|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มุสลิม,สิทธิ,ทรัพยากรท้องถิ่น,ความเป็นพลเมือง,สตูล |
Author |
Peter Vandergeest |
Title |
Racialization and Citizenship in Thai Forest Politics |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเนเชี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
19 |
Year |
2546 |
Source |
Society and Natural Resources, 16: 19-37, 2003. Taylor & Francis. |
Abstract |
บทความชิ้นนี้มีวัตถุประสงค์ที่จะประยุกต์มโนทัศน์การสร้างความเป็นชนชาติ (racialization) ในการทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์กับการเมืองเรื่องทรัพยากรป่าในประเทศไทย โดยอาศัยข้อมูลภาคสนามชุมชนมุสลิมในเขตป่าต้นน้ำ จังหวัดสตูล ประกอบกับข้อมูลเอกสารที่เกี่ยวข้อง บทความชี้ว่า การสร้างความเป็นชนชาติต่างจากความเป็นชาติพันธุ์ในแง่ที่เป็นกระบวนการที่ความแตกต่างทางชาติพันธุ์ได้ถูกทำให้ดูเหมือนว่าเป็นธรรมชาติและมีแก่นสารหรือสารัตถะ ขณะเดียวกันก็มีลักษณะปิด เป็นเอกเทศและถูกโยงเข้ากับความเป็นชาติ โดยขณะที่กระบวนการสร้างความเป็นชนชาติในประเทศอาณานิคมตะวันตกในทวีปเอเชียมีลักษณะเป็นการผลิตหรือสร้างอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ที่แตกต่างหลากหลาย และได้รับการยอมรับทั้งโดยพฤตินัยและนิตินัย กระบวนการสร้างความเป็นชนชาติในประเทศไทย ซึ่งไม่เคยตกเป็นอาณานิคมของประเทศตะวันตกอย่างเป็นทางการ เป็นการผลิตหรือสร้างความเป็นชนชาติไทยเพียงหนึ่งเดียว จากนั้นจึงดำเนินการผนวกรวมหรือกีดกันชนชาติอื่น ๆ เข้าหรือออกจากชนชาติไทยดังกล่าว ทั้งนี้ การสร้างความเป็นชนชาติในประเทศไทยเกิดขึ้นควบคู่กับการสร้างหรือผลิตพื้นที่ชนิดต่าง ๆ โดยกลุ่มคนที่ถูกผนวกหรือนับเป็นคนไทยนอกจากประกอบด้วยคนในเมือง ยังประกอบด้วยคนชนบทซึ่งอาศัยในที่ราบลุ่มและมีอาชีพทำนา ส่วนกลุ่มคนที่ถูกกีดกันหรือไม่ถูกนับเป็นคนไทยได้แก่ชาวเขาเผ่าต่าง ๆ เช่น กะเหรี่ยง ม้ง ฯลฯ ซึ่งอาศัยอยู่ในป่าพื้นที่สูง ปลูกข้าวไร่และเก็บของป่าล่าสัตว์ จึงไม่เพียงแต่ส่งผลให้กลุ่มชาติพันธุ์เหล่านี้อยู่รอบนอกขบวนการพัฒนาประเทศไปสู่ความทันสมัยและอยู่ชายขอบของวัฒนธรรมแห่งชาติหรือวัฒนธรรมไทย หากยังส่งผลให้กลุ่มชาติพันธุ์เหล่านี้ถูกคิดและปฏิบัติในทางลบมาอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่การถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของประเทศสมัยที่คอมมิวนิสต์ขยายตัวในเขตป่าในประเทศไทย การเป็นแหล่งเพาะปลูกฝิ่นหลังจากที่รัฐบาลมีนโยบายห้ามปลูกและเสพฝิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการตั้งถิ่นฐานและระบบการเพาะปลูกของกลุ่มชาติพันธุ์เหล่านี้ถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามต่อระบบนิเวศต้นน้ำซึ่งมีความเปราะบางสูง ฉะนั้น เมื่อประกอบกับความที่ชาวเขาเหล่านี้ไม่ใช่คนไทย จึงชอบธรรมที่รัฐและคนไทยพื้นราบบางกลุ่มจะขับไล่กลุ่มชาติพันธุ์ที่สูงออกจากป่าที่พวกเขาอาศัยและทำกินมากว่าศตวรรษ เป็นการกีดกันสิทธิในการเข้าถึงและใช้ทรัพยากรท้องถิ่นของกลุ่มชาติพันธุ์ที่สูงพร้อม ๆ กับการกีดกันพวกเขาออกจากความเป็นคนไทย ในการเรียกร้องสิทธิในที่อยู่อาศัยและทำกินในเขตป่าของกลุ่มชาติพันธุ์ที่สูง นอกจากอาศัยคุณสมบัติของระบบการเพาะปลูกเช่นไร่หมุนเวียนว่าไม่ได้ส่งผลกระทบในแง่ลบ หากแต่เกื้อกูลต่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศในเขตป่า ขบวนการป่าชุมชนอาศัยการอ้างสิทธิการเป็นชนชาติไทย หรือประชากรไทยของกลุ่มชาติพันธุ์ที่สูงในการเข้าถึงสิทธิในการดูแลและใช้ประโยชน์ทรัพยากรท้องถิ่น เพราะร่างพระราชบัญญัติป่าชุมชนฉบับประชาชนไม่ได้ระบุอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ อีกทั้ง ยังไม่ได้กีดกันกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ที่ไม่ใช่คนพื้นเมืองดั้งเดิมออกจากการเข้าถึงสิทธิดังกล่าว ฉะนั้นขบวนการป่าชุมชนจึงไม่ใช่ขบวนการคนพื้นเมือง หากแต่เป็นขบวนการของประชากรไทยที่เรียกร้องสิทธิพลเมืองภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2540 เพื่อตอบโต้กับวาทกรรมชาติพันธุ์ชาตินิยมซึ่งนิยามว่า ชาวเขาไม่ใช่คนไทย เป็นการให้ความหมายชาติไทยใหม่ในฐานะชุมชนพหุชาติพันธุ์ ซึ่งผนวกรวมกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มน้อยในที่สูง ซึ่งควรมีสิทธิพลเมืองเหมือนกับคนไทยอื่นๆ สถานการณ์เช่นนี้แตกต่างจากที่เกิดขึ้นในประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย ที่ซึ่งอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์เป็นหัวใจของข้อถกเถียงประเด็นสิทธิการจัดการทรัพยากรของท้องถิ่น อย่างไรก็ดี ขบวนการป่าชุมชนให้ความสำคัญเฉพาะปัญหากรรมสิทธิ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเขาในภาคเหนือ และภาคตะวันตก ทว่าละเลยปัญหากรรมสิทธิ์ของกลุ่มชาติพันธุ์มุสลิมในเขตป่าในภาคใต้ซึ่งมีสภาพ เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมแตกต่างออกไป กล่าวคือ ชุมชนมุสลิมเหล่านี้อยู่ในระบบเศรษฐกิจกึ่งยังชีพกึ่งตลาด โดยนอกจากปลูกและแปรรูปยางพาราเพื่อขาย มุสลิมภาคใต้ยังเก็บหาของป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเพื่อยังชีพและขาย ฉะนั้น การที่กฎหมายป่าชุมชนจำกัดการใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์จากป่าชุมชนอย่างเคร่งครัด จึงไม่ช่วยคลี่คลายความขัดแย้งระหว่างชุมชนกับหน่วยรักษาพันธุ์สัตว์ป่าซึ่งดำรงอยู่ก่อนหน้า ประการสำคัญ ขณะที่พื้นที่ป่าภาคเหนือส่วนใหญ่อยู่ภายใต้ระบอบกรรมสิทธิ์ร่วม และส่งผลให้ขบวนการป่าชุมชนไม่สนับสนุนการออกโฉนดที่ดินรายปัจเจก พื้นที่ป่าภาคใต้ส่วนใหญ่ถูกจัดสรรแจกจ่ายแก่ครัวเรือนต่างๆ อย่างไม่เป็นทางการ พิจารณาในแง่นี้ การออกโฉนดที่ดินรายปัจเจกพร้อมกับกฎเกณฑ์การใช้ประโยชน์จากป่าที่เหมาะสม จึงอาจเป็นมาตรการที่เหมาะกว่าสำหรับกรณีภาคใต้ |
|
Focus |
การประยุกต์มโนทัศน์การสร้างความเป็นชนชาติ (racialization) ในการทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์กับการเมืองเรื่องทรัพยากรป่าในประเทศไทย |
|
Theoretical Issues |
รากฐานสำคัญที่สุดในการอ้างสิทธิเหนือพื้นที่และทรัพยากรคือสิทธิของการเป็นพลเมือง ซึ่งมักจะผูกติดกับความเป็นชนชาติ (racialization) ใดชนชาติหนึ่ง ซึ่งทำให้กลุ่มชาติพันธุ์บางกลุ่มไม่อาจมีสิทธินั้นได้ การสร้างความเป็นชนชาติมีพื้นฐานอยู่บนความแตกต่างทางชาติพันธุ์ แต่ต่างจากความเป็นชาติพันธุ์ (ethnicity) ในแง่ที่เป็นกระบวนการที่ความแตกต่างทางชาติพันธุ์ได้ถูกทำให้ดูเหมือนว่าเป็นธรรมชาติและมีแก่นสารหรือสารัตถะ ขณะเดียวกันก็มีลักษณะปิด เป็นเอกเทศ และถูกโยงเข้ากับความเป็นชาติ โดยกระบวนการสร้างความเป็นชนชาติสามารถจำแนกได้ 2 ลักษณะ คือ 1) การสร้างความเป็นชนชาติที่แตกต่างหลากหลาย ซึ่งมักเกิดขึ้นในกรณีประเทศอาณานิคมตะวันตกในทวีปเอเชีย 2) การสร้างความเป็นชนชาติเพียงหนึ่งเดียว จากนั้นจึงดำเนินการผนวกรวมหรือกีดกันชนชาติอื่น ๆ เข้าหรือออกจากชนชาติหนึ่งเดียวดังกล่าว ซึ่งเกิดขึ้นในกรณีประเทศไทยซึ่งไม่เคยตกเป็นอาณานิคมของประเทศตะวันตกอย่างเป็นทางการ ทั้งนี้ การสร้างความเป็นชนชาติมักเกิดขึ้นควบคู่กับการสร้างหรือผลิตพื้นที่ชนิดต่าง ๆ อาทิ พื้นที่ราบลุ่มถูกสร้างขึ้นให้คู่กับชาวนาชนบท ซึ่งถูกนับรวมว่าเป็นคนไทยเหมือนเช่นคนในเมือง ขณะที่พื้นที่ป่าในเขตที่สูงถูกสร้างขึ้นให้คู่กับชาวเขาเผ่าต่าง ๆ ซึ่งไม่ถูกนับรวมว่าเป็นคนไทย ส่งผลให้กลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูงเหล่านี้ประสบปัญหาการกีดกันในรูปแบบต่างๆ จากรัฐรวมทั้งคนไทยพื้นราบบางกลุ่มมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือสิทธิในทรัพยากรท้องถิ่น เหล่านี้ส่งผลให้ยุทธศาสตร์การเคลื่อนไหวด้านสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูงในประเทศไทยไม่ได้อาศัยการสร้างและอ้างอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ที่แตกต่างหรือจำเพาะ เหมือนเช่นที่กลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศอาณานิคมเพื่อนบ้านใช้และประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง หากแต่อาศัยการอ้างสิทธิของการเป็นชนชาติไทยหรือประชากรไทยในการเข้าถึงสิทธิด้านต่าง ๆ อย่างเท่าเทียมกับคนไทยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา การสาธารณสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือสิทธิในการดูแลและใช้ประโยชน์ทรัพยากรท้องถิ่น |
|
Ethnic Group in the Focus |
ถึงแม้ผู้เขียนจะระบุว่าข้อถกเถียงของตนวางอยู่บนข้อมูลที่รวบรวมจากการศึกษาภาคสนามในชุมชนมุสลิมแห่งหนึ่งในเขตป่าต้นน้ำ จังหวัด สตูล ที่ซึ่งการเมืองเรื่องป่ายังไม่ถูกทำให้เป็นเรื่องของชนชาติเหมือนเช่นในภาคเหนือ ประกอบกับข้อมูลเอกสารที่เกี่ยวข้อง (หน้า 20) ทว่าเนื้อหาส่วนใหญ่ของบทความกล่าวถึงชาวเขาเผ่าต่าง ๆ ทั้งในภาคเหนือและภาคตะวันตกซึ่งปรากฏในงานเขียนชิ้นต่าง ๆ เพื่อพัฒนาและเสริมข้อถกเถียงของผู้เขียน ชุมชนมุสลิมใน จังหวัดสตูล ซึ่งเป็นแหล่งเก็บข้อมูลภาคสนามได้รับการกล่าวถึงเพียงสั้น ๆ ดังนี้ 1) การเปรียบเทียบว่าขณะที่กลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ถูกกีดกันออกจากความเป็นไทย มุสลิมในภาคใต้อย่างน้อยที่สุดถูกนับเป็นไทยมุสลิม ในฐานะชาวบ้านที่มีประวัติศาสตร์การทำนาในที่ราบลุ่ม (หน้า 24) 2) การชี้ว่านอกจากปลูกยางพารา ชุมชนมุสลิมยังเก็บหาของป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทั้งเพื่อยังชีพและขาย ฉะนั้น การที่กฎหมายป่าชุมชนจำกัดการใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์จากป่าชุมชนอย่างเคร่งครัด จึงไม่ช่วยคลี่คลายความขัดแย้งระหว่างชุมชนกับหน่วยรักษาพันธุ์สัตว์ป่าที่ดำรงอยู่เดิมได้เท่าไรนัก (หน้า 31-32) 3) การเปรียบเทียบว่าขณะที่ภาคเหนือพื้นที่ป่าส่วนใหญ่อยู่ภายใต้ระบอบกรรมสิทธิ์ร่วม และส่งผลให้ขบวนการป่าชุมชนไม่สนับสนุนการออกโฉนดที่ดินรายปัจเจก ทว่าพื้นที่ป่าภาคใต้ส่วนใหญ่ถูกจัดสรรแจกจ่ายแก่ครัวเรือนต่างๆ ในชุมชนอย่างไม่เป็นทางการ ฉะนั้น การออกโฉนดที่ดินรายปัจเจกพร้อมกับกฎเกณฑ์การใช้ประโยชน์จากป่าที่เหมาะสมจึงอาจเป็นมาตรการที่เหมาะกว่าสำหรับกรณีภาคใต้ (หน้า 32) 4) บทสรุปซึ่งระบุว่าขณะที่ปัญหากรรมสิทธิ์ในเขตป่าในภาคเหนือและภาคตะวันตกเป็นที่ถกเถียงและได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง ทว่าปัญหากรรมสิทธิ์ในเขตป่าในภาคใต้ "แทบไม่เคยถูกรายงานในสื่อระดับประเทศ" (หน้า 33) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
|
Economy |
ระบบเศรษฐกิจกึ่งยังชีพกึ่งตลาด เพราะชุมชนมุสลิมในเขตป่าต้นน้ำ จังหวัด สตูล ไม่เพียงแต่ปลูกและแปรรูปยางพาราเพื่อขาย หากยังเก็บหาของป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทั้งเพื่อยังชีพและขาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือไผ่และน้ำมันสน ซึ่งสร้างรายได้ให้กับสมาชิกในชุมชนมาอย่างต่อเนื่อง (หน้า 31-32) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
|