สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ม้ง, อาข่า , ภาคเหนือของประเทศไทย, ประเทศลาว
Author Annette Kanstrup-Jensen
Title Development Theory and the Ethnicity Question – The Cases of the Lao People’s Democratic Republic and Thailand
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาอังกฤษ
Ethnic Identity อ่าข่า, ม้ง, Language and Linguistic Affiliations -
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 275 Year 2549
Source Annette Kanstrup-Jensen. (2549). Development Theory and the Ethnicity Question – The Cases of the Lao People’s Democratic Republic and Thailand. วิทยานิพนธ์สังคมศาสตรดุษฎีบัณฑิต, มหาวิทยาลัย Aalborg.
Abstract

          เน้นการศึกษาชาวม้งและอาข่าซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยและลาว ในการเลือกปรับตัวให้เข้ากับประชากรส่วนใหญ่ของประเทศที่ต้องการพัฒนาสังคมให้ทันสมัย ผ่านการศึกษาระบบการศึกษาและวิธีการเรียนรู้ของทั้งในประเทศไทย ประเทศลาว และของกลุ่มชาติพันธุ์เอง ซึ่งเป็นเครื่องมือที่สามารถทำให้เปลี่ยนวิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ได้
          จากการศึกษาพบว่าชาวม้งและอาข่ามีวิธีการถ่ายทอดองค์ความรู้ผ่านการสอนในครอบครัวตั้งแต่เด็ก ให้เด็กค่อยๆ ซึมซับและกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม การเรียนรู้แบบนี้จึงเป็นการเรียนรู้เพื่อดำรงชีวิต ซึ่งกลุ่มชาติพันธุ์เหล่านั้นก็ยังคงยึดหลักปฏิบัติดังกล่าวแม้ว่าปัจจุบัน ระบบการศึกษาจากภายนอกจะส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้แบบดั้งเดิม เพราะชาวบ้านมีความคิดว่าความรู้จากตะวันตกนั้นจะทำให้ตนเองฉลาดขึ้น บางส่วนต้องการที่จะมีการติดต่อระหว่างชาวลาวและชาวไทยซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ในประเทศ ทำให้ความรู้ดั้งเดิมถูกมองว่าไม่มีค่า อย่างไรก็ตามพบว่ากลุ่มชาติพันธุ์ยังคงมองว่าการศึกษาหลักสูตรนอกระบบนั้นเป็นส่วนช่วยเติมเต็มการปฏิบัติตนในวิถีชีวิตประจำวันและสามารถเป็นบันไดขั้นต่อไปสู่การเรียนในระบบได้
          กลุ่มชาติพันธุ์มีท่าทีให้ความสนใจและพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลง แม้ว่าจะลังเลถึงการสูญเสียวัฒนธรรมดั้งเดิมซึ่งเป็นวิถีชีวิตที่ทำให้ตนสามารถดำรงชีวิตและแสดงความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ของตนได้ หน่วยงานภายนอกจึงควรเข้าไปทำความเข้าใจถึงองค์ความรู้ที่มีอยู่ในท้องถิ่นแล้วจึงนำมาปรับใช้มากกว่าการที่จะมุ่งใช้ระบบการศึกษาและการดำเนินชีวิตแบบตะวันตกให้เข้าไปถึงกลุ่มชาติพันธุ์

Focus

          เน้นการศึกษาถึงการปรับตัวของชาวม้งชาวม้งและอาข่าในประเทศไทยและลาวที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงของประเทศที่ต้องการพัฒนาให้ทันสมัยยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในด้านการศึกษาซึ่งสามารถเป็นเครื่องมือในการพัฒนาตนเองให้เข้าสู่โลกสมัยใหม่หรือการคงอยู่ตามวัฒนธรรมดั้งเดิมของตน 

Theoretical Issues

          ใช้การศึกษาผ่านการเรียบเรียงแนวความคิดและวิธีการต่างๆ ที่สามารถนำมาใช้กับการศึกษาของกลุ่มชาติพันธุ์ได้ มีการตั้งคำถามและใช้กระบวนการหาคำตอบแบบกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ มีการศึกษาเอกสารทางวิชาการ การลงพื้นที่สัมภาษณ์และสัมผัสกับชุมชน และการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อนำเสนอรูปแบบการพัฒนาที่กลุ่มชาติพันธุ์ต้องการ

Ethnic Group in the Focus

ม้ง อาข่า ในประเทศไทยและประเทศลาว

Language and Linguistic Affiliations

          ในประเทศลาว กลุ่มลาวเทิง (Lao Theung) เป็นกลุ่มที่ใช้ภาษาตระกูลมอญ-เขมร( Mon-Khmer) กลุ่มลาวหล่ม (Lao Loum) ใช้ภาษาตระกูล Tai-Kadai และกลุ่ม Lao Soung ใช้ภาษาตระกูล Tibeto-Burman และ Hmong-Mien (หน้า 62-63)

          ภาษาม้งเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มภาษา Sino-Tibetan แต่มีการพัฒนาตัวอักษรแบบโรมันขึ้นเพื่อเขียนการออกเสียงของภาษาม้ง (หน้า 125)

          ภาษาอาข่าเป็นภาษาถิ่นสายหนึ่งในกลุ่มภาษา Tiberto-Burman และมีการพัฒนาตัวอักษรโรมันเพื่อใช้ในการออกเสียง (หน้า 128)

Study Period (Data Collection)

พ.ศ. 2543-2544

History of the Group and Community

          การอพยพเข้ามาของชนเผ่าต่างๆ ของประเทศลาวนั้นแบ่งได้เป็น 3 ช่วง โดยกลุ่มแรกที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เป็นกลุ่ม Austro-Asiatic ซึ่งใช้ภาษาในกลุ่ม Mon-Khmer และเป็นบรรพบุรุษของชาวลาวกลุ่มลาวเทิง (Lao Theung) ในปัจจุบัน กลุ่มที่ 2อพยพเข้ามาจากประเทศจีนในสมัยศตวรรตที่ 6-13 เป็นกลุ่มที่ใช้ภาษา Tai-Kadai และเป็นบรรพบุรุษของกลุ่มลาวหล่ม (Lao Loum) โดยกลุ่มชาวลาวที่อพยพมาใหม่นั้นมีระบบการจัดการมากกว่ากลุ่มเดิมที่อาศัยอยู่ก่อนทำให้สามารถพัฒนาระบบการปกครองที่เข้มแข็ง และปกครองกันเป็นเมืองย่อยๆ ทำให้ชาวลาวค่อยๆ บีบให้ชาว Mon-Khmer ต้องอพยพจากที่ราบลุ่มไปอาศัยอยู่บนที่ราบเชิงเขา และมีการใช้กลุ่มคนดั้งเดิมเป็นแรงงานและทาส ต่อมาเมื่อมีการตั้งอาณาจักรลาวในศตวรรตที่ 14กษัตริย์ลาวได้มอบที่ดินให้ชาว Mon-Khmer ซึ่งทำให้พวกเขายอมรับในตัวกษัตริย์ลาวเป็นการตอบแทน การอพยพช่วงที่ 3เกิดขึ้นในข่วงต้นศตวรรตที่ 19 เมื่อมีชาว Tibeto-Burman และ Hmong-Mien อพยพมาจากประเทศพม่า ธิเบตและจีนตอนใต้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในบริเวณภูเขาทางภาคเหนือของประเทศ เป็นกลุ่ม Lao Soung ในปัจจุบัน (หน้า 62-63)

          ชาวม้ง เป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดของกลุ่มผู้ใช้ภาษาตระกูล Hmong-Mienอพยพมาจากประเทศจีนมาตั้งถิ่นฐานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งแต่ปีประมาณค.ศ. 1810 ในประวัติศาสตร์ของชาวม้ง พบว่ามีการต่อสู้เพื่อเรียกร้องเอกราชโดยการต่อสู้ในหลายๆ ครั้ง (หน้า 122)

          ชาวอาข่า เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มผู้ใช้ภาษา Tiberto-Burmese แต่มีเอกสารที่เกี่ยวกับชาวอาข่าน้อยมาก สันนิษฐานว่าอพยพมาจากแถบที่ราบสูงในมณฑลยูนนาน ประเทศจีนในช่วงระหว่างศตวรรตที่ 16-17 (หน้า 122)

Settlement Pattern

         ในประเทศลาว กลุ่ม Lao Soung ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ตามชายแดนประเทศจีน ไทย พม่า และเวียดนาม (หน้า 60)
ชาวม้งอาศัยอยู่ใน 13 จังหวัดของประเทศไทย ในขณะที่ชาวอาข่าอาศัยอยู่ใน 4 จังหวัด โดยมีความหนาแน่นมากที่สุดในจังหวัดเชียงราย (หน้า 123)

Demography

          ทั่วโลกมีประชากรกลุ่มชาติพันธุ์ทั้งสิ้น 300 ล้านคน หรือคิดเป็น 5% ของประชากรทั่วโลก และจำนวนมากถึง 20.6 ล้านคนที่อาศัยอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้(หน้า 43)

          ในประเทศลาวที่ประชากรที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์อื่นทั้งสิ้น 47.5% ของประชากรทั่วประเทศ โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 47 กลุ่ม ตามลักษณะทางมานุษยวิทยาและภาษาโดยมีประชากรชาวม้ง 6.9% และชาวอาข่า 1.4% ของประชากรที่อาศัยในแถบภูเขาทั้งหมด  (หน้า 12,123)

          ภายใน 5 ประเทศของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือ พม่า กัมพูชา ลาว ไทยและเวียดนามนั้นมีประชากรกลุ่มชาติพันธุ์อยู่ทั้งหมดประมาณ 20.6 ล้านคนหรือคิดเป็น 10.5% ของประชากรทั้งหมด (หน้า 43)

          ในประเทศไทยมีประชากรกลุ่มชาติพันธุ์ทั้งสิ้น 2% จากประชากรทั้งหมด (หน้า 20) โดยมีชาวกะเหรี่ยงประมาณ 50% ของกลุ่มชาติพันธุ์ทั้งหมด ชาวม้งมีจำนวนมากเป็นอันดับ 2 และชาวอาข่ามีจำนวนมากเป็นอันดับ 4 ของประชากรชาวเขา (หน้า 70,123) ภายใต้นโยบายพัฒนาให้ทันสมัยของชาวลาวนั้นได้มีนโยบายอพยพกลุ่มชาติพันธุ์จากบริเวณชายแดนมายังที่ราบลุ่ม (หน้า 66)
 
          หมู่บ้านม้ง Ban Denkang ในประเทศลาวมีประชากรทั้งสิ้น 57ครัวเรือน 349 คน หมู่บ้านอาข่า Ban Houaytoumay ตั้งขึ้นเมื่อปีค.ศ.1979 ปัจจุบันมีประชากร 43 ครัวเรือน 263 คน (หน้า 133-134)
 
          หมู่บ้านม้งหัวแม่คำ ในประเทศไทย มีประชากรทั้งสิ้น 59 ครัวเรือน 432 คน ประชากรส่วนใหญ่อายุระหว่าง 25-50 ปีและมีชาวอาข่าอาศัยอยู่บางครอบครัว (หน้า 135)
 
          หมู่บ้านอาข่าบ้านแม่จันใต้ มีประชากร 33 ครัวเรือนและ 183 คน โดยประชากรทั้งหมดเป็นชาวอาข่า ชาวบ้านบางส่วนเคยอาศัยอยู่ในประเทศพม่าแต่อพยพเข้ามายังประเทศไทยในช่วงการปกครองเผด็จการทหาร (หน้า 136)

Economy

          นโยบายของรัฐบาลไทยได้มีการส่งเสริมให้เปลี่ยนจากเศรษฐกิจแบบเพื่อยังชีพ จากการปลูกพืชหลากหลายชนิดในไร่หมุนเวียนมาเป็นการปลูกพืชเศรษฐกิจเพียงชนิดเดียว ทำให้ต้องมีการใช้เทคโนโลยี ปุ๋ยและสารเคมีเพิ่มมากขึ้น เกษตรกรต้องกู้ยืมเงินมาเพื่อซื้อยาฆ่าแมลงและอุปกรณ์ทำนาซึ่งก่อให้เกิดการอพยพย้ายถิ่นเมื่อไม่สามารถหางานทำได้ เด็กๆ ถูกทิ้งให้อยู่ในหมู่บ้านโดยที่พ่อแม่ต้องออกไปหางานทำข้างนอก อีกทั้งนโยบายการกำจัดฝิ่นที่ไม่มีการจัดการที่ดีเรื่องพืชทดแทน อาจนำไปสู่ปัญหาการติดสารเสพติดประเภทอื่นแทน เช่น เฮโรอีนซึ่งก่อให้เกิดผลเสียทางสังคมมากขึ้นเนื่องจากต้องใช้เงินในการซื้อเพื่อเสพ (หน้า 21) ในการอพยพกลุ่มชาติพันธุ์มายังที่ราบนั้น รัฐบาลลาวได้มีการสร้างหมู่บ้านให้ใหม่ พร้อมกับถนนมุ่งสู่หมู่บ้าน โรงเรียนและสถานีอนามัยภายในหมู่บ้าน (หน้า 67) กลุ่มชาติพันธุ์มีการทำการเกษตรแบบถางและเผา ซึ่งเป็นการเกษตรที่ถูกมองว่าส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศแม้ว่าจะไม่สามารถพิสูจน์ได้อย่างแน่ชัดว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อมนั้นเกิดขึ้นเนื่องจากการทำการเกษตรของกลุ่มชาติพันธุ์เพียงปัจจัยเดียวหรือไม่ (หน้า 67)

          พืชหลักที่กลุ่ม Lao Soung ได้ทำการเพาะปลูกมาอย่างยาวนานคือ การปลูกฝิ่นเนื่องจากมีภูมิอากาศที่เหมาะสมและเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการแลกเปลี่ยน ให้ราคาดีและขนส่งได้สะดวก ฝิ่นจึงเป็นพืชเศรษฐกิจหลักที่สามารถพบและสร้างรายได้ให้กับกลุ่มชาติพันธุ์ แต่ภายหลังจากการกดดันของนโยบายระดับนานาชาติเรื่องการปลูกฝิ่นเป็นพืชเศรษฐกิจทำให้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของกลุ่มชาติพันธุ์นั้นเลวร้ายยิ่งขึ้น (หน้า 68)

          ในอดีตกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในแถบภูเขานั้นดำรงชีวิตแบบพึ่งพิงผลิตภัณฑ์จากป่าเป็นหลัก (หน้า 102) ในประเทศลาว ทุกคนจะมีส่วนร่วมในการผลิตและการเกษตร ผู้ชายจะทำงานที่ต้องใช้พละกำลัง ในขณะที่ผู้หญิงต้องทำงานที่ใช้ความละเอียดอ่อน และระยะเวลาที่ยาวนาน เช่นผู้หญิงจะเป็นคนนวดข้าวด้วยมือ และต้องมีความรับผิดชอบต่องานภายในบ้านตั้งแต่อายุน้อยกว่าผู้ชาย เพราะผู้หญิงเป็นผู้ที่ดูแลงานบ้านและการเลี้ยงลูกเกือบทั้งหมด นอกจากนั้น ผู้หญิงกลุ่มชาติพันธุ์จะต้องทำงานอย่างอื่นเพิ่มเติม เช่น การเก็บฟืน เก็บอาหารและเก็บน้ำ เป็นต้น (หน้า 103)

          ในหมู่บ้านม้ง Ban Denkang มีประชากร 50% ที่ประกอบอาชีพทำนาในที่ลุ่มและอีก 50% ทำนาในที่สูง บริเวณโดยรอบมีแม่น้ำ 4 สายทำให้มีศักยภาพที่จะพัฒนาการกักเก็บน้ำได้ แต่ชาวบ้านไม่สามารถทำได้เนื่องจากไม่มีงบประมาณที่มากพอในการขยายพื้นที่เพาะปลูก ในอดีตชาวบ้านมีรายได้จากการขายสัตว์ปีกและหมูแต่เนื่องจากโรคติดต่อที่เกิดขึ้นทำให้ไม่สามารถหารายได้จากส่วนนี้ได้อีก ชาวบ้านบางส่วนมีรายได้เล็กน้อยจากการขายลูกนัท, cardamom และ rattan บางคนขายข้าวและข้าวโพด และมีประมาณ 7 ครัวเรือนที่ปลูกฝิ่นสำหรับบริโภคภายในหมู่บ้าน ชาวบ้านในหมู่บ้านอาข่า Ban Houaytoumay ดำรงชีวิตด้วยการทำเกษตรแบบหมุนเวียน การทำฟาร์ม เก็บของป่า ปลูกผักและเลี้ยงสัตว์ โดยมีพื้นที่สำหรับการปลูกข้าว 1,000 เฮกเตอร์ และ 4 เฮกเตอร์สำหรับการเลี้ยงสัตว์ ทำให้ในทุกๆ ปีที่มีฝนตกตามธรรมชาติ ชาวบ้านก็จะมีข้าวและผลิตภัณฑ์จากป่าเพียงพอต่อการบริโภคและสร้างรายได้ มีการปลูกฝิ่นน้อยลงในหมู่บ้านเพรามีพืชทดแทนมาปลูกจากโครงการของต่างประเทศและจังหวัด (หน้า 133-134)

          ชาวบ้านม้งใน หัวแม่คำ ประเทศไทยส่วนมากดำรงชีวิตโดยการปลูกข้าวในที่สูงและที่ลุ่ม โดยชาวบ้านส่วนใหญ่สามารถปลูกข้าว ข้าวโพด และขิงได้มากพอสำหรับการขาย และมีการปลูกผักและเลี้ยงสัตว์ (เช่นสัตว์ปีก หมู เป็ด) ในครัวเรือน หลายครัวเรือนมีไฟฟ้าใช้และแหล่งน้ำถาวร (หน้า 135)

          ชาวอาข่าในหมู่บ้าน บ้านแม่จันใต้ ทำการเพาะปลูกข้าวและผักสำหรับการบริโภคในครัวเรือน ในการปลูกขิงเพื่อขาย สัตว์เลี้ยงเช่นหมูและสัตว์ปีกจะเก็บไว้เพื่อการบริโภค และม้าใช้สำหรับการขนส่งในหุบเขา ภายในหมู่บ้านไม่มีไฟฟ้าแต่เพิ่งมีการสร้างแผง Solar cell ขึ้นภายในหมู่บ้าน หลายครัวเรือนมีน้ำประปาที่ต่อจากแหล่งน้ำบนภูเขา (หน้า 136)

         ชาวม้งใน Ban Denkang เลือกใช้ดินร่วนผสมกับดินและดินสีเหลืองเพื่อให้ได้ผลผลิตที่ดี (หน้า 144)
ถ้าต้องการทดสอบว่าแมลงตัวไหนสามารถรับประทานได้บ้าง ชาวม้งจะนำแมลงไปต้มกับข้าวเปลือก หากข้าวเปลี่ยนเป็นสีเหลืองแสดงว่าแมลงนั้นมีพิษ (หน้า 148)

Social Organization

          กลุ่มชาติพันธุ์เริ่มมีการจัดตั้งองค์กรของตนเช่นAkha Association ขึ้นเพื่อให้คำแนะนำและคำปรึกษาซึ่งกันและกัน ในหลายเรื่องเช่นแนวทางการตอบสนองต่อนโยบายและคำสั่งของภาครัฐ การจัดพิธีกรรมหรือกฎระเบียบขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้คนรุ่นใหม่ออกจากหมู่บ้าน (หน้า 40-41)
          ในประเทศลาว การส่งบุตรหลานไปเข้าเรียนนั้นมีค่าเสียโอกาสที่สูงมากโดยเฉพาะเด็กผู้หญิง เพราะเด็กผู้หญิงนั้นถูกมองว่าไม่จำเป็นต้องได้รับการศึกษาเพื่อจะปฏิบัติหน้าที่ของตนเองในสังคม เพราะความสามารถทางด้านภาษาและการคำนวณนั้นไม่ใช่ทักษะที่จำเป็นสำหรับผู้หญิงที่จะต้องมี แนวความคิดเช่นนี้ทำให้ประชาชนมีความคิดในแง่ลบต่อการที่ผู้หญิงทำหน้าที่นอกบ้านหรือเข้าเรียนในระดับที่สูงขึ้น ในขณะที่หากส่งบุตรหลานที่เป็นผู้ชายไปเข้าเรียนนั้นถือเป็นการลงทุนระยะยาว นอกจากนั้นยังมีปัจจัยประกอบที่เป็นอุปสรรคในการศึกษาของผู้หญิงอีกหลายประการ เช่น รัฐบาลกำหนดให้ผู้หญิงเป็นกลุ่มเป้าหมายกลุ่มสุดท้ายในการส่งเสริมการศึกษา, หากโรงเรียนตั้งอยู่นอกหมู่บ้าน กลุ่มชาติพันธุ์ส่วนมากจะไม่อยากส่งเด็กผู้หญิงให้ไปเรียนเนื่องจากกลัวความเปลี่ยนแปลงที่อาจมาจากครูที่มาจากวัฒนธรรมอื่นที่อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อดั้งเดิมสำหรับเด็กผู้หญิงได้ เป็นต้น (หน้า 103-104)
          สังคมของชาวม้งนั้นสร้างขึ้นจากกลุ่มคนไม่ใช่บุคคล โดยถือว่าครอบครัว เผ่า และวงศ์ตระกูลเป็นเสาหลักที่สร้างสังคมของม้งขึ้นมา โดยทั่วไปมีการแบ่งหน้าที่และการเรียนรู้ตามเพศอย่างชัดเจน เด็กชายจะเรียนรู้เกี่ยวกับรูปแบบของสังคม การทำการเกษตรจากพ่อ ในขณะที่แม่จะเป็นผู้สอนเด็กหญิงเกี่ยวกับหน้าที่ภายในบ้านและบทบาทของผู้หญิงในครอบครัวขยาย การแต่งงานจะสืบเชื้อสายผ่านทางบิดา เมื่อเด็กหญิงแต่งงานแล้วจะต้องย้ายเข้าสู่ตระกูลของสามี ต้องเคารพพ่อแม่สามีและทำงานบ้านและการเกษตรสำหรับครอบครัวสามี ผู้หญิงจะไม่สามารถหย่าได้ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ เพราะไม่สามารถย้ายกลับไปอาศัยกับครอบครัวเดิมของตนได้ (หน้า 124-125)
          สังคมอาข่าคงอยู่ด้วยวัฒนธรรมและกฎหมายจารีตที่เรียกว่าวิถีชีวิตแบบอาข่า (The Akha Way) เจ้าสาวอาข่าถือเป็นเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลสามีและหากมีการหย่าเกิดขึ้น ลูกจะเป็นของครอบครัวสามี ชาวอาข่ามีมุมมองว่าผู้หญิงจะต้องแต่งงาน และกลายเป็นบุคคลที่ 2 เนื่องจากผู้หญิงไม่มีสิทธิ์ในการสืบเชื้อสายของตระกูล ชาวอาข่าจึงมีการสืบเชื้อสายผ่านตระกูลทางพ่อ (หน้า 127-128)
          เด็กผู้หญิงชาวม้งจะต้องทำอาหารและช่วยงานในไร่ระหว่างฤดูเพาะปลูก หลังหมดฤดูเพาะปลูกก็จะต้องอยู่บ้าน ทำงานเย็บปักหรือเย็บเสื้อผ้า (หน้า 145) เด็กผู้หญิงชาวม้งถูกพ่อแม่สอนว่าเมื่ออายุ 13-14 ปีถ้าไม่ออกไปเล่นกับเด็กผู้ชายจะทำให้เด็กกลุ่มนี้ไม่โต (หน้า 146)
          ในพิธีแต่งงานของชาวม้ง ต้องผ่านการยอมรับจากทั้งฝ่ายเจ้าบ่าวและเจ้าสาวก่อนจึงจะจัดงานแต่งงานได้ ในงาน เจ้าสาวและเจ้าบ่าวจะถือร่มจนกระทั่งถึงบ้าน มีการร้องเพลง 1 เพลงให้พ่อแม่ของตนเพื่อเปิดประตูบ้าน เมื่อเข้าไปในบ้านแล้วจะต้องร้องเพลง 1 เพลงเพื่อขอน้ำสำหรับล้างหน้า และอีก 1 เพลงสำหรับเรียกญาติพี่น้อง (หน้า 149)
          ในเผ่าอาข่า หากไม่มีความรักเกิดขึ้นระหว่างหนุ่มสาว ทั้งคู่จะแต่งงานกันไม่ได้ โดยปกติแล้วผู้หญิงอายุ 15 ปีขึ้นไปและผู้ชายอายุ 18 ปีขึ้นไปถือว่าโตพอที่จะสามารถแต่งงานได้ 

Political Organization

          ในประเทศลาว มีการจัดอบรมการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ขึ้นโดยมีกลุ่มเป้าหมายคือประชากรที่ได้รับการศึกษาชั้นประถมศึกษาหรือมัธยมศึกษาในเขตเมืองที่กำลังพัฒนานโยบาย นอกจากนั้นยังรวมถึงผู้นำกลุ่มชาติพันธุ์ตามท้องถิ่น ซึ่งการจัดอบรมเช่นนี้อาจส่งผลให้มีอุดมการณ์ที่เหนือความเป็นจริง และทำให้กลุ่มชาติพันธุ์ไม่ได้พัฒนาตนเองเพราะพวกเขาต้องเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์กับการอนุรักษ์วัฒนธรรม และกลุ่มชาติพันธุ์ไม่ได้ถูกถามเกี่ยวกับการที่สามารถปรับโครงการดังกล่าวให้เข้ากับสังคมของตน (หน้า 26) ศักยภาพตามธรรมชาติของกลุ่มชาติพันธุ์ไม่ใช่สิ่งที่โครงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ทั่วไปจะสามารถนำมาใช้ได้รวมถึงระบบการศึกษาและหลักสูตรของชาติที่เอื้อให้กลุ่มชาติพันธุ์กลายเป็นส่วนหนึ่งของคนทันสมัยส่วนใหญ่ในสังคม (หน้า 29)
          แนวความคิดที่เกิดขึ้นในช่วงหลังยุคสมัยใหม่คือการที่กลุ่มชาติพันธุ์ต้องถูกทำให้เป็นคนทันสมัย ซึ่งหมายถึงการรับเอาวัฒนธรรมตะวันตกหรือชนผิวขาวซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศ (หน้า 34) ในการลงนามระหว่างประเทศ มีการประกาศว่าความรู้ท้องถิ่นจะต้องได้รับการยอมรับและตรวจสอบ กลุ่มชาติพันธุ์มีสิทธิ์เข้าถึงสิทธิต่างๆ ได้เท่ากับประชากรคนอื่นและต้องให้กลุ่มชาติพันธุ์ได้เข้าร่วมกิจกรรมทางสังคม (หน้า 56)
          กลุ่มชาติพันธุ์ส่วนใหญ่ในประเทศลาวนั้นเป็นกลุ่มที่อยู่นอกเหนือจากโครงการพัฒนาให้เป็นสากลของประเทศและมีกลุ่มชาติพันธุ์เพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่มีส่วนร่วมในการปกครอง ทำให้เหมือนกับว่ากลุ่มชาติพันธุ์เหล่านี้ไม่ได้ถือสัญชาติลาวทั้งที่ในความจริงแล้วพวกเขาต่างถือสัญชาติลาว (หน้า 13,66) แม้ว่าจำนวนของประชากรที่ไม่ใช่กลุ่ม Lao Loum นั้นจะมีจำนวนมาก แต่นโยบายของภาครัฐก็ยังคงเน้นนโยบายการรวมเข้าเป็นคนลาว เนื่องจากสอดคล้องกับการปกครองในรูปแบบคอมมิวนิสต์ของประเทศ (หน้า 59)
          การที่รัฐบาลลาวต้องการเปิดประเทศสู่โลกสมัยใหม่ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องประสบปัญหาในการคงอำนาจการปกครองเหนือกลุ่มประชากรที่กระจัดกระจายเป็นชนเผ่าและวัฒนธรรมต่างๆ ทำให้กลายเป็นปัญหาภายในประเทศทีต้องได้รับการแก้ไขเพื่อสร้างชาติให้มั่นคงและคงความสัมพันธ์ที่ดีและมั่นคงกับรัฐเพื่อนบ้าน ทำให้กลุ่มชาติพันธุ์อยู่ในตำแหน่งที่สำคัญทางการเมือง (หน้า 60)
          ในประเทศไทยได้มีการตั้งคณะกรรมการเพื่อดูแลชาวเขาในระดับชาติ (Hill tribe committee) ในปีค.ศ. 1959 และมีหน่วยงานที่เข้าไปทำโครงการเกี่ยวกับกลุ่มชาติพันธุ์จากทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเน้นในเรื่องการได้รับสัญชาติไทย การทำลายฝิ่น การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม และสิ่งแวดล้อม ภายหลังจากการตั้งคณะกรรมการดังกล่าว พบว่ามีกลุ่มชาติพันธุ์มาขึ้นทะเบียนรับสัญญาติไทยมากขึ้น ทำให้สามารถเข้าถึงการศึกษาและสาธารณสุขได้มากขึ้น แหล่งเงินทุนภายนอกได้เข้ามามีบทบาทช่วยเหลือชาวบ้านในการสร้างฝายกั้นน้ำ ทำให้ชาวบ้านมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นโดยไม่ต้องทำลายสิ่งแวดล้อม แต่ในขณะเดียวกันก็ส่งผลกระทบต่อสถานะทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ในแง่ลบ และภาพลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ในสายตาของราชการก็ยังคงมองว่าเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ ไม่ใช่คนไทย (หน้า 20-21) 
          รัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการเพื่อความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ชนบทขึ้นเนื่องจากมองว่ามีปัญหาเกิดขึ้นในหมู่กลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยตามที่ราบสูงคือ วิธีการทำการเกษตรของกลุ่มชาติพันธุ์ทำให้เกิดการทำลายป่าไม้ และส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจของชาติ เป็นกลุ่มคนที่ปลูกฝิ่น ซึ่งตามข้อตกลงนานาชาตินั้นจะต้องมีการทำลายฝิ่นให้หมดไป และเหตุผลทางด้านความปลอดภัยเพราะอาจจะพบกลุ่มคอมมิวนิสต์แฝงตัวอยู่ในหมู่กลุ่มชาติพันธุ์และกลับมาก่อความไม่สงบให้กับประเทศได้ ทำให้กลุ่มชาติพันธุ์ถูกมองว่าเป็นกลุ่มคนที่สร้างปัญหาให้กับประเทศ ทำให้รัฐบาลมีนโยบายในการอพยพคนกลุ่มนี้ออกจากพื้นที่เดิมในปีค.ศ. 1959 ต่อมามีการพัฒนานโยบายเป็นการรวมกลุ่มชาติพันธุ์เข้าเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทยในขณะที่ยังเคารพสิทธิและการปฏิบัติของกลุ่มชาติพันธุ์ เพื่อให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุขในสังคมไทยและไม่ก่อให้เกิดปัญหาทางความมั่นคงอีก (หน้า 70-71)
          มีการลงนามในสนธิสัญญาระหว่างประเทศที่ระบุถึงการคุ้มครองภูมิปัญญาท้องถิ่น และสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์ที่เท่าเทียมกับประชากรคนอื่นในประเทศ  (หน้า 54) แต่ในนโยบายของรัฐบาลทั้ง 2ประเทศกลับพบว่าไม่มีส่วนใดที่แสดงถึงการให้กลุ่มชาติพันธุ์เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาตนเอง (หน้า 89)
          ชาวอาข่ามีการแบ่งการปกครองในหมู่บ้านเป็น 3กลุ่มหลักคือ หัวหน้าหมู่บ้าน (dzoema) ครู (phima) และช่าง (badzji) โดยมีเฉพาะผู้ชายเท่านั้นที่สามารถทำงานใน 3ส่วนนี้ (หน้า 127)
          ภายในหมู่บ้านม้ง Ban Denkang ในประเทศลาว หัวหน้าหมู่บ้านมีหน้าที่รับผิดชอบต่อภาพรวมของหมู่บ้าน มีผู้ช่วยหัวหน้าหมู่บ้านคอยดูแลด้านเศรษฐกิจและการบริหารโครงสร้างหมู่บ้าน นอกจากนั้นยังมีตัวแทนจากองค์กรภายนอกเช่น Lao Front, Youth Organizations และ Lao Women’s Unionในหมู่บ้านอาข่า Ban Houaytoumay ก็เช่นกัน คือมีผู้ชายเป็นผู้นำหมู่บ้าน มีตัวแทนจากองค์กรต่างๆ ที่เข้ามาช่วยเหลือและควบคุมอำนาจของผู้นำ โดยจะมี 4 คนที่ได้รับการเลือกตั้งจากคนในหมู่บ้านมารับผิดชอบด้านเกษตรกรรม การศึกษา สุขภาพ และป้องกันยาเสพติดซึ่งทั้ง 4 คนจะอยู่ภายใต้ความดูแลของ 3 ผู้นำหมู่บ้าน  (หน้า 133-134)
          หมู่บ้านชาวอาข่าและม้งที่ทำการศึกษานั้น มีระบบผู้นำที่เข้มแข็ง บางแห่งอยู่ไกลจากตัวเมืองมากจนเสมือนว่ามีการปกครองตนเองได้ภายในหมู่บ้าน โดยมีสิทธิ์ในการตัดสินใจเรื่องราวต่างๆ ที่ไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งกับหน่วยงานภาครัฐ หมู่บ้านกลุ่มชาติพันธุ์เหล่านี้จึงมีลักษณะการปกครองแบบกึ่งปกครองตนเอง (หน้า 137)  เนื่องจากผู้นำหมู่บ้านของชาวม้งและอาข่าเป็นสมาชิกภายในหมู่บ้าน อาศัยอยู่ในหมู่บ้านร่วมกันชาวบ้านคนอื่นๆ ทำให้ชาวบ้านสามารถติดตามการทำงานของผู้นำตนเอง และเชื่อถือในตัวผู้นำได้ และในกิจกรรมพัฒนาชุมชน ผู้นำจะต้องเข้าร่วมด้วยเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับชาวบ้าน (หน้า 151)

Belief System

          ชาวอาข่าเชื่อในเรื่องของความต่อเนื่อง เชื่อว่าการรักษาวัฒนธรรมนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นเนื่องจากเป็นสิ่งที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ มีความเชื่อว่าชุมชนอาข่าเป็นการสะท้อนพลังของจักรวาล โดยพืข คน และสัตว์ต่างได้รับความแข็งแรงมาจากพลังงานของจักรวาล หัวหน้าหมู่บ้านได้รับพลังแห่งการปกป้องจากแรงผลักดันของบรรพบุรุษ ทำให้ในการสร้างพื้นที่ทำการเกษตรจะต้องสอดคล้องกับแนวทางของจักรวาล ทางเข้าของหมู่บ้านอาข่านั้นจะต้องมีประตูและเมื่อก้าวเข้ามาในชุมชนจะถือว่าพื้นที่เหล่านี้เป็นพื้นที่ที่ชาวอาข่าสามารถอาศัยอยู่ได้โดยไม่ได้รับผลกระทบจากสิ่งที่ไม่ดี เพราะสิ่งชั่วร้ายต่างๆ จะอยู่ภายนอกหมู่บ้าน (หน้า 126)
          ในช่วงหลัง ชาวอาข่าจำนวนหนึ่งได้มีการเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ มีข้อสันนิษฐานว่าส่วนหนึ่งมาจากการต้องการหลีกหนีพิธีกรรมและการทำบุญเนื่องจากชาวอาข่ามีฐานะยากจนและไม่สามารถหาไก่และหมูมาใช้ในงานพิธีกรรมได้ ในขณะที่บางส่วนมองว่าการเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์เป็นการกระทำที่ทำให้ตนเองเจริญขึ้น (หน้า 127)
          ชาวบ้านทุกคนในหมู่บ้านม้ง Ban Denkang ในประเทศลาวนับถือพลังของวิญญาณที่ส่งผลต่อวิถีชีวิตประจำวัน ชาวบ้านอาข่าใน Ban Houaytoumay นับถือวิญญาณบรรพบุรุษ (หน้า 133-134)
          ชาวบ้านในหมู่บ้านม้ง หัวแม่คำ ในประเทศไทยส่วนมากเชื่อในจิตวิญญาณ มีบางส่วนนับถือศาสนาพุทธ และมีวัดเล็กๆ อยู่ภายในหมู่บ้าน (หน้า 135)
          ชาวอาข่าในหมู่บ้านบ้านแม่จันใต้ นับถือภูตผี นับถือวิญญาณบรรพบุรุษและโลกแห่งจิตวิญญาณ (หน้า 136)
ในวัฒนธรรมของชนพื้นเมือง การแลกเปลี่ยนให้ของซึ่งกันและกันเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมและค่านิยม และไม่ได้ทำเพื่อผลประโยชน์ใดๆ  ซึ่งตรงข้ามกับระบบทุนนิยม (หน้า 194)

Education and Socialization

          กลุ่มชาติพันธุ์หลายภาคส่วนที่ต้องการความเปลี่ยนแปลงและการพัฒนา แต่ยังคงกลัวว่าพวกเขาจะไม่ได้รับโอกาสในการหาคำตอบของการพัฒนาสำหรับตัวเองในสถานการณ์ปัจจุบัน ทำให้เกิดปัญหาในการจัดการศึกษาว่าต้องการให้เน้นวัฒนธรรมหลักของชาติหรือสนับสนุนศักยภาพของมนุษย์ที่มีอยู่ดั้งเดิมของกลุ่มชาติพันธุ์ (หน้า 32-33)
          ระบบการศึกษาในปัจจุบันที่พบในประเทศกำลังพัฒนานั้น มีบางส่วนที่อาจขัดแย้งกับความเชื่อและความคิดดั้งเดิมในวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ รูปแบบการจัดการศึกษาเป็นไปตามแนวคิดของโลกตะวันตกทำให้ความรู้ดั้งเดิมของชนเผ่ากำลังถูกคุกคามจากการจัดการศึกษา เนื่องจากระบบการศึกษาของกลุ่มชาติพันธุ์นั้นมุ่งไปที่การนำแต่ละบุคคลเข้าเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน การเรียนรู้เป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปตามเวลาที่ผ่านไป ให้บุคคลค่อยซึมซับบทบาทและสถานะหน้าที่ของตนเอง ผ่านการสอนของครอบครัว ชุมชนและสิ่งแวดล้อมภายนอก เน้นการเรียนในเรื่องการปฏิบัติ สังคม จริยธรรมและความเชื่อ การส่งบุตรหลานให้เข้าโรงเรียนนั้นมีค่าเสียโอกาสที่สูงมากสำหรับผู้ปกครอง โดยเฉพาะเด็กผู้หญิง มีอัตราการเลิกเรียนสูงเนื่องจากมีการสอนในภาษาต่างประเทศ หลักสูตรไม่เหมาะสมและครูที่สอนไม่มีความสามารถหรือเข้าใจวัฒนธรรมของชนเผ่ามากพอ (หน้า 35-37,39)
          ระบบการศึกษาส่วนใหญ่ที่มักมีหน่วยงานภายนอกเช่นรัฐบาลรวมถึง NGO นำเข้ามาให้กับกลุ่มชาติพันธุ์มักมาจากรูปแบบเดียวกันกับที่ใช้ในสังคมภายนอก และเชื่อว่าจะสามารถประสบผลสำเร็จกับกลุ่มชาติพันธุ์เช่นเดียวกัน เพราะไม่มีการคำนึงถึงความแตกต่างของวัฒนธรรม ค่านิยมของแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์ซึ่งส่งผลอย่างมากต่อการศึกษาและการใช้ชีวิต (หน้า 38)
          ในช่วงก่อนที่ลาวจะตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสในปีค.ศ. 1893 นั้น ในประเทศลาวไม่มีโรงเรียนรัฐบาล  และการศึกษาเป็นหน้าที่ของพระสงฆ์ในการสั่งสอนภายในวัด ซึ่งไม่ได้สอนแต่เรื่องทางศาสนาแต่รวมถึงวิชาการทั่วไปด้วยเช่นการอ่าน การเขียน เลขณิต การปั้น การแพทย์พื้นบ้านเป็นต้น ทุกๆหมู่บ้านจะมีวัดเพื่อใช้ในจุดประสงค์ทั้งทางศาสนาและการศึกษา สำหรับกลุ่มชาติพันธุ์ที่ไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ ไม่มีการเรียนเป็นรูปแบบที่ชัดเจน มีเพียงรูปแบบการเรียนที่ให้เด็กได้พัฒนาทักษะการปฏิบัติและทักษะทางสังคม ในช่วงที่ฝรั่งเศสปปกครองประเทศลาว ก็ไม่ได้ทำการแทรกแซงด้านศาสนาและการเรียนการสอนภายในวัด แต่มีการตั้งโรงเรียนฝรั่งเศส-ลาวขึ้นในปีค.ศ.1907ซึ่งสอนโดยใช้ภาษาฝรั่งเศสและมีนักเรียนเป็นชาวลาวชนชั้นปกครอง และไม่มีการพัฒนาด้านโอกาสทางการศึกษา ภายหลังได้รับเอกราช ไม่มีการพัฒนาด้านการศึกษามากนัก ผู้ที่ได้เรียนยังคงเป็นกลุ่มชนชั้นปกครองและคนที่มีฐานะ รูปแบบการศึกษายังคงเป็นไปตามรูปแบบของฝรั่งเศส ไม่มีการเข้าถึงประชากรในชนบท (หน้า 65)
แผนการศึกษาของชาติเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการสร้างคนและรวมชาติให้เป็นหนึ่งเดียว มีจุดมุ่งหมายที่จะพัฒนาคนที่ชาติมองว่าล้าหลังให้กลายเป็นคนทันสมัย (หน้า 69)

          ในประเทศลาว พบว่ามีชาวม้ง 67.2% ที่ไม่เคยไปโรงเรียน และมีเพียง 26.5% เท่านั้นที่สามารถอ่านและเขียนภาษาลาวได้ โดยพบว่าชาวอาข่ามีความสามารถทางภาษาที่ต่ำที่สุด คืออ่านและเขียนภาษาลาวได้ทั้งสิ้น 3.8% ทำให้รัฐบาลลาวมีแผนพัฒนาการศึกษาโดยเฉพาะในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา โดยเงินสนับสนุนมากถึง 83% มาจากหน่วยงานภายนอก นำมาใช้พัฒนาด้านการก่อสร้าง การจัดการฝึกอบรมสำหรับเจ้าหน้าที่รัฐในระดับชาติ จังหวัดและเมือง และมีคนท้องถิ่นเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่เข้าไปมีส่วนร่วมเช่นไม่มีคนท้องถิ่นเข้าไปมีบทบาทในการวางแผน และทั้งการเรียนรู้ให้ความสำคัญกับกระบวนการเรียนรู้ที่มีอยู่และการปฏิบัติแบบท้องถิ่นน้อยมาก (หน้า 89-90)
          จากเอกสารที่แสดงถึงทรัพยากรบุคคลในประเทศที่ผ่านการอบรมและได้รับการศึกษาเพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับภาคอุตสาหกรรมของประเทศลาวนั้น มีกลุ่มชาติพันธุ์เพียงบางกลุ่มเท่านั้นที่ได้เข้ามามีส่วนร่วม (หน้า 91)
แม้ว่าการพัฒนาระบบการศึกษามีแนวโน้มที่จะส่งผลดีต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนในอนาคต แต่พบว่าระบบการศึกษายังต้องใช้เวลานานในการก้าวข้ามผ่านโครงสร้างทางสังคมและเศรษฐกิจ เช่นกลุ่มชาติพันธุ์มักจะเข้าถึงการศึกษาเต็มที่เพียงแค่ระดับมัธยมศึกษาเท่านั้น (หน้า 95)

          รัฐบาลคอมมิวนิสต์ลาวมีเป้าหมายในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ขึ้นเพื่อให้ตอบสนองความต้องการด้านแรงงานที่ใช้ในการพัฒนาประเทศโดยเฉพาะแรงงานที่ทันสมัยและเชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรม ประกอบกับมีชาวลาวที่มาจากกลุ่มชาติพันธุ์จำนวนเล็กน้อยเท่านั้นที่เข้ามามีส่วนร่วมในระบบการผลิตระดับชาติ ทำให้มีการสร้างโรงเรียนขึ้นสำหรับชาวบ้านโดยเฉพาะระดับประถมศึกษาซึ่งเชื่อว่าจะทำให้อัตราการรู้หนังสือของประชากรในประเทศสูงขึ้น รัฐบาลลาวได้ออกมาประกาศว่ามีอัตราการไม่รู้หนังสือเท่ากับ 0% ในปีค.ศ.1984 แต่จากการสำรวจของ UNESCO ในปีค.ศ. 1984-1985 ยังคงมีผู้ไม่รู้หนังสือมากถึง 56% โดยส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง คาดว่าปัจจัยที่ส่งผลต่อการไม่รู้หนังสือนั้นไม่ได้มาจากการเป็นกลุ่มชาติพันธุ์แต่มาจากการไม่ได้รับการสนับสนุนทางการศึกษาที่เพียงพอในจังหวัดรอบนอก เพื่อขยายการศึกษาให้เข้าถึงกลุ่มกลุ่มชาติพันธุ์ รัฐบาลคอมมิวนิสต์ลาวได้จัดตั้งโรงเรียนประจำขึ้นสำหรับครูที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ เพื่อฝึกฝนทักษะก่อนกลับไปสอนในหมู่บ้านของตน แต่นโยบายดังกล่าวไม่ประสบความสำเร็จมากเท่าที่ตั้งเป้าเนื่องจากความแตกต่างระหว่างสิ่งแวดล้อมทางวัฒนธรรมของครูกลุ่มชาติพันธุ์ (หน้า 98-101)

          ในปีค.ศ. 1993รัฐบาลลาวได้มีการออกแนวทางปฏิบัติเพื่อการศึกษาของกลุ่มชาติพันธุ์ขึ้น โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนามาตรฐานและจำนวนครู มีการจัดตั้งโรงเรียนประจำสำหรับเด็ก

          กลุ่มชาติพันธุ์และนำหน่วยงานระดับท้องถิ่นให้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนา แต่พบว่าโรงเรียนประจำสำหรับเด็กนั้นก็ไม่ประสบผลสำเร็จมากกว่าโรงเรียนประจำสำหรับครูที่เคยจัดตั้งมาก่อนหน้านี้ เนื่องจากพบปัญหาหลายประการ เช่นเด็กรู้สึกว่าถูกบังคับให้ออกมา จากวัฒนธรรมที่คุ้นเคยให้เข้ามาสู่วิถีชีวิตแบบใหม่ และการที่ตารางเวลาของโรงเรียนประจำนั้นไม่เหมาะสมกับเด็กกลุ่มชาติพันธุ์ ทำให้มีอัตราการพักการเรียนที่สูง หลักสูตรที่สอนนั้นไม่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตในภูเขา เด็กบางกลุ่มเด็กเกินกว่าที่จะช่วยเหลือตนเองได้ ภาษาที่ใช้สอนนั้นเป็นภาษาลาวซึ่งเป็นภาษาที่สองของกลุ่มชาติพันธุ์ และมีทั้งเด็กและครูที่ไม่เข้าเรียนเพราะต้องกลับไปเข้าร่วมพิธีกรรมท้องถิ่นในหมู่บ้าน อีกทั้งนักเรียนที่เข้าเรียนนั้น มีผู้หญิงจำนวนน้อยมากเนื่องจากเด็กผู้หญิงเริ่มมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบตั้งแต่อายุที่น้อยกว่าผู้ชาย และบางส่วนมีการแต่งงานตั้งแต่อายุยังน้อย (หน้า 101-104)

          ความรู้ดั้งเดิมของไทยนั้นสามารถแบ่งออกได้เป็น 10 ประเภท คือ 1. การเกษตร 2. การผลิตและหัตถกรรม 3. การแพทย์แผนไทย 4. การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 5. ธุรกิจชุมชน 6. สวัสดิการชุมชน 7. ศิลปะพื้นบ้าน 8. การจัดการองค์กร 9. ภาษาและวรรณกรรม และ 10. ศาสนาและขนบธรรมเนียมประเพณี (หน้า 106)
ในประเทศไทย ในอดีตพ่อแม่เป็นผู้ดูแลการสอนบุครหลานของตนในเรื่องค่านิยมทางสังคมและวัฒนธรรม พระในวัดเป็นผู้สอนการอ่านหนังสือและจริยธรรม และมีการศึกษาเรื่องศิลปะในพระราชวัง แต่การปฏิบัติเช่นนี้ได้หายไปเนื่องจากการให้ความสำคัญกับความรู้ตามวัฒนธรรมตะวันตก (หน้า 106)

          ในเกือบทุกหมู่บ้านของชาวม้งและอาข่าที่ทำการศึกษา จะพบว่าชาวบ้านกลุ่มหนึ่งที่ได้รับการศึกษาอย่างเป็นทางการ (หน้า 129)
          ชาวบ้านในหมู่บ้านม้ง Ban Denkang มีประชากร 129 คนที่สามารถพูดภาษาลาวได้และมี 93 ที่สามารถอ่านและเขียนภาษาลาวได้ มีการตั้งโรงเรียนขึ้นภายในหมู่บ้านเมื่อปีค.ศ. 1995 มีครูมาจากหน่วยงานจังหวัด เมื่อปี ค.ศ. 2001 16% ของเด็กในหมู่บ้านได้รับการศึกษาในระบบ (หน้า 133)
          ชาวบ้านอาข่าในหมู่บ้าน Houaytoumay นั้นมีชาวบ้าน 92 คนที่สามารถพูดและเข้าใจภาษาลาว แต่มี 64 คนเท่านั้นที่อ่านและเขียนภาษาลาวได้ มีการตั้งโรงเรียนภายในหมู่บ้านด้วยความร่วมมือระหว่าง Norwegian Church Aid และหน่วยงานอำเภอ Long ในปีค.ศ. 1997 (หน้า 134)
          ชาวบ้านม้งในหมู่บ้าน หัวแม่คำ ประเทศไทย ส่วนมากสามารถเข้าใจภาษาไทยได้ แต่ก็มีส่วนหนึ่งที่สามารถใช้ภาษาม้งได้เท่านั้น มีโรงเรียนประถมศึกษาตั้งอยู่ห่างจากหมู่บ้านไป 3 กิโลเมตร และในปีค.ศ. 1996 ได้มีการตั้งศูนย์การศึกษานอกหลักสูตรขึ้นในจังหวัดเชียงราย ทำให้มีการตั้งศูนย์การเรียนรู้ในหมู่บ้าน มีครูที่ได้รับการอบรมความรู้ด้านสุขภาพรับผิดชอบศูนย์และการทำงานในการพัฒนาหมู่บ้าน (หน้า 135)
          ชาวบ้านอาข่าในบ้านแม่จันใต้ ส่วนใหญ่สามารถฟังพูดอ่านเขียน ภาษาไทยได้ แต่มีจำนวนเกือบเท่ากันที่สามารถพูดและเข้าใจภาษาอาข่าได้เท่านั้น โรงเรียนที่อยู่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างออกไป 4 กิโลเมตร แต่มีการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้เช่นเดียวกับหมู่บ้านม้ง ภายในหมู่บ้านมีโครงการอาหารกลางวันสำหรับโรงเรียน โครงการป้องกันการขาดไอโอดีนและโครงการปลูกผลไม้ (หน้า 136)
          จากการศึกษาพบว่าหมู่บ้านที่ทำการศึกษาในประเทศไทยนั้นมีการรู้ภาษาทางการของชาติมากกว่าชาวบ้านในประเทศลาว และชาวม้งรู้มากกว่าชาวอาข่า (หน้า 136)
          จากการสัมภาษณ์พบว่า สำหรับชาวอาข่า การศึกษาและวัฒนธรรมเป็นส่วนที่ช่วยสร้างสังคมขึ้นมาและไม่สามารถแบ่งแยกออกจากกันได้ โดยแก่นสาระขององค์ความรู้ท้องถิ่นนั้คือวัฒนธรรมของชนเผ่าที่ต้องสืบทอดต่อไปผ่านระบบชุมชนและการสั่งสอนจากผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขา การศึกษาสำหรับชาวอาข่าคือการถ่ายโอนความรู้จากรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่ง (หน้า 142)
          ในการเรียนรู้ความรู้แบบดั้งเดิมของชนพื้นเมืองนั้นเกี่ยวข้องกับคำกริยา 3 คำ คือ รู้ ทำ และกลายเป็น (หน้า 143) การเรียนรู้ส่วนใหญ่มาจากการไปขอเรียนจากผู้ที่มีทักษะในด้านนั้นหรือจากพ่อแม่หรือจากประสบการณ์ของผู้อื่น โดยใช้การสังเกต และเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติจริง (หน้า 144) โดยพ่อแม่จะต้องทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูกด้วยเพื่อให้ลูกเคารพและเชื่อมั่นในคำสอน เมื่อเด็กโตขึ้นจึงสามารถเรียนรู้จากชาวบ้านคนอื่นในหมู่บ้านได้ (หน้า 147)
          คำสอนส่วนมากที่เด็กได้รับจากพ่อแม่จะเน้นในเรื่องการดำรงชีวิตเช่นการเป็นคนดี ซื่อสัตย์ ไม่ทะเลาะเบาะแว้งกับคนอื่น ทำหน้าที่ของตนเองให้ดี เคารพผู้ใหญ่ และทักษะอื่น เช่นการปลูกฝ้าย การทอผ้า การเพาะปลูก การทำเครื่องจักสาน การรักษาสิ่งแวดล้อม เป็นต้น  และเชื่อว่าหากไม่ทำตามคำสั่งสอนดังกล่าวจะทำให้ไม่มีคนคบ เป็นคนไม่ดี มีชีวิตที่ล้มเหลว ฯลฯ (หน้า 144-152)
          ชาวม้งและอาข่าเข้าใจว่าการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์คือการเรียนรู้ตลอดชีวิตผ่านการปฏิบัติ โดยเป็นการเรียนรู้เพื่อให้สามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมรอบข้างได้ ไม่จำเป็นต้องเรียนผ่านคนอื่นแต่สามารถพัฒนาขึ้นมาได้ด้วยตนเอง (หน้า 154,157)
          จากการสัมภาษณ์พบว่าการศึกษาภายในครอบครัวสำหรับเด็กนั้นเป็นการสอนปฏิบัติในชีวิตจริง ซึ่งต่อมาจะพัฒนากลายเป็นสามัญสำนึกของการเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลที่มาพร้อมหน้าที่ของแต่ละบุคคล ระหง่างพิธีกรรมผู้อาวุโสจะให้เด็กได้เข้าร่วม ซึ่งเป็นการนำผู้อาวุโสเข้ามามีส่วนร่วมในการสั่งสอนเด็กและกระชับความสัมพันธ์ระหว่างผู้อาวุโสและเด็ก ดังนั้นการเรียนรู้ของเด็กนั้นถือเป็นความรับผิดชอบของทั้งหมู่บ้าน นอกจากนั้นมีการเรียนรู้ผ่านการเล่นเกมซึ่งจำเพาะต่อเพศของตน เป็นการส่งเสริมให้รู้ถึงบทบาทหน้าที่ในอนาคต (หน้า 156)
          มีการรายงานว่าในประเทศลาวยังคงมีปัญหาด้านตำราเรียน โดยนำเสนอแต่วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของชนกลุ่มใหญ่ของประเทศ ซึ่งไม่ได้เป็นการแสดงถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่ปรากฎจริงในประเทศ จึงมีการเสนอให้ทำการทบทวนหนังสือเรียนและหลักสูตรภายในประเทศ และการศึกษาในระบบนั้นไม่ได้รวมเอาความเกี่ยวข้องกับธรรมชาติที่พบได้ในชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์เข้าไว้ (หน้า 169,171)
          ในประเทศไทยได้มีการจัดตั้งการศึกษานอกระบบขึ้นโดย 1 ในกลุ่มเป้าหมายคือกลุ่มชาวเขา มีการรวมกลุ่มกันของหมู่บ้านประมาณ 4-10หมู่บ้าน คณะกรรมการหมู่บ้าน และศูนย์การเรียนรู้ในแต่ละหมู่บ้านเพื่อจัดการศึกษาตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบที่ปรับให้เข้ากับวิถีชีวิตในที่ราบสูง ไม่มีการคิดคะแนนและไม่กำหนดเวลาในการเรียน เนื้อหามีการผสมผสานระหว่างเนื้อหาตามหลักสูตรกับความรู้ท้องถิ่น เน้นการฝึกปฏิบัตินอกห้องเรียนและการประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน มีหลายหน่วยงานที่มีบทบาทในการพัฒนาแนวความคิดดังกล่าว เช่น MPCDE. HTEC, HADFและ IMPECT (หน้า 174-178)
          มีองค์กรต่างชาติที่เข้ามามีบทบาทต่อการศึกษาของกลุ่มชาติพันธุ์บ้างเช่น German Gesellschaft fur Technische Zusammenarbeit (GTZ) ซึ่งได้จัดตั้งโครงการพัฒนาที่ราบสูงไทยเยอรมันและดำเนินการมานานกว่า 17ปี ,องค์กร World Educationและองค์กร Consortium ของประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นต้นซึ่งมีจุดมุ่งหมายเข้ามาทำโครงการพัฒนาด้านการศึกษาให้กับกลุ่มชาติพันธุ์ (หน้า 182-187)

Health and Medicine

          ในหมู่บ้านม้ง Ban Denkang มีหมอ 1 คนที่ไม่ได้ทำงานให้กับรัฐบาลทำน้าที่ดูแลรักษาการเจ็บป่วยเท่าที่สามารถทำได้ มีผู้เยียวยา 2คนในหมู่บ้านที่ช่วยในการรักษาโรคทั่วไปเช่นมาลาเรีย ท้องเสียและ Typhoid (หน้า 134)
          ในหมู่บ้านอาข่า Ban Houaytoumay ไม่มีเจ้าหน้าที่สาธารณสุข แต่มีรองหัวหน้าหมู่บ้านเป็นอาสาสมัครสาธารณสุขซึ่งสามารถให้คำแนะนำในการรักษาโรคทั่วไปได้ (หน้า 135)
          ในหมู่บ้านม้ง  หัวแม่คำ ประเทศไทยไม่มีเด็กขาดสารอาหาร โรคที่พบบ่อยคือมาลาเรียและโรคผิวหนัง (หน้า 135)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

          ในชุมชนชาวม้ง ดนตรีถือเป็นส่วนหนึ่งของขนบธรรมเนียมประเพณี เมื่อผู้ชายมีความรัก จะต้องใช้ดนตรีในการสื่อสารกับผู้หญิง เพราะเชื่อว่าดนตรีสามารถสื่อสารได้ทั้งกับมนุษย์และจิตวิญญาณ (หน้า 145)
          ชาวม้งในประเทศไทยมีบทเพลงที่กล่าวถึงการอนุรักษ์ป่า การเพาะปลูก ชีวิตประจำวัน และส่วนมากจะเป็นเพลงเกี่ยวกับพิธีกรรม (หน้า 148,151-152,156)

Folklore

          ชาวม้งมีความเชื่อในโลกของจิตวิญญาณและจิตวิญญาณของบรรพบุรุษภายหลังสิ่งของต่างๆ และเชื่อเกี่ยวกับอำนาจเหนือธรรมชาติที่ส่งผลต่อชีวิตของชุมชนและบุคคล มีการใช้ตำนานกำเนิดโลกและจักรวาลมาใช้การพัฒนาการเรียนรู้ของชาวม้ง เช่นมีความเชื่อเกี่ยวกับพระอาทิตย์และพระจันทร์ ที่สอนว่าถ้าคู่รักรักกันมากพอ พวกเขาจะได้เกิดใหม่เป็นพระอาทิตย์และพระจันทร์และอยู่ด้วยกันตลอดไป เป็นต้น (หน้า 124) เชื่อว่าทุกคนในโลกเป็นลูกของลูกชายระหว่างพระอาทิตย์และพระจันทร์ ซึ่งลูกชายแต่ละคนก็มีนามสกุลที่ต่างกัน ดังนั้นจึงห้ามมีการแต่งงานระหว่างคนที่มีนามสกุลเดียวกัน (หน้า 125)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

          ในประเทศลาวนั้นมีการแบ่งกลุ่มประชากรออกเป็น 3 กลุ่มคือ 1. Lao Loum 2. Lao Theung 3. Lao Soung ซึ่งกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ภายในประเทศลาวนั้นจัดอยู่ในกลุ่มที่ 2 และ 3 (หน้า 12) โดยแต่ละกลุ่มมีการอาศัยอยู่ในพื้นที่และปกครองตนเองเป็นหมู่บ้าน โดยไม่มีการติดต่อระหว่างหมู่บ้านมากนัก เนื่องจากมีความแตกต่างทั้งทางด้านภูมิศาสตร์ ความเชื่อ วัฒนธรรมและวิธีการเพาะปลูก ทำให้ในปัจจุบันชาวลาวที่นับถือศาสนาพุทธนั้นอาศัยอยู่ในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำโขงที่อุดมสมบูรณ์ และกลุ่ม Lao Soung อาศัยอยู่ตามภูเขาและต้องจ่ายภาษี ค่านิยมและนโยบายของทางการลาวที่มีการอคติและความไม่เท่าเทียมกันในสังคมลาวที่มีมาอย่างยาวนานนั้นเป็นสิ่งที่ยากต่อการกำจัดเพราะมีประวัติศาสตร์และความขัดแย้งระหว่างกลุ่มมายาวนาน (หน้า 63-64)
          ในประเทศไทย มีการกล่าวว่ารัฐบาลมีมุมมองแง่ลบต่อกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ภายในประเทศ และมีความพยายามที่จะรวมกลุ่มชาติพันธุ์ให้เข้าสู่วัฒนธรรมและสังคมของไทย (หน้า 22) มีการจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ห่างไกลในปีค.ศ. 1951เนื่องจากแนวความคิดที่มีต่อกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศว่ามีการทำการเกษตรที่ทำลายทรัพยากรป่าไม้ และมีการปลูกฝิ่น (หน้า 70)
          กลุ่มชาติพันธุ์ถูกมองว่าเป็นกลุ่มคนที่แตกต่างจากประชากรส่วนใหญ่ในประเทศ ทำให้มีความเป็นอยู่ที่แยกห่างออกจากสังคมคนส่วนใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ จากการถูกมองและเป็นเหยื่อของการถูกทำให้เป็นชายขอบ (หน้า 72)
รัฐบาลมักให้ความสนใจกับกลุ่มชาติพันธุ์ในแง่ของแหล่งรายได้จากการท่องเที่ยว มีการให้ความสำคัญในแง่ของการพัฒนาวัฒนธรรมให้กลายเป็นสินค้า แต่ให้ความสนใจต่อคุณภาพชีวิตของชาวบ้านน้อยมาก (หน้า 40)
          กลุ่มชาติพันธุ์มักถูกมองว่าเป็นกลุ่มคนที่ยึดติดกับวัฒนธรรมแบบดั้งเดิม เป็นเกษตรกรที่ล้าหลัง หรือพวกล่าสัตว์ที่ต้องอาศัยอยู่กับธรรมชาติ มองว่าความเชื่อของพวกเขาเป็นสิ่งที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้และไม่เป็นวิทยาศาสตร์ การดำรงชีวิตแบบพึ่งพิงธรรมชาติและการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่กลุ่มชาติพันธุ์เสนอถูกมองว่าเป็นไม่สามารถปฏิบัติได้จริง ทำให้กลุ่มชาติพันธุ์กลัวที่จะต้องสูญเสียความรู้ของตนเอง และต้องต่อสู้เพื่อรักษาความรู้เหล่านี้เอาไว้ (หน้า 44-45)
          นอกจากนั้นกลุ่มชาติพันธุ์ยังมีความรู้สึกว่าไม่มีหน่วยงานภาครัฐที่เข้ามาถามพวกเขาถึงสิ่งที่ต้องการ ในทางกลับกันกลับมอบแต่นโยบายมาจากด้านบน แสดงให้เห็นว่ามีความกดดันจากกระแสวัฒนธรรมหลักของชาติและเป็นการดูถูกความคิดของกลุ่มชาติพันธุ์ ทำให้กลุ่มชาติพันธุ์มองว่าการได้รับการศึกษาควบคู่ไปด้วยนั้นจะทำให้ตนไม่ถูกเหยีดหยามจากสังคม (หน้า 137)
          ชาว Lao Loum มองว่ากลุ่มของตัวเองเป็นตัวแทนของความทันสมัยและความเจริญก้าวหน้า และการทำให้กลุ่มชาติพันธุ์เป็นอย่างตนนั้นคือกระบวนการที่จะพัฒนากลุ่มชาติพันธุ์ให้มีความทันสมัย แม้ว่าจะทำให้เกิดการลดความหลากหลายทางวัฒนธรรม รวมกันให้กลายเป็นหนึ่งเดียวเพื่อให้สามารถสร้างคนยุคอุตสาหกรรมตามที่ต้องการได้ (หน้า 105)
          ในประเทศไทย ปกติแล้วกลุ่มชาติพันธุ์จะไม่ถูกกล่าวถึงยกเว้นแต่จะรวมเข้าอยู่ในกลุ่มที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ไร้โอกาสและมักไม่มาเรียนหนังสือ (หน้า 107)
          กลุ่มชาติพันธุ์รู้สึกถึงแรงกดดันทางวัฒนธรรมของสังคมหลักที่ส่งผ่านมายังตน พร้อมกับการเสื่อมสลายของวัฒนธรรมและความรู้ดั้งเดิมของตน โดยเฉพาะด้านการศึกษาที่มองว่ากลุ่มชาติพันธุ์จำเป็นจะต้องได้รับการศึกษาตามหลักสูตรซึ่งดีกว่าการศึกษาความรู้แบบดั้งเดิมภายในหมู่บ้าน คนภายนอกมักจะดูถูกคนที่ไม่ได้รับการศึกษา โดยที่ไม่ได้มองว่าการศึกษาแบบดั้งเดิมของกลุ่มชาติพันธุ์นั้นสามารถทำให้พวกเขาดำรงชีวิตอยู่รอดกันมานานหลายศตวรรต (หน้า 141)
          จากการสัมภาษณ์พบว่าชาวม้งและอาข่ากลุ่มหนึ่งมีความพอใจในวัฒนธรรมค่านิยมและความสามารถของตน และต้องการการตัดสินใจด้วยตนเองโดยอาจจะมีคำแนะนำจากชุมชนภายนอกได้ โดยส่วนมากมองว่าการศึกษาในระบบนั้นสำคัญ และต้องการให้เด็กได้รับการศึกษาจากโรงเรียนเช่นเรื่องภาษาเพื่อใช้ติดต่อกับทางราชการและการปรับตัวหากต้องเข้าสังคม แต่ต้องการให้เด็กรักษาวัฒนธรรมและวิถีชีวิตดั้งเดิมเอาไว้ ในขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งได้รับผลกระทบจากชุมชนภายนอกมากกว่า และมองว่าการศึกษาในระบบนั้นเป็นสิ่งที่จะสามารถพัฒนาตนเองให้ฉลาดขึ้นได้ (หน้า 158-162)
          การที่กลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทยส่วนใหญ่ไม่มีสัญชาติไทยนั้น ทำให้กลุ่มชาติพันธุ์เชื่อว่าหากบุตรหลานได้รับการเรียนในระบบการศึกษาอย่างเป็นทางการ ได้เรียนภาษาไทยให้แตกฉาน จะทำให้สามารถหลุดพ้นจากสถานะที่เป็นอยู่และเป็นหนทางของการพัฒนาได้ (หน้า 159) แต่ในปัจจุบัน มีการศึกษาพบว่าหลักสูตรและหนังสือเรียนของลาวนั้นยังคงเน้นที่วัฒนธรรมของคนลาวในพื้นที่ราบแทนการแสดงถึงความหลากหลายทางชาติพันธุ์ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรจะได้รับการทบทวนและแก้ไข (หน้า 169)
          กลุ่มชาติพันธุ์มองรัฐบาลที่ปกครองตนเองด้วยความรู้สึกที่ไม่ไว้วางใจและไม่เชื่อถือเนื่องจากตนเองอยู่ในสถานะประชาชนชั้นสอง โดยเฉพาะเมื่อตนเองไม่ได้รับสัญชาติจากประเทศที่ตนอยู่อาศัย (หน้า 190)

Social Cultural and Identity Change

          ก่อนหน้านี้กลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทยมีการทำการเกษตรแบบปลูกพืชหลายชนิดหมุนเวียนกันไป แต่นโยบายของรัฐบาลสนับสนุนให้มีการเปลี่ยนมาเป็นการปลูกพืชเศรษฐกิจเพียงชนิดเดียว ซึ่งต้องใช้อุปกรณ์ เทคโนโลยีและสารเคมีที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและมีค่าใช้จ่ายสูง ชาวบ้านมีหนี้สินเพิ่มมากขึ้น ต้องออกนอกหมู่บ้านเพื่อหางานทำเพิ่มเติมในเมืองโดยทิ้งลูกให้อยู่ในหมู่บ้านกับผู้สูงอายุ หรือพาลูกเข้าเมือง ทำให้เด็กมีแนวโน้มจะทำงานเป็นขอทานหรือโสเภณี นอกจากนั้นเพื่อพัฒนาด้านการท่องเที่ยวตามการส่งเสริมของรัฐบาลทำให้ชาวบ้านต้องสูญเสียที่ดินเพื่อสร้างที่พักอาศัยและการเดินทางให้กับนักท่องเที่ยว โดยที่ชาวบ้านได้รับผลประโยชน์จากการท่องเที่ยวน้อยมาก การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนั้นนำมาซึ่งการเสื่อมสลายของวัฒนธรรมพื้นบ้านของกลุ่มชาติพันธุ์ (หน้า 21)
          เนื่องจากความกดดันจากสังคมภายนอก ทำให้กลุ่มชาติพันธุ์มีความตื่นตัวกลัวความเสี่ยงที่วัฒนธรรมของตนเองจะหลงเหลืออยู่เพียงในพิพิธภัณฑ์ (หน้า 40)  กลุ่มชาติพันธุ์มีความเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด จากการที่เคยมีสิทธิ์ในการใช้ชีวิตตามรูปแบบวัฒนธรรมของตนเอง ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นการถูกควบคุมและถูกสนับสนุนให้รื้อฟื้นวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมดั้งเดิมขึ้นมาใหม่ ตามมาด้วยความตั้งใจและการต้องการให้ไม่มีการเหยียดระหว่างวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ซึ่งถือเป็นนโยบายที่จะทำให้ประชาชนเข้าใจและยอมรับความแตกต่างทางวัฒนธรรมซึ่งกันและกัน นำไปสู่การประกาศสิทธิ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ แต่การพัฒนาดังกล่าวต้องอาศัยความร่วมมือของทุกฝ่ายรวมถึงตัวกลุ่มชาติพันธุ์แองด้วย (หน้า 53)
          การนำแนวปฏิบัติแบบตะวันตก ทั้งด้านการศึกษา การพัฒนาบุคคล และการเปลี่ยนนโยบายทางเศรษฐกิจ ได้กลายเป็นสิ่งที่ขัดต่อสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์ที่ควรจะได้รับ ทำให้เริ่มมีนักวิชาการจากกลุ่มชาติพันธุ์ที่ต้องการความเท่าเทียมกันในการจัดการการพัฒนาตนเองและการได้รับการยอมรับจากสังคม (หน้า 54)
          ปัจจุบันมุมมองเรื่องการศึกษาของกลุ่มชาติพันธุ์เปลี่ยนไป โดยมีความเชื่อว่าการศึกษาที่มาจากตะวันตกนั้นเป็นสิ่งที่ดีและฉลาด ในขณะที่วัฒนธรรมความรู้ท้องถิ่นของตนเป็นสิ่งที่ทำให้ตนเองไม่ฉลาด เพราะพวกเขาไม่มีการจัดระบบการเรียนรู้ ชาวบ้านบางส่วนได้รับเอาแนวคิดแบบสมัยใหม่ของสังคมลาวและไทยเข้ามาใช้ บางส่วนรู้สึกว่าตนเองจะไม่ฉลาดถ้าไม่ได้รับการศึกษาแบบทางการ การที่มีแนวคิดเช่นนี้ทำให้ค่านิยมที่มีต่อความรู้ท้องถิ่นลดลงอย่างมาก และถูกลดความสำคัญในการส่งทอดความรู้ให้คนรุ่นต่อไป ระบบการศึกษาจึงเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ความรู้ท้องถิ่นค่อยๆ สูญหายไปเรื่อยๆ (หน้า 162,165,170)
          ปัจจุบันกลุ่มชาติพันธุ์อาศัยอยู่ในประเทศใหญ่แบบไม่เสรีในแง่ของการถูกกีดกันทางเศรษฐกิจ การพัฒนาทางเศรษฐกิจและที่กำลังเกิดขึ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นทำให้เหลือพื้นที่ให้กลุ่มชาติพันธุ์ปรับตัวเพียงเล็กน้อย (หน้า 195,198)
          ก่อนหน้านี้ กลุ่มชาติพันธุ์มีวิธีการเรียนรู้ของตนเองโดยไม่มีใครมีอำนาจสั่งการจากภายนอก ทำให้ไม่จำเป็นต้องแสดงความคิดเห็นหรือทำให้เรื่องราวของตนเป็นที่รับรู้ในระดับโลก แต่ในปัจจุบัน พวกเขาอยู่ในสังคมอยู่หลังอาณานิคมที่มีประเทศกำลังพัฒนา หน่วยงานภายนอกและอีกหลายภาคส่วนที่มีอำนาจเหนือตน พวกเขาจึงต้องเริ่มหาวิธีที่จะรักษาวัฒนธรรมของตนเองไว้ไม่ให้สูญหาย (หน้า 215)

Map/Illustration

1. แผนที่แสดงประเทศลาว
2. แผนที่แสดงการกระจายตัวของกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศลาว
3. แผนที่แสดงประเทศไทย
4. แผนที่แสดงจำนวนและการกระจายตัวของกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทย
5. แผนที่แสดงจำนวนและการกระจายตัวของกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศลาว
6. แผนที่แสดงเส้นทางการอพยพของชาวม้งในศตวรรตที่ 19-20
7. แผนที่แสดงการตั้งถิ่นฐานของชนเผ่าอาข่าในภูมิภาคเอเชียตะวันตกเฉียงใต้
8. แผนที่แสดงเขตอุทยานแห่งชาติของประเทศไทย
9. แผนที่แสดงจังหวัด Luang Nam ประเทศลาว ที่ตั้งของหมู่บ้านที่ทำการศึกษา
10. แผนที่แสดงจังหวัดเชียงราย
11. แผนที่แสดงที่ตั้งของหมู่บ้านที่ทำการศึกษาในจังหวัดเชียงราย

Text Analyst กรกนก ศฤงคารีเศรษฐ์ Date of Report 08 มิ.ย 2562
TAG ม้ง, อาข่า, ภาคเหนือของประเทศไทย, ประเทศลาว, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง