สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มุสลิม,สิทธิ,ทรัพยากรท้องถิ่น,ความเป็นพลเมือง,สตูล
Author Peter Vandergeest
Title Racialization and Citizenship in Thai Forest Politics
Document Type บทความ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม, Language and Linguistic Affiliations ออสโตรเนเชี่ยน
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 19 Year 2546
Source Society and Natural Resources, 16: 19-37, 2003. Taylor & Francis.
Abstract

บทความชิ้นนี้มีวัตถุประสงค์ที่จะประยุกต์มโนทัศน์การสร้างความเป็นชนชาติ (racialization) ในการทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์กับการเมืองเรื่องทรัพยากรป่าในประเทศไทย โดยอาศัยข้อมูลภาคสนามชุมชนมุสลิมในเขตป่าต้นน้ำ จังหวัดสตูล ประกอบกับข้อมูลเอกสารที่เกี่ยวข้อง บทความชี้ว่า การสร้างความเป็นชนชาติต่างจากความเป็นชาติพันธุ์ในแง่ที่เป็นกระบวนการที่ความแตกต่างทางชาติพันธุ์ได้ถูกทำให้ดูเหมือนว่าเป็นธรรมชาติและมีแก่นสารหรือสารัตถะ ขณะเดียวกันก็มีลักษณะปิด เป็นเอกเทศและถูกโยงเข้ากับความเป็นชาติ โดยขณะที่กระบวนการสร้างความเป็นชนชาติในประเทศอาณานิคมตะวันตกในทวีปเอเชียมีลักษณะเป็นการผลิตหรือสร้างอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ที่แตกต่างหลากหลาย และได้รับการยอมรับทั้งโดยพฤตินัยและนิตินัย กระบวนการสร้างความเป็นชนชาติในประเทศไทย ซึ่งไม่เคยตกเป็นอาณานิคมของประเทศตะวันตกอย่างเป็นทางการ เป็นการผลิตหรือสร้างความเป็นชนชาติไทยเพียงหนึ่งเดียว จากนั้นจึงดำเนินการผนวกรวมหรือกีดกันชนชาติอื่น ๆ เข้าหรือออกจากชนชาติไทยดังกล่าว ทั้งนี้ การสร้างความเป็นชนชาติในประเทศไทยเกิดขึ้นควบคู่กับการสร้างหรือผลิตพื้นที่ชนิดต่าง ๆ โดยกลุ่มคนที่ถูกผนวกหรือนับเป็นคนไทยนอกจากประกอบด้วยคนในเมือง ยังประกอบด้วยคนชนบทซึ่งอาศัยในที่ราบลุ่มและมีอาชีพทำนา ส่วนกลุ่มคนที่ถูกกีดกันหรือไม่ถูกนับเป็นคนไทยได้แก่ชาวเขาเผ่าต่าง ๆ เช่น กะเหรี่ยง ม้ง ฯลฯ ซึ่งอาศัยอยู่ในป่าพื้นที่สูง ปลูกข้าวไร่และเก็บของป่าล่าสัตว์ จึงไม่เพียงแต่ส่งผลให้กลุ่มชาติพันธุ์เหล่านี้อยู่รอบนอกขบวนการพัฒนาประเทศไปสู่ความทันสมัยและอยู่ชายขอบของวัฒนธรรมแห่งชาติหรือวัฒนธรรมไทย หากยังส่งผลให้กลุ่มชาติพันธุ์เหล่านี้ถูกคิดและปฏิบัติในทางลบมาอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่การถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของประเทศสมัยที่คอมมิวนิสต์ขยายตัวในเขตป่าในประเทศไทย การเป็นแหล่งเพาะปลูกฝิ่นหลังจากที่รัฐบาลมีนโยบายห้ามปลูกและเสพฝิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการตั้งถิ่นฐานและระบบการเพาะปลูกของกลุ่มชาติพันธุ์เหล่านี้ถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามต่อระบบนิเวศต้นน้ำซึ่งมีความเปราะบางสูง ฉะนั้น เมื่อประกอบกับความที่ชาวเขาเหล่านี้ไม่ใช่คนไทย จึงชอบธรรมที่รัฐและคนไทยพื้นราบบางกลุ่มจะขับไล่กลุ่มชาติพันธุ์ที่สูงออกจากป่าที่พวกเขาอาศัยและทำกินมากว่าศตวรรษ เป็นการกีดกันสิทธิในการเข้าถึงและใช้ทรัพยากรท้องถิ่นของกลุ่มชาติพันธุ์ที่สูงพร้อม ๆ กับการกีดกันพวกเขาออกจากความเป็นคนไทย ในการเรียกร้องสิทธิในที่อยู่อาศัยและทำกินในเขตป่าของกลุ่มชาติพันธุ์ที่สูง นอกจากอาศัยคุณสมบัติของระบบการเพาะปลูกเช่นไร่หมุนเวียนว่าไม่ได้ส่งผลกระทบในแง่ลบ หากแต่เกื้อกูลต่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศในเขตป่า ขบวนการป่าชุมชนอาศัยการอ้างสิทธิการเป็นชนชาติไทย หรือประชากรไทยของกลุ่มชาติพันธุ์ที่สูงในการเข้าถึงสิทธิในการดูแลและใช้ประโยชน์ทรัพยากรท้องถิ่น เพราะร่างพระราชบัญญัติป่าชุมชนฉบับประชาชนไม่ได้ระบุอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ อีกทั้ง ยังไม่ได้กีดกันกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ที่ไม่ใช่คนพื้นเมืองดั้งเดิมออกจากการเข้าถึงสิทธิดังกล่าว ฉะนั้นขบวนการป่าชุมชนจึงไม่ใช่ขบวนการคนพื้นเมือง หากแต่เป็นขบวนการของประชากรไทยที่เรียกร้องสิทธิพลเมืองภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2540 เพื่อตอบโต้กับวาทกรรมชาติพันธุ์ชาตินิยมซึ่งนิยามว่า ชาวเขาไม่ใช่คนไทย เป็นการให้ความหมายชาติไทยใหม่ในฐานะชุมชนพหุชาติพันธุ์ ซึ่งผนวกรวมกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มน้อยในที่สูง ซึ่งควรมีสิทธิพลเมืองเหมือนกับคนไทยอื่นๆ สถานการณ์เช่นนี้แตกต่างจากที่เกิดขึ้นในประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย ที่ซึ่งอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์เป็นหัวใจของข้อถกเถียงประเด็นสิทธิการจัดการทรัพยากรของท้องถิ่น อย่างไรก็ดี ขบวนการป่าชุมชนให้ความสำคัญเฉพาะปัญหากรรมสิทธิ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเขาในภาคเหนือ และภาคตะวันตก ทว่าละเลยปัญหากรรมสิทธิ์ของกลุ่มชาติพันธุ์มุสลิมในเขตป่าในภาคใต้ซึ่งมีสภาพ เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมแตกต่างออกไป กล่าวคือ ชุมชนมุสลิมเหล่านี้อยู่ในระบบเศรษฐกิจกึ่งยังชีพกึ่งตลาด โดยนอกจากปลูกและแปรรูปยางพาราเพื่อขาย มุสลิมภาคใต้ยังเก็บหาของป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเพื่อยังชีพและขาย ฉะนั้น การที่กฎหมายป่าชุมชนจำกัดการใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์จากป่าชุมชนอย่างเคร่งครัด จึงไม่ช่วยคลี่คลายความขัดแย้งระหว่างชุมชนกับหน่วยรักษาพันธุ์สัตว์ป่าซึ่งดำรงอยู่ก่อนหน้า ประการสำคัญ ขณะที่พื้นที่ป่าภาคเหนือส่วนใหญ่อยู่ภายใต้ระบอบกรรมสิทธิ์ร่วม และส่งผลให้ขบวนการป่าชุมชนไม่สนับสนุนการออกโฉนดที่ดินรายปัจเจก พื้นที่ป่าภาคใต้ส่วนใหญ่ถูกจัดสรรแจกจ่ายแก่ครัวเรือนต่างๆ อย่างไม่เป็นทางการ พิจารณาในแง่นี้ การออกโฉนดที่ดินรายปัจเจกพร้อมกับกฎเกณฑ์การใช้ประโยชน์จากป่าที่เหมาะสม จึงอาจเป็นมาตรการที่เหมาะกว่าสำหรับกรณีภาคใต้

Focus

การประยุกต์มโนทัศน์การสร้างความเป็นชนชาติ (racialization) ในการทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์กับการเมืองเรื่องทรัพยากรป่าในประเทศไทย

Theoretical Issues

รากฐานสำคัญที่สุดในการอ้างสิทธิเหนือพื้นที่และทรัพยากรคือสิทธิของการเป็นพลเมือง ซึ่งมักจะผูกติดกับความเป็นชนชาติ (racialization) ใดชนชาติหนึ่ง ซึ่งทำให้กลุ่มชาติพันธุ์บางกลุ่มไม่อาจมีสิทธินั้นได้ การสร้างความเป็นชนชาติมีพื้นฐานอยู่บนความแตกต่างทางชาติพันธุ์ แต่ต่างจากความเป็นชาติพันธุ์ (ethnicity) ในแง่ที่เป็นกระบวนการที่ความแตกต่างทางชาติพันธุ์ได้ถูกทำให้ดูเหมือนว่าเป็นธรรมชาติและมีแก่นสารหรือสารัตถะ ขณะเดียวกันก็มีลักษณะปิด เป็นเอกเทศ และถูกโยงเข้ากับความเป็นชาติ โดยกระบวนการสร้างความเป็นชนชาติสามารถจำแนกได้ 2 ลักษณะ คือ 1) การสร้างความเป็นชนชาติที่แตกต่างหลากหลาย ซึ่งมักเกิดขึ้นในกรณีประเทศอาณานิคมตะวันตกในทวีปเอเชีย 2) การสร้างความเป็นชนชาติเพียงหนึ่งเดียว จากนั้นจึงดำเนินการผนวกรวมหรือกีดกันชนชาติอื่น ๆ เข้าหรือออกจากชนชาติหนึ่งเดียวดังกล่าว ซึ่งเกิดขึ้นในกรณีประเทศไทยซึ่งไม่เคยตกเป็นอาณานิคมของประเทศตะวันตกอย่างเป็นทางการ ทั้งนี้ การสร้างความเป็นชนชาติมักเกิดขึ้นควบคู่กับการสร้างหรือผลิตพื้นที่ชนิดต่าง ๆ อาทิ พื้นที่ราบลุ่มถูกสร้างขึ้นให้คู่กับชาวนาชนบท ซึ่งถูกนับรวมว่าเป็นคนไทยเหมือนเช่นคนในเมือง ขณะที่พื้นที่ป่าในเขตที่สูงถูกสร้างขึ้นให้คู่กับชาวเขาเผ่าต่าง ๆ ซึ่งไม่ถูกนับรวมว่าเป็นคนไทย ส่งผลให้กลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูงเหล่านี้ประสบปัญหาการกีดกันในรูปแบบต่างๆ จากรัฐรวมทั้งคนไทยพื้นราบบางกลุ่มมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือสิทธิในทรัพยากรท้องถิ่น เหล่านี้ส่งผลให้ยุทธศาสตร์การเคลื่อนไหวด้านสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูงในประเทศไทยไม่ได้อาศัยการสร้างและอ้างอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ที่แตกต่างหรือจำเพาะ เหมือนเช่นที่กลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศอาณานิคมเพื่อนบ้านใช้และประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง หากแต่อาศัยการอ้างสิทธิของการเป็นชนชาติไทยหรือประชากรไทยในการเข้าถึงสิทธิด้านต่าง ๆ อย่างเท่าเทียมกับคนไทยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา การสาธารณสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือสิทธิในการดูแลและใช้ประโยชน์ทรัพยากรท้องถิ่น

Ethnic Group in the Focus

ถึงแม้ผู้เขียนจะระบุว่าข้อถกเถียงของตนวางอยู่บนข้อมูลที่รวบรวมจากการศึกษาภาคสนามในชุมชนมุสลิมแห่งหนึ่งในเขตป่าต้นน้ำ จังหวัด สตูล ที่ซึ่งการเมืองเรื่องป่ายังไม่ถูกทำให้เป็นเรื่องของชนชาติเหมือนเช่นในภาคเหนือ ประกอบกับข้อมูลเอกสารที่เกี่ยวข้อง (หน้า 20) ทว่าเนื้อหาส่วนใหญ่ของบทความกล่าวถึงชาวเขาเผ่าต่าง ๆ ทั้งในภาคเหนือและภาคตะวันตกซึ่งปรากฏในงานเขียนชิ้นต่าง ๆ เพื่อพัฒนาและเสริมข้อถกเถียงของผู้เขียน ชุมชนมุสลิมใน จังหวัดสตูล ซึ่งเป็นแหล่งเก็บข้อมูลภาคสนามได้รับการกล่าวถึงเพียงสั้น ๆ ดังนี้ 1) การเปรียบเทียบว่าขณะที่กลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ถูกกีดกันออกจากความเป็นไทย มุสลิมในภาคใต้อย่างน้อยที่สุดถูกนับเป็นไทยมุสลิม ในฐานะชาวบ้านที่มีประวัติศาสตร์การทำนาในที่ราบลุ่ม (หน้า 24) 2) การชี้ว่านอกจากปลูกยางพารา ชุมชนมุสลิมยังเก็บหาของป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทั้งเพื่อยังชีพและขาย ฉะนั้น การที่กฎหมายป่าชุมชนจำกัดการใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์จากป่าชุมชนอย่างเคร่งครัด จึงไม่ช่วยคลี่คลายความขัดแย้งระหว่างชุมชนกับหน่วยรักษาพันธุ์สัตว์ป่าที่ดำรงอยู่เดิมได้เท่าไรนัก (หน้า 31-32) 3) การเปรียบเทียบว่าขณะที่ภาคเหนือพื้นที่ป่าส่วนใหญ่อยู่ภายใต้ระบอบกรรมสิทธิ์ร่วม และส่งผลให้ขบวนการป่าชุมชนไม่สนับสนุนการออกโฉนดที่ดินรายปัจเจก ทว่าพื้นที่ป่าภาคใต้ส่วนใหญ่ถูกจัดสรรแจกจ่ายแก่ครัวเรือนต่างๆ ในชุมชนอย่างไม่เป็นทางการ ฉะนั้น การออกโฉนดที่ดินรายปัจเจกพร้อมกับกฎเกณฑ์การใช้ประโยชน์จากป่าที่เหมาะสมจึงอาจเป็นมาตรการที่เหมาะกว่าสำหรับกรณีภาคใต้ (หน้า 32) 4) บทสรุปซึ่งระบุว่าขณะที่ปัญหากรรมสิทธิ์ในเขตป่าในภาคเหนือและภาคตะวันตกเป็นที่ถกเถียงและได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง ทว่าปัญหากรรมสิทธิ์ในเขตป่าในภาคใต้ "แทบไม่เคยถูกรายงานในสื่อระดับประเทศ" (หน้า 33)

Language and Linguistic Affiliations

ไม่มีข้อมูล

Study Period (Data Collection)

ไม่ระบุ

History of the Group and Community

ไม่มีข้อมูล

Settlement Pattern

ไม่มีข้อมูล

Demography

ไม่มีข้อมูล

Economy

ระบบเศรษฐกิจกึ่งยังชีพกึ่งตลาด เพราะชุมชนมุสลิมในเขตป่าต้นน้ำ จังหวัด สตูล ไม่เพียงแต่ปลูกและแปรรูปยางพาราเพื่อขาย หากยังเก็บหาของป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทั้งเพื่อยังชีพและขาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือไผ่และน้ำมันสน ซึ่งสร้างรายได้ให้กับสมาชิกในชุมชนมาอย่างต่อเนื่อง (หน้า 31-32)

Social Organization

ไม่มีข้อมูล

Political Organization

ไม่มีข้อมูล

Belief System

ศาสนาอิสลาม

Education and Socialization

ไม่มีข้อมูล

Health and Medicine

ไม่มีข้อมูล

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มีข้อมูล

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ดู abstract

Social Cultural and Identity Change

ไม่มีข้อมูล

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

ไม่มี

Text Analyst อนุสรณ์ อุณโณ Date of Report 25 ก.ย. 2567
TAG ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู, มุสลิม, สิทธิ, ทรัพยากรท้องถิ่น, ความเป็นพลเมือง, สตูล, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง