|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
กะเหรี่ยง ภาคเหนือ ผลกระทบ การปรับตัว |
Author |
Chumpol Maniratanavongsiri |
Title |
People and Protected Areas : Impact and Resistance among the Pgak’nyau (Karen) in Thailand |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
โพล่ง โผล่ง โผล่ว ซู กะเหรี่ยง, ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
- |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
283 |
Year |
2542 |
Source |
Chumpol Maniratanavongsiri. (2542). People and protected areas : Impact and resistance among the Pgak’nyau (Karen) in Thailand. วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต, มหาวิทยาลัยโตรอนโต. |
Abstract |
เน้นการศึกษาชาวกะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ในบริเวณที่ถูกประกาศให้เป็นพื้นที่ป่าสงวนหรืออุทยานแห่งชาติ ซึ่งได้ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในหมู่บ้านกะเหรี่ยง โดยเฉพาะการในเรื่องการเพาะปลูก ที่ชาวบ้านจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบของการเพาะปลูกมาเป็นการปลูกพืชเศรษฐกิจแทนการทำการเกษตรแบบถางและเผา มีการปรับเปลี่ยนการใช้ที่ดินเพื่อให้เกิดประโยชน์มากขึ้น และมีการปรับตัวเพื่อให้ยังสามารถอาศัยอยู่ในพื้นที่บริเวณเดิมได้
จากการศึกษาพบว่าชาวกะเหรี่ยงได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบวิถีชีวิตให้เข้ากับการอาศัยอยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ มีความแตกต่างอย่างชัดเจนของหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ในเขตคุ้มครองป่าที่ไม่เข้มงวดกับหมู่บ้านที่อาศัยอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติที่มีการรักษากฎอย่างเข้มงวด การเข้าถึงโครงการพัฒนาของรัฐบาลก็ทำให้คุณภาพชีวิตของชาวบ้านทั้ง 2 หมู่บ้าน แตกต่างกันเช่นกัน
ชาวกะเหรี่ยงมีการปรับตัวทั้งในระดับครัวเรือน ระดับหมู่บ้าน และระดับเครือข่ายเพื่อให้ตนเองสามารถอาศัยอยู่ในพื้นที่เดิมได้อย่างมีความสุข โดยมีการรวมตัวกันเป็นเครือข่ายและประสานงานกับหน่วยงานภายนอกมากขึ้นเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองให้กับชาวกะเหรี่ยง เป็นเวทีให้มีการแลกเปลี่ยนความคิดระหว่างกะเหรี่ยงแต่ละหมู่บ้าน และเป็นหน่วยงานที่นำเสนอและส่งเสริมภาพลักษณ์ที่รัฐบาลและคนไทยมองชาวกะเหรี่ยงให้ไปในทางที่ดีขึ้น |
|
Focus |
เน้นการศึกษาชาวกะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ในบริเวณที่ถูกประกาศให้เป็นพื้นที่ป่าสงวนหรืออุทยานแห่งชาติ โดยศึกษาถึงผล กระทบที่เกิดขึ้นต่อชีวิตความเป็นอยู่ การปรับตัวเข้ากับกฎระเบียบแบบใหม่และการต่อสู้เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลเข้ามาแก้ไขและยอมรับชาวกะเหรี่ยง |
|
Theoretical Issues |
ใช้การศึกษาภายใต้กรอบความคิดเรื่องหลักความรู้ในท้องถิ่น การจัดการทรัพยากรของชุมชน สิทธิในการถือครองและพื้นที่คุ้มครองหรือป่าสงวน โดยการศึกษาข้อมูลในห้องสมุด เอกสารของรัฐบาลทั้งในกรุงเทพฯ และเขียงใหม่ การเก็บข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์ สังเกตจัดทำแผนที่และการเปรียบเทียบข้อมูลระหว่างหมู่บ้านกะเหรี่ยง 2 หมู่บ้านที่มีสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน เพื่ออธิบายถึงผล การเปลี่ยนแปลง และปัจจัยที่ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลง |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษากะเหรี่ยงมีระบบการเขียน 2 แบบที่แตกต่างกัน คือแบบพม่าและแบบโรมัน รูปแบบพม่านั้นเริ่มพัฒนาโดย Jonathan Wade ในปีค.ศ. 1843 และแบบโรมันนั้นพัฒนาโดยนักบวชโรมันคาทอลิกชื่อ Joseph Sequinotte ในปีค.ศ. 1954 มีการเขียนการออกเสียงได้ 2 แบบคือแบบเขียนซึ่งวรรณยุกต์นั้นจะอยู่เหนือสระ และแบบพิมพ์ซึ่งวรรณยุกต์จะอยู่ตามหลังคำต่อท้ายสระ (หน้า XIV-XV) ในภาษาอังกฤษเรียกกะเหรี่ยงว่า Karen คนไทยเรียกว่ากะเหรี่ยง คนพม่าเรียกคายินและคนไทยภาคเหนือเรียกว่ายาง (หน้า 1) |
|
Study Period (Data Collection) |
พฤษภาคม – กันยายน ค.ศ. 1996 |
|
History of the Group and Community |
กะเหรี่ยงเป็นกลุ่มคนที่อาศัยอยู่ทั้งในประเทศพม่าและประเทศไทย (หน้า 1) ตามความเชื่อของชาวกะเหรี่ยง ชาวกะเหรี่ยงกลุ่มแรกนั้นมีการตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ Htee Hset Met Ywa ซึ่งอยู่บริเวณแม่น้ำแยงซีเกียงภายในทะเลทรายโกบี หลังจากนั้นมีการอพยพลงมายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเชื่อว่าได้อาศัยอยู่ในพื้นที่บริเวณนี้มากกว่า 2000 ปีเริ่มนับจากปี 739 ก่อนคริสตศักราช (หน้า 18) ตามตำนานนางจามเทวีของไทย พบว่าชาวกะเหรี่ยงอาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับที่ตั้งเมืองเชียงใหม่ในปัจจุบันตั้งแต่ในช่วงคริสศตวรรษที่ 8 กะเหรี่ยงเชื่อว่าตนเป็นพวกแรกที่อาศัยอยู่ในที่ราบลุ่มแม่น้ำปิง และได้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับอาณาจักรทางภาคเหนือของไทยมาโดยตลอด แต่ก็ไม่มีหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรบันทึกถึงความสัมพันธ์และการคงอยู่ของชาวกะเหรี่ยง จนกระทั่งในศตวรรษที่ 18 ชาวกะเหรี่ยงเริ่มเป็นจุดสนใจของชาวไทยและชาวยวน ภายหลังจากการเข้าช่วยเหลืออาณาจักรล้านนาจากการปกครองของพม่า ระหว่างการสู้รบระหว่างอาณาจักรไทยและพม่า กะเหรี่ยงได้ทำหน้าที่เหมือนสายลับและสอดแนมกองทัพพม่า
ในสมัยรัชกาลที่ 3 จึงได้มีการตั้งเมืองสังขละบุรีเพื่อให้ชาวกะเหรี่ยงได้อาศัย และแต่งตั้งชาวกะเหรี่ยงเป็นผู้ปกครอง ทำให้ในช่วงต้นยุครัตนโกสินทร์ กะเหรี่ยงได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการปกครองในระดับท้องถิ่นของอาณาจักรไทย มีการตั้งเมืองสำหรับกะเหรี่ยงเพิ่มขึ้น เพื่อเป็นแนวป้องกันตามชายแดนฝั่งตะวันตกของประเทศไทย (หน้า 40-43)
บรรพบุรุษของหมู่บ้าน sunlight และ moonlight อพยพมาจากจังหวัดแม่ฮ่องสอนเข้ามายังจังหวัดเชียงใหม่และได้ตั้งถิ่นฐานในที่ดินบริเวณนี้มามากกว่า 100 ปี แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานทางเอกสารมายืนยันเลยก็ตาม (หน้า 160)
ชุมชนหมู่บ้าน sunlight ได้อพยพมายังที่ตั้งปัจจุบันเมื่อประมาณ 60 ปีที่แล้วเพื่อหนีจากการระบาดของโรคไข้ทรพิษ ทั้ง 2 หมู่บ้านมีการย้ายที่ตั้งหลายครั้งซึ่งเป็นเรื่องปกติของสังคมกะเหรี่ยงที่จะอพยพไปยังพื้นที่บริเวณใกล้เคียง เช่นเมื่อผู้นำทั้งทางการเมืองและศาสนาเสียชีวิต โดยไม่มีทายาทที่เหมาะสม การเกิดโรคระบาด หรือการแก้ไขข้อขัดแย้งระหว่างคนในหมู่บ้านเป็นต้น (หน้า 163) |
|
Settlement Pattern |
หมู่บ้าน Sunlight ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเก่า และหมู่บ้าน Moonlight ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนเก่า (หน้า 77) |
|
Demography |
ประชากรทั้งหมดของกะเหรี่ยงมีประมาณ 400,000 คนในประเทศไทยและ 7 ล้านคนในประเทศพม่า โดยในประเทศไทย ชาวกะเหรี่ยงถือเป็นชนกลุ่มน้อยที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ คิดเป็นประมาณ 50% ของทั้งหมด และมักจะอาศัยอยู่ทางภาคเหนือและภาคตะวันตกของประเทศ (หน้า 1,5) โดยส่วนมาก กะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยอยู่ในกลุ่มย่อย Sgaw ซึ่งคิดเป็น 80%ของกะเหรี่ยงทั้งหมด 76% ของประชากรอาศัยอยู่ภายในจังหวัดเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอนและตาก มีหมู่บ้านกะเหรี่ยงมากกว่า 2000 หมู่บ้านซึ่งมีตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ โดยเฉลี่ยแล้วแต่ละหมู่บ้านจะประกอบด้วย 25-30 ครัวเรือน (หน้า 19)
กะเหรี่ยงมากกว่า 30% ของทั้งหมดอาศัยอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่
ในหมู่บ้าน sunlight มีประชากรทั้งหมด 21 ครัวเรือน 113 คน และในหมู่บ้าน moonlight มีประชากร 81 ครัวเรือน 406 คน (หน้า 78)
ในปัจจุบันมีชาวบ้านบางส่วนที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนเวลามีการย้ายถิ่นฐานโดยเฉพาะคนที่แต่งงานแล้วย้ายเข้ามาในหมู่บ้าน เนื่องจากสำนักงานอำเภอนั้นตั้งอยู่ห่างไกลจากหมู่บ้าน และปัจจุบันไม่อนุญาตให้มีการย้ายเข้ามายังหมู่บ้านที่อยู่ในพื้นที่ของเขตอุทยานแห่งชาติ ทำให้ไม่สามารถลงทะเบียนเป็นสมาชิกของหมู่บ้านได้ (หน้า 167)
มีการเพิ่มของประชากรในหมู่บ้านภายในอุทยานแห่งชาติจำนวนมาก โดยเฉพาะอัตราการเกิดและการอพยพเข้ามาในพื้นที่ (หน้า 168) |
|
Economy |
การที่กะเหรี่ยงอาศัยอยู่ภายในป่า ทำให้มีวิถีชีวิตที่ต้องพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติโดยรอบชุมชนโดยเฉพาะป่า ในอดีต ชาวกะเหรี่ยงมีการดำรงชีวิตแบบพึ่งพาตนเอง คือสามารถผลิตเกือบทุกอย่างที่จำเป็นในชีวิตได้เพียงพอต่อการบริโภคในครัวเรือน มีการปลูกข้าว ข้าวโพด พริกและผักเพื่อประกอบอาหาร ปลูกต้นฝ้ายเพื่อผลิตเสื้อผ้า มีการเลี้ยงแกะและหูสำหรับประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อและบริโภคในครัวเรือน เลี้ยงวัวและควายเพื่อใช้ไถนา กะเหรี่ยงบางคนเลี้ยงช้างเพื่อใช้ในการลากไม้ ชาวกะเหรี่ยงจึงแทบจะไม่ต้องซื้อสินค้าจากภายนอกเลย นอกจากเกลือและเหล็กเพื่อใช้ในการเกษตร (หน้า 2-3)
ภายหลังจากนโยบายจำกัดการใทรัพยากรป่าไม้ซึ่งห้ามชาวกะเหรี่ยงใช้ประโยชน์จากป่าและการอพยพ ทำให้ชาวกะเหรี่ยงมีความเป็นอยู่ที่แย่และยากจนมากขึ้น เนื่องจากวิถีชีวิตส่วนใหญ่ต้องพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติเหล่านั้น (หน้า 8)
เศรษฐกิจของชาวกะเหรี่ยงในไทยแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือการเกษตรเพื่อเลี้ยงชีพและการเกษตรเพื่อค้าขาย โดยการเกษตรถือเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดต่อวิถีชีวิตของชาวกะเหรี่ยง โดยเฉพาะการทำเกษตรแบบไร่หมุนเวียนและการปลูกข้าวนาปี เพราะข้าวเป็นพืชที่สำคัญที่สุดสำหรับกะเหรี่ยงเพราะเป็นวัตถุดิบในการทำอาหารและมีค่ามากกว่าเงินหรือสิ่งของใดๆ (หน้า 22)
การปลูกข้าวแบ่งออกได้เป็น 2 แบบ คือแบบแห้งและแบบเปียก แบบเปียกนั้นจะปลูกข้าวในบริเวณที่เป็นขั้นบันไดซึ่งต้องการน้ำจำนวนมากจากระบบชลประทาน ในขณะที่แบบแห้งนั้นจะปลูกในพื้นที่ที่มีการถางและเผา และอาศัยเพียงฝนเท่านั้น ในอดีตการทำการเกษตรแบบถางและเผาเป็นการทำเกษตรที่เป็นรูปแบบหลักของชาวกะเหรี่ยงในประเทศไทย ส่วนมากจะทำควบคู่กับการปลูกข้าวแบบเปียก แต่ในปัจจุบันมีการเพาะปลูกแบบถางและเผาลดลงอย่างมากเนื่องจากนโยบายอนุรักษ์ป่าของรัฐบาลไทย (หน้า 22-23)
ในอดีตรายได้ที่เป็นตัวเงินส่วนใหญ่จะได้จากการขายของป่าและการขายสัตว์เลี้ยงเช่นหมู วัว หรือควาย นอกเหนือจากนั้นยังมาจากการขายแรงงานในการตัดไม้ และมีจำนวนน้อยมากที่ได้เงินจากการขายผลผลิตทางการเกษตร ซึ่งตรงข้ามกับในปัจจุบันที่การเกษตรเพื่อค้าขายมีบทบาทสำคัญในสังคมกะเหรี่ยง
ภายหลังจากมีการตัดถนนเชื่อมต่อหมู่บ้านกะเหรี่ยงเข้ากับตลาดในตัวเมืองและการขยายการทำการเกษตร ทำให้เศรษฐกิจเพื่อการค้าขายกลายเป็นส่วนหลักในการดำรงชีวิต การที่มีการขายสินค้าทางการเกษตรเพิ่มขึ้นนั้นทำให้ชาวบ้านมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและสามารถซื้ออาหารเพื่อชดเชยการลดการทำการเกษตรแบบเดิมได้ เนื่องจากกฎระเบียบเรื่องการอนุรักษ์ป่า (หน้า 23-24)
ในอดีต มีแรงงานกะเหรี่ยงจำนวนมากที่เกี่ยวข้องกับการทำสัมปทานป่าไม้โดยเป็นแรงงานหรือผู้รับเหมารายย่อย จนถึงช่วงปีค.ศ. 1989 ที่มีประกาศห้ามทำสัมปทานตัดไม้โดยเด็ดขาด (หน้า 23)
การทำการเกษตรไร่หมุนเวียนนั้น ในประเทศไทย แบ่งออกได้เป็น 3 รูปแบบ วิธีที่ชาวกะเหรี่ยงใช้คือแบบเพาะปลูกสั้นทิ้งว่างยาว (short cultivation – long fallow period) ซึ่งการเพาะปลูกแบบนี้เป็นเครื่องมือในการสร้างสังคมกะเหรี่ยงขึ้นมาเพราะความเคารพในวิญญาณและเข้าใจว่าวิถีชีวิตตนขึ้นกับทรัพยากรธรรมชาติ ทำให้ชาวกะเหรี่ยงมีกฎเกณฑ์และระเบียบซึ่งได้กลายเป็นข้อบังคับในชุมชนเกี่ยวกับการบริหารจัดการการเกษตรเพื่อให้ยังสามารถรักษาทรัพยากรธรรมชาติไว้ได้ในขณะเดียวกัน นอกจากนั้นชาวกะเหรี่ยงยังหลักการอนุรักษ์ป่าที่ปฏิบัติสืบต่อกันมานานที่ป้องการเสื่อมโทรมของป่าและแร่ธาตุซึ่งทำให้มีการเจริญกลับมาของต้นไม้และป่าในช่วงที่ทิ้งที่ดินว่างไว้ เช่นการทำแนวป้องกันไฟป่า การระมัดระวังไม่ทำลายหน้าดินระหว่างการเพาะปลูก ทิ้งที่ดินให้ว่างไว้ให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ก่อนเริ่มเพาะปลูกครั้งใหม่บนที่ดินเดิม เพราะจะทำให้ที่ดินมีความอุดมสมบูรณ์มากขึ้นและให้ผลผลิตที่ดีขึ้น และไม่ถอนต้นไม้ขึ้นมาทั้งรากและตอในระหว่างที่มีการถางที่ เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตามกะเหรี่ยงมักไม่ทำการเกษตรบนพื้นที่ที่ปล่อยร้างไว้นาน 10 ปีขึ้นไปเนื่องจากต้องใช้ปัจจัยด้านแรงงานมาก เพราะต้นไม้ที่ถูกทิ้งไว้จะโตเกินไป จากทั้งหมดแสดงว่าการเกษตรของกะเหรี่ยงนั้นไม่ได้เป็นเพียงการทำการเกษตรแต่ยังเป็นเหมือนจรรยาบรรณของสมาชิกในหมู่บ้านอีกด้วย (หน้า 24-26)
กะเหรี่ยงมีการแบ่งกลุ่มพื้นที่ป่าทิ้งร้างออกเป็น กลุ่มย่อยตามจำนวนปีที่ถูกทิ้งร้าง กลุ่มแรกคือทิ้งไว้ 1-2 ปี (ปีแรกเรียกว่า hsgi au meiปีที่สองเรียกว่า hsgi wa) เป็นช่วงเวลาที่ตอไม้เดิมจะเริ่มเจริญกลับขึ้นมาใหม่และสามารถเก็บพืชผักที่ลงไว้พร้อมกับการปลูกข้าวได้ กลุ่มที่ 2 คือ 3-4 ปี (เรียกว่า hsgi bau poo) เริ่มมีหญ้าและต้นไม้ขนาดเล็กเจริญขึ้นทำให้เหมาะสำหรับการเลี้ยงสัตว์ กลุ่มที่ 3 คือ 5-6 ปี (เรียกว่า hsgi yau plo) หน้าดินส่วนมากจะเริ่มกลับมาอุดมสมบูรณ์ มีแร่ธาตุที่พร้อมสำหรับการเพาะปลูกครั้งใหม่ กลุ่มที่ 4 คือ 7 ปีขึ้น(เรียกว่า doo la แทน hsgi) ไปจะเป็นดินที่พร้อมสำหรับการเพาะปลูกใหม่อีกครั้ง โดยเกษตรกรจะมีที่ดินมากกว่า 1 แปลงเพื่อหมุนเวียนใช้ในการเพาะปลูก และไม่ทำลายระบบนิเวศของป่า (หน้า 28,56)
ในการทำการเกษตรแบบไร่หมุนเวียนนั้นแบ่งออกเป็น 5 ขั้นตอนคือ
1. การเลือกที่ดิน ส่วนมากจะทำการเลือกในช่วงเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ มีความเชื่อว่าที่ป่าไม้ไผ่เป็นบริเวณที่อุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การปลูกข้าวมากที่สุดในขณะที่บริเวณป่าสนนั้นไม่เหมาะกับการปลูกข้าวเพราะแห้งและไม่มีสารอาหารที่เพียงพอ และนิยมเลือกที่ดินที่ค่อนข้างราบ และไม่ผิดข้อกำหนดหรือข้อห้ามตามความเชื่อ เช่น ห้ามเลือกที่ดินที่อยู่ระหว่างที่ดินทิ้งร้างและที่ดินที่เจ้าของที่ดินทิ้งร้างนั้นจะใช้เพาะปลูก เพื่อป้องกันความขัดแย้งระหว่างเจ้าของที่ดินและห้ามเลือกที่ดินที่อยู่คนละฟากฝั่งของหมู่บ้าน
2. การตัดและเผา จะเริ่มทำในเดือนกุมภาพันธ์ – มีนาคม ภายหลังจากการทำพิธี ki cu หรือการผูกข้อมือรับความปีใหม่ เป็นช่วงเวลาที่ต้องใช้แรงงานและมีการแลกเปลี่ยนแรงงานจำนวนมาก ภายหลังจากตัดต้นไม้แล้ว จะมีการทิ้งไว้ให้แห้งประมาณ 3-4 สัปดาห์ก่อนทำการเผา ซึ่งแต่ละครอบครัวจะต้องทำแนวป้องกันไฟเพื่อไม่ให้ไฟลามไปยังที่ดินข้างเคียง ในการเผานั้นจะต้องทำให้ถูกวิธีเพื่อให้สามารถเก็บกวาดสถานที่ได้ง่ายและที่ดินได้แร่ธาตุมากพอจากการเผา
3. การเพาะปลูก คือเริ่มมีการปลูกพืชต่างๆ ภายหลังจากฝนตกครั้งแรกช่วงเดือนพฤษภาคม โดยส่วนมากจะมีการปลูกพืชหลายชนิดลงในที่ดิน ซึ่งแต่ละชนิดก็มีเวลาเริ่มเพาะปลูกและสถานที่ที่เพาะแตกต่างกัน เช่นเผือก มันหวานและข้าวโพดจะต้องปลูกก่อนแล้วจึงค่อยปลูกข้าวและพืชอื่นๆ ภายหลัง เมล็ดถั่ว แตง และดอกไม้จะนิยมปลูกไปพร้อมกับการหว่านเมล็ดข้าว เป็นต้น
4. การกำจัดวัชพืช เป็นสิ่งที่จำเป็นมากในการปลูกข้าวแบบแห้ง โดยส่วนมากจะทำเดือนละ 1 ครั้ง กะเหรี่ยงบางส่วนมีการใส่เกลือและน้ำผสมเพื่อฆ่าวัชพืชด้วย
5. การเก็บเกี่ยว มีการเก็บเกี่ยวเป็นช่วงๆ ตามพืชที่เพาะปลูกลงไป แต่ส่วนมากในการเก็บเกี่ยวข้าว จะทำในช่วงกลางเดือนตุลาคม (หน้า 28-34)
ถึงแม้ว่ากะเหรี่ยงจะเปลี่ยนการดำรงชีวิตแบบพึ่งตนเองและพอเพียงมาเป็นเกษตรแบบค้าขายนั้นจะเพิ่มขึ้นมากในหมู่บ้าน แต่ก็ยังพบว่ารายได้เฉลี่ยของกะเหรี่ยงนั้นยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ต่ำ มีการประมาณว่ารายได้เฉลี่ยของแต่ละครอบครัวนั้นประมาณ 500$ ต่อปีในขณะที่รายได้เฉลี่ยของคนไทยอยู่ที่ 3000$ต่อปี (หน้า 36)
หมู่บ้านกะเหรี่ยงนั้นได้รับโครงการพัฒนาหมู่บ้านน้อยมากจากทางรัฐบาลเนื่องจากกะเหรี่ยงไม่ได้ปลูกฝิ่น ทำให้รัฐบาลไม่เห็นว่าเป็นปัญหา และโครงการส่วนมากนั้นจัดขึ้นเพื่อหาพืชเศรษฐกิจมาปลูกทดแทนการปลูกฝิ่น เช่นกาแฟ ผัก ดอกไม้ เป็นต้น ต่อมาในช่วงปีค.ศ. 1980 ชาวกะเหรี่ยงเริ่มได้รับโครงการพัฒนามากขึ้นเนื่องจากปัญหาเรื่องคอมมิวนิสต์ที่เริ่มเข้ามาในเขตพื้นที่ของชาวกะเหรี่ยง (หน้า 36-37)
ในช่วงต้นคริสตศตวรรษที่ 19 ชาวกะเหรี่ยงมีรายได้จากการขายของป่าเช่นหนังสัตว์ ยาสมุนไพร แร่ธาตุเช่นดีบุกและทอง และการทำสัมปทานป่าไม้เป็นต้น ทำให้ชาวกะเหรี่ยงมีญานะทางเศรษฐกิจที่ค่อนข้างดี แต่ต่อมาเมื่ออิทธิพลของชาติตะวันตกมีมากขึ้นทำให้การตัดไม้สักมีความสำคัญและมีค่ามากทางเศรษฐกิจ ทำให้ชาวไทยและยวนยกเลิกความสัมพันธ์กับชาวกะเหรี่ยง ทำให้กะเหรี่ยงถูกลดอำนาจลง ยาแผนจีนและแผนตะวันตกมีความนิยมเพิ่มมากขึ้น ทำให้ยาสมุนไพรได้รับความนิยมน้อยลง ส่งผลให้ชาวกะเหรี่ยงส่วนมากแยกย้ายกระจัดกระจายกันออกไปอาศัยอยู่ตามที่ต่างๆ เพราะรู้สึกสูญเสียชื่อเสียง และสถานะทางการเมือง บางส่วนถึงขั้นไม่อยากถูกคนไทยเรียกว่ากะเหรี่ยง จนกระทั่งเมื่อเริ่มมีนโยบายเกี่ยวกับปลุกความรักชาติในพื้นที่แถบชายแดนและมาตรการลดการปลูกฝิ่น ทำให้ชาวกะเหรี่ยง ถูกเหมารวมว่าเป็นกลุ่มชาวเขาของประเทศไทยแทนการมองว่าเป็น 1
ในกลุ่มคนพื้นเมืองทางภาคเหนือ (หน้า 43-46)
กะเหรี่ยงมีการแบ่งสิทธิ์ของประเภทที่ดินในชุมชนออกเป็น 3 กลุ่มคือ
1. สิทธิ์ในที่ดินของชุมชน ครอบคลุมถึงพื้นที่ป่าที่ไม่ได้ใช้สำหรับการเพาะปลูกซึ่งส่วนใหญ่อยู่ห่างไกลจากแหล่งน้ำ ทำให้ไม่สามารถนำมาทำนาข้าวได้ ไม่มีกะเหรี่ยงคนใดถือสิทธิ์หรือสามารถขายที่ดินบริเวณนี้ให้คนนอกหมู่บ้านได้ แต่ชาวบ้านมีสิทธิ์ในการใช้ที่ดินและเมื่อมีการปล่อยทิ้งไว้ คนอื่นก็สามารถใช้ได้
2. สิทธิ์ในที่ดินที่ใช้ร่วมกัน คือสิทธิ์ของครอบครัวที่แต่ละสมาชิกในหมู่บ้านสามารถใช้ร่วมกัน ส่วนมากเป็นบริเวณป่าไม้พุ่มที่อยู่ใกล้แหล่งน้ำซึ่งแต่ละครอบครัวมักใช้ในการหมุนเวียนเพาะปลูก สิทธิ์ในการถือครองสามารถส่งต่อไปยังลูกหลานได้ ครอบครัวอื่นสามารถใช้ที่ดินดังกล่าวในการเลี้ยงสัตว์ เก็บฟืนหรือเก็บของป่า แต่ไม่สามารถใช้เพื่อการเพาะปลูกได้
3. สิทธิ์ในที่ดินส่วนบุคคล ส่วนมากถือครองโดยสมาชิกในหมู่บ้านที่มีการใช้ที่ดินนั้นอย่างต่อเนื่องและมีการลงทุนทั้งแรงงานและอุปกรณ์ ครอบคลุมถึงสถานที่ตั้งบ้านเรือน สวนดอกไม้ ที่ดินที่เตรียมการเพาะปลูกและที่ดินไกลออกไปที่เป็นที่ตั้งของต้นน้ำของพื้นที่เพาะปลูก คือเกษตรกรสามารถจัดการพื้นที่และกิจกรรมี่เกิดขึ้นได้ แต่ตัวที่ดินยังเป็นสิทธิ์ของชุมชน ที่ดินส่วนบุคคลสามารถเปลี่ยนเจ้าของได้แต่ต้องให้ญาติสนิทก่อนจึงจะสามารถขายให้ชาวบ้านคนอื่น อุปกรณ์ที่ติดตั้งเพื่อการพัฒนาทรัพยากรเช่นท่อส่งน้ำนั้นถือเป็นสิทธิ์ของการเพาะปลูกและแหล่งน้ำนั้นๆ เมื่อมีการเปลี่ยนเจ้าของ ทรัพย์สินเหล่านี้ก็จะตกอยู่ในกรรมสิทธิ์ของเจ้าของใหม่ด้วยเช่นกัน (หน้า 62-63)
ภายในหมู่บ้าน Sunlight ไม่มีไฟฟ้าและโทรศัพท์ เพราะตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเก่า ในขณะที่หมู่บ้าน Moonlight มีการติดตั้งไฟฟ้าและโทรศัพท์สาธารณะในปีค.ศ. 1980 และ 1996ตามลำดับ (หน้า 79-80)
กะเหรี่ยงใช้ประโยชน์จากป่าในทุกๆ ด้านเช่น การเป็นแหล่งอาหาร แหล่งพลังงาน การสร้างบ้าน หายารักษาโรครวมไปถึงการสร้างสังคมและวัฒนธรรม ในอดีตกะเหรี่ยงมีการบริหารจัดการป่าไม้ได้ด้วยตนเอง โดยมี 2 ส่วนหลักที่ทำการจัดการคือชุมชนและครอบครัวขยาย โดยสามารถแบ่งป่าได้ตามคุณลักษณะต่างๆ คือ
1. ตามความสูง แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลักคือ Kau bgei พบที่ความสูงต่ำป่า ดินแห้งและมีก้อนหินเล็กๆ ตามพื้นดิน สามารถแบ่งย่อยได้อีกเป็น hapi hko คือป่าเบญจพรรณและ kau bgei hko เป็นป่าผลัดใบผสม และ k’ne ตั้งอยู่ในที่ที่ความสูงมากกว่า ดินร่วมมากกว่าทำให้ต้นไม้มีขนาดใหญ่กว่า สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทย่อยตามความสูงเช่นกันคือ k’ne hkau hti ตั้งอยู่ในความสูงที่ต่ำที่สุด ส่วนมากเป็นป่าสน k’ne hpa ตั้งอยู่ในความสูงระหว่าง K’ne hkau hti และ k’ne mu ส่วนมากเป็นป่าฝนร้อนชื้น และ k’ne mu ตั้งอยู่ในที่สูงที่สุด มีลักษณะเป็นป่าดิบเขา แต่ในการทำการเกษตรแบบถางและเผาจะทำให้รูปแบบป่าเปลี่ยนไป เช่น ป่าสน เมื่อมีการทำการเกษตรแล้วจะไม่สามารถเจริญกลับมาได้ จะ
เปลี่ยนเป็นต้นไม้ชนิดอื่นแทน
2. การแบ่งด้วยลักษณะทางกายภาพและภูมิศาสตร์ แบ่งออกได้เป็น 7 รูปแบบ
3. การแบ่งตามการใช้งาน ซึ่งมีความใกล้เคียงกับรูปแบบการแบ่งของกรมป่าไม้ โดยแบ่งตามระยะเวลาการใช้และการปฏบัติของคนในชุมชน แบ่งได้เป็น 3 แบบคือ
1. ป่าอนุรักษ์ เป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ของป่าของชาวกะเหรี่ยง มีความสำคัญมากต่อคนในชุมชนเพราะเป็นแหล่งต้นน้ำ ชาวกะเหรี่ยงจะไม่รุกล้ำหรือทำการเกษตรในพื้นที่บริเวณเหล่านี้ สามารถเก็บผลิตภัณฑ์จากป่า เช่นน้ำผึ้ง หน่อไม้ เห็ด แต่ไม่สามารถตัดต้นไม้หรือล่าสัตว์ได้ พื้นที่ป่าดังกล่าวครอบคลุมถึงบริเวณที่มีการฝังศพ ป่าที่มีการผูกสายสะดือ
2. ป่าชุมชน เป็นป่าที่อยู่รอบหมู่บ้าน ชาวบ้านจะเข้าใจตรงกันว่าทุกคนในชุมชนสามารถใช้ประโยชน์ได้จากที่ดินบริเวณนี้ เช่นการเก็บผัก การสร้างสิ่งก่อสร้าง ตัดไม้เพื่อเป็นฟืนและเลี้ยงสัตว์
3. ป่าที่เตรียมไว้สำหรับการเพาะปลูก มักจะอยู่ไม่ไกลจากหมูบ้าน ในอดีตจะใช้สำหรับการทำการเกษตรแบบถางและเผาเท่านั้น แต่ในปัจจุบัน มีการเปลี่ยนเป็นสวนผลไม้ พื้นที่ทดน้ำหรือเปลี่ยนกลับเป็นป่าเหมือนเดิม ที่ดินบริเวณนี้ส่วนใหญ่ได้ถูกปล่อยทิ้งร้างเนื่องจากไม่สามารถทำการเกษตรได้อีกต่อไปเพราะอยู่ในพื้นที่เขตป่าสงวน (หน้า 90,92-101) หญ้า cogon ที่ใช้ในการมุงหลังคาปัจจุบันพบน้อยลงเนื่องจากหญ้าจะขึ้นในพื้นที่ที่มีการเผาเป็นประจำทุกปีเท่านั้น (หน้า 103)
ชาวกะเหรี่ยงมีการเก็บวัตถุดิบเพื่อเป็นอาหารจากป่า เช่น เห็ด หน่อไม้ ผลไม้ป่าและพืชผักต่างๆ ในอดีตวัตถุดิบเหล่านี้เป็นอาหารสำคัญของชาวบ้านในหมู่บ้าน (หน้า 106)
ในหมู่บ้าน Sunlight ไม่มีร้านขายของชำและชาวบ้านยังคงพึ่งพาอาหารที่เก็บได้จากป่า นอกจากนั้นยังได้อาหารจากพืชและสวนที่ชาวบ้านทำการเพาะปลูกไว้ นานๆ ครั้งจึงจะเข้าเมืองเพื่อซื้ออาหารบางอย่าง ในขณะที่หมู่บ้าน moonlight ไม่ได้รับประทานอาหารที่เก็บจากป่าอีกต่อไป อาหารหลักของคนในหมู่บ้านมาจากพืชผักที่ปลูกเอง ภายในหมู่บ้านมีร้านขายของชำขนาดเล็ก 7 แห่ง ซึ่งหลายคนในหมู่บ้านใช้เป็นแหล่งอาหารหลัก (หน้า 106)
ชาวบ้านในหมู่บ้าน sunlight ยังการใช้ฟืนเพื่อหุงต้มอาหาร เพราะไม่มีไฟฟ้าใช้ในหมู่บ้าน แต่ในหมู่บ้าน moonlight มีการใช้แก๊สหุงต้ม และหม้อข้าว แต่ยังมีชาวบ้านส่วนใหญ่ที่ใช้ฟืนในการประกอบอาหาร ไม้ที่เหมาะกับการนำมาเป็นฟืนนั้นเช่น gau la the และ sei เพราะสามารถติดไฟได้นานและไม่เกิดควันมาก แต่มักจะไม่ใช้ไม้สนเพราะมีน้ำมันมากและก่อให้เกิดควันมาก โดยจะใช้ในการเริ่มก่อไฟเท่านั้น โดยชาวบ้านจะนิยมเก็บฟืนจากต้นไม้ที่ตายแล้วมากกว่าเนื่องจากไม้แห้งและสามารถใช้ได้เลย มีการเก็บฟืนในช่วงฤดูแล้งและเก็บไว้ใต้ถุนบ้านเพื่อใช้ตลอดปี (หน้า 107)
ในปัจจุบัน ชาวบ้านที่มีฐานะดีจะไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับป่าไม้ ในขณะที่ครอบครัวที่ยากจนจะใช้เวลาจำนวนมากเพื่อเก็บผลิตภัณฑ์จากป่า ในหมู่บ้าน sunlight พบว่าช่องว่างระหว่างคนจนและคนรวยนั้นมีไม่มาก และคนส่วนมากยังคงใช้เวลาในการเก็บของป่า ในขณะที่หมู่บ้าน moonlight มีช่องว่างทางฐานะที่กว้างกว่า ตามหลักปฏิบัติดั้งเดิม ผู้หญิงมีหน้าที่เข้าป่าเพื่อเก็บฟืนสำหรับใช้ในครอบครัว แต่ปัจจุบัน ฟืนได้กลายเป็นสินค้าที่ผู้ชายจากครอบครัวที่ยากจนกว่าจะเป็นผู้เก็บฟืนมาขายชาวบ้านคนอื่น (หน้า 109)
กะเหรี่ยงมีการแบ่งการใช้ที่ดินออกเป็น 3 ประเภทใหญ่คือ
1. พื้นที่ทดน้ำ แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทย่อยคือ his hti bo กักเก็บน้ำจากคลองทางส่งน้ำ และ his hti qai กักเก็บน้ำจากน้ำฝน โดยส่วนมากในการเพาะปลูก จะพึ่งพิงน้ำจากฝนเป็นหลัก และน้ำจากระบบส่งน้ำหรือการทดน้ำเพียงอย่างเดียวไมม่เพียงพอสำหรับการปลูกพืช พื้นที่ทดน้ำนี้เป็นรูปแบบการใช้พื้นที่ที่สำคัญที่สุดสำหรับชาวบ้าน เพราะเป็นแหล่งสำคัญที่จะช่วยให้ต้นกล้าเจริญเติบโต และออกผลจึงเป็นเหมือนเครื่องแสดงฐานะของคนในหมู่บ้าน นอกจากนั้น พื้นที่ทดน้ำยังได้รับการยอมรับอย่างไม่เป็นทางการจากรัฐบาลว่าเป็นการใช้พื้นที่อย่างถาวร ทำให้แม้ชาวบ้านจะไม่มีเอกสารสิทธิ์เหนือที่ดินนั้นแต่ก็ยังสามารถทำการเพาะปลูกได้
2. ไร่สวนถาวร ในการปฏิบัติแบบดั้งเดิมนั้น สวนเหล่านี้จะใช้เพื่อปลูกผักสวนครัวหรือผลไม้ดอกไม้ที่ใช้ในบ้านเท่านั้น เช่น มะม่วง ขนุน กล้วย มะขาม มะละกอ พริก ผักกาด มะเขือเทศเป็นต้น และมักจะอยู่ใกล้หรืออยู่ในบริเวณบ้าน ซึ่งการใช้ที่ดินแบบนี้เป็นสิ่งที่พบมากในหมู่บ้าน moonlight และไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพื่อการบริโภคภายในครัวเรือน เพราะชาวบ้านได้เปลี่ยนพื้นที่ที่เคยทำการเกษตรแบบถางและเผาให้กลายเป็นสวนผลไม้
3. พื้นที่การเกษตรแบบถางและเผา ใช้ปลูกพืชที่ใช้เพื่อยังชีพ เช่น ข้าวโพด ถั่ว ฟักทอง เผือก เป็นต้น ในหมู่บ้าน sunlight ชาวบ้านส่วนใหญ่ยังคงมีการทำการเกษตรแบบถางและเผาอยู่ แต่มีพื้นที่ลดลงอย่างมากเนื่องจากข้อบังคับของอุทยานแห่งชาติ ทำให้ชาวบ้านต้องมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบในการทำการเพาะปลูก ในขณะที่หมู่บ้าน moonlight นั้นเคยมีการเพาะปลูกแบบถางและเผาเป็นหลักแต่ได้เปลี่ยนเป็นการปลูกพืชเศรษฐกิจตามโครงการของรัฐบาลแทน และไม่เหลือการเกษตรแบบถางและเผาอีกในหมู่บ้านตั้งแต่ปีค.ศ. 1992เพราะชาวบ้านเลือกที่จะไปทำการปลูกพืชเศรษฐกิจแทน ในอดีตแต่ละครอบครัวจะมีที่ดินเพื่อทำการเกษตรจำนวน 6-7 แปลงเพื่อให้สามารถหมุนเวียนใช้ได้ แต่ในปัจจุบันชาวบ้านไม่สามารถทำการหมุนเวียนใช้ที่ดินได้ เพราะที่ดินที่ถูกปล่อยทิ้งไว้จะถูกเจ้าหน้าที่อุทยานอ้างสิทธิ์ทันที ทำให้ชาวบ้านครอบครองที่ดินประเภทนี้น้อยลงและต้องเพาะปลูกบนที่ดินเดิมติดต่อกันเป็นเวลานาน (หน้า 114-125) ชาวบ้านในหมู่บ้านทั้ง sunlight และ moonlight ใช้น้ำที่เป็นน้ำผิวดิน ซึ่งมาจากน้ำฝนปละน้ำบาดาล ในอดีตชาวบ้านมีการใช้น้ำกันอย่างประหยัดเนื่องจากบ่อน้ำอยู่ไกลและการขนน้ำมาใช้นั้นต้องใช้แรงงานหนัก ชาวบ้านจึงเดินทางไปอาบน้ำและซักเสื้อผ้าที่บริเวณแหล่งน้ำแทนการขนน้ำมาใช้ในหมู่บ้าน แต่ในปัจจุบัน หมู่บ้านกะเหรี่ยงมีระบบส่งน้ำ ห้องน้ำที่ชาวบ้านจะใช้อาบน้ำภายในตัวบ้าน ไม่มีการเดินไปที่แม่น้ำอีกต่อไป โดยระบบท่อส่งน้ำนั้นทำจากท่อพีวีซีต่อกัน ไม่มีการกรองน้ำ น้ำที่ได้ไม่สามารถนำมาใช้ดื่มได้ในช่วงที่มีฝนตกหนักเนื่องจากน้ำจะมีตะกอนมากเกินไป และในหมู่บ้าน moonlight จะใช้น้ำดังกล่าวในการทำความสะอาดหรือเพื่ออุปโภคเท่านั้น (หน้า 134-135) น้ำที่ใช้ในการเกษตรนั้นมาจากน้ำฝนหรือฝายที่ปันน้ำมาจากลำธารหรือแม่น้ำ โดยฝายที่สร้างขึ้นมีขนาดเล็กถ้าเทียบกับฝายในที่ราบ และสร้างจากวัสดุที่หาได้ในท้องถิ่น เช่นไม้
ไผ่ ขอนไม้ หิน โคลนเป็นต้น โดยระบบทดน้ำนั้นสามารถมีเจ้าของร่วมกันได้หลายคนซึ่งจะต้องรับผิดชอบต่อการซ่อมบำรุงระบบทดน้ำของตนเองถ้าเกิดการเสียหาย (หน้า 135) ชาวบ้านในหมู่บ้าน moonlight จะทำการเพาะปลูกข้าวและพืชเศรษฐกิจในช่วงฤดูฝนและจะปลูกเฉพาะพืชเศรษฐกิจในช่วงฤดูแล้ง (หน้า 136) ในอดีตชาวบ้านไม่เคยประสบปัญหาภัยแล้งมาก่อนเนื่องจากน้ำถูกใช้เพื่อการทำนาเท่านั้น แต่ในช่วงหลังเริ่มมีกลุ่มเกษตรกรที่ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำ เพราะมีการปลูกพืชเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในฤดูแล้ง และภาวะโลกร้อนที่ทำให้ฝนไม่ตกตามฤดูกาล (หน้า 137-139)
ในสังคมกะเหรี่ยงนั้นแรงงานส่วนใหญ่เป็นแรงงานในครอบครัว ทุกคนในบ้านก็มีหน้าที่ของตนเองในการช่วยเหลืองานของครอบครัว โดยจะมีพ่อแม่เป็นแรงงานหลักโดยเฉพาะเมื่อลูกยังเล็ก แต่เมื่อลูกโตพอ พ่อแม่ก็จะถ่ายความรับผิดชอบในงานส่วนใหญ่ของบ้านให้แก่ลูก แต่ในปัจจุบัน สังคมกะเหรี่ยงเริ่มประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานเนื่องจากเด็กส่วนใหญ่ต้องไปโรงเรียนแทนการทำงานอยู่ในไร่นา โดยเฉพาะครอบครัวที่มีฐานะ ซึ่งลูกหลานมักจะเรียนถึงระดับสูงและหางานทำในเมือง แม้ว่าเทคโนโลยีจะช่วยลดความต้องการแรงงานลงไปก็ตาม (หน้า 139-140,144)
ชาวกะเหรี่ยงมีการแลกเปลี่ยนแรงงานซึ่งเรียกว่า ma dau ma ka ทั้งในด้านเกษตรกรรมและเรื่องทั่วไป เช่นการสร้างบ้าน ในการแลกเปลี่ยนนั้นไม่มีการทำสัญญาอย่างเป็นทางการ มีเพียงการจดจำสัญญา ซึ่งทุกคนที่เคยให้ความช่วยเหลือแล้วคาดหวังว่าจะได้รับความช่วยเหลือที่เท่าเทียมกัน หากมีการผิดคำสัญญา ชาวบ้านคนอื่นก็จะไม่ทำการแลกเปลี่ยนแรงงานด้วยอีกต่อไป โดยในการช่วยเหลือคืนนั้นสามารถจ้างคนอื่นมาทำแทนได้ถ้าตนเองถูกเรียกขอความช่วยเหลือมากกว่าจำนวนคนที่มีในครอบครัว เพราะจะเป็นการเสียมารยาทหากมีสมาชิกในครอบครัวที่ว่างอยู่และไม่ได้เป็นผู้แลกเปลี่ยนแรงงานด้วยตนเอง สามารถทำสัญญากันข้ามฤดูการเพาะปลูกได้ แต่มักจะไม่เกิดขึ้นเพราะชาวบ้านจะรู้ของกำหนดการเพาะปลูกของแต่ละบ้านดันอยู่แล้ว การแลกเปลี่ยนแรงงานถือเป็นปัจจัยสำคัญ
การทำเกษตรกรรม เนื่องจากขั้นตอนส่วนใหญ่มีข้อกำหนดด้านเวลาทำให้ต้องการแรงงานมาช่วยทำ การแลกเปลี่ยนแรงงานนั้นรวมถึงแรงงานที่มาจากภายนอกหมู่บ้านด้วย การแลกเปลี่ยนแรงงานจึงเป็นเครื่องมือที่ทำให้ทุกคนในหมู่บ้านสนิทกันมากขึ้น (หน้า 146-148,151)
ในอดีตการจ้างแรงงานนั้นมีจำนวนน้อยเพราะชาวบ้านนิยมระบบการแลกเปลี่ยนแรงงานมากกว่า โดยจะมีการจ้างแรงงานเพิ่มเติมเวลาที่ไม่มีคนพอ และในการจ้างนั้นสามารถจ่ายเป็นเงินหรือผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้ สามารถจ้างได้ทั้งแบบวันหรือแบบฤดูกาล นอกจากนั้นชาวกะเหรี่ยงบางส่วนยังมีการออกไปขายแรงงานให้กับคนไทยหรือชาวม้งเช่นการเตรียมที่ดินก่อนการเพาะปลูกเป็นต้น ในปัจจุบัน การจ้างแรงงานมีบทบาทมากขึ้นในสังคมกะเหรี่ยง เพราะการลดจำนวนการเพาะปลูกแบบถางและเผาทำให้มีการเพิ่มจำนวนคนที่หารายได้จากการใช้แรงงานมากขึ้น ทำให้ชาวบ้านเริ่มออกไปหางานทำนอกหมู่บ้าน (หน้า 153-156)
มีแรงงานอีกรูปแบบหนึ่งซึ่งมักเป็นแรงงานที่เกิดจากการอาสาสมัครมาช่วยเหลือโครงการของชุมชน เช่นการสร้างธนาคารข้าว ซ่อมระบบส่งน้ำ ขุดถนน ทำแนวป้องกันไฟเป็นต้น นอกจากนั้นยังสามารถพบได้ในการจัดงานแต่งงานหรืองานศพซึ่งทุกคนในหมูบ้านจะหยุดทำงานและส่งคนมาช่วยเจ้าภาพจัดเตรียมอาหารและอื่นๆ (หน้า 157-158)
การมีถนนลาดยางเข้าถึงหมู่บ้านทำให้มีการขนส่งสินค้าทางการเกษตรง่ายขึ้น และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเช่นไฟฟ้านั้นก็ทำให้คุณภาพชีวิตดีของชาวบ้านดีขึ้นกว่าหมู่บ้านที่ไม่ได้รับการช่วยเหลือจากโครงการพัฒนาชาวเขาของรัฐบาลอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนั้นรัฐบาลยังจัดหาไฟฟ้าและน้ำประปาให้เข้ามาถึงในชุมชน ควบคู่กับตั้งศูนย์พัฒนาด้านการเกษตร ซึ่งได้มีบทบาทในการยกระดับความเป็นอยู่ของชาวบ้านให้ดีขึ้นอย่างมาก (หน้า 175)
ในความเป็นจริงแล้วยังคงมีที่ดินอีกมากที่สามารถใช้ในการเพาะปลูกได้ แต่การนำที่ดินเหล่านั้นมาใช้ในการเพาะปลูกโดยเฉพาะแบบถางและเผาถือเป็นสิ่งผิดกฎหมายคุ้มครองป่า ชาวบ้านในหมู่บ้าน sunlight ไม่สามารถใช้ที่ดินดังกล่าวได้อีกต่อไปเพราะเป็นที่ดินของอุทยานแห่งชาติ ชาวบ้านบางส่วนที่เข้าไปปรับที่ดินสำหรับทำการเพาะปลูกมักจะถูกจับและต้องจ่ายค่าปรับ (หน้า 176-177)
ในอดีต กะเหรี่ยงไม่เคยมีความกังวลเกี่ยวกับการขาดแคลนข้าว เนื่องจากมีที่ดินจำนวนมากที่สามารถใช้ในการเพาะปลูกได้ แต่ในปัจจุบันการขาดแคลนข้าวกลายเป็นปัญหาหลัก เพราะชาวบ้านสามารถทำนาได้แต่แบบเปียกในพื้นที่ทดน้ำ แต่ไม่สามารถทำนาแบบแห้งในที่ดินทำการเกษตรแบบถางและเผาได้ ทำให้ชาวบ้านมากกว่า 60%มีข้าวไม่พอต่อการใช้บริโภคในครัวเรือน ทำให้ชาวบ้านหันไปทำงานประเภทอื่นเพื่อหารายได้มาซื้อข้าว หมู่บ้าน โดยเฉพาะการปลูกพืชเศรษฐกิจตามโครงการของรัฐบาล การออกไปรับจ้างใช้แรงงานใน
ใกล้เคียง การเก็บของป่าขาย เป็นต้น ชาวกะเหรี่ยงหลายคนสามารถแก้ปัญหาการขาด
แคลนข้าวได้ แต่ชาวบ้านในหมู่บ้าน sunlight ที่ไม่ได้รับโครงการพัฒนาจากรัฐบาลยังคง
ประสบปัญหาความยากจนและขาดแคลน (หน้า 180-184)
ในวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม พื้นที่ทดน้ำจะใช้ในการทำนาแบบเปียกใช่วงฤดูฝนเท่านั้น ในช่วงฤดูแล้งจะใช้สำหรับเลี้ยงสัตว์ แต่ในปัจจุบันมีการใช้พื้นที่ทดน้ำอย่างต่อเนื่อง มีการเพาะปลูกในที่ดินเกิดขึ้นตลอดเวลา ทำให้ครอบครัวส่วนมากมีรายได้เพิ่มเติมในช่วงฤดูแล้ง (หน้า 190,192) การทำสวนผลไม้ก็ได้กลายเป็นการเพาะปลูกรูปแบบหลักของชาวบ้าน ทำให้เกษตรกรมีการขยายที่ของสวนจากตอนแรกที่อยู่ภายในบริเวณบ้านไปใช้พื้นที่ที่เคยใช้เพาะปลูกแบบถางและเผาซึ่งอยู่ห่างออกไปจากหมู่บ้าน โดยชาวบ้านมีการปลูกอะโวคาโด ลูกแพร์ พีชและพืชผักผลไม้ที่มาจากประเทศที่มีภูมิอากาศใกล้เคียงกับภาคเหนือ รวมถึงใช้เพาะปลูกพืชเศรษฐกิจระยะสั้น (หน้า 192)
ครอบครัวที่มีฐานะยากจนในหมู่บ้าน Sunlight บางครอบครัวไม่ต้องการที่จะลงทุนจำนวนมากไปกับการปลูกพืชเศรษฐกิจเนื่องจากมีความผันผวนของราคามากและต้องแบกรับความเสี่ยงที่สูง นอกจากนั้นเนื่องจากไม่มีการตัดถนนเข้ามายังหมู่บ้านทำให้รถบรรทุกไม่สามารถเข้าถึงพื้นที่เพาะปลูกและทำการขนส่งได้สะดวก (หน้า 191)
มีการเปลี่ยนแปลงการทำการเกษตรจากแบบถางและเผาที่ต้องปล่อยที่ดินไว้หลายปีมาเป็นปล่อยทิ้งว่างไว้น้อยลง แม้จะทำให้แร่ธาตุในดินน้อยกว่าที่เคยเป็น มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบมาเป็นการปลูกพืชแบบขั้นบันได หรือเปลี่ยนที่ดินบริเวณนั้นให้กลายเป็นสวนผลไม้อย่างถาวร โดยเฉพาะในหมู่บ้าน Sunlight แต่ชาวบ้านในหมู่บ้าน Moonlight ไม่ได้ถูกบีบบังคับแต่ได้เลือกเองว่าจะเปลี่ยนวิธีการเพาะปลูก (หน้า 195) |
|
Social Organization |
กะเหรี่ยงประกอบด้วย 11 กลุ่มย่อยในประเทศพม่า ในประเทศไทยพบว่ามีเพียง 2 กลุ่มคือกลุ่มสะกอ (Sgaw) และกลุ่มโปว์ หรือโพล่ง (Pwo) (หน้า 18)
ผู้สูงอายุชาวกะเหรี่ยงส่วนมากจะอยู่กับบ้านเพื่อดูแลบ้านและเลี้ยงหลาน ดำรงชีวิตด้วยการพึ่งพิงลูกหลานของตนเอง ทำให้ชาวกะเหรี่ยงนิยมมีลูกหลายคน (หน้า 140)
การแลกเปลี่ยนแรงงานระหว่างหมู่บ้านเป็นการเปิดโอกาสให้หนุ่มสาวได้ทำความรู้จักกัน (หน้า 147)
ในวัฒนธรรมกะเหรี่ยง เนื่องจากกะเหรี่ยงอยู่กันในลักษณะครอบครัวขยาย เมื่อมีการแต่งงาน ฝ่ายชายจะต้องอพยพเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านของฝ่ายหญิง แต่ละคนในครอบครัวมีหน้าที่และบทบาทเพื่อช่วยเหลือครอบครัวในรูปแบบของตน (หน้า 139,167) |
|
Political Organization |
ในอดีต จะมีผู้อาวุโสในชุมชนเป็นผู้บริหารจัดการและควบคุมการใช้ทรัพยากรต่างๆ สำหรับสมาชิกในหมู่บ้าน (หน้า 3)
ภายหลังจากการเปลี่ยนนโยบายของรัฐบาลต่อกลุ่มชาวเขา ทำให้มีหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนเข้ามายังชุมชนกะเหรี่ยง แต่จนถึงปัจจุบันก็ยังพบว่าชาวบ้านมีส่วนร่วมน้อยมากในโครงการพัฒนาเหล่านี้ เพราะส่วนมากจะเป็นโครงการพัฒนาที่มีเจ้าหน้าที่เข้ามายังชุมชน และสั่งให้ชาวบ้านทำตาม โดยไม่ถามความคิดเห็นของชาวบ้านทำให้มีชาวบ้านไม่พอใจโดยเฉพาะความต้องการที่จะเปลี่ยนรูปแบบการทำการเกษตรของชาวบ้าน เนื่องจากเจ้าหน้าที่โทษว่าวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมของชาวเขานั้นเป็นสาเหตุของการตัดไม้ทำลายป่าในประเทศไทย ทำให้เจ้าหน้าที่มีการออกนโยบายเพื่อจำกัดการเข้าถึงป่าไม้ของชนกลุ่มน้อย ทำให้คุณภาพชีวิตของชนกลุ่มน้อยยิ่งแย่ลงเนื่องจากมีวิถีชีวิตที่ต้องพึ่งพาทรัพยากรจากธรรมชาติเป็นหลักในการดำเนินชีวิต (หน้า 8-9)
การเข้ามามีบทบาทของรัฐยังทำให้ชาวกะเหรี่ยงสูญเสียอำนาจในการควบคุมและดูแลการใช้ทรัพยากรของตนเอง เนื่องจากมีข้อบังคับและกฎออกมาควบคุมการใช้ทรัพยากรโดยรอบชุมชน เพราะป่าที่ชาวกะเหรี่ยงอาศัยอยู่นั้นได้กลายเป็นพื้นที่ป่าสงวนและเขตอนุรักษ์ (หน้า 14)
ชาวกะเหรี่ยงนั้นได้อาศัยอยู่ในพื้นที่ประเทศไทยมาเป็นเวลานานหลายศตวรรษ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ได้ถือสัญชาติไทย มีเพียง 89% ที่ถือสัญชาติไทย และกะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ตามชายแดนไทย-พม่าส่วนใหญ่นั้นไม่มีสถานะอย่างเป็นทางการ แต่ก็ยังถือว่าเป็นสัดส่วนที่มากเมื่อเทียบกับชนกลุ่มน้อยกลุ่มอื่น ซึ่งการได้รับสัญชาติไทยนั้นจะทำให้ชนกลุ่มน้อยสามารถเข้าถึงบริการของรัฐด้านสาธารณสุขและการศึกษาได้ (หน้า 34)
กะเหรี่ยงส่วนมากไม่มีสิทธิในการครอบครองที่ดินที่ตนเองทำการเพาะปลูกอยู่ มีเพียง 35% ของทั้งหมดที่มีเอกสารแสดงความเป็นเจ้าของที่ดิน เนื่องจากส่วนมากกะเหรี่ยงอาศัยอยู่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติซึ่งไม่สามารถทำการเพาะปลูกได้ตามกฎหมาย (หน้า 35)
การที่กะเหรี่ยงอยู่ในสถานะที่ไม่ชัดเจนนั้นทำให้มีรายได้ที่ลดลงและได้รับการบริการสุขภาพที่น้อยกว่าความเป็นจริง (หน้า 36)
ปัจจุบัน กะเหรี่ยงไม่ได้สิทธิ์ในการถือครองที่ดินทั้งแบบบุคคลและของชุมชน ทำให้ที่ดินทางการเกษตรส่วนใหญ่เป็นของรัฐบาลและถูกคุ้มครองภายใต้กฎหมายอุทยานแห่งชาติ กะเหรี่ยงมากกว่า 70% อาศัยอยู่ในที่ดินของอุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าซึ่งผิดกฎหมาย แม้ว่าหมู่บ้านกะเหรี่ยงจะตั้งอยู่บนพื้นที่นี้ก่อนที่จะมีการออกกฎหมายเขตอนุรักษ์ก็ตาม เพราะรัฐบาลไม่ได้ยกเว้นพื้นที่เพาะปลูกว่าให้เป็นส่วนหนุ่งของชุมชน ชาวบ้านจึงไม่มีสิทธิ์เป็นเจ้าของพื้นที่เพาะปลูกเหล่านั้น (หน้า 59-60)
องค์กรที่มีอำนาจในการจัดการป่าในหมู่บ้านกะเหรี่ยงในอดีตคือสภาผู้อาวุโส ซึ่งเป็นการรวมตัวของเหล่าผู้อาวุโสเพื่อเป็นที่ปรึกษาในการจัดการกับปัญหาของหมู่บ้าน โดยในสภาผู้อาวุโสนี้ก็จะมีผู้นำหมู่บ้านตามแบบท้องถิ่นซึ่งมักจะเป็นผู้ที่เริ่มก่อตั้งหมู่บ้านหรือทายาทผู้ก่อตั้ง เป็นสมาชิกด้วย และผู้นำหมู่บ้านแบบเป็นทางการที่มีการแจ้งต่อหน่วยงานของรัฐบาลไทย โดยมาจากการเลือกตั้ง ในบางหมู่บ้าน ผู้นำทั้ง 2 ประเภทนี้เป็นคนเดียวกัน สมาชิกอื่นๆ ในสภาอาวุโสจะประกอบไปด้วยผู้อาวุโสที่เป็นหัวหน้าครอบครัวที่เป็นที่นับถือของคนในหมู่บ้าน โดยปกติแล้วจะมีสมาชิกทั้งหมด 4-10 คนขึ้นกับขนาดของหมู่บ้าน หน้าที่หลักของสภาคือการหาข้อตกลงในเรื่องสำคัญๆ ของหมู่บ้านเช่นการแบ่งหน้าที่ให้แก่คนในชุมชนเป็นต้น แต่ในปัจจุบัน อำนาจในการบริหารจัดการจะเป็นของหัวหน้าหมู่บ้านที่มีจากการเลือกตั้งเป็นหลัก แต่ก็ต้องผ่านสภาอาวุโสเพื่ออนุมัติก่อนจึงสามารถนำไปปฏิบัติได้ (หน้า 90-91)
ปัจจุบัน อำนาจในการบริหารจัดการป่าไม้ของสภาอาวุโสลดน้อยอย่างมาก เพราะมีกรมป่าไม้เป็นผู้จัดการพื้นที่ป่ารอบหมู่บ้าน แต่ก็ยังคงมีบทบาทในการปกป้องคุ้มครองป่าที่เหลือจากการรุกรานของคนภายนอก เนื่องจากชาวบ้านมองว่ากรมป่าไม้มีเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอและไม่สามารถดูแลพื้นที่ป่าได้ทั่วถึง ปัจจุบันจึงได้มีการรวมตัวกันของหมู่บ้านเพื่อสร้างเครือข่ายขึ้นมาจัดการกับการบริหารพื้นที่ป่า โดยเฉพาะกับคนภายนอกที่มองว่ากะเหรี่ยงเป็นส่วนหนึ่งของชาวเขาที่ต้องรับผิดชอบต่อป่าที่ถูกทำลายไป (หน้า 91-92)
ในพื้นที่หมู่บ้าน moonlight มีที่ดินแปลงเดียวที่มีเอกสารสิทธิ์ครอบครองและไม่มีที่ดินใดมีเอกสารสิทธิ์เลยในหมู่บ้าน sunlight meทำให้ชาวบ้านไม่สามารถอ้างสิทธิ์เหนือที่ดินบริเวณนั้นได้ รัฐบาลเคยมีนโยบายเก็บภาษีจากพื้นที่ที่ทำการเกษตร โดยเรียกว่า พบท. ซึ่งชาวบ้านที่จ่ายเงินค่าภาษีจะได้รับใบเสร็จรับเงินที่ชาวบ้านเชื่อว่าทำให้ตนเองมีสิทธิ์เป็นเจ้าของที่ดิน ต่อมาการเก็บภาษีดังกล่าวได้ถูกยกเลิก เนื่องจากมีการห้ามทำการเพาะปลูกอย่างเป็นทางการบนที่ดินซึ่งเป็นป่าสาธารณะ (หน้า 126-127)
การที่ชาวบ้านไม่มีเอกสารแสดงสิทธิ์เหนือที่ดินของตนทำให้ชาวบ้านอยู่ในสถานะผู้ที่ทำการเกษตรบนที่ดินอุทยานแห่งชาติแบบผิดกฏหมายและอาจจะถูกสั่งให้อพยพออกนอกพื้นที่ได้ทุกเมื่อ และทำให้คนไทยไม่สนใจซื้อที่ดินของชาวกะเหรี่ยง (หน้า 129) พื้นที่ทดน้ำถือว่าเป็นพื้นที่ประเภทของส่วนบุคคล แต่เป็นพื้นที่ส่วนบุคคลที่คนภายนอกสามารถเดินผ่านไปมาและเก็บผัก ตกปลาหรือปูได้ตราบใดที่ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อพืชที่เจ้าของปลูกไว้ โดยเฉพาะในช่วงหลังเก็บเกี่ยวซึ่งจะมีการปล่อยทิ้งว่างไว้ คนภายนอกก็สามารถนำสัตว์มาหากินในที่ดินว่างเปล่าเหล่านี้ได้แต่อยู่ในความเข้าใจตรงกันว่าจะต้องไม่ทำให้สิ่งปลูกสร้างในที่ดินเสียหาย (หน้า 129-130)
ในอดีตผู้คนสามารถเก็บผลไม้ที่ตกจากต้นที่ชาวบ้านปลูกได้เลยโดยไม่ต้องขออนุญาต และยังมีความคิดว่าการขายผลไม้ให้กับคนภายในหมู่บ้านกันเองนั้นเป็นสิ่งที่ขัดต่อหลักสังคม แต่ในปัจจุบัน ชาวบ้านเปลี่ยนรูปแบบมาเป็นการทำสวนผลไม้มากขึ้นและผลไม้ได้สามารถกลายเป็นแหล่งรายได้หลักของครอบครัว สวนผลไม้จึงเป็นสถานที่ส่วนบุคคลที่คนนอกไม่เข้ามาภายในบริเวณได้ (หน้า 132)
โดยปกติแล้วที่ดินที่ใช้ในการเกษตรแบบถางและเผาถือเป็นสิทธิ์ส่วนบุคคลซึ่งครอบคลุมถึงเวลาที่ปล่อยทิ้งว่างไว้ แต่ว่ามีเพียงช่วงเวลาเพาะปลูกเท่านั้นที่ที่ดินจะเป็นสิทธิ์ของเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว ในขณะที่เวลาหลังการเก็บเกี่ยว ที่ดินดังกล่าวสามารถใช้ในกิจกรรมของชุมชนหรือเป็นสิทธิ์ของชาวบ้านทั่วไปที่สามารถเข้ามาหาของป่าหรือทรัพยากรต่างๆ และ สามารถนำสัตว์มาเลี้ยงในบริเวณดังกล่าว สามารถตัดต้นไม้เพื่อนำไปเป็นฟืนได้แต่ในปริมาณที่จำกัด แต่ห้ามจุดไฟบนพื้นที่ดังกล่าวเด็ดขาดเนื่องจากจะส่งผลกระทบต่อความสมบูรณ์ของหน้าดินและการเจริญเติบโตของป่า (หน้า 132-133) ในการได้สิทธิ์ของที่ดินสำหรับการถางและเผานั้น ขึ้นกับแรงงานที่เป็นคนถางป่า เพราะฉะนั้นถ้าเจ้าของเดิมปล่อยให้ที่ดินบริเวณนั้นทิ้งร้างมากกว่า 10 ปี เจ้าของเดิมก็อาจจะสูญเสียสิทธิ์ให้กับชาวบ้านคนอื่นๆ ได้ (หน้า 133) การที่ชาวบ้านไม่สามารถลงทะเบียนเป็นสมาชิกในหมู่บ้านได้ ทำให้ไม่สามารถใช้บริการของรัฐในพื้นที่ได้ เช่นบริการทางด้านสุขภาพเป็นต้น ซึ่งต้องเป็นคนในพื้นที่นั้นจึงจะได้รับสิทธิ์รักษา ในขณะที่คนนอกพื้นที่จะต้องจ่ายค่าบริการ และทำให้สิทธิ์ของชาวกะเหรี่ยงน้อยกว่าประชากรคนอื่นๆ (หน้า 168) ชาวกะเหรี่ยงแม้ทุกคนจะถือสัญชาติไทยแต่ก็ไม่ได้รับสิทธิ์อย่างเต็มที่ตลอดเวลา โดยเฉพาะนโยบายอนุรักษ์ของรัฐบาลที่มักละเมิดสิทธิของประชากรกะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้น (หน้า170)
สภาวะที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ชาวกะเหรี่ยงเริ่มออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลพัฒนาเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตให้กับชาวกะเหรี่ยงมากขึ้น ในอดีตกะเหรี่ยงมักจะหลีกเลี่ยงปัญหากับนโยบายของรัฐบาลหรือคนส่วนมาก โดยการพยายามแยกตัวห่างออกจากสังคมหลัก มาอาศัยอยู่ในแถบภูเขา การออกมาเรียกร้องของชาวกะเหรี่ยงครั้งแรกนั้นเนื่องจากปัญหาขาดแคลนน้ำในอำเภอแม่สะเรียง และเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกการทำอุตสาหกรรมไม้ในพื้นที่ชุ่มน้ำ การเรียกร้องนั้นทำโดยหลายรูปแบบเช่นการปิดถนนเป็นต้นจนได้ประสบผลสำเร็จเมื่อรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์สั่งให้มีการสืบสวนข้อเท็จจริงและยกเลิกสัมปทานอุตสาหกรรมในพื้นที่ดังกล่าว (หน้า 188-189)
กะเหรี่ยงหลายชุมชนได้เข้าร่วมเครือข่ายพื้นที่ชุ่มน้ำเพื่อสร้างความเข้มแข็งในการบริหารจัดการทรัพยากร และพิสูจน์ให้สังคมเห็นว่าพวกเขาสามารถอาศัยอยู่ร่วมกับป่าไม้ได้ โดยไม่ทำให้เกิดผลเสียต่อป่า (หน้า 189) ในหมู่บ้าน moonlight ชาวบ้านมีการเข้าร่วมกับโครงการของหน่วยงาน NGO และเรียกร้องความช่วยเหลือจากองค์กรเหล่านั้น เช่นกองทุนเด็กคริสเตียน (CCF), CDSAC มาช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชากร เช่นการสร้างธนาคารข้าวเป็นต้น (หน้า 198-200)
ปัจจุบัน กะเหรี่ยงรุ่นใหม่เริ่มมีการรวมตัวกันสร้างเครือข่ายในหมู่บ้านที่อยู่ในพื้นที่ชุ่มน้ำเดียวกัน หรือบริเวณใกล้กัน เช่น Highland Conservation Group (HCG), the Mae Wang Watershed Network (MWWN), the highland watershed and wildlife conservation club (HWWCC) เป็นต้น เพื่อผสมผสานแนวทางปฏิบัติแบบดั้งเดิมเข้ากับการจัดการป่าในปัจจุบัน มีการพัฒนากฎการใช้ทรัพยากรขึ้นมาโดยมีพื้นฐานการหลักการแบบดั้งเดิม แต่มีการจดบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร แทนการสืบทอดแบบปากต่อปาก แต่ละหมู่บ้านจะส่งตัวแทนมา 2-3 คนเพื่อประชุมหารือกันทุกๆ 2-3 เดือนเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และถกประเด็นที่กำลังเป็นปัญหาในชุมชน มีการรวมตัวกันเพื่อป้องกันบุคคลภายนอกไม่ให้เข้ามาตัดไม้ทำลายป่า และป้องกันการเกิดไฟป่า ด้วยการทำแนวกันไฟ และหากเกิดไฟป่า ชาวบ้านจะพยายามควบคุมไม่ให้ลุกลาม ซึ่งการกระทำทั้งหมดทำให้เจ้าหน้าที่อุทยานมองชาวบ้านในพื้นที่ในแง่บวกมากขึ้น นอกจากนั้นยังมีความพยายามเข้าเจรจากับหน่วยงานภาครัฐแต่ชาวบ้านไม่สามารถเจรจาอย่างเป็นทางการได้ เพราะไม่มีสถานะทางกฎหมายมารองรับเครือข่ายความร่วมมือของชาวบ้าน และไม่มีอำนาจในการทำข้อตกลง (หน้า 200-205)
กลุ่มเครือข่ายเหล่านี้แบ่งประเภทของป่าและที่ดินออกเป็น 3 ประเภทคือ แตะต้องไม่ได้, ป่าที่สามารถใช้ได้ และเขตที่อยู่อาศัยซึ่งรวมพื้นที่สำหรับการเพาะปลูก มีการใช้แผนที่และโมเดลจำลองเพื่อให้คนภายนอกเข้าใจได้ง่ายขึ้นถึงวิถีชีวิตของชาวกะเหรี่ยง (หน้า 204)
ก่อนหน้าปีค.ศ. 1994 แต่ละเครือข่ายก็จะแยกกันทำงานในพื้นที่ชุ่มน้ำของตนเพื่อแก้ไขปัญหาในพื้นที่และเจรจากับหน่วยงานท้องถิ่น แต่ในปัจจุบันมีการรวมกลุ่มของหลายเครือข่ายเพื่อให้สามารถยกระดับปัญหาจากระดับท้องถิ่น ให้เป็นที่สนใจในวงกว้างมากขึ้น และเกิดความร่วมมือระหว่างแต่ละเครือข่าย ทำให้เกิดการตั้ง Northern Farmers’ Development Network (NFDN) ซึ่งมีการแบ่งระดับการทำงานออกเป็น 3 ระดับคือระดับหมู่บ้าน ระดับเครือข่ายพื้นที่ชุ่มน้ำ และระดับกฎหมายหรือนโยบาย นอกจากนั้นยังมีการร่วมมือกับองค์กรภายนอกเพื่อเพิ่มแรงสนับสนุนในการเจรจากับรัฐบาล มีการเปลี่ยนเป้าหมายจากการพูดคุยในระดับท้องถิ่นเป็นพูดคุยกับรัฐมนตรีหรือรัฐบาลซึ่งมีอำนาจในการดูแลกรมป่าไม้ (หน้า 205-208)
NFDN เป็นผู้รับผิดชอบในการจัดพิธีบวชป่าเพื่อส่งเสริมการอยู่ร่วมกันระหว่างคนกับป่า โดยกระทำในพื้นที่ป่าที่ไม่อนุญาตให้มีการทำการเพาะปลูก ล่าสัตว์หรือตัดต้นไม้ (หน้า 208) |
|
Belief System |
ความเชื่อดั้งเดิมของกะเหรี่ยงนั้นคือเชื่อว่าทุกสรรพสิ่งบนโลกมีเจ้าของ หรือวิญญาณอยู่ ซึ่งวิญญาณเหล่านั้นมีอำนาจเหนือธรรมชาติและอยู่คนละภพกับมนุษย์ทั่วไป วิญญาณที่มีอำนาจมากที่สุดคือ kau k’ca ซึ่งครอบครอง ความเชื่อเหล่านี้เป็นบทบาทสำคัญในการใช้และบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ (หน้า 19) ในช่วงหลัง มีชาวกะเหรี่ยงจำนวนมากที่เปลี่ยนไปนับถือศาสนาพุทธและคริสต์ โดยเฉพาะศาสนาคริสต์ (ทั้งนิกาย Baptist และนิกายโรมันคาทอลิก) ในปัจจุบันมีชาวกะเหรี่ยงนับถือศาสนาคริสต์มากถึง 47,000 คนหรือคิดเป็น 17.23% ของกะเหรี่ยงทั่วประเทศ นอกนั้น 55% นับถือศาสนาพุทธและอีก 16% นับถือทั้งความเชื่อดั้งเดิมและศาสนาพุทธร่วมกัน (หน้า 20)
พิธีกรรมที่สำคัญที่สุดของกะเหรี่ยงคือ au qai เพื่อเคารพบรรพบุรุษ (หน้า 19)
ชาวกะเหรี่ยงถือว่าการที่มีข้าวสำหรับบริโภคเพียงพอทั้งปีนั้นจำเป็นต่อการดำรงชีวิตแบบกะเหรี่ยง (หน้า 22)
มีข้อห้ามว่าถ้ามีผู้บุกรุกพื้นที่ฝังศพ จะทำให้ผู้บุกรุกประสพแต่ความโชคร้าย (หน้า 97) เมื่อมีเด็กเกิดใหม่ในชุมชน จะมีการตัดสายสะดือเด็กและนำมาฝังไว้ใต้ต้นไม้ที่แข็งแรง ไม่มีการใช้ต้นไม้ซ้ำกับคนอื่น เพราะชาวบ้านเชื่อว่าถ้ามีการตัดต้นไม้ต้นที่มีการฝังสายสะดือไว้ จะทำให้ผู้เป็นเจ้าของมีอาการเจ็บป่วย และผู้ที่ทำการตัดต้นไม้จะต้องจ่ายค่าปรับ (หน้า 100)
ในการทำพิธีบวชป่า จะมีการผูกต้นไม้ด้วยจีวรของพระสงฆ์เพื่อแสดงว่าอาณาเขตดังกล่าวอยู่ในเขตอนุรักษ์อย่างเข้มงวด การจัดพิธีดังกล่าวเป็นโอกาสที่จะแสดงให้เจ้าหน้าที่ของรัฐมาเยี่ยมชมหมู่บ้านกะเหรี่ยงและเห็นถึงสภาพป่าไม้ของจริง มีการหมุนเวียนการจัดพิธีไปตามหมู่บ้านต่างๆ ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ชาวบ้านได้พบปะและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องราวปัญหาต่างๆ นอกจากนั้นยังทำให้เพิ่มภาพลักษณ์ในแง่บวกให้กับการจัดการป่าของชาวกะเหรี่ยงอีกด้วย (หน้า208-211)
การบวชป่า (lu pga) เป็นการประยุกต์มาจากพิธีกรรมดั้งเดิมของกะเหรี่ยงซึ่งจะทำก่อนฤดูเพาะปลูกเพื่อขอให้วิญญาณคุ้มครองป่าและสาปผู้ที่เข้ามาทำลายป่า การบวชป่าไม่ได้กระทำแต่ในเฉพาะชาวกะเหรี่ยงเท่านั้น แต่ยังมีการทำพิธีในหมู่คนไทยอีกด้วย (หน้า 210) |
|
Education and Socialization |
จำนวนชาวกะเหรี่ยงทีได้รับการศึกษาอย่างเป็นทางการนั้นต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประชากรไทยมาก โดย 75% ของชาวกะเหรี่ยงไม่เคยได้รับการศึกษา 21.2% ได้รับการศึกษาถึงระดับชั้นประถมศึกษาและมีจำนวนน้อยกว่า 2% ที่ได้รับการศึกษาระดับมัธยมศึกษาขึ้นไป เนื่องจากในอดีต ชาวกะเหรี่ยงไม่สามารถเข้าถึงโรงเรียนของรัฐได้ จนกระทั่งปีค.ศ. 1960 ที่รัฐบาลเริ่มตั้งโรงเรียนขึ้นในหมู่บ้านของกะเหรี่ยง
นอกเหนือจากรัฐบาลแล้ว ก็ยังมีมิชชันนารีศาสนาคริสต์ที่ให้การศึกษาแก่ชาวกะเหรี่ยงในช่วงแรกก่อนที่รัฐบาลจะเข้าถึงชุมชน โดยชาวกะเหรี่ยงเริ่มต้นได้รับการศึกษาแบบสมัยใหม่โดยมิชชันนารีที่สร้างโรงเรียนสอนศาสนาขึ้นภายในจังหวัดเชียงใหม่ในปีค.ศ. 1911 ทำให้ชาวกะเหรี่ยงส่วนมากที่ได้รับการศึกษาเป็นชาวกะเหรี่ยงที่นับถือศาสนาคริสต์ซึ่งกลายเป็นผู้นำด้านการศึกษาในกลุ่มชาวกะเหรี่ยงด้วยกัน (หน้า 21)
ในช่วงแรกโรงเรียนของรัฐบาลที่ตั้งขึ้นในแถบที่ราบสูงเป็นโรงเรียนของตำรวจตระเวนชายแดน ต่อมาจึงได้มีการตั้งโรงเรียนระดับประถมศึกษามากขึ้น แต่ก็ยังพบว่ามีจำนวนโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาจำนวนค่อนข้างน้อยที่ตั้งในหมู่บ้านกะเหรี่ยง (หน้า 21)
มีเด็กกะเหรี่ยงส่วนหนึ่งที่ไม่สามารถเข้าเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายได้เนื่องจากว่าไม่ได้ขึ้นทะเบียนการเกิดอย่างถูกต้องทำให้ไม่มีใบสูติบัตร (หน้า 35)
พ่อแม่ชาวกะเหรี่ยงจะเริ่มสอนงานต่างๆ ตั้งแต่ยังเด็กเพื่อช่วยเหลืองานในบ้าน เช่นการล้างจาน ให้อาหารไก่ หาบน้ำ ทำอาหาร เลี้ยงวัว เป็นต้น (หน้า139-140)
ในปัจจุบันมีเด็กกะเหรี่ยงที่ได้รับการศึกษามากขึ้น การที่เด็กต้องไปโรงเรียนทำให้มีปัญหาขาดแคลนแรงงานในภาคเกษตรกรรม โดยเฉพาะในเด็กที่เรียนในโรงเรียนนอกหมู่บ้าน และเด็กที่ได้รับการศึกษาในขั้นสูงส่วนมากก็จะนิยมหางานนอกหมู่บ้านเพราะได้รายได้ที่ดีกว่า (หน้า 143-144) |
|
Health and Medicine |
ในอดีตเมื่อกะเหรี่ยงเจ็บป่วย ก็จะออกไปเก็บสมุนไพรจากป่ารอบๆ (หน้า 3)
สถานะทางสุขภาพของชาวกะเหรี่ยงนั้นต่ำกว่าคนไทยพื้นราบทั่วไป โดยมีอัตราการเสียชีวิตของเด็กแรกเกิดที่สูงกว่าประมาณ 2 เท่า กะเหรี่ยงที่ได้รับสัญชาติไทยนั้นสามารถเข้ารับบริการทางสุขภาพและการวางแผนครอบครัวที่รัฐบาลจัดให้ได้ ภายหลังมีนโยบายรักษาฟรีเพิ่มมากขึ้นและเริ่มเข้าสู่ครอบครัวที่ยากจนภายในหมู่บ้านกะเหรี่ยง แต่ก็ยังมีข้อจำกัดอยู่เนื่องจากกะเหรี่ยงส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกลจากความเจริญ รัฐบาลจึงเริ่มมีการจัดตั้งสถานีอนามัยขึ้ยภายในหมู่บ้านแต่ก็ยังมีจำนวนไม่มาก เนื่องจากหมูบ้านกะเหรี่ยงส่วนใหญ่มีขนาดเล็ก ทำให้การตั้งสถานีอนามัยแห่งหนึ่งจะรับดูแลกะเหรี่ยงประมาณ 10-15 หมู่บ้าน (หน้า 35-36)
ปัจจุบันมีการใช้ยาสมุนไพรรักษาน้อยลงมากเนื่องจากสามารถเข้าถึงการรักษาแผนปัจจุบัน แต่ชาวบ้านบางส่วนยังคงมีความรู้ทางด้านสมุนไพร เช่น hso hpoo kwei (ต้นสาบเสือ) สามารถใช้ห้ามเลือดได้ เมื่อเคี้ยวและนำไปวางบนแผล (หน้า 108)
ในความเป็นจริงแล้ว ประชากรในหมู่บ้าน sunlight และmoonlight ควรได้รับสิทธิรักษาฟรีจากรัฐบาลเพราะทุกคนถือสัญชาติไทย และจัดอยู่ในกลุ่มหมู่บ้านยากจน แต่ในทางปฏิบัติ ไม่ใช่ทุกคนที่ได้รับสิทธิ์นั้น เนื่องจากต้องผ่านขั้นตอนหลายขั้นตอนก่อนจะได้รับสิทธิ์ซึ่งต้องใช้เวลาในการดำเนินการและใช้เอกสารหลายฉบับ เพราะหน่วยงานภาครัฐออกบัตรสุขภาพให้เป็นครัวเรือน ไม่ใช่รายบุคคล ซึ่งจะมีรายชื่อเขียนไว้ในบัตร ทำให้ชาวบ้านที่ย้ายเข้ามาในหมู่บ้านจากการแต่งงานและไม่สามารถขึ้นทะเบียนได้ ไม่สามารถใช้สิทธิ์นี้ได้ เพราะชื่อของตนจะอยู่ที่หมู่บ้านเก่า ซึ่งไม่สามารถนำบัตรดังกล่าวตามมายังหมู่บ้านใหม่ด้วยได้ (หน้า 171-172) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ในอดีต วัสดุที่ใช้ในการสร้างบ้านจะหาได้จากป่า เช่น เสา คาน หลังคา กำแพงและพื้น บ้านพื้นเมืองจะสร้างจากไม้ไผ่ มุงหลังคาด้วยหญ้าและเสาบ้านจะตัดมาจากต้นไม้หลายชนิด โดยหญ้าที่นำมาใช้มุงหลังคานั้นมีหลายแบบขึ้นกับภูมิประเทศบริเวณที่ตั้งของชุมชน โดยมักจะใช้หญ้า cogon มีการเก็บหญ้าในช่วงเดือนธันวาคมภายหลังจากการเก็บเกี่ยวข้าวและก่อนเริ่มฤดูแล้ง เพราะหญ้าจะแห้งเกินไป แต่ในปัจจุบันมีการเปลี่ยนมาใช้กระเบื้องมุงหลังคาแทน เนื่องจากมีความแข็งแรงทนทานกว่า แต่ยังมีการใช้หญ้า cogon อยู่บ้างในการมุงหลังคากระท่อมในนาข้ามหรือบ้านของชาวบ้านที่ยากจน ชาวบ้านส่วนมากยังคงใช้วัสดุจากป่าในการสร้างบ้านและมีการใช้ปูนเพียงเล็กน้อย แต่ปัญหาที่พบในปัจจุบันคือไม่สามารถสร้างบ้านได้ เนื่องจากไม่สามารถเก็บวัสดุต่างๆ จากป่าไปได้ (หน้า 100-106)
บ้านแบบดั้งเดิมของชาวกะเหรี่ยงนั้นสามารถสร้างได้ง่ายภายใน 2-3 วันแต่ก็ไม่คงทนมากนัก โดยจะอยู่ได้ประมาณ 7-15 ปีซึ่งง่ายต่อการย้ายไปยังที่ตั้งใหม่ แต่ในปัจจุบันมีการสร้างบ้านที่ถาวรมากขึ้นทำให้วัฒนธรรมการย้ายหมู่บ้านหายไป (หน้า 164) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
มีความสัมพันธ์และการติดต่อระหว่างชาวกะเหรี่ยงและคนไทยมาอย่างต่อเนื่องแต่ไม่มีการติดต่อกับรัฐบาลกลาง เนื่องจากนโยบายไม่แทรกแซงชาวเขาของรัฐ (หน้า 1)
ปัจจุบัน ปัญหาเรื่องการตัดไม้ทำลายป่าถือเป็นประเด็นสำคัญในทางการเมืองของทั้งชาวเขาและคนไทยพื้นราบที่ไม่สามารถเพิกเฉยได้ (หน้า 14)
ชาวกะเหรี่ยงมองว่าเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติมักจะจับแต่ชาวกะเหรี่ยงที่เข้าไปตัดต้นไม้ และแทบจะไม่เคยจับชาวม้ง เนื่องจากว่าในแถบหมู่บ้านชาวม้ง ไม่ค่อยเหลือต้นไม้ให้สังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน ทำให้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถบอกความแตกต่างถ้ามีการตัดไม้เกิดขึ้น ในขณะที่ในการทำการเกษตรชาวกะเหรี่ยงจำเป็นต้องตัดต้นไม้เพื่อถางที่สำหรับการเพาะปลูก เจ้าหน้าที่ควบคุมชาวกะเหรี่ยงได้อย่างเข้มงวด ชาวกะเหรี่ยงจึงใช้ที่ดินได้น้อยลง มีปัญหาการขาดแคลนที่ดินและข้าว (หน้า 180)
เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดและมองชาวกะเหรี่ยงว่าแทบไม่ต่างกับชนกลุ่มน้อยหรือผู้อพยพเข้าเมืองแบบผิดกฎหมาย (หน้า 185) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ในอดีตชาวกะเหรี่ยงอาศัยอยู่แยกจากสังคมไทยและสามารถรักษาขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรมของตนเองไว้ได้โดยการอาศัยอยู่ตามวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม และรัฐบาลไม่มีส่วนแทรกแซงวิถีชีวิตของชนเผ่า ทำให้มีอิสระในการบริหารจัดการทรัพยากรที่มีภายในชุมชน แต่ในปัจจุบัน ภายหลังจากการพัฒนาด้านการเดินทาง ทำให้ชาวกะเหรี่ยงแยกตัวห่างจากสังคมได้ยากขึ้น โดยเฉพาะในปีค.ศ. 1950 ที่รัฐบาลเริ่มเปลี่ยนนโยบายต่อชาวเขา โดยมีการจัดตั้งหน่วยงานขึ้นมากำกับดูแลชาวเขาโดยเฉพาะ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ทางด้านความมั่นคงของประเทศ การตัดไม้ทำลายป่า และยาเสพติด (หน้า 1,4)
กฎหมายคุ้มครองและอนุรักษ์ป่าของรัฐบาลนั้นบังคับชาวกะเหรี่ยงให้มีการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตทั้งการใช้ทรัพยากรและทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจขึ้นภายในชุมชน ภายหลังจากการออกกฎหมายดังกล่าว พบว่ามีเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เข้ามาจับกุมเกษตรกรที่ทำการเกษตรตามแบบดั้งเดิม (หน้า 15)
ในอดีต การเพาะปลูกแบบถางและเผานั้น ชาวกะเหรี่ยงจะมีการทิ้งที่ดินให้ว่างเว้นจากการเพาะปลูกประมาณ 7-10 ปี แต่ในปัจจุบันนั้นเหลือเพียงแค่ 4-5 ปีหรือน้อยกว่านั้นเนื่องจากการขัดขวางของรัฐบาลและแรงกดดันของประชากร (หน้า 26-27)
ภูมิปัญญาท้องถิ่นบางอย่างเช่นความรู้เรื่องสมุนไพรในปัจจุบันมีเพียงกลุ่มผู้อาวุโสที่รู้ และไม่ค่อยมีคนรุ่นใหม่สนใจ ทำให้ผู้อาวุโสกังวลว่าความรู้เหล่านี้จะหายไป (หน้า 108)
ปัจจุบันสินค้าบางอย่างที่สามารถหาซื้อได้จากตลาด เช่น ตะกร้าพลาสติกกำลังเข้ามาทดแทนตะกร้าสานที่ชาวบ้านเคยทำใช้เอง (หน้า 108) การเกษตรแบบถางและเผา ที่เคยเป็นรูปแบบการเพาะปลูกหลักของหมู่บ้าน moonlight ได้เปลี่ยนไปเป็นการปลูกพืชเศรษฐกิจ เพราะชาวบ้านเลือกที่จะเปลี่ยนไปปลูกแม้ไม่ได้โดนบังคับจากอุทยานแห่งชาติเลยก็ตาม (หน้า 117)
ในปัจจุบันมีการแลกเปลี่ยนแรงงานน้อยลงจากปัจจัยหลายอย่างเช่นที่ดินเพาะปลูกที่ลดลง การเพิ่มจำนวนของพืชเศรษฐกิจ และการพัฒนาระบบการศึกษาที่ทำให้มีแรงงานน้อยลง โดยเฉพาะการลดลงของการเพาะปลูกแบบถางและเผาซึ่งได้ทำให้ระบบแรงงานภายในหมู่บ้านเปลี่ยนไปอย่างมาก ครอบครัวที่ยากจนสามารถจัดการกับที่ดินของตนเองได้โดยไม่ต้องขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น ทำให้ครอบครัวเหล่านี้ไม่เข้าร่วมระบบการแลกเปลี่ยนแรงงาน นอกจากนั้นการปลูกพืชเศรษฐกิจที่ต้องการการดูแลอย่างดีในการเจริญ ทำให้เจ้าของสวนต้องใช้เวลาจำนวนมากในการดูแลจนไม่เหลือเวลาว่างไปช่วยเกษตรกรคนอื่น (หน้า 151-153) การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายในหมู่บ้านกะเหรี่ยงนั้นเกิดจากแรงผลักดันทั้งภายในและภายนอก ทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งทำให้มีการติดต่อกับสังคมไทยมากขึ้น เช่นการค้าขายและการจ้างงาน แต่ก็เพิ่มปัญหาขึ้นเช่นกัน เช่นปัญหาการแย่งชิงทรัพยากรน้ำเป็นต้น แต่ปัจจัยที่ส่งผลมากที่สุดนั้นมากจากนโยบายอุทยานแห่งชาติและป่าสงวนของรัฐบาลที่ก่อให้เกิดผลกระทบกับทุกส่วนของวิถีชีวิตกะเหรี่ยง (หน้า 158-159) การเปลี่ยนแปลงสำคัญที่เกิดขึ้นในชุมชนกะเหรี่ยงคือการเปลี่ยนมาปลูกพืชเศรษฐกิจ มีการเปลี่ยนพื้นที่ที่เคยใช้ทำการเกษตรแบบถางและเผามาเป็นพื้นที่ทดน้ำหรือสวนผลไม้ (หน้า 190) |
|
Other Issues |
สาเหตุของการลดลงของพื้นที่ป่าไม้ในประเทศไทยนั้นมาจากการตัดไม้ทั้งแบบถูกและผิดกฎหมาย การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานเช่นเขื่อนการรุกล้ำพื้นที่ป่าของชาวนาไทยและชาวเขา โดยเฉพาะการทำสัมปทานป่าไม้ในอดีต และการทำการเกษตรแบบปัจจุบันที่พบในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศก็เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้มีการลดลงของทรัพยากรธรรมชาติ เพราะมีการขยายพื้นที่เข้าไปยังป่า เพื่อทำการเกษตรทั้งเพื่อปลูกข้าวและพืชเศรษฐกิจ ในความเป็นจริงแล้วการทำเกษตรหมุนเวียนและไร่เลื่อนลอยของชาวเขาน่าจะเป็นส่วนน้อยของการตัดไม้ทำลายป่า ในความเป็นจริงแล้ว การสนับสนุนให้ชนกลุ่มน้อยปลูกพืชทดแทนการปลูกฝิ่นนั้นเป็นปัจจัยหลักในการทำลายป่าบริเวณที่ราบสูงทางภาคเหนือของประเทศไทยในปัจจุบัน (หน้า 10-11,13)
โครงการพัฒนาของภาครัฐส่วนมากจะเน้นไปทางการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การเกษตร การใช้ที่ดิน ฯลฯ แต่ไม่มีโครงการที่พัฒนาทางด้านสังคมหรือวัฒนธรรม เมื่อรวมกับการพัฒนาที่เป็นแบบ บนสู่ล่าง ทำให้ชาวกะเหรี่ยงถูกกีดกันและไม่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจเกี่ยวกับโครงการพัฒนาต่างๆ เลย (หน้า 40)
ประเทศไทยมีการจัดการพื้นที่อนุรักษ์โดยแบ่งเป็น 1. พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ 2. เขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่า 3. อุทยานแห่งชาติ แต่พบว่าการควบคุมจัดการพื้นที่ดังกล่าวอย่างเข้มงวดก่อให้เกิดความยากลำบากต่อชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในพื้นที่บริเวณดังกล่าว ซึ่งมีมากถึง 85% ของพื้นที่อนุรักษ์ทั้งหมด (หน้า 67-75)
การออกนโยบายอพยพชนกลุ่มน้อยของประเทศไทยนั้น เชื่อว่านอกจากเหตุผลทางด้านการอนุรักษ์ป่าแล้วยังอาจจะเป็นไปเพื่อรวมชนกลุ่มน้อยให้อยู่ในบริเวณเดียวกันเพื่อความสะดวกในการส่งเสริมการท่องเที่ยว (หน้า 166)
กรมป่าไม้เป็นหน่วยงานสำคัญที่ระงับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานภายในหมู่บ้านชาวเขาที่อยู่ในเขตอนุรักษ์ เนื่องจากเป็นการผิดกฎหมายที่ห้ามหน่วยงานภาครัฐให้ความช่วยเหลือแก่ประชากรที่อศัยอยู่ที่พื้นที่ป่าสงวน รัฐบาลจึงไม่มีโครงการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจ ไม่มีการพัฒนาถนนและโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ให้แก่หมู่บ้าน ยกเว้นในช่วงการปราบปรามการปลูกฝิ่นซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากกว่ากฎหมายป่าไม้ ทำให้มีโครงการพัฒนาบางส่วนเข้ามายังหมู่บ้านในเขตป่าสงวนได้ ทำให้คุณภาพชีวิตของชาวบ้านดีขึ้น ในขณะที่หมู่บ้านที่ไม่ได้รับการช่วยเหลือนั้น ต้องช่วยเหลือตนเอง เช่นขุดถนนเอง ทำท่อส่งน้ำเองเป็นต้น (หน้า 172)
ข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวกะเหรี่ยง จากการศึกษาคือรัฐบาลควรออกเอกสารราชการให้ที่ดินที่มีชาวบ้านครอบครองอยู่ มีการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยเฉพาะด้านโครงสร้างพื้นฐานเช่นถนน ไฟฟ้า น้ำสะอาดเป็นต้น ควรกระจายโครงการส่งเสริมการเกษตรให้ทั่วถึงและเท่าเทียมกันในทุกหมู่บ้านและนำชาวบ้านเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการจัดการดูแลป่า (หน้า 218 – 223) |
|
Map/Illustration |
1. แผนที่แสดงการกระจายตัวของชาวเขาในประเทศไทย
2. แผนที่แสดงการกระจายตัวของหมู่บ้านกะเหรี่ยงในประเทศไทย
3. แผนที่แสดงจำนวนป่าไม้ที่ยังเหลือของประเทศไทย
4. รูปแสดงการเผาที่ดินที่ใช้ในการเพาะปลูก
5. รูปแสดงการดำนา
6. รูปแสดงโครงการพัฒนาชาวเขาในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย
7. แผนที่แสดงบริเวณเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าของประเทศไทย
8. แผนที่แสดงเขตอุทยานแห่งชาติของประเทศไทย
9. รูปแสดงการแบ่งประเภทป่าของหมู่บ้าน Sunlight
10. รูปแสดงการแบ่งประเภทป่าของหมู่บ้าน moonlight
11. รูปแสดงวัสดุในการมุงหลังคาที่แตกต่างกัน
12. รูปแสดงการใช้พื้นที่ของหมู่บ้าน Sunlight
13. รูปแสดงพื้นที่ที่อยู่นอกเขตป่าไม้ของหมู่บ้าน
14. รูปแสดงลานเพาะปลูกข้างบ้าน
15. รูปแสดงพื้นที่สำหรับเลี้ยงสัตว์
16. รูปแสดงเด็กที่กำลังเรียนรู้หน้าที่ของตน
17. รูปแสดงชาวนาและรถไถ
18. รูปแสดงผู้หญิงเกี่ยวข้าว
19. รูปแสดงการแลกเปลี่ยนแรงงานระหว่างการเพาะปลูก
20. เอกสารแสดงการเป็นบุคคลในปกครองอังกฤษ
21. รูปแสดงบ้านแบบพื้นเมืองของกะเหรี่ยง
22. รูปแสดงต้นไม้ที่ได้รับการบวชป่า |
|
|