคือการนับถือผี กล่าวคือ มีเพียงการประกอบพิธีกรรมทางพุทธศาสนาร่วมกับคนไทยอีสานในหมู่บ้านเดียวกันและหมู่บ้านใกล้เคียง แต่จะไม่มีพระพุทธรูปไว้เคารพบูชาที่บ้าน ไม่นิมนต์พระสงฆ์เข้ามาในบ้านหรือร่วมพิธีกรรมที่วัดในวันที่บ้านของตนประกอบพิธีกรรมเกี่ยวกับการนับถือ การยอมรับพุทธศาสนาคือการไปร่วมกิจกรรมทางศาสนาที่วัดเท่านั้น ถึงแม้ไม่มีพระพุทธศาสนาไทยดำก็สามารถอยู่ได้ ผู้วิจัยเองก็ไม่แน่ใจว่าการไปวัดนั้นเป็นเพราะความนับถือหรือเพราะการปฏิบัติตนทางสังคมเพื่อการปรับตัว (หน้า 143) นอกจากทางด้านศาสนาแล้ว การเข้ามาของเทคโนโลยีนั้นก็ได้ทำให้ความเชื่อบางอย่างหายไป คือความเชื่อและพิธีกรรมเกี่ยวกับหมอมดหมอมนต์และพิธีกรรมต้นเคอ สาเหตุที่ไม่มีพิธีกรรมดังกล่าวก็เนื่องจากหมอมดคนสุดท้ายได้เสียชีวิตแล้ว และการคลอดบุตรนั้นจะคลอดที่โรงพยาบาลหรือมีผดุงครรภ์เป็นผู้ทำคลอด ทำให้ไม่มีผู้รู้ว่าทารกนั้นมีลักษณะของผีมดหรือไม่ (หน้า144) |
|
Map/Illustration |
แผนที่จำนวน 4 ชิ้น (หน้า 168-171) แสดงเขตจังหวัดเลย, อ. เชียงคาน, อาณาเขตไทยในเวียตนามเหนือและสถานที่ตั้งบ้านเรือนและสถานที่ต่าง ๆ ในหมู่บ้านป่าหนาด ตามลำดับ ภาพประกอบ 25 ภาพ (ภาคผนวก ง หน้า 173-197) |
|
|