|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ,พิธีเสนเรือน,พิษณุโลก |
Author |
สุกัญญา จันทะสูน |
Title |
ภูมิปัญญาชาวบ้านและกระบวนการถ่ายทอด : การศึกษาพิธีเสนเรือนของชาวลาวโซ่ง จังหวัดพิษณุโลก |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ไทดำ ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ไทยทรงดำ ไทดำ ไตดำ โซ่ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
234 |
Year |
2538 |
Source |
สาขาวิชาการศึกษาผู้ใหญ่และการศึกษาต่อเนื่องภาควิชาการศึกษานอกโรงเรียน บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร |
Abstract |
เพื่อศึกษาภูมิปัญญาชาวบ้านและกระบวนการถ่ายทอดวัฒนธรรมท้องถิ่นลาวโซ่ง ในด้านองค์ประกอบทางวัฒนธรรมโดยศึกษาจากพิธีกรรมต่าง ๆ ของลาวโซ่งการศึกษาครั้งนี้ใช้ระเบียบวิจัยเชิงคุณภาพ โดยที่ผู้วิจัยเขาไปอาศัยอยู่ในชุมชน |
|
Focus |
ศึกษากระบวนการถ่ายทอดทางวัฒนธรรมท้องถิ่นลาวโซ่งผ่านพิธีกรรมเสนเรือนและศึกษาปัจจัยทีทำให้เกิดการสืบทอดและเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมโดยเชื่อมโยบงกับพิธีกรรมอื่น ๆ ที่สัมพันธ์กัน (หน้า 6) |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ลาวโซ่งมีภาษาพูดและเขียน เป็นของตนเอง ซึ่งภาษาพูดจะคล้าย ๆ กับภาษาลาวเวียงจันทน์ และลาวทางภาคอีสานของไทย ภาษาเขียนนั้นก็จะมีเพียงแค่คนแก่ ๆ ที่มีอายุ 70 ปีขึ้นไปบางคนเท่านั้นที่เขียนได้ ลักษณะของภาษาจะมีพยัญชนะและสระคล้ายอักษรลาวหรืออักษรไทยโบราณ การเขียนนิยมเขียนในสมุดพับเป็นชั้น ๆ เช่น เดียวกับสมุดข่อย ไวยากรณ์ก็เช่นเดียวกับภาษาไทย(หน้า 78) ตัวอักษรคล้ายภาษาไขว้ ผู้ไทย และอักษรไทยถิ่นต่างๆ แถบอ่าวตังเกี๋ย อาจได้รับอิทธิพลจากรูปแบบอักษรล้านช้าง มีพยัญชนะ 27 รูป สระเดี่ยว 10 รูป สระประสม 6 รูป วรรณยุกต์ 1 รูป ปัจจุบันไม่มีการเขียนเพื่อสื่อสารกันแล้ว(หน้า 78-79) ภาษาพูด มีสำเนียงผิดเพี้ยนจากลาวเวียงจันทน์และอ่าน จะพูดภาษาของตนเฉพาะกับพวกโซ่งด้วยกัน แต่กับบุคคลภายนอกจะใช้ภาษากลางพูด (หน้า 82) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ลาวโซ่งหรือไทยโซ่งหรือผู้ไทยโซ่ง ที่จังหวัดพิษณุโลกนั้น เป็นลาวโซ่งที่อพยพมาจากเพชรบุรี นครปฐม สุพรรณบุรี ราชบุรีมาประมาณ 100 กว่าปีมาแล้ว ส่วนใหญ่อาศัยอยู่มากในท้องทีอำเภอวังทองด้วยเห็นว่าเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ เดิมหมู่บ้านนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของหมู่บ้านหมู่ที่ 3 ต่อมาในปี พ.ศ. 2515 ได้แยกตัวออกมาเป็นหมู่บ้านไผ่ทองมีผู้ใหญ่บ้านปกครองมาตั้งแต่เริ่มต้นจัดตั้งหมู่บ้านจนถึงปัจจุบันนี้จำนวน 2 คน ผู้ใหญ่บ้านคนปัจจุบันได้ปกครองหมู่บ้านมาตั้งแต่ พ.ศ. 2519 จนกระทั่งปัจจุบัน รวมเป็นเวลา 19 ปี โดยที่ชาวบ้านส่วนใหญ่ยังคงปฏิบัติตนตามขนบธรรมเนียมอย่างเคร่งครัด |
|
Settlement Pattern |
สภาพการตั้งบ้านเรือน ส่วนใหญ่จะอยู่เป็นหย่อม ๆ ติดต่อกันไปตามแนวถนนลูกรังสายหลักของหมู่บ้าน ทางทิศตะวันออกของหมู่บ้านมีลำน้ำที่เรียกว่า ครองไผ่คง ซึ่งแยกมาจากแม่น้าแคววังทองสภาพของหมู่บ้านแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม กรุ่มแรกอยู่ตอนเหนือสุด เรียกว่า "ดงแขวน" ตรงกลางมีบ้านผู้ใหญ่บ้านเป็นศูนย์กลางเรียกว่าดงไผ่และด้านท้ายสุดเรียกว่าในไผ่ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศใต้ของหมู่บ้าน (หน้า 63-64) (ลักษณะโครงสร้างบ้านเรือนโซ่ ดูหัวข้อ Art and Crafts) |
|
Demography |
มีประชากรทั้งหมดจำนวน 58 ครัวเรือนประชากรทั้งหมด 270 คน เป็นชาย 132 คน หญิง 138 คน ส่วนใหญ่เป็นโซ่งทุกครัวเรือน จะมีเพียงเขยหรือสะใภ้เท่านั้นที่มิใช่ลาวโซ่ง (หน้า 85) |
|
Economy |
ลาวโซ่งในหมู่บ้านไผ่สีทองนี้ส่วนใหญ่มีอาชีพทำนาเป็นหลัก เนื่องจากสภาพพื้นดินเป็นที่ราบลุ่มและที่ดอน มีพื้นที่ทั้งหมด 1300 ไร่มีรายได้เฉลี่ยต่อคนประมาณ 5,000-10,000 บาทต่อปี สามารถทำได้เพียงปีละ 1 ครั้งเท่านั้น เพราะอาศัยน้ำฝนในการทำนาเป็นหลัก และมีอาชีพรองคืองานรับจ้างทั่วไปและค้าขายโดยมีอาชีพเสริมคือการทำหมวกและตะกร้าไม้ไผ่และเลี้ยงสัตว์ (หน้า 68-70) |
|
Social Organization |
โครงสร้างทางสังคมของลาวโซ่งนั้นมีการแบ่งลำดับชั้นออกเป็น 2 ชนชั้นคือ 1.ชนชั้นผู้ท้าว คือ บุคคลและกลุ้มคนที่เกิดใน ตระกูล ผู้ท้าว ซึ่งลาวโซ่งมีความเชื่อว่าผู้ท้าวสืบเชื้อสายมาจากเจ้า 2.ชนชั้นผู้น้อย คือ บุคคลและกลุ้มคนทีเกิดในตระกูลสามัญชนซึ่งลาวโซ่งมีความเชื่อว่าผู้น้อยเป็นผู้ที่อยู่ภายใต้การปกครองของผู้ท้าว ซึ่งผู้ท้าวนั้นจะมีอิทธิพลเหนือกว่าผู้น้อยเปรียบเสมือนกับเจ้าเมือง ในสมัยก่อนนั้นเองในการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ นั้นจะเห็นความแตกต่างได้ชัดเจนยิ่งขึ้น (หน้า 75) ในส่วนของครอบครัวลาวโซ่งนั้นส่วนใหญ่จะเป็นครอบครัวขยาย โดยในครอบครัวคนเฒ่าจะได้รับการยอมรับจากลูกหลานและทำหน้าที่ดูแลบ้าน โดยในครอบครัวนั้นผู้ชายจะได้รับการยอมรับมากกว่าผู้หญิงในฐานะที่เป็นหัวหน้าครอบครัว ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วต้องใช้นามสกุลของสามี นับถือผีข้างสามี ลูกที่เกิดมาต้องใช้นามสกุลพ่อ และนับถือผีฝ่ายพ่อสืบไป ผู้ชายจะเป็นผู้นำครอบครัว(หน้า 76-77) ระบบเครือญาติ จะนับทางสายโลหิตเดียวกันและญาติที่มาจากการแต่งงานโดยเฉพาะสะใภ้จะนับรวมเป็นญาติผีเดียวกัน มีสิทธิเข้าประกอบพิธีกรรม ส่วยเขยนั้น ไม่ต้องเข้าร่วมประกอบพิธีกรรม การจัดลำดับเครือญาติ จะเป็นเครือญาติฝ่ายเดียวโดยถือเอาเครือญาติข้างพ่อเป็นสำคัญ (หน้า 77) |
|
Political Organization |
ผู้ใหญ่บ้านที่ได้รับเลือกตั้งจากชาวบ้านให้เป็นผู้นำโดยมีคณะกรรมการหมู่บ้านร่วมดำเนินการ ประกอบด้วยผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านจำนวน 4 คนแบ่งเป็นผู้ช่วยฝ่ายปกครอง 2 คนและผู้ช่วยฝ่ายดูแลความเรียบร้อยอีก 2 คน นอกจากนี้แล้วยังมีกรรมการฝ่ายต่างๆอีก 5 ฝ่าย คือ 1. ฝ่ายมหาดไทย 2. ฝ่ายการเกษตร 3. ฝ่ายสาธารณสุข 4. ฝ่ายการศึกษา 5. ฝ่ายการคลัง โดยมีหน้าที่ดูแลประสานงานกับเจ้าหน้าที่รัฐและดำเนินการ (หน้า 67-68) |
|
Belief System |
ลาวโซ่ง เป็น กลุ่มชาติพันธุ์ที่มีพิธีกรรมบางกลุ่มแตกต่างไปจากคนไทยหรือกลุ่มอื่นๆในประเทศไทย อาจแบ่งออกได้ตามความเชื่อเป็น 2 ประเภทคือ - พิธีกรรมเกี่ยวกับความเชื่อทางพุทธศาสนา มีการปฏิบัติตามหลักพระพุทธศาสนาเหมือนคนไทยทั่วไป เช่น บวชนาค ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ทำบุญในวันสำคัญทางศาสนา งานสงกรานต์ วันขึ้นปีใหม่ แต่รักษาเอกลักษณ์ทางการแต่งกาย และการละเล่นแบบลาวโซ่งไว้ - พิธีกรรมเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องการนับถือผีและขวัญ เป็นความเชื่อและมีการปฏิบัติอย่างเคร่งครัด สืบทอดตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน เช่นพิธีเกี่ยวกับการไหว้ผีบรรพบุรุษต่าง ๆ ที่สำคัญคือ พิธีเสนเรือน (หน้า 84) 1. พิธีเรือนเสน หมายถึงการเซ่นไหว้ผีเรือน เวลาเซ่นมีการเรียกชื่อผีเรือน คือ ปู่ ย่า ตา ยาย ให้มากินเครื่องเซ่น มีความเชื่อว่าการทำเช่นนั้นทำให้บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วไม่อดอยาก เกิดความสิริมงคลแก่บ้านเรือน ซึ่งพิธีเรือนเสน จัดเป็นพิธีครอบครัว และเป็นหน้าที่ของหัวหน้าครอบครัวที่จะต้องจัดเป็นประจำทุกปี ปีละ 1 ครั้งหรือ 2-3 ครั้งมักนิยมทำกันในเดือน 4 เดือน 6 เดือน 12 เพราะเป็นช่วงว่างจากการทำนา และไม่นิยมทำในเดือน 5 เพราะเป็นเดือนที่ไม่อุดมสมบูรณ์ และจะไม่ทำพิธีในเดือน 9, 10 และ 11 เพราะเชื่อว่า 3 เดือนนี้ผีจะไม่อยู่เป็นระยะที่ผีเรือนไปเฝ้าแทน (ผีฟ้า) และตรงกับฤดูการทำนาจึงไม่สะดวกทำพิธีและยังแยกออกเป็นพิธีของผู้ท้าวและผู้น้อยอีกด้วย ซึ่งจะมีรายละเอียดต่อไปนี้ 1.1 พิธีเสนเรือนผู้น้อย โดยจะเริ่มที่การเลือกลูกหมูตัวผู้มาเลี้ยงไว้ ต้องเป็นลูกหมูที่แข็งแรงและสมประกอบเท่านั้นโดยหมูที่จะใช้ในพิธีจะเลี้ยงให้โตประมาณ 70-80 กิโลกรัม และห้ามนำหมูไปกินหรือขายเพราะเชื่อว่าจะเป็นผลร้ายกับครอบครัวนอกจากนี้ในพิธีเสนเรือนนั้นยังต้องหมักเหล้าไว้ใช้เซ่นผีเรือนด้วย เมื่อถึงกำหนดทำพิธีเสนเรือนแล้วเจ้าภาพก็จะไปปรึกษาหมอเสน เพื่อหาวันมงคล โดยวันนั้นจะต้องไม่ตรงกับวันตาย วันเผา หรือวันเก็บกระดูกของบรรพบุรุษและจะไม่ทำในเดือน 5 เมื่อใกล้ถึงวันกำหนดเจ้าภาพต้องไปวานหมอเสนให้มาทำพิธีโดยจัดของบูชาครูของหมอเสนคือหมาก พลูเสียก่อน จึงจะไปทำพิธีได้ ซึ่งจะทำกันในเวลาประมาณ 03.00 น. ของวันพิธีจะฆ่าหมูตัวที่อธิฐานไว้โดยการแทงคอให้ตายหลังจากนั้นจะขูดขนออก ชำแหละเครื่องในแล้วยกขึ้นไปบนบ้าน ซึ่งลูกเขยจะเป็นคนหามหมูดังกล่าวเอาเลือดหมูมาทาที่หัวบันไดบ้าน เพื่อให้ผีรู้ว่าบ้านนี้ทำพิธีเสนเรือนแล้วจึงนำหมูไปชำแหละเป็นชิ้นๆ ในห้องผีเรือนพร้อมทั้งจัดเตรียมปานเผือนซึ่งจะต้องมีผู้มีความรู้จัดให้เรียกว่าคนแต่งเสน และเมื่อใกล้กำหนดทำพิธีเจ้าบ้านต้องไปเชิญแขกมาร่วมพิธี ได้แก่ ญาติสายโลหิตเดียวกันกับญาติจากการแต่งงานและเพื่อนบ้านใกล้เคียง โดยพิธีจะเริ่มจากหมอเสนมาถึงบ้านงานประมาณ 07.00-08.00 น. โดยนำพัดขนนกที่เรียกว่าวีมาด้วยเจ้าภาพจะเชิญหมอเสนเข้าไปนั่งบนเสื่อในห้องผีเรือน พร้อมทั้งมอเชี่ยนหมาก ขันน้า เสื้อฮี ให้แก่หมอเสนต่อจากนั้นเจ่าภาพและญาติผีเดียวกันจะช่วยกันยกปานเผื่อน 3 ครั้ง ดังนี้ ครั้งที่ 1 ยกสูงเสมอเอว ถามหมอว่าแค่นี้พอไหมหมอจะตอบว่าดีแล้วแต่ควรยกให้สูงกว่านี้แล้ววางลง ครั้งที่ 2 ยกสูงเสมออกหรือคอแล้วถามหมอว่า แค่นี้พอหรือยัง หมอจะตอบว่า ดีเหมือนกันแต่ยังดีไม่มาก ถ้าท่วมหัวละก็ดีแล้ววางลงกับพื้น ครั้งที่ 3 ยกสูงเหนือศีรษะ แล้วถามหมอว่า สูงแค่นี้ดีหรือยัง หมอเสนจะตอบว่า แค่นี้ดีที่สุดแล้ว แล้วก็วางลง จากนั้นจะเริ่มทำพิธีต่อโดยการที่เจ้าภาพจะยกปานข้าวมาเลี้ยงหมอเสน มีข้าวเหนียวนึ่งและแกงไก่หน่อไม้ดอง ซึ่งหมอจะเสี่ยงทายตีนไก่ หากเหยียดตรงจะถือว่าดี แต่หากหงิกงอจะถือว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น แล้วจึงกินอาหารเป็นกับข้าวเช้าเรียกว่าหงายหมอ ในการเซ่นผีเรือนนี้หมอจะเชิญผีเรือนแต่ละตนมากินเครื่องเซ่นโดยเซ่นหมู 3 ครั้ง แล้วจึงเซ่นเหล้า 3 ครั้ง เซ่นครั้งที่ 1 เรียกว่า ปางแปง ครั้งที่ 2 เรียก เสนกำกก ครั้งที่ 3 เรียก เสนสองตั๊บ เมื่อเสร็จแล้วจะเซ่นเหล้าต่อโดยครั้งที่ 1 เรียกว่า เสนเหล้าหลวง ครั้งที่ 2 เรียกว่าเสนลาแกง ครั้งที่ 3 เรียกว่า เสนเหล้ากู้ ตามลำดับ หลังจากนั้น เจ้าภาพจะเชิญญาติและญาติผีเดียวกันเข้าไปในห้องผีเรือนอีกครั้งหนึ่งโดยหมอจะแจกเหล้าให้ทุกคนดื่มพร้อมๆ กัน 7 ครั้งเรียกว่า แลงฟายเรือน หมอเสนจะบอกให้พิทักษ์รักษาลูกหลานทุกคนที่ "มาหยาดฟ้ามาฟาย" แล้วหมอเสนก็จะเทเหล้าในแก้วตนทิ้งไปเรียกว่า เหล้าส่งหลำ เป็นอันเสร็จพิธีแขกจะแยกย้ายกันกลับบ้าน แต่ทางบ้านงานก็ยังคนมีพิธีต่อ คือหมอเสนจะทำพิธีแปงไต๊ให้กับลูกหลานของเจ้าภาพทุกคนและฝ่ายพ่อปู่ เป็นการเชิญเทวดามากินข้าวและสุดท้ายคือ ฟายหมอ คือเจ้าภาพขอบคุนหมอเสนที่ช่วยมาทำพิธีให้ หมอเสนจะคืนเสื้อฮีให้แล้วจึงกลับ 1.2 พิธีเสนเรือนผู้ท้าว ส่วนใหญ่จะคล้ายคล้าย ๆ กับของผู้น้อยมีส่วนที่ต่างกัน คือ - การเซ่นผีเรือนของผู้น้อยจะใช้หมูแต่ของผู้ท้าวจะใช้ควาย แต่ปัจจุบันไม่นิยมเซ่นควายเนื่องจากควายมีราคาแพง - การเซ่นผีเรือนนั้นของผู้น้อยจะเซ่นหมูก่อนแล้วเซ่นเหล้าทีหลังแต่ของผู้ท้าวจะเซ่นเหล้าก่อนเซ่นหมู - เสนผู้น้อยหมอเสนจะต้องเป็นผู้น้อย และถ้าเป็นเสนผู้ท้าวหมอเสนก็ต้องเป็นผู้ท้าวเช่นเดียวกันจะไม่ใช้หมอเสนผู้น้อยมาทำพิธีแต่ถ้าจำเป็นจริง ๆ หมอเสนผู้ท้าวจะต้องใช้คาถาข่ม - ในการทำพิธีเสนผู้น้อยจะถือพัดที่เรียกว่า " วี " แต่ของผู้ท้าวจะถือ "มีดหมอ" แทน - หมอเสนผู้น้อยจะนั่งบนเสื่อขณะทำพิธีแต่หมอเสนผู้ท้าวจะนั่งบนเก้าอี้เตี้ยที่เรียกว่า "ตั่งก่า" - ลักษณะการเซ่นอาหารต่างกัน - การเลี้ยงอาหารหมอเสนแตกต่างกัน โดยที่เสนผู้น้อยจะเลี้ยง 2 ครั้ง แต่เสนผู้ท้าวจะเลี้ยงเพียงครั้งเดียวเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีพิธีอื่น ๆ อีกคือ - เสนกวัดไกว้ หรือ เสนกวัดกวาย หมายถึงพิธีกวาดสิ่งชั่วร้ายให้ออกไปจากเรือนแบบพิธีปัดรังควาญ เป็นพิธีเสนที่เกิดขึ้นเนื่องจากบ้านเรือนนั้นมีคนตายเรียกว่าเฮือนฮ้ายโดยผู้ทำพิธีคือแม่มด - พิธีเชิญผีขึ้นเรือน คือพิธีกระทำในทุกบ้านเมื่อมีการตายเกิดขึ้น และมีพิธีศพโดยจะทำหลังจากเผาไปแล้ว 7 วันหรือไม่เกิน 15 วัน โดยเข้าไปทำพิธีกะล้อห้อง (ถ้าเป็นผู้ท้าวจะใช้บันไดด้านหลังแทน) ในการทำพิธี โดยแต่งกายโดยใช้ชุดในโอกาสพิเศษคือ ใส่เสื้อฮีนุ่งกางเกงสีดำถือพัดวีไปด้วย คล้าย ๆ กับพิธีเรือนเสน แต่ในการเชิญผีเรือนขึ้นนั้น แขกจะเชิญผีผู้ตายที่ต้องการมาบนบ้านก่อน แล้วจึงเชิญผีเรือนอื่น ๆ จากปั๊บมากินเครื่องเซ่นด้วยโดยเรียกรายชื่อผีเรือนจนกว่าจะหมดรายชื่อ - พิธีเสนปัดตง เป็นพิธีที่แสดงถึงการปฎิบัติต่อพ่อแม่และบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วเพื่อให้มีของกินเหมือนตอนมีชีวิตอยู่ส่วนใหญ่นิยมทำกันช่วงเดือน 12 ข้างแรม - พิธีเสนเต็ง เสนเต็งเป็นพิธีเซ่นสรวงผีแถนบนฟ้า เป็นการไถ่ตัวพ่อแม่ที่ถูกขื่อคาจองจำอยู่บนฟ้า โดยของที่ใช้ในพิธีมีดังนี้ ไก่ 12 ตัว กระบอกไม้ไผ่ใช้ใส่น้ำ เหล้า 2 ขวด ควายสมมุติ 30 กว่าตัวโดยผู้ทำพิธีคือแม่มดก่อนวันพิธี 1 วันต้องเอาข้าวสารหมากพลูไปให้แม่มด ขั้นตอนสำคัญในพิธีคือตอนเสี่ยงทายด้วยไม้ หลังจากเสี่ยงเสร็จแล้วก็ทำพิธีเชิญขวัญเป็นอันเสร็จพิธี ซึ่งเวลาในการทำพิธีคือตั้งแต่เช้าตรู่-เที่ยงคืนหรือตี 1 ตี 2 (หน้า 87-107) |
|
Education and Socialization |
ชาวบ้านไผ่สีทองมีโรงเรียนอยู่ 2 แห่ง คือ 1. โรงเรียนประถมศึกษา ให้การศึกษาระดับประถมศึกษาปีที่ 1-6 สังกัดสำนักงานประถมศึกษาอำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก เปิดสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาล ถึงชั้นประถมมีนักเรียน 185 คน ชาย 96 คน หญิง 89 คน ครู 12 คน ครูช่วยราชการ 1 คน รวมเป็น13 คน 2. โรงเรียนระดับมัธยมศึกษา ให้ การศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้นปีที่ 1-3 มีทั้งหมด 4 ห้องเรียน มีครู 11 คนนักเรียน 188 คนซึ่งหลังจากจบแล้วส่วนใหญ่จะเรียนต่อที่โรงเรียนประจำจังหวัดที่อำเภอเมืองและโรงเรียนมัธยมศึกษาประจำตำบล แล้วแต่ความสะดวกของนักเรียน (หน้า 71) ส่วนใหญ่นิยมสนับสนุนให้ลูกชายได้รับการศึกษามากกว่าลูกสาว (หน้า 139) นอกจากนี้ยังมีการศึกษานอกระบบโรงเรียน มีศูนย์ให้บริการศึกษานอกโรงเรียนอำเภอวังทองซึ่งชาวบ้านไผ่สีทองได้รับบริการอยู่ในเขตตำบลวังพิกุล เช่น - การศึกษาพื้นฐานเพื่อให้อ่านออกเขียนได้ - การศึกษาด้านวิชาชีพเช่นตัดเย็บเสื้อผ้า การให้ความรู้ด้านข้อมูลอาทิเช่น - ที่อ่านหนังสือประจำหมู่บ้าน - การศึกษาตามอัธยาศัย เช่น วิยุหรือโทรทัศน์ (หน้า 71-72) นอกจากนี้ ยังมีการถ่ายทอดความรู้จากรุ่นสู่รุ่นในเรื่องพิธีกรรม และความเชื่อโดยผ่านพิธีกรรมและประเพณี ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ไว้ดังนี้ ผู้ถ่ายทอดจะได้รับการถ่ายทอดอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ ทั้งทางตรงและทางอ้อมจากบุคคลที่มีประสบการณ์มากกว่า ทั้งจากญาติพี่น้องและหมอเสนผู้ประกอบพิธีกรรม ซึ่งความรู้นั้นอาจแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภทคือ การจัดองค์กรครอบครัวและเครือญาติ ระบบความเชื่อเรื่องผีบรรพบุรุษ ประโยชน์ของพิธีเสนเรือนในการสร้างสัมพันธ์อันดีให้สมาชิกในสังคมลาวโซ่งและภูมิปัญญาทางด้านวัตถุ (หน้า 141) |
|
Health and Medicine |
ประชาชนส่วนใหญ่จะไปรับบริการของสถานีอนามัยตำบลวังพิกุล (หน้า 66-67) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
เครื่องหัตถกรรมประเภทเครื่องมือใช้สอยของลาวโซ่งที่ใช้สอยในชีวิตประจำวันมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ได้แก่ - กะเหล็บ เป็นเครื่องสานรูปทรงคล้ายตะกร้า ก้นสอบปากเบ็นกระพุ้งเล็กน้อยทำด้วยไม้ไผ่และไม่หวาย มีหลายขนาดใช้สอย - กะแอบ เป็นภาชนะใส่ข้าวเหนียวที่หุงสุกแล้ว - ขมุก เป็นภาชนะใช้เก็บของลักษณะคล้ายหีบมีฝาปิด - ปานเสน เป็นภาชนะใช้ใส่เครื่องเส้นตอนทำพิธีเซ่นผีทำด้วยหวายขัดไปมาคล้ายเข่งปลาทู - ซ้าไก่ไถ่ คือ ตะกร้าหวายขนาดใหญ่ มีลักษณะคล้ายเข้งมี 2 หูสานด้วยหวายและไม้ไผ่หยาบ ๆ - ตาเหลว (เฉลว) เครื่องสานที่ใช้ปัก4มุมบ้านใช้กันไม่ให้ผีอื่นเข้าบ้านในขณะทำพิธี - ไม้ทู เป็นตะกร้าที่ใช้ในพิธีต่าง ๆ รูปร่างคล่ายตระเกียบของจีน - ไม้มอเป็นไม้เสี่ยงทายมี 20 อับใส่ใว้ในกระบอกใช้ในพิธีกรรมที่ต้องใช้แม่มด - วี คือเครื่องใช้อย่างหนึ่งในการประกอปพิธีกรรมต่าง ๆ ของหมอผี - โต๊ เคริองจักรสานขนาดเล็กใช้แทนตัวชายโดยสานเป็นกระพ้อมเล็กๆ - หอย้าคือเครื่องใช้แทนตัวฝ่ายหญิงทำจากใบตาลสอดสลับไปมาคล้ายโซ่จะเผาพร้อมเจ้าของเมื่อตาย - ปั๊ป คือสมุดห่อใบลานของโซ่งใช้จดพิธีกรรมและคาถาต่าง ๆ (หน้า 216-217) สถาปัตยกรรม แบบบ้านของลาวโซ่ง เรียกว่า "เฮือนลาว" ซึ่งลักษณะเป็นแบบเรือนเครื่องผูกวัสดุที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นไม้ไผ่ เช่นหลังคาบ้านมุงด้วยแฝก ส่วนที่เป็นไม้เนื้อแข็งมีเพียงส่วนเสาบ้านเท่านั้น ตัวเรือนมีลักษณะเป็นเรือนหลังเดียว เชื่อมต่อด้วยเรือนชานเช่นเดียวกับเรือนไทย มีบันไดขึ้นสู่ชานก่อนแล้วจึงเข้าถึงตัวบ้าน มีห้องท้ายเรือนหรือเฉลียงบ้านซึ่งลดพื้นที่ลงไปเล็กน้อย มีลักษณะโค้งมน ฝาและหลังคามีลักษณะเป็นกระโจม ฝาบ้านเป็นฝาขัดแตะทำด้วยไม้ไผ่ไม่มีช่องหน้าต่าง ส่วนประกอบและโครงเป็นไม่ไผ่ทั้งลำ หลังคามีความสูงชัน มุงด้วยแฝกหรือหญ้าคาทิ้งชายคาลงมายาวมากจนบังฝาบ้านเกือบมิด เสาไม้จะใช้ไม้ทั้งต้นที่มีง่ามสามารถรับน้ำหนักของบ้านได้ ขนาดของเสามีเส้นผ่านศูนย์กลางตั้งแต่ 10 นิ้วขึ้นไป ภายในบ้านจะใช้เป็นที่ทำงานจิปาถะต่าง ๆ รวมถึงเป็นที่พบปะคุยกับญาติสนิท แต่เรือนชาวโซ่งแท้ ๆ ในหมู่บ้านนี้ไม่มี ในหมู่บ้านนี้ บ้านจะเป็นใต้ถุนยกพื้นสูง ส่วนใหญ่เป็นบ้านชั้นเดียว มีบันไดขึ้นตรงเฉลียงบ้าน ภายในบ้านจะเป็นห้องโถงใหญ่ไม่กั้นห้อง บางบ้านจะสร้างห้องผีเรือนเล็กๆ มุมในสุดของบ้านเป็นที่อยู่อาศัยของผีเรือนโดยเฉพาะ ซึ่งใช้เป็นห้องประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเซ่นไหว้บรรพบุรุษ (หน้า 63) การแต่งกาย ชาย - ในชีวิตประจำวัน นุ่งการเกงผ้าฝ้ายสีดำหรือครามเข้มที่เรียกว่า ซ้วง สวมเสือผ่าหน้าตลอด ติดกระดุม 10-15 เม็ด แขนยาว รัดข้อมือ เรียกว่าเสื้อไท มักนิยมตัดผมสั้นเกรียน - ในงานพิธีกรรม นุ่งกางเกงขายาวสีดำและสวมเสื้อฮี ซึ่งเป็นเสื้อเข้ารูปเล็กน้อย ยาวคลุมสะโพก ผ่าหน้าตลอด ด้านข้างผ่าขึ้นถึงเอว คอเสื้อเป็นคอกลมติดคอ กุ๊นรอบคอด้วยผ้าไหมสีแดง เดินเส้นทับด้วยไหมสีแสด เขียว และขาว มีกระดุมติดคล้องไว้ 1 เม็ด แขนเสื้อยาวทรงกระบอก ปักตกแต่งด้านข้างเสื้อบริเวณรักแร้ด้วยเศษไหมสีต่าง ๆ และติดกระจกชิ้นเล็ก ๆ ตามลวดลายอย่างสวยงาม หญิง - ในชีวิตประจำวัน นุ่งซิ่นดำหรือครามเข้ม มีลายขาวทางลงสลับดำเป็นลายคล้ายผลแตงโม เชิงผ้ากว้างประมาณ 2-3 นิ้ว ถ้าเป็นแม่ม่ายจะเลาะเชิงออก การนุ่งซิ่นจะจับผ้ามาทบกันตรงกลางให้เป็นจีบแล้วขมวดไว้ตรงหน้าท้อง หรือใช้เข็มขัดคาดแล้วดึงซิ่นข้างหน้าให้สูงกว่าด้านหลัง เพื่อสะดวกในการเดินและทำงาน สวมเสื้อเหมือนเสื้อไท แต่ติดกระดุมน้อยกว่า เรียกว่าเสื้อก้อม ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วยังนิยมคาดอกด้วยผ้าเปี่ยว เป็นผ้าฝ้ายสีดำหรือครามเข้ม กว้างประมาณ 16 นิ้ว ยาว 1 เมตร ริมด้านหนึ่งปักลวดลายตามแบบของลาวโซ่ง ทรงผมนั้นนิยมไว้ผมเกล้ามวยเสียบปิ่น ถ้ายังสาวจะเกล้ามวยสูง แต่งงานแล้วจะเกล้ามวยต่ำ นิยมสวมกำไลและต่างหู - ในพิธีกรรม จะสวมเสื้อฮี คล้ายเสื้อฮีของผู้ชายแต่มีขนาดใหญ่กว่า คอแหลมลึก สวมหัว แขนสามส่วน ปักและตกแต่งปลายแขนด้วยไหม มักใช้สวมทับเสื้อใส่อยู่อีกชั้นหนึ่ง (หน้า 83-84) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
สมาชิกส่วนใหญ่ในหมู่บ้านเป็นลาวโซ่งเกือบทั้งหมดโดยที่มีแค่บางเรือนเท่านั้นที่มีเขยหรือสะใภ้เป็นคนไทย |
|
Social Cultural and Identity Change |
ปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนั้นมีอยู่ 4 สาเหตุคือ - อิทธิพลของพุทธศาสนา - ประสบการณ์ของคนในชุมชน - การแพร่กระจายทางวัฒนธรรมด้านการคมนาคม/สิ่อสารมวลชน - สภาพเศรษฐกิจของครอบครัว (หน้า 155) |
|
Map/Illustration |
แผนที่จำนวน3ชิ้น(หน้า60-62)แสดงเขตจังหวัดพิษณุโลก และอำเภอไผ่สีทอง แผนที่แสดงถิ่นที่อยู่และการอพยพของลาวโซ่งภาพประกอบ2ภาพ(ภาคผนวก ข หน้า193-198) |
|
|