|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ขมุ,วิถีชีวิต,ความเชื่อ,การตั้งถิ่นฐาน,แรงงานรับจ้าง,การอพยพ,ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ |
Author |
บุญช่วย ศรีสวัสดิ์ |
Title |
ข่า |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
กำมุ ตะมอย,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน) |
Total Pages |
37 |
Year |
2545 |
Source |
ชาวเขาในไทย. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ศิลปวัฒนธรรม (พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.2506 โดย สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์) |
Abstract |
ข่าในอดีตมีบทบาทในการเป็นข้าทาสรับใช้เจ้าลาวแต่โบราณ ส่วนพวกข่าม้อยในเวียดนามอยู่ในดินแดนนี้มากว่า 5,000 ปี ก่อนที่พวกจามเข้ามาอยู่ในเวียดนามตอนกลาง และก่อนที่ไทยและลาวจะอพยพลงมาจากจีนตอนใต้ หากถือภาษาเป็นเกณฑ์แบ่งตระกูลแล้ว ข่าเม่ดกับข่ามุ และข่าอื่น ๆ ถือเป็นคนละตระกูล แต่มีถ้อยคำตรงกันหรือคล้ายคลึงกันอยู่หลายคำ แต่ภาษาของข่าเม่ดจัดอยู่ในตระกูลมอญ-เขมรเช่นเดียวกับพวกข่ามุและละว้า ข่ามุพูดภาษาข่ามุ ซึ่งแตกต่างจากพวกข่าอื่น ๆ เล็กน้อย เมื่อเข้ามาอยู่ในไทยนานเข้าก็พูดภาษาไทยภาคเหนือได้ ข่าถินหรือไผ่ ภาษาคล้ายพวกข่ามุและละว้า จัดอยู่ในตระกูลมอญ-เขมร
เมื่อข่าเข้ามาอยู่ในประเทศไทย ส่วนใหญ่มักแต่งกายและสร้างบ้านเรือนตามอย่างชาวชนบททางภาคเหนือ ข่าที่อยู่อาศัยห่างไกลออกไปตามป่าลึกยังคงรักษาขนบธรรมเนียม การแต่งกาย การสร้างบ้านเรือนและวิถีชีวิตแบบข่าในประเทศลาวไว้ ส่วนข่าที่เข้ามาทำงานในไทยมักปกปิดว่าตนเป็นข่า แต่จะเรียกตนเองว่า "ไทยใหม่" ข่ารอบเมืองหลวงชอบให้เรียกตนเองเป็น "ลาวเทิง" หรือ "ชาวลาวบน" ข่ามุที่เข้ามาเป็นแรงงานรับจ้าง เมื่อมาอยู่นานเข้าก็ปรับเปลี่ยนการแต่งกาย และการดูแลรักษาสุขภาพอนามัยดีขึ้น ทั้งยังพูดภาษาถิ่นนั้น ๆ ได้ จากเดิมที่เคยนับถือผีตามความเชื่อดั้งเดิมก็หันมานับถือศาสนาพุทธและคริสต์ แต่ไม่สร้างวัดวาอารามไว้ในหมู่บ้าน |
|
Focus |
เน้นศึกษาสภาพวิถีชีวิต วัฒนธรรมความเชื่อของข่าในไทย |
|
Ethnic Group in the Focus |
ข่าในประเทศไทยพบมากทางภาคเหนือและภาคกลาง เช่น ข่ามุ ข่าถิน ข่าฮอ และข่าเม่ด |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ข่ามุพูดภาษาข่ามุซึ่งต่างจากพวกข่าอื่น ๆ เล็กน้อย เมื่อเข้ามาอยู่ในไทยนานเข้าก็พูดภาษาไทยภาคเหนือได้ (หน้า 146)
ในลาวเหนือมีข่ามุมากกว่าข่าอื่น จึงใช้ภาษากลางระหว่างข่าด้วยกัน ภาษาอื่นที่ผู้ชายพูดได้คือ ภาษาลื้อและลาวฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง พวกที่อยู่ในเขตไทยพูดภาษายวน (ภาษาเหนือ) ทั้งยังพูดภาษาคนเมืองได้ (หน้า 156)
หากถือภาษาเป็นเกณฑ์แบ่งตระกูลแล้ว ข่าเม่ดกับข่ามุ และข่าอื่น ๆ เป็นคนละตระกูล แต่มีถ้อยคำตรงกันหรือคล้ายคลึงกันอยู่หลายคำ ภาษาของข่าเม่ดจัดอยู่ในตระกูลมอญ-เขมรเช่นเดียวกับพวกข่ามุและละว้า (หน้า 162) ส่วนข่าถินหรือไผ่ ภาษาคล้ายพวกข่ามุและละว้า จัดอยู่ในตระกูลมอญ-เขมร (หน้า 167)
ในขณะที่ภาษาของข่าฮอ (ข่าฮอก) ต่างไปจากข่ามุ (หน้า 174) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
พงศาวดารของหลวงพระบางเล่าว่า ขุนลอยกทัพมาชิงเมืองชะวาจากพวกข่ากันฮางขับหนีไปอยู่ตามป่าเขาเมืองหลวงภูคา จากนั้นมาข่าต้องตกเป็น "ข้า" เป็นทาส ต้องส่งส่วยพืชไร่และแรงงานให้เจ้าเมืองหลวงพระบาง ธรรมเนียมเดิมพวกข่ามีบทบาทในการเป็นข้าทาสรับใช้เจ้าลาวแต่โบราณ ส่วนพวกข่าม้อยในเวียดนามอยู่ในดินแดนนี้มากว่า 5,000 ปี ก่อนที่พวกจามเข้ามาอยู่ในเวียดนามตอนกลาง และก่อนที่ไทยและลาวจะอพยพลงมาจากจีนตอนใต้ ข่าม้อยเป็นมิตรกับจามและเคยร่วมต่อสู้กับกองทัพจีน ในปี ค.ศ.420 ฝ่ายเยืองมายกษัตริย์จามได้นำกองทัพช้าง 500 เชือกของข่าม้อยออกรบพุ่งกับจีนจนแตกพ่าย แต่ภายหลังกลับหลงกลกองทัพจีน จนกษัตริย์จามต้องพ่ายแพ้เสียเมืองจำปา (เลิมเอิ๊บ) ให้แก่ก่องทัพจีน (หน้า 139-140)
เมื่อ พ.ศ.2114 พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช กษัตริย์ลาวได้ยกกองทัพไปปราบปรามข่าในแขวงเมืองอัตปือ สารวันและนครจำปาศักดิ์ แทนที่จะประสบชัยชนะกลับถูกกลลวงพวกข่า ตกอยู่ในที่ล้อมระหว่างช่องเขาถูกข่าโจมตีแตกพ่ายย่อยยับ พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชเสด็จหนีเข้าป่าหายสาบสูญ บ้างก็เชื่อว่าพวกข่าจับตัวไป ข่าในแขวงอัตปือของลาวตอนใต้ เคยร่อนทองคำส่งส่วยให้เจ้าจำปาศักดิ์ไชยกุมาร เมื่อสมัยที่จำปาศักดิ์ขึ้นต่อพระเจ้ากรุงธนบุรี ต่อมามีการส่งส่วยทองคำเพิ่มให้ไทยสมัยพระราชวงศาเป็นเจ้าเมืองอัตปือ สมัยก่อนบรรดาเจ้าทางแถบอีสานมักจับข่ามาซื้อขายเป็นทาสรับใช้ เป็นธรรมเนียมไพร่ข่ามาประกาศยกเลิกเมื่อ พ.ศ.2327 กษัตริย์ไทยเห็นว่าเป็นเรื่องโหดร้ายทารุณ พวกข่าเมืองอัตปือจึงเป็นอิสระไม่ต้องตกเป็นทาสไทยลาวอีก (หน้า 141-142) |
|
Settlement Pattern |
ข่านิยมสร้างบ้านเรือนแบบชาวชนบททางภาคเหนือ บางหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลตามป่าลึกยังคงสร้างบ้านเรือนแบบข่าในประเทศลาว (หน้า 143) ข่ามุเข้ามาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทยติดพรมแดนลาวที่ อ.เชียงของ จ.เชียงราย อ.ทุ่งช้าง อ. ปัว จ.น่าน มีจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 25 หมู่บ้าน (หน้า 145)
ข่ามุเมืองหลวงน้ำทา เวียงภูคา เมืองไซ และปากแบ่ง นิยมปลูกเรือนตามที่ลาดเชิงเขา ไม่นิยมอยู่บนยอดเขาสูง เนื่องจากอากาศหนาวจัด บางหมู่บ้านตั้งอยู่ในบริเวณที่ราบติดตีนเขา หมู่บ้านมีจำนวน 20 - 50 หลังคาเรือน ทางเข้าหมู่บ้านหัวท้ายมีประตูผีเรียกว่า "อังกืน" สร้างจากเสาไม้จริง 2 ท่อน มีไม้พาดขวางด้านบน ข้างเสาประตูผีของหมู่บ้าน มีท่อนไม้เป็นศีรษะมนุษย์ฝังดินไว้สูงจากพื้นประมาณ 2 ฟุต เรียกว่า "จะลังคัต" มีศาลาหลังเล็กกลางหมู่บ้านสำหรับประกอบพิธีเซ่นไหว้ผี นอกจากนี้ยังมีศาลผีในป่า ตั้งอยู่บนเนินเขาเรียกว่า "เจ้าหอ" เป็นที่สำหรับผีเมือง หากมีพิธีเลี้ยงผีหมู่บ้านก็จะปักเฉลวบอกไว้ โดยการนำกิ่งไม้มาปักข้างทางแล้วปิดเครื่องหมายเฉลว เป็นสัญลักษณ์ว่าห้ามคนของหมู่บ้านอื่นเข้ามาสู่หมู่บ้านตน (หน้า 151, 152) ข่าถือเคล็ดลางในการปลูกสร้างบ้านเรือน และนิยมดูทิศทางทำเลที่ตั้งให้ถูกต้องตามเคล็ดลางเสมอ (หน้า 153)
ข่ามุ ปลูกสร้างกระต๊อบหลังเล็ก ๆ ด้วยไม้ไผ่ ขนาดพออาศัยหลับนอนและหุงหาอาหาร ไม่นิยมสร้างบ้านใหญ่โตกว้างขวาง บางหลังปลูกติดพื้นดิน ยกพื้นเพียงที่นอน บางหลังยกพื้นสูง 1- 2 เมตร ยิ่งตั้งบ้านเรือนบนเขาที่ห่างไกลมากเท่าไร บ้านเรือนที่สร้างก็ยิ่งเล็กลง มีเตาไฟอยู่ตรงกลาง ใช้ผิงให้ความอบอุ่นและใช้เป็นที่ทำอาหาร บ้านไม่มีหน้าต่างหรือช่องระบายลม บริเวณใต้ถุนใช้เป็นที่เก็บฟืน หรือเป็นเล้าไก่ มีหิ้งบูชาผีเรือนในห้องนอน (หน้า 148-150)
ข่าเม่ด มักเลือกตั้งบ้านเรือนตามป่าทึบ ติดภูเขาหรือไหล่เขาที่ไม่สูงนัก มีทำเลใกล้แหล่งน้ำ ข่าเม่ดชอบโยกย้ายถิ่นอยู่เสมอ หากพื้นที่เพาะปลูกไม่ได้ผลหรือเกิดโรคระบาด จะตั้งศาลผีไว้ข้างทางก่อนถึงหมู่บ้าน ถัดจากศาลผีมีหลักผี รอบเสาไม้หลักนี้มีเสาเล็ก ๆ ปักล้อมรอบ มักเลือกทำเลที่ตั้งในพื้นที่เป็นลูกคลื่นสูง ๆ ต่ำ ๆ สร้างบ้านไม่มีรั้ว ตัวบ้านปลูกเป็นกระท่อมหลังเล็ก ติดพื้นดิน สองข้างยกร้านเป็นที่นอน มีเตาไฟอยู่กลางบ้าน บ้านมุงหลังคาด้วยใบหวาย ใบคาหรือใบก้อ (หน้า 162)
ข่าถิน นิยมสร้างบ้านเรือนหลังเล็ก ๆ ทำจากไม้ไผ่ ปลูกตามที่ลาดตีนเขา ใกล้หมู่บ้านของชาวเหนือ อีกพวกหนึ่งนิยมตั้งบ้านเรือนบนไหล่เขาสูงตามพรมแดนไทย-ลาว กลางป่าทึบ แปลนบ้านเป็นรูปสีเหลี่ยมขนมเปียกปูน ปลูกสร้างใหญ่โตกว้างขวาง ทำเป็นโรงเรือนยาวมีช่องทางเดินตรงกลาง กั้นเป็นห้อง ๆ สองฝั่งเป็นที่อยู่ของแต่ละครอบครัว บางหมู่บ้านมีบ้านพักรับรองแขก หมู่บ้านข่าถินจะช่วยกันปลูกสร้างบ้านเรือน และอยู่ร่วมกันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย (หน้า 167-169)
ข่าฮอ (ข่าฮอก) เดิมตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณเมืองหลวงภูคา กองภูคา ซึ่งเป็นบริเวณเดียวกับที่พวกข่ามุอาศัยอยู่ ได้เข้ามาตั้งบ้านเรือนในหมู่บ้านทางทิศตะวันตกของ อ.ทุ่งช้าง จ.น่าน จำนวน 29 หลังคาเรือน โดยปลูกสร้างบ้านหลังเล็ก ๆ อยู่ และมักนิยมโยกย้ายถิ่นอยู่เสมอ ข่อฮอในไทยปลูกสร้างบ้านเรือนตามที่ลาดตีนเขา ไม่นิยมอยู่ตามป่าตามเขาสูงอย่างข่าถิน (หน้า 173-174) |
|
Demography |
ข่าบางกลุ่มอาศัยอยู่ตามป่าเขาชายแดนภาคอีสาน ต่อมาภายหลังได้อพยพไปอยู่ในเขตลาวกลายเป็นคนชนบท ปัจจุบันมีข่าอยู่ตามป่าแถบอำเภอมุกดาหาร จ.นครพนม นอกจากนี้ยังพบข่ามุอาศัยอยู่ใน 8 หมู่บ้านเขตอ.เชียงของ จ.เชียงราย
ข่าถิน ข่อฮอและข่ามุพบในเขต อ.ปัว อ.ทุ่งช้าง จ.น่าน จำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีข่าเม่ดจำนวนไม่น้อยที่มารับจ้างทำงานในเขต จ.เชียงราย ลำปาง เชียงใหม่ แพร่ น่าน (หน้า 142-143)
สำหรับข่ามุซึ่งเข้ามาตั้งบ้านเรือนในไทยติดพรมแดนลาวประมาณ 20 ปีที่ผ่านมา มีจำนวน 25 หมู่บ้านโดยประมาณ มีจำนวนประชากรราว 4,500 คน (หน้า 145)
ข่าเม่ดที่เข้ามาเป็นคนงานรับจ้างตามชายแดนภาคเหนือของไทยใน อ.เชียงแสน เชียงของ แม่จัน จ.เชียงราย มีจำนวนประชากรประมาณ 200 คน หมู่บ้านหนึ่ง ๆ มีบ้านเรือน 10 - 20 หลังคาเรือน (หน้า 161,162)
ข่าถินมีจำนวนประชากร 16,000 คน ซึ่งมากกว่าข่ามุใน จ.น่าน เนื่องจากเป็นกลุ่มแรกที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทยมานานถึง 35 ปีมาแล้ว โดยอพยพมาจากเขตไชยะบุรี (หน้า 167)
ใน 2 ตำบลของ อ.ปัว จ. น่าน มีข่าถินอาศัยอยู่ในหลายหมู่บ้านรวมทั้งสิ้นประมาณ 6,000 คน (หน้า 171) ข่าฮอกเข้ามาตั้งหมู่บ้านเพียงหมู่เดียวใน อ.ทุ่งช้าง จ.น่าน มีจำนวนทั้งสิ้น 29 หลังคาเรือน ประชากรประมาณ 200 คน (หน้า 173)
|
|
Economy |
ข่าอพยพเข้ามาอยู่ในไทยเนื่องจากทำมาหากินฝืดเคือง และมักถูกเกณฑ์ไปใช้งานราชการ ข่ามุและข่าเม่ดจากประเทศลาวอพยพเข้ามาเป็นแรงงานค่าแรงต่ำให้กับชาวต่างชาติที่ได้สัมปทานป่าไม้ทางภาคเหนือ
นอกจากนี้ยังประกอบอาชีพคนงานตามไร่ยาสูบ ทำสวน ขุดดิน ถางหญ้า ตัดไม้ตามโรงงานต่าง ๆ เช่น โรงเลื่อย โรงสี โรงบ่มใบยาสูบ เป็นต้น ข่ามุส่วนใหญ่ที่เป็นแรงงานรับจ้าง มีอายุตั้งแต่ 10-25 ปี มีสัญญาทำงาน 1-2 ปี พอหมดสัญญาว่าจ้างรายปีก็มักเดินทางกลับถิ่นเดิม ต่อมาก็ตั้งตนเป็น "นายฮ้อย" หรือหัวหน้าชักชวนคนในหมู่บ้าน รวบรวมมา 20-30 คนเดินทางมารับจ้างทำงานทางเหนือ บ้างก็มอบเป็นค่ามัดจำตัวล่วงหน้าไว้กับบิดามารดาซึ่งมีฐานะยากจน ทำไร่ข้าวไม่พอรับประทานจนต้องขุดเผือกขุดมัน หากครบ 1 ปี นายฮ้อยไม่นำบุตรหลานกลับบ้านจะมีการปรับไหม
นายฮ้อยมักพาข่ามุหลบเลี่ยงเจ้าหน้าที่ลาวข้ามฝั่งโขงมารับจ้างตามจังหวัดชายแดนทางเหนือ มีรายได้จากการพาตัวมาเป็นเงินเท่ากับค่าจ้าง 1 เดือน ข่ามุและข่าเม่ดบางรายรับจ้างทำงานถาวรตามโรงงาน โรงสี โรงบ่ม ขับรถยนต์โดยสาร เป็นต้น ตามภาคเหนือและจังหวัดพระนคร (หน้า 145-147) |
|
Social Organization |
ข่ามุมีการเกี้ยวพาราสีกันในงานปีใหม่ และมีประเพณีเที่ยวสาว หรือ "ที่ข่วง" ไม่มีการเขียนจดหมายรักหรือเที่ยวสาวในเวลากลางวัน บิดามารดาให้อิสระในเรื่องคู่ครอง มีการเสียค่าสินสอดทองหมั้นในการสู่ขอ มีการจัดพิธีแต่งงานโดยหมอผี บิดามารดากับผู้เฒ่าในหมู่บ้านทำพิธีผูกข้อมืออวยพรคู่บ่าวสาว แล้วเลี้ยงสุรา
ตามธรรมเนียมชายชาวข่าต้องไปอยู่บ้านฝ่ายหญิง และไปช่วยงานบิดามารดาของฝ่ายหญิงจนมีบุตรด้วยกัน 1 คน จึงนำภรรยากลับไปอยู่บ้านตน มีการจัดพิธีรับขวัญสะใภ้เข้าบ้าน หญิงภรรยาต้องปรนนิบัติพ่อแม่สามีจะกลับไปเยี่ยมบ้านได้บางเวลาเท่านั้น หากฝ่ายชาย มีฐานะดีเสียค่าสินสอดมาก ก็สามารถนำหญิงไปอยู่บ้านตนได้
การหย่าร้างไม่ค่อยพบ เนื่องจากมีการเสียค่าปรับไหมสูง แต่ชายมีภรรยา 2 คนได้ ข่ามุเมืองหลวงภูคาชายเสียค่าปรับสูงกว่าฝ่ายหญิง ส่วนข่ามุเมืองไซ นอกจากชายต้องเสียค่าปรับแล้วยังต้องฆ่ากระบือเซ่นผีอีก 1 ตัว ข่ามุมักไม่ให้เกียรติและสิทธิแก่ภรรยาของตน หน้าที่ทุกอย่างในบ้านเป็นงานของฝ่ายหญิง ฝ่ายชายจึงสบายกว่าฝ่ายหญิง (หน้า 153-155) |
|
Political Organization |
ในสังคมนับถือผีแบบข่าถือว่า "หมอผี" เป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ และการรักษาโรค ในขณะเดียวกันก็มีตำแหน่งหัวหน้าหมู่บ้านซึ่งทุกคนต้องเคารพเชื่อฟัง ทำหน้าที่ติดต่อบุคคลภายนอก ผู้ที่หัวหน้าหมู่บ้านข่าถินให้ความเคารพเชื่อฟังคือ กำนัน อย่างไรก็ดี สังคมข่าถินไม่ไว้วางใจบุคคลภายนอกหมู่บ้าน แม้จะเป็นพวกที่รักสงบ (หน้า 170-171) |
|
Belief System |
ข่ามุนับถือผีเรือน ผีหมู่บ้าน ผีเมือง ผีน้ำ ผีป่า มีหิ้งบูชา "พานเอีย" (ผีเรือน) อยู่ในห้องนอน ตั้งเครื่องเซ่น มักทำพิธีเลี้ยงผีหมู่บ้านกันในเดือน 6 จัดพิธีเซ่นผีที่ศาลากลางหมู่บ้าน โดยปิดเฉลวห้ามหมู่บ้านอื่นเข้ามาหมู่บ้านตน 3 วัน (หน้า 151)
นอกจากนี้ยังมีการเลี้ยงผีเมืองที่ศาลผีในป่าบนเนินเขาเรียกว่า "เจ้าหอ" ทุก ๆ 3 ปีจะมีการฆ่ากระบือเซ่นผีเมือง และเซ่นผีไร่เมื่อจะปลูกข้าว ข่ามุในไทยหันมานับถือศาสนาพุทธและคริสเตียนบ้าง แต่ไม่มีวัดเมื่อจะทำพิธีก็มักนิมนต์พระสงฆ์หมู่บ้านอื่นมาทำพิธี แต่ส่วนใหญ่ยังคงยึดอยู่กับคติความเชื่อเรื่องผีและวิญญาณ รวมถึงจารีตประเพณีแบบดั้งเดิมที่สืบต่อกันมา มีความเชื่อถือเรื่องเคล็ดลางปรากฏผ่านพิธีกรรม เช่น พิธีการสร้างบ้านเรือนมีการใช้ใบไม้จุ่มน้ำสาดไล่ความซวย พิธีผูกข้อมือร่ายเวทมนตร์คาถาเพื่อเรียกขวัญให้แก่สมาชิกในบ้านช่วงปีใหม่ หากมีคนในครอบครัวผู้ตายเจ็บป่วยหลังจัดงานศพ ต้องฆ่าหมู ไก่หรือแพะเซ่นผีเป็นการขอร้องมิให้มารบกวน จึงอาจกล่าวได้ว่า หมอผีหรือหมอเวทมนตร์มีบทบาทสำคัญทางสังคมตามจารีตแบบดั้งเดิม (หน้า 152-153, 157)
ข่าเม่ดนับถือผีเช่นเดียวกับข่ามุ ยามเจ็บป่วยจะมัดมือด้วยเส้นด้ายเรียกขวัญ และมีการเชือดคอไก่ นำเลือดไก่มาหยดทาที่หัวเข่าผู้ป่วย ส่วนผีเรือนมักเซ่นด้วยข้าวสุก หรือหากมีคนเจ็บป่วยจะเซ่นด้วยไก่ ผีหมู่บ้านหรือผีหลวงมักเซ่นปีละครั้งด้วยกระบือหรือหมูตามแต่จารีตของแต่ละหมู่บ้าน ทั้งยังมีการปักห้อยธงทิวและกระดาษสีตามชายคาศาลผีของหมู่บ้าน ระหว่างงานเลี้ยงผีหมู่บ้านจะมีการปักเฉลวกลางทางเข้าหมู่บ้านเพื่อห้ามคนต่างถิ่น (หน้า 163-164) |
|
Education and Socialization |
เมื่อข่ามุเข้ามาทำมาหากินในประเทศไทย เป็นแรงงานรับจ้างก็เกิดการเรียนรู้และปรับตัวด้านการแต่งกาย การดูแลทำความสะอาดร่างกายให้สะอาดขึ้น ทั้งยังพูดภาษาไทยภาคเหนือได้ เมื่อกลับไปบ้านถิ่นฐานเดิมก็มีสิ่งของ เสื้อผ้าไปให้คนทางบ้าน ทำให้เพื่อบ้านเกิดการเรียนรู้ว่า หากส่งบุตรหลานมาเป็นแรงงานรับจ้างก็จะเป็นการยกระดับฐานะขึ้น ในขณะที่ข่ามุที่เคยทำงานมาก่อนก็ยกฐานะตัวเองขึ้นเป็นหัวหน้าหรือ "นายฮ้อย" ชักชวนรวบรวมคนในหมู่บ้านเป็นกลุ่มเข้ามารับจ้างทำงาน
ข่ามุบางคนหากินด้วยการเป็นนายหน้าจัดหาแรงงาน โดยหลบเลี่ยงเจ้าหน้าที่ฝ่ายลาวเข้ามารับจ้างทำงานตามจังหวัดชายแดนภาคเหนือของไทย โดยที่ตัวนายฮ้อยมีรายได้จากการพาตัวมาเป็นค่าจ้างแทน เมื่อข่ามุเห็นว่าในไทยหากินสะดวกก็ชักชวนกันอพยพเข้ามา เปลี่ยนแปลง ปรับตัวแต่งกายเลียนแบบคนในท้องถิ่นใกล้เคียง (หน้า 145 -147)
|
|
Health and Medicine |
ยามเจ็บป่วยข่ามุมักฆ่าไก่เซ่นผีเรือน และใช้รากไม้ สมุนไพรต้ม ทาตัว รมควัน ผิงแดด ผิงไฟ และผูกข้อมือเรียกขวัญ สะเดาะเคราะห์ตามแต่หมอผีในหมู่บ้านจะแนะนำ แต่มักยึดผีเป็นที่พึ่ง (หน้า 156-157) ส่วนข่าเม่ดหากมีคนเจ็บป่วย แล้วหมอผีบอกว่าผีเรือนโกรธเคืองก็ต้องเซ่นด้วยไก่ (หน้า 163)
ข่าเม่ดมีฐานะความเป็นอยู่ค่อนข้างอัตคัด และมีสุขภาพอนามัยไม่ดีนัก มักเจ็บป่วยเป็นไข้มาลาเรียเสมอเนื่องจากไม่มีผ้าห่มที่นอนหมอนมุ้ง เมื่ออากาศเย็นก็มักผิงไฟ เด็กจึงเสียชีวิตมากกว่าผู้ใหญ่ (หน้า 165) ข่าถินในยามเจ็บป่วยจะใช้การบนบานศาลกล่าว ไม่มีสถานีอนามัยและแพทย์แผนปัจจุบันหาได้ยาก สภาพภูมิประเทศที่อยู่บนไหล่าเขาสูง ทำให้การป่วยด้วยเชื้อไข้มาลาเรียมีน้อย ประกอบกับสุขลักษณะในการรับประทานอาหาร มีการปรุงให้สุกด้วยวิธีต่าง ๆ ก่อน จึงทำให้คนแก่มีอายุยืน (หน้า 169) ส่วนข่าฮอไม่มีรายละเอียด |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ในสมัยที่รัชกาลที่ 7 เสด็จประพาสทางภาคอีสาน พบข่าเมืองกุสุมาลย์ จ.สกลนคร ชายนุ่งผ้าโจงกระเบน สวมเสื้อผ่าอกแขนยาวสีดำ มาเข้าเฝ้าพร้อมจัดแสดงการรำกระแทกกระบอกไม้และการดูดเหล้าอุ (หน้า 142) ข่ามุดั้งเดิมขาดแคลนเครื่องนุ่งห่ม ในฤดูร้อนข่ามุนิยมเปลือยกายท่อนบนอยู่กับบ้าน (หน้า 149)
การแต่งกายของข่ามุหญิงนิยมใช้เสื้อสีดำสั้นเหนือเอว แขนยาว ขลิบแถบสีแดงเล็ก ๆ ริมคอเสื้อ ผ่าอก นิยมนุ่งผ้าซิ่นลายสีดำ-แดง หญิงทุกคนเจาะหู ใส่ลานเงินหรือตุ้มหู นิยมนำยางไม้มาย้อมฟันให้มีสีดำเงา สวมเครื่องประดับจำพวกสร้อยลูกเดือย หินลูกปัด ห่วงคอโลหะเงินกลม กำไลแขนเงิน ข่ามุชายแต่เดิมนิยมสักหมึกตามร่างกาย บ้างก็แต่งกายให้เข้ากับท้องถิ่นนั้น ๆ ข่ามุหญิงแต่เดิมนิยมสักดอกจันไว้ที่หลังมือ ปัจจุบันไม่นิยมแล้ว ทรงผมชายแต่เดิมนิยมไว้ผมยาวเกล้ามวยกลาง มีผ้าโพกศีรษะ ปัจจุบันตัดสั้น สวมเสื้อกุยเฮงสีดำผ่าอกตรงกลาง นุ่งกางเกงขายาวใต้หัวเข่า หญิงนิยมไว้ผมมวยเกล้าไว้ข้างหลัง มีแผ่นผ้าพันรอบมวยประดับกระดุมเปลือกหอยผูกห้อยเหรียญเงิน (หน้า 150)
การแต่งกายของข่าเม่ด คนแก่ชายในถิ่นทุรกันดารจะใช้ผ้าสีดำปิดที่ลับ มีผ้าพันรอบเอว ตวัดชายพกปล่อยให้ห้อยลงมาคืบเศษเรียกว่า "เตี่ยวแอ้ง" มักไว้ผมยาวเกล้ามวยโพกผ้าแดง ปัจจุบันชายหนุ่มข่าเม่ดนิยมแต่งกายแบบชายไทยลื้อ สวมชุดเสื้อกางเกงสีดำ หญิงนุ่งซิ่นสีดำสั้นแค่เข่า เสื้อดำขอบริมสีแดง เจาะหูเสียบดอกไม้แดงหรือต่างหูเงิน สวมกำไลข้อมือ ห่วงโลหะหรือขดทองเหลืองประดับรอบคอ สักหมึกตามร่างกายบางแห่ง (หน้า 163)
การแต่งกายของข่าฮอ (ข่าฮอก) แต่เดิมชายมักแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเก่า ๆ ใช้ผ้ากว้างคืบเศษปิดบริเวณที่ลับห้อยลงไป หญิงนุ่งผ้าซิ่นสั้นเหนือเข่า ชอบเปลือยอกอยู่กับบ้าน มวยผมไว้ที่ท้ายทอย (หน้า 173)
เครื่องดนตรี ข่าเม่ดจะใช้กลองยาว ฆ้อง ฉาบ กลองมโหระทึก หรือใช้ไม้หลุ้ง (กระบอกไม้ไผ่กระทุ้งพื้นดินให้เกิดเสียงดัง) ในงานพิธีต่าง ๆ ของหมู่บ้าน เช่น งานแห่ศพ พิธีเลี้ยงผีและงานกินข้าวใหม่ (หน้า 163)
นอกจากนี้ยังมีกลองมโหระทึก หรือ "กลองขงเบ้ง" กะเหรี่ยงเรียกว่า "ก้องกบ" แบบเดียวกับกลองละว้า ทำจากโลหะทองเหลืองมีรูปกบและลวดลาย เวลาตีจะมีเสียงดัง "โปง-โปง" ในงานปีใหม่มีการเป่าแคน ดีดเปีย ตีฆ้องกลอง มีการร้องเพลงเกี้ยวพาราสีกันระหว่างชายหญิง ในการเที่ยวสาว "ข่วง" ชายหนุ่มจะดีดเปีย ร้องเพลงหรือเป่าแคนอย่างชาวลาวระหว่างเดินทางมาบ้านหญิงสาว ในพิธีแต่งงาน จะมีวงดนตรีประโคมนำไปบ้านเจ้าสาว มีการร้องเพลง "เติม" อวยพรและเต้นรำกระแทกกระบอกไม้ ในงานพิธีปลูกสร้างเรือนใหม่ ก็มีการเล่นดนตรีร้องเพลง เต้นรำกระแทกกระบอกไม้เป็นจังหวะ หนุ่มสาวมักร้องเพลงเล่นดนตรีกันจนดึกดื่น
(หน้า 153,154156,165) |
|
Folklore |
พงศาวดารเชียงตุงซึ่งตรงกับตำนานเมืองสิบสองจุไทยเล่าว่า มนุษย์ 5 คู่ออกมาจากผลน้ำเต้าปุง ข่าออกมาเป็นคู่แรกแถบเดียนเบียนฟูหรือเมืองแถง แต่ไม่ยอมอาบน้ำชำระร่างกายที่หนองน้ำศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเชื่อกันว่าหากผู้ใดอาบน้ำที่หนองฮกหนองฮายแล้ว จะมีร่างกายผ่องใส สติปัญญาเฉลียวฉลาด ข่าจึงมีผิวดำเตี้ย เป็นต้นกำเนิดของข่าและพวกม้อยในลาวและเวียดนาม พงศาวดารเมืองยองเล่า พญาลกยกไปตีหัวเมืองต่าง ๆ รวมถึงเมืองเชียงรุ้งของไทยลื้อ ต่อมาพ่ายแพ้แก่โอรสเจ้าฟ้าเมืองเชียงรุ้ง จึงพากันหนีไปในเขตลาวกลายเป็นพวกข่า (ข้า) ต่าง ๆ เช่น ข่ามุ ข่าเม่ด ข่าฮอก ข่าเพน ฯลฯ (หน้า 103-104, 140-141)
อีกตำนานหนึ่งเล่าว่า มีกบยักษ์ 2 ผัวเมียชื่อ "ยาถำ" กับ "ยาไถ่" จับสัตว์ป่ากินเป็นอาหาร ต่อมากบผัวเมียได้จับมนุษย์มากินเป็นอาหาร แล้วนำหัวกะโหลกใส่ตะกร้ามาแขวนบนเสาเมื่อทั้งคู่แก่ชราลงได้ไปดักเอาหลานของตนมากินเป็นอาหาร บรรดาบุตรชายทั้งเก้าปรึกษากัน แล้วก็พร้อมใจจับเอายาถำกับยาไถ่บิดามารดามาฆ่ากิน เกิดเป็นธรรมเนียมฆ่าบิดามารดาเมื่ออายุมากสืบต่อกันมา มีการสร้างกลองทองเหลืองทรงกลมมีรูปกบเกาะอยู่ริมกลอง เพื่อเป็นที่ระลึกว่าพวกข่ามีบรรพบุรุษเป็นกบ กลองนี้กะเหรี่ยงและข่าในลาวใช้ พม่าเรียก "กลองปะชี " แปลว่า "กลองกบ" ส่วนไทยเรียกกลองนี้ว่า "กลองมโหระทึก" (หน้า 106 -107) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ข่าเม่ดมีรูปร่างลักษณะผิวพรรณคล้ายคลึงข่ามุ (หน้า 161) ข่าถินมีเอกลักษณ์ของเผ่าคือ มักมีนิสัยค่อนข้างเชื่องช้า ไม่นิยมสะสมอาหารไว้รับประทานและมักใช้ชีวิตไปตามยถากรรม แต่ในเผ่าไม่มีการลักขโมย ทำร้ายฆ่าฟัน ทะเลาะวิวาทหรือตลบตะแลงกัน มักอยู่ร่วมกันแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย เมื่อหาได้ก็แบ่งปันช่วยเหลือกัน สีเครื่องแต่งกายมักใช้สีดำเป็นพื้น บางคนใช้สีแสดงสัญลักษณ์ประจำเผ่า เช่น สวมเสื้อดำผ่าอก มีแถบผ้าลายแดงเหลือง (หน้า 168-170)
|
|
Social Cultural and Identity Change |
เมื่อข่าเข้ามาอยู่ในประเทศไทย ส่วนใหญ่มักแต่งกายและสร้างบ้านเรือนตามอย่างชาวชนบททางภาคเหนือ เช่น ข่ามุ ข่าถิน ข่าเม่ดและข่าฮอ ข่าที่อยู่อาศัยห่างไกลออกไปตามป่าลึกยังคงรักษาขนบธรรมเนียม การแต่งกาย การสร้างบ้านเรือนและวิถีชีวิตแบบข่าในประเทศลาวไว้ ข่าที่เข้ามาทำงานในไทย ตั้งบ้านเรือนและได้ภรรยาเป็นชาวเหนือมักปกปิดไม่แสดงอัตลักษณ์ว่าตนเป็นข่า แต่จะเรียกตนเองว่า "ไทยใหม่" ข่ารอบเมืองหลวงชอบให้เรียกตนเองเป็น "ลาวเทิง" หรือ "ชาวลาวบน" (หน้า 143)
ข่ามุที่เข้ามาเป็นแรงงานรับจ้าง เมื่อมาใหม่ๆ ยังไม่รู้จักขนบธรรมเนียม ก็มักแต่งกายสกปรกมอมแมมด้วยเสื้อผ้าสีดำ เมื่ออยู่นานเข้าก็เปลี่ยนแปลงไปแต่งกายสะอาดขึ้นและมีความเฉลียวฉลาดขึ้น ทั้งยังพูดภาษาถิ่นนั้นๆ ได้ ข่ามุที่อยู่ใกล้ชาวไทยลือก็แต่งกายคล้ายชาวไทยลื้อ อยู่ใกล้หมู่บ้านชาวลาวก็แต่งกายแบบลาว อยู่ใกล้หมู่บ้านชาวเหนือก็แต่งแบบชาวเหนือ เปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ และคริสเตียน แต่ไม่สร้างวัดวาอารามไว้ในหมู่บ้าน ใช้วิธีนิมนต์สงฆ์จากหมู่บ้านใกล้เคียงมาทำพิธีแทน บ้างก็ชักชวนบิดามารดาญาติพี่น้องอพยพเข้ามาอยู่ในพรมแดนด้านตะวันออกทางเหนือของไทย เนื่องจากเห็นว่าเมืองไทยหากินสะดวก มีพื้นที่ว่างเปล่าอุดมสมบูรณ์กว่าถิ่นเดิม (หน้า 146-148) |
|
Map/Illustration |
ข่า (หน้า 138) ข่ามุ (หน้า 144,158,159) ข่าเม่ด (หน้า 160) ข่าถิน (หน้า 166) บ้านของชาวข่าฮอ (หน้า 172) |
|
|