|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
มุสลิม,วัยรุ่น,การมองตนเอง,กระบี่ |
Author |
Wanni Wibulswasdi Anderson, Douglas D. Anderson |
Title |
Thai Muslim Adolescents' Self, Sexuality, and Autonomy |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไม่ระบุ |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
27 |
Year |
2529 |
Source |
ETHOS 14(4), December 1986 |
Abstract |
จากผลการศึกษาพบว่าการมองตัวเองของวัยรุ่นทั้งชายและหญิงในเกาะนิภาไม่มีความแตกต่างกันมากนัก วัยรุ่นทั้งชายและหญิงในเกาะนิภาต้องการที่จะมีอำนาจในการตัดสินใจมากกว่านี้โดยเฉพาะผู้หญิง การมองตนเองของวัยรุ่นในเกาะนิภาขึ้นอยู่กับช่วงอายุและลำดับอาวุโส (birth order) ด้วย ผู้ศึกษาได้แบ่งกลุ่มตัวอย่างตามช่วงอายุออกเป็น 4 กลุ่ม คือ 10.0-13.9, 14.0-16.9, 17.0-19.9, 20.0-22.9 โดยพบว่าวัยรุ่นที่เริ่มเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์คือช่วงอายุ 14.0-16.9 คิดว่าตนเองเหนือกว่าวัยรุ่นอีก 3 กลุ่มอายุ การเป็นลูกคนโต คนกลาง หรือคนเล็กก็มีผลต่อการมองตนเองของวัยรุ่น โดยพบว่าตนเองของลูกชายคนกลางจะมีแนวโน้มไปในเชิงลบมากที่สุด ลูกสาวคนโตและลูกชายคนเล็กจะมีแนวโน้มในลักษณะนี้น้อยที่สุด เหตุที่ผลออกมาในลักษณะนี้อาจเป็นเพราะความคาดหวังทางวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน แสดงให้เห็นว่าความคาดหวังทางสังคมที่แตกต่างกันซึ่งส่งผลให้เกิดการอบรมสั่งสอนที่แตกต่างกัน สามารถทำให้ลูกที่เกิดจากพ่อแม่เดียวกันมีบุคลิกที่แตกต่างกันได้ ในด้านความเป็นผู้ใหญ่ พบว่าเด็กที่โตเป็นผู้ใหญ่เร็ว เด็กที่โตเป็นผู้ใหญ่ตามเกณฑ์ และเด็กที่โตเป็นผู้ใหญ่ช้านั้นมีตนเองที่แตกต่างกันก็เฉพาะในช่วงเวลาปัจจุบันเท่านั้น ไม่ได้มีผลต่อเนื่องไปถึงตนเองในอนาคต วัยรุ่นที่โตเป็นผู้ใหญ่เร็วก็จะมีสิ่งที่เรียกว่า "พฤติกรรมวัยรุ่น" เร็วกว่าเด็กอีกสองกลุ่ม จากการวิเคราะห์จะเห็นว่าโครงสร้างตัวตนนั้น ได้รับผลกระทบจากองค์ประกอบต่าง ๆ ที่มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดคือ เพศ อายุ โครงสร้างครอบครัว พัฒนาการทางร่างกาย และภาพความเป็นผู้ใหญ่ที่วัยรุ่นแต่ละคนมองตนเอง (หน้า 382-390) ผลการวิจัยเรื่องการมองตนเอง (self-perception) ของวันรุ่นในเกาะนิภาเป็นหลักฐานว่าพัฒนาการของมนุษย์เป็นกระบวนการ ปฎิสัมพันธ์ (interplay) ที่ซับซ้อนขององค์ประกอบด้านร่างกาย จิตใจ และสังคมวัฒนธรรม และยังแสดงถึงพลวัตของการสร้างและการเปลี่ยนแปลงการมองตนเองของวัยรุ่นในเกาะนิภาอีกด้วย การสร้างภาพตนเองทั้งในแง่ร่างกายและจิตใจในเชิงทฤษฎี ทำให้เราเข้าใจและเห็นภาพความสัมพันธ์ระหว่างภาพตนเองกับปัจจัยอื่น ๆ ได้ชัดเจนขึ้น ลักษณะเพศของวัยรุ่นถูกแสดงออกทั้งทางร่างกาย สังคม และสัญลักษณ์ และยังแสดงให้เห็นว่าแม้ในวัฒนธรรมไทยมุสลิม ผู้ชายจะได้เปรียบในเรื่องเพศมากกว่าผู้หญิง แต่ผู้หญิงก็ไม่รู้สึกว่าตนเองด้อยกว่าผู้ชาย ในการวิจัยก่อนหน้านี้ยังแสดงให้เห็นด้วยว่าผู้หญิงก็เป็นเพศที่ชอบการแข่งขันพอ ๆ กับผู้ชาย วัยรุ่นไทยมุสลิมชอบการแข่งขันมากกว่าวัยรุ่นที่นับถือพุทธหรือวัยรุ่นไทยเชื้อสายจีน นอกจากนี้ ผู้หญิงในเกาะนิภามีอำนาจในการตัดสินใจอย่างมากทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และเป็นผู้ควบคุมการเงินภายในบ้าน มีความเป็นผู้นำสูง ทั้งชายและหญิงในเกาะนี้ต้องการตัดสินใจทำอะไรด้วยตัวเอง ดังนั้น อำนาจในการตัดสินใจเรื่องคู่ครองจึงเป็นของวัยรุ่นหนุ่มสาวมากขึ้นเป็นลำดับ (หน้า 391-392) |
|
Focus |
ศึกษาการมองตนเอง (self) ของวัยรุ่นไทยมุสลิม |
|
Theoretical Issues |
งานศึกษาการมองตนเองของวัยรุ่นไทยมุสลิมที่เกาะนิภานี้เป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าพัฒนาการของมนุษย์เป็นกระบวนการที่ซับซ้อนด้วยเงื่อนไขต่าง ๆ เช่น สภาวะกายภาพ สังคม วัฒนธรรม และจิตสภาพ มีปฏิสัมพันธ์กัน และการมอง "ตนเอง" ก็มีลักษณะพลวัต คือมีการปรับเปลี่ยน มีปฏิสัมพันธ์กันไปเรื่อย ๆ แต่ละคนเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ก็จะรักษาพฤติกรรมบางอย่างไว้และทิ้งบางอย่างไปเพราะเห็นว่าไม่มีคุณค่า การศึกษาวัยรุ่นไทยมุสลิมที่เกาะนิภาชี้ให้เห็นว่าอุดมการณ์ดังเดิมที่ว่าผู้ชายเป็นใหญ่ในทางเพศไม่ได้ทำให้วัยรุ่นหญิงรู้สึกต่ำต้อยกว่าผู้ชายเสมอไป |
|
Ethnic Group in the Focus |
วัยรุ่นไทยมุสลิม เกาะนิภา จังหวัดกระบี่ ภาคใต้ของไทย |
|
Language and Linguistic Affiliations |
คนในภาคใต้ฝั่งตะวันตกรวมทั้งจังหวัดกระบี่และเกาะนิภาซึ่งเป็นสถานที่ศึกษาพูดภาษาไทยสำเนียงใต้ ซึ่งต่างจากไทยมุสลิมทางภาคใต้ฝั่งตะวันออกที่จะพูดภาษามลายูถิ่น ซึ่งใกล้เคียงภาษามาเลย์ (หน้า 370) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
จากคำบอกเล่าของชาวบ้าน มีการตั้งถิ่นฐานที่เกาะนี้เมื่อ 200 ปีก่อน ในสมัยรัชกาลที่ 1 เมืองถลาง (ปัจจุบันเป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดภูเก็ต) ยังถูกทหารพม่าล้อมไว้ ทหารพม่าคนหนึ่งมีลูกชายสองคน คนหนึ่งมีภรรยาเป็นคนไทยนับถือศาสนาพุทธ ส่วนลูกชายอีกคนหนึ่งมีภรรยาเป็นไทยมุสลิม เมื่อทหารผู้เป็นพ่อเสียชีวิต ลูกชายคนที่มีภรรยาเป็นไทยมุสลิมก็ย้ายครอบครัวมาตั้งรกรากที่เกาะนิภา และจนถึงปัจจุบัน มีลูกหลานสืบทอดมาเป็นรุ่นที่ 6 แล้ว (หน้า 370) |
|
Demography |
ประชากรของเกาะนิภามีประมาณ 1,000 คน จากสำมะโนประชากรของจังหวัดกระบี่ในปี 1982 ประชากรของจังหวัดมีจำนวนทั้งสิ้น 229,076 คน ประมาณร้อยละ 40 เป็นมุสลิม และที่เหลือนับถือศาสนาพุทธ (หน้า 370) ประชากรกลุ่มตัวอย่างใช้กลุ่มตัวอย่างเป็นวัยรุ่นในเกาะนิภา จังหวัดกระบี่จำนวน 78 คน (ชาย 45 คน หญิง 33 คน) โดยแบ่งเป็น 4 กลุ่มอายุคือ 10.0-13.9, 14.0-16.9,17.0-19.9, และ 20.0-22.9 (หน้า 378) |
|
Social Organization |
เด็กในเกาะนิภาทั้งหญิงและชายเรียนหนังสือด้วยกัน แต่เมื่อจบชั้นประถมแล้ว จะถูกเข้มงวดเป็นพิเศษในเรื่องการคบหากัน เพราะผู้หญิงจะเริ่มเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์แล้ว หากจบชั้นประถมแล้วไม่ได้เรียนต่อ เด็กผู้ชายส่วนใหญ่จะทำงานเป็นลูกเรือในเรือประมง ส่วนเด็กผู้หญิงจะแบ่งเบาภาระของแม่ด้วยการทำงานบ้าน และรับจ้างทำนารวมทั้งเก็บเกี่ยวเมื่อถึงฤดู วัยรุ่นที่มีโอกาสเรียนชั้นมัธยมจะอยู่ไกลหูไกลตาผู้ใหญ่มากกว่าเด็กที่ไม่ได้เรียนต่อ แต่การคบหากันในวัยเรียนเป็นเรื่องไม่เหมาะสม รวมทั้งต้องเรียนหนังสือหนัก การคบกับเพศตรงข้ามจึงไม่ได้เป็นเชิงชู้สาว อำนาจในการจัดการแต่งงานอยู่ที่พ่อแม่ เพราะ "ลูกเป็นของพ่อแม่" สำหรับคนรุ่นก่อน ๆ พ่อแม่เป็นผู้เลือกคู่ครองให้ แม้ในปัจจุบัน วัยรุ่นจะมีโอกาสในการตัดสินใจมากขึ้น แต่สิทธิ์ขาดก็ยังเป็นของพ่อแม่ วัยรุ่นสามารถเลือกคู่ครองเองได้ แต่ต้องได้รับความเห็นชอบจากพ่อแม่เสียก่อน ตามธรรมเนียมไทย ฝ่ายชายจะเป็นฝ่ายสู่ขอ หมั้น และจัดงานแต่งงาน ฝ่ายชายจึงมีอิทธิพลในการตัดสินใจมากกว่าครอบครัวฝ่ายหญิงรวมทั้งตัวผู้หญิงเองด้วย หากฝ่ายชายไม่มีอะไรเสียหายหรือบกพร่อง พ่อแม่ฝ่ายหญิงก็ไม่สามารถจะปฏิเสธการทาบทามได้ แต่อย่างไรก็ตาม พ่อแม่ฝ่ายหญิงก็มีสิทธิตั้งเงื่อนไขที่ฝ่ายชายต้องทำตาม หากพ่อแม่ไม่ต้องการให้ลูกสาวแต่งงานกับฝ่ายชาย ก็อาจจะขอให้หมั้นหมายกันเป็นเวลานานหรืออาจเรียกร้องค่าสินสอดเป็นจำนวนมาก ซึ่งอาจทำให้ฝ่ายชายเปลี่ยนใจได้ หากพ่อแม่ของฝ่ายชายหรือทั้งสองฝ่ายไม่เห็นชอบ ทางออกโดยทั่วไปคือ "การได้เสียกัน" ซึ่งเป็นการบังคับให้พ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายเห็นชอบกับการแต่งงาน โดยการจัดพิธีทางศาสนาแบบง่าย ๆ แล้วสังคมก็จะยอมรับว่าทั้งคู่เป็นสามีภรรยากัน ซึ่งวิธีนี้ก็ยังใช้อยู่ในปัจจุบัน แม้ว่าธรรมเนียมการแต่งงานจะเปลี่ยนไป แต่ภาพของการมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงานและหลังแต่งงานยังคงเหมือนเดิม เป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้ชายจะออกไปหาประสบการณ์ และผู้หญิงห้ามมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน แต่ก็เป็นเรื่องที่พิสูจน์ได้ยาก และส่วนใหญ่ผู้หญิงที่ "ได้เสียกัน" กับผู้ชายก็จะแต่งงานกับชายคนนั้นในที่สุด แต่วัยรุ่นชายส่วนใหญ่ก็ต้องการแต่งงานกับผู้หญิงที่ยังบริสุทธิ์ ต่างจากผู้หญิงที่ไม่ต้องการแต่งงานกับผู้ชายที่บริสุทธิ์ แม้จะแต่งงานแล้ว สิทธิทางเพศก็ยังเป็นของฝ่ายชายมากกว่า หากฝ่ายหญิงนอกใจจะเป็นเรื่องร้ายแรงกว่าการที่สามีนอกใจภรรยา นอกจากนี้ สามียังมีสิทธิเลือกให้ภรรยาเป็นฝ่ายทำหมัน โดยอ้างว่าการทำหมันจะทำให้มีได้รับโทษทางศาสนา และที่ยอมให้ภรรยาทำหมันเพราะความจำเป็นทางเศรษฐกิจและสังคม พ่อแม่ในเกาะนิภาเริ่มต้องการให้ลูกได้เรียนสูง ๆ และมีงานที่ดี สิทธิทางเพศในเกาะนิภาจึงต่างกันไปตามเพศ ผู้ชายมีสิทธิเสรีภาพมากกว่าผู้หญิง (หน้า 371-376) |
|
Education and Socialization |
ในปี ค.ศ.1982 โรงเรียนประถมบนเกาะมีนักเรียนทั้งหมด 236 คน และครู 13 คน นอกจากการศึกษาขั้นประถมซึ่งจัดตามหลักสูตรของชาติแล้ว ยังมีการศึกษาคัมภีร์กูรอาน ทุก ๆ เย็น ยกเว้นวันพฤหัสบดี (หน้า 370) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
|