|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายูมุสลิม,วัฒนธรรมทางเศรษฐกิจ,การเปลี่ยนแปลง,ภาคใต้ |
Author |
Chavivun Prachuabmoh |
Title |
Changing Values in Market Trading: A Thai Muslim Case Study |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเนเชี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
26 |
Year |
2528 |
Source |
Cultural values and human ecology in Southeast Asia, Karl L. Hutterer, A. terry Rambo, and George lovelace |
Abstract |
ค่านิยมทางเศรษฐกิจของชาวพาวิลเลี่ยนกำลังจะเปลี่ยนไป โดยที่มองการค้าว่าเป็นอาชีพที่จะช่วยให้ประสบความสำเร็จทางเศรษฐกิจ และผู้ชายเริ่มให้ความสนใจการค้ามากขึ้นกว่าเดิม |
|
Focus |
ปัจจัยต่าง ๆ ที่ทำให้ค่านิยมทางเศรษฐกิจของไทยมุสลิมทางภาคใต้ของไทยเปลี่ยนแปลงไป |
|
Theoretical Issues |
เสนอว่าค่านิยมทางเศรษฐกิจของไทยมุสลิมทางภาคใต้ของไทยกำลังเปลี่ยนแปลงไป จากเดิมที่เน้นการหารายได้จากอาชีพทางเกษตรกรรม คือ การปลูกข้าว และทำไร่ทำสวน มาประกอบอาชีพค้าขายมากขึ้นเป็นลำดับ สืบเนื่องจากหลาย ๆ ปัจจัย เช่น การขาดที่ดินทำกิน ค่านิยมการบริโภคสินค้าที่เป็นวัตถุนิยมมากขึ้น ภาวะทางเศรษฐกิจที่บีบคั้น (หน้า 282-289) และค่านิยมทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป (หน้า 289-300) |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ส่วนใหญ่ใช้ภาษามาเลย์ (หน้า 280) ชาวบ้านประมาณร้อยละ 30 พูดภาษาไทยได้คล่อง ชาวบ้านที่อายุมากกว่าสิบปีร้อยละ 63 จะพูดภาษาไทยขั้นพื้นฐานได้ (น. 282) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
หมู่บ้านนี้มีความเก่าแก่อย่างน้อยร้อยกว่าปีแบ่งเป็น 3 ละแวก ( neighbourhood) แต่ละละแวกมีสุเหร่าของตนเอง (หน้า 280) |
|
Settlement Pattern |
ผู้อยู่อาศัยเกือบทั้งหมดย้ายมาจากหมู่บ้านรอบ ๆ จะแบ่งออกเป็น 2 หมู่บ้านย่อย บ้านเรือนในหมู่บ้านตั้งเรียงรายอยู่ 2 ฝั่งถนน มีความยาวเกือบ 1 กม. ด้านหลังของตัวบ้านมักเป็นนาหรือสวน มีมัสยิด 2 มัสยิด (หน้า 280, 281) |
|
Demography |
มีประชากรจำนวน 1,328 คน จาก 236 ครัวเรือน ประชากรส่วนใหญ่ (206 ครอบครัว) เป็นครอบครัวเดี่ยว (หน้า 280) |
|
Economy |
เมื่อประมาณ 60 ปีมาแล้ว ชาวบ้านเลี้ยงชีพด้วยการเกษตรเป็นหลัก คือ ปลูกข้าว และทำสวน มีงานหัตถกรรม เช่น สานตะกร้าและทอผ้าบ้าง แต่ไม่ถึงกับพอเพียงสำหรับชุมชน ต้องพึ่งพาตลาดนอกหมู่บ้านบ้าง แต่ในช่วงเวลาที่ศึกษานั้น ลักษณะการประกอบอาชีพของคนในหมู่บ้านแบ่งเป็นสองลักษณะคือ 1) มีอาชีพหลาย ๆ อย่างในเวลาเดียวกัน 2) เปลี่ยนอาชีพไปตามภาวะเศรษฐกิจ โดยเฉพาะผู้ชาย ชาวนาชาวสวนจะต้องหาอาชีพเสริม เพราะขาดที่ดินทำกิน อาชีพค้าขายจึงเข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้น และผู้ขายส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิง เหตุที่คนหันมาค้าขายมากขึ้นก็เพราะทื่ดินทำกินมีน้อย ผลผลิตจึงไม่เพียงพอ หรือแม้จะมีที่ดิน แต่ก็อยู่ห่างไกล ชาวบ้านส่วนใหญ่จึงให้เช่าที่ดินเหล่านั้นแทน และการคมนาคมที่สะดวกมากขึ้นจากการที่ถนนตัดผ่านหมู่บ้าน ทำให้ชาวบ้านเดินทางไปค้าขายในเมืองได้สะดวกยิ่งขึ้น (หน้า 285-288) นอกจากนี้ยังมีระบบตลาดนัดในบริเวณรอบ ๆ เกือบทุกวัน ผู้ประกอบอาชีพค้าขายในหมู่บ้านส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง เพราะผู้ชายและผู้หญิงมีทัศนคติต่ออาชีพนี้ต่างกัน ผู้หญิงจะมองอาชีพค้าขายในแง่ดี มองว่าเป็นอาชีพที่ให้อิสระและรายได้ดี ในขณะที่ผู้ชายจะมองว่าอาชีพค้าขายเป็นอาชีพของผู้หญิง เป็นอาชีพที่น่าเบื่อและต่ำต้อย เป็นที่น่าสังเกตว่าผู้หญิงจะหันมาค้าขายก็ต่อเมื่อแต่งงานแล้วเท่านั้น ผู้หญิงมีหน้าที่ช่วยเหลือภาวะการเงินในบ้าน การค้าขายเป็นการตอบโจทย์ได้อย่างดี เพราะเข้ากันได้ดีกับสถานภาพในครอบครัว แม้ค่านิยมที่ว่างานค้าขายเป็นงานของผู้หญิงกำลังเปลี่ยนไป มีผู้ชายหันมาค้าขายมากขึ้น แต่ร้อยละ 90 ของคนขายของก็ยังเป็นผู้หญิง แต่ถึงแม้ว่าค่านิยมนี้กำลังเปลี่ยนไป คนเริ่มหันมาค้าขายมากขึ้นทั้งหญิงและชาย นำเงินมาลงทุนค้าขายมากขึ้น แต่มุสลิมก็ยังรู้สึกว่าค้าขายสู้คนจีนไม่ได้ เพราะไม่มีเส้นสายทางธุรกิจ และถ้าเปรียบเทียบด้านเครดิต คนจีนจะมีภาษีดีกว่า (หน้า 289-299) |
|
Social Organization |
สามีและภรรยามีแบบแผนการแบ่งงานกันทำ คือ ในเรื่องงานบ้าน ผู้หญิงทำครัว ทำความสะอาดบ้าน ซักผ้า และดูแลลูก เป็นส่วนใหญ่ ผู้ชายอาจจะทำบ้าง แต่ไม่บ่อยนัก ส่วนในกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เช่น ปลูกข้าว จะช่วยกันปลูกและเก็บเกี่ยว การไถนาเป็นเรื่องของผู้ชาย ส่วนงานสวนช่วยกันทำ และการค้าเป็นเรื่องของผู้หญิง การขับแท็กซี่ เป็นเรื่องของผู้ชาย |
|
Belief System |
ชาวบ้านส่วนใหญ่ที่ "พาวิลเลี่ยน" เป็นมุสลิมที่เคร่งครัด ละหมาดวันละ 5 ครั้ง และอุทิศเวลาให้ศาสนาในการศึกษาและประกอบพิธีกรรมซึ่งจะมีหลายครั้งในปีหนึ่ง เช่น งานเมาลิด ฮารีายอ รามาตาน ในช่วงรามาตานชาวบ้านถือศีลอดและลดกิจกรรมทางเศรษฐกิจลงบ้าง เดิมไทยมุสลิมเชื่อว่าการอ่านหนังสือภาษาไทยและเก็บหนังสือไทยไว้ในบ้านเป็นบาป จึงไม่นิยมให้ลูกหลานเรียนในโรงเรียนไทย แต่ความเชื่อนี่เริ่มเปลี่ยนแปลงไปเมื่อ 20 กว่าปีที่ผ่านมา เพราะเห็นว่าภาษาไทยจะเปิดโอกาสต่อการทำงานมากขึ้น (หน้า 289-290) อย่างไรก็ตาม มุสลิมในหมู่บ้านส่วนใหญ่ยังเคร่งศาสนาและประกอบกิจทางศาสนาอยู่เสมอ บางคนเกรงว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจจะไปรบกวนหน้าที่ทางศาสนา และคิดว่าตัวเองทำผิดเพราะในการค้าขาย จะต้องโกหกเรื่องราคาสินค้าอยู่ทุกวัน จึงต้องหาสมดุลระหว่างชีวิตในโลกนี้และโลกหน้าให้ได้ ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละบุคคลจะตีความความสมดุลอย่างไร (หน้า 299-300) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
มุสลิมใน 4 จังหวัดทางใต้ของไทย คือ ปัตตานี นราธิวาส ยะลา และสตูลคงอัตลักษณ์ของตนไว้อย่างเหนียวแน่นผ่านทางภาษาและเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย นอกจากนี้ การปฏิสัมพันธ์กับไทยพุทธก็มีน้อย แต่พบว่าในชุมชนเมืองมีการปฏิสัมพันธ์กับไทยพุทธมากกว่าในชนบท แต่มุสลิมก็เริ่มใกล้ชิดกับคนไทยศาสนาอื่น ๆ ได้มากขึ้น จากการได้รับการศึกษาผ่านโรงเรียนไทย |
|
Social Cultural and Identity Change |
ผู้เขียนพยายามชี้ให้เห็นว่าแบบแผนเศรษฐกิจของชาวพาวิลเลี่ยนในปัจจุบันเน้นความสำคัญอยู่ที่การค้าขาย ในขณะที่การปลูกข้าวและทำสวนมีความสำคัญน้อยลงต่อชาวบ้าน และชาวบ้านต้องพึ่งเมืองและตลาดมากขึ้น ชาวบ้านกลายเป็นแม่ค้าอาชีพ เงื่อนไขของการเปลี่ยนแปลงนี้อาจจะเกี่ยวเนื่องมาจากสถานการณ์การเพาะปลูกข้าว ที่ดินขาดแคลน และผลผลิตตกต่ำ และอาจจะเชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงค่านิยมในทางวัฒนธรรมและศาสนาด้วย (หน้า 289-290) และจากข้อมูลที่ปรากฏ ผู้หญิงทำการค้ามากกว่าผู้ชายในหมู่บ้านและที่อื่น ๆ ด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะศาสนาอิสลามไม่ได้มีข้อห้ามเกี่ยวกับการค้าขาย และที่จริงศาสนาอิสลามเองก็มีพัฒนาการในบริบทของศูนย์กลางการค้าในตะวันออกกลาง (หน้า 293) แต่เมื่อศาสนาอิสลามมาถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีอิทธิพลต่อสังคมและวัฒนธรรมในแหลมมลายู การค้าเป็นเรื่องของเจ้าเมืองและคนต่างแดน ไม่ใช่ทางเลือกของชาวบ้าน (หน้า 296) และไม่ใช่ทำเป็นอาชีพหลัก ผู้ที่ทำคือผู้หญิง แต่ในปัจจุบัน ระบบค่านิยมเปลี่ยนแปลงไป เงินมีความสำคัญในสังคม การค้าเป็นทางเลือกที่นำไปสู่ความร่ำรวย ผู้ชายจึงเริ่มสนใจและให้คุณค่ากับการค้ามากขึ้น (หน้า 298-299) |
|
|