สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ลาหู่,ลาหู่เชเล,มูเซอดำ,ตลาดชาวเขา,ดอยมูเซอ ,ตำบลแม้ท้อ ,อำเภอเมือง,ตาก
Author สุรเดช ลุนิทรานนท์
Title การเมืองเรื่องพื้นที่ของตลาดชาวเขากับยุทธศาสตร์การปรับตัวของกลุ่มชาติพันธุ์: กรณีศึกษาลาหู่เชเล (มูเซอดำ) บนดอยมูเซอ ตำบลแม้ท้อ อำเภอเมือง จังหวัดตาก
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ลาหู่ ลาหู่ ละหู่ ลาฮู, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ Total Pages 173 Year 2553
Source สุรเดช ลุนิทรานนท์.(2553) .การเมืองเรื่องพื้นที่ของตลาดชาวเขากับยุทธศาสตร์การปรับตัวของกลุ่มชาติพันธุ์: กรณีศึกษาลาหู่เชเล(มูเซอดำ) บนดอยมูเซอ ตำบลแม้ท้อ อำเภอเมือง จังหวัดตาก, วิทยานิพนธ์ ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการพัฒนาสังคม ,บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 173 หน้า
Abstract

การศึกษาปฏิสัมพันธ์ระหว่างชาวลาหู่บนพื้นที่สูงดอยมูเซอของจังหวัดตากกับกลุ่มทางสังคมต่างๆ (ภาครัฐ,กลุ่มชาวม้ง,กลุ่มชาวลีซอ,กลุ่มคนไทย) ในพื้นที่ตลาดของกลุ่มชาติพันธุ์ดอยมูเซอ เชื่อมโยงความเกี่ยวข้องกับพื้นที่ทำกิน (การปรับเปลี่ยนรูปแบบและวัฒนธรรมการเพาะปลูก) และพื้นที่หมู่บ้านภายใต้บริบทความเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ หลังจากภาครัฐเข้ามาดำเนินโครงการพัฒนาเพื่อจัดการการใช้พื้นที่ พร้อมกับส่งเสริมการท่องเที่ยว พบว่า บริบทของการท่องเที่ยวเอื้อให้ชาวลาหู่เชเลบนดอยมูเซอ มีโอกาสทางเศรษฐกิจในพื้นที่ตลาดอยู่มาก ขณะที่การปรับตัวตามบริบทความเปลี่ยนแปลงสะท้อนความพยายามต่อสู้ดิ้นรนของชาติพันธุ์เพื่อดำรงอยู่ได้ในพื้นที่ทางสังคม ตัวตนทางชาติพันธุ์ถูกนำเสนอเพื่อหวังผลเป็นความจูงใจทางการตลาดมากกว่าบ่งบอกอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์
 
ผู้วิจัยสรุปสาระสำคัญในเชิงอธิบายเป็นข้อค้นพบไว้ 4 ประเด็นคือ
1) การปรับตัวของกลุ่มชาติพันธุ์บนดอยมูเซอ ภายใต้วาทกรรมการพัฒนาและการอนุรักษ์ของภาครัฐมีความแตกต่างหลากหลาย ขึ้นอยู่กับความสามารถในการเข้าถึงทรัพยากรและการสร้างเครือข่ายของกลุ่มชาติพันธุ์ (หน้า 162-164)
2) ความสัมพันธ์ของกลุ่มทางสังคมต่างๆ ในพื้นที่ตลาดดอยมูเซอเป็นความสัมพันธ์เชิงอำนาจ (หน้า 164)
3) ในบริบทการค้าขาย อัตลักษณ์ความเป็นชาติพันธุ์ถูกนำเสนอเพื่อหวังผลทางการตลาด 
4) ในมุมมองของชาวลาหู่มองว่า“ตลาดชาวเขาดอยมูเซอ” เป็นพื้นที่ของความมั่นคงในการดำรงอยู่ของตนเองบนดอยมูเซอนี้ (หน้า 165) 

Focus

ผู้วิจัยมุ่งศึกษารูปแบบการปรับตัวของกลุ่มชาติพันธุ์ล่าหู่หรือมูเซอดำบนดอยมูเซอ จังหวัดตาก ที่เป็นพ่อค้าแม่ค้าในตลาดชาวเขาดอยมูเซอ ภายใต้บริบทของโครงการพัฒนาและการส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐผ่าน“พื้นที่ตลาดชาวเขา”(หน้า 78-90, 99-100) ในลักษณะปฏิสัมพันธ์ระหว่างชาวลาหู่กับคนกลุ่มอื่นๆ (เจ้าหน้าที่ภาครัฐ,ชาวม้ง,ชาวลีซอ,คนไทย) ในพื้นที่ตลาด (หน้า 122-134,107-113,114-212) และการปรับเปลี่ยนอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชาวลาหู่ที่เป็นไปอย่างสอดคล้องกับความสัมพันธ์เชิงอำนาจกับภาครัฐผ่าน“พื้นที่ทำกิน” (หน้า จ,5,163,39-40,90-98, 134-142)

Theoretical Issues

ผู้วิจัยเสนอกรอบการศึกษาเป็น 2 ส่วน
ส่วนแรก เพื่อทำความเข้าใจความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างรัฐกับกลุ่มชาติพันธุ์ (ชาวเขา) ในประเด็นความเป็นชาติ (หน้า 38) และลักษณะการจัดการหรือควบคุมชนกลุ่มน้อยในรัฐโดยผ่านโครงการพัฒนา (หน้า 6-16) เสนอควบคู่กับประเด็นการเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในยุคปัจจุบันที่มีลักษณะทำให้วัฒนธรรมกลายเป็นสินค้า (Commoditization) ประกอบการอ้างถึงวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องในระดับนโยบายของภาครัฐต่อประเด็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวให้กับชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อย เพื่อทำความเข้าใจกับปัญหาเรื่องรัฐกับการพัฒนาที่ใช้กลไกของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเข้ามาเกี่ยวข้อง (หน้า 17-23) ซึ่งผู้วิจัยมองว่า “พื้นที่ตลาด” เป็นพื้นที่ปะทะสังสรรค์ของกลุ่มคนในรูปแบบต่างๆ นอกเหนือจากการทำกิจกรรมซื้อขาย
แลกเปลี่ยน (หน้า 23-27)
 
ส่วนที่สอง ผู้วิจัยเสนอแนวคิดแนวคิดเรื่องการศึกษาเกี่ยวกับอัตลักษณ์ของความเป็นชาติพันธุ์ และยกผลการศึกษาของนักมานุษยวิทยาที่มีชื่อเสียงทั้งชาวไทย และต่างประเทศหลายท่านมาประกอบ อาทิ อานันท์ กาญจนพันธุ์ ฉวีวรรณ ประจวบเหมาะThompson และ Leach เป็นต้น (หน้า 28-37)

Ethnic Group in the Focus

ชาวลาหู่ในประเทศไทย แบ่งออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่ คือ
1.ละหู่นะ อพยพมาจากตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศพม่าและมณฑลยูนนานของจีน เป็นกลุ่มแรกที่อพยพเข้ามาในประเทศไทย ส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์
2.ลาหู่ญี หรือ มูเซอแดง เป็นลาหู่กลุ่มใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
3.ลาหู่ชี หรือมูเซอเหลือง หรือมูเซอกุย มีถิ่นฐานเดิมที่ตอนใต้ของมณฑลยูนนาน
4. ลาหู่เชเล หรือมูเซอดำ ในการศึกษานี้มุ่งศึกษาลาหู่เชเล หรือมูเซอดำซึ่งเป็นกลุ่มที่อาศัยอยู่บนพื้นที่สูงของดอยมูเซอ จ. ตาก

Language and Linguistic Affiliations

ภาษาลาหู่อยู่ในกลุ่มภาษาตระกูลจีน-ทิเบต (Sino-Tibetan) สาขาทิเบต-พม่า กลุ่มภาษาโลโลดั้งเดิม (Proto-Loto)และแตกสาขาย่อยลงมาในกลุ่มพม่าโลโล สาขาโลโลกลาง (Central-Lolo) ซึ่งอยู่ในกลุ่มเดียวกับภาษาลีซู และภาษาอาข่า ภาษาลาหู่ใช้อักษรโรมันสร้างระบบการเขียน เรียงคำเหมือนภาษาพม่า (หน้า 50) ภาษาลาหู่เป็นภาษาที่ไม่มีตัวอักษรหรือระบบ
การเขียน ภายหลังหมอสอนศาสนาจากตะวันตกได้ใช้อักษรโรมันสร้างระบบการเขียนภาษาลาหู่ มีโครงสร้างประโยคเหมือนภาษาพม่า คือ ประธาน-กรรม-กิริยา(หน้า 50)

Study Period (Data Collection)

เก็บข้อมูลภาคสนามช่วงปี พ.ศ. 2550 

History of the Group and Community

ในราวศตวรรษที่ 17 และ 18 ชาวลาหู่ได้ตั้งอาณาจักรอิสระของตนเองบริเวณตอนกลางและตอนใต้ของมณฑลยูนนานของจีนลงไปถึงแคว้นเชียงตุงของพม่า ต่อมาเมื่อพม่าถูกอังกฤษปกครอง ชาวลาหู่ได้รวมกลุ่มขึ้นเพื่อต่อต้านการครอบงำของฝ่ายคริสตจักรจึงถูกปรามปรามเมื่อประมาณ 200 กว่าปีที่แล้ว ทำให้ชาวลาหู่เริ่มอพยพเข้าประเทศไทยมาตั้งหลักแหล่งอยู่บริเวณบ้านต้นแม่มาว ต.ม่อนปิ่น อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ เขตติดต่อกับจ.เชียงราย (หน้า 47 -49)
 
กระทั่งเมื่อราว พ.ศ. 2487 ชาวลาหู่เชเลกลุ่มที่อาศัยอยู่บริเวณดอยช้าง อ.เวียงปาเป้า จ.เชียงราย และ อ.ออมก๋อย จ.เชียงใหม่ ได้อพยพมาเข้าในเขต จ.ตาก ตามคำบอกเล่าถึงความ
อุดมสมบูรณ์ของพื้นที่เพื่อหาทำเลปลูกฝิ่น จนที่สุดชาวลาหู่รวมตัวกัน  ตั้งรกรากสร้างหมู่บ้านบริเวณ อ.พบพระ และ อ.แม่สอด มี 4 กลุ่ม คือ กลุ่มบ้านวะดิดิคะ บ้านเอะคอติคะ บ้านดอยแผนที่ และบ้านปะคาติคะ หรือบ้านอูมยอม   เป็นชุมชนลาหู่บนดอยมูเซอแห่งแรก ซึ่งเดิมเป็นหมู่บ้านชาวกะเหรี่ยงที่ได้อพยพย้ายออกไปเนื่องจากเกิดโรคระบาด (หน้า 52-54)

ต่อมาในปี พ.ศ.2503 ตรงเขตแบ่งเส้นถนนตาก-แม่สอด ทางซ้ายมือของฝั่งถนนทางไปอำเภอแม่สอดมีศูนย์ทดลองพืชสวนดอยมูเซอและศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาจังหวัดตาก
เข้ามาจัดตั้งทับซ้อนพื้นที่หมู่บ้านและพื้นที่ทำกินของชุมชนชาติพันธุ์ โดยเฉพาะบ้านอุมยอมของชาวลาหู่ บ้านม้ง และบ้านลีซอ ทำให้ชาวบ้านหลายกลุ่มเลือกที่จะขยับเข้าไปตั้งหมู่บ้านในอีกฝั่งของถนน ในกรณีของบ้านอุมยอมมีการแตกตัวไปเป็น บ้านห้วยปลาหลดและบ้านใหม่ และต่อมาในปี พ.ศ. 2524 พื้นที่ทั้งบนดอยมูเซอ ครอบคลุมบริเวณอีกฝั่งถนนดังกล่าวได้ถูกประกาศให้เป็นพื้นที่เขตอุทยานแห่งชาติตากสินมหาราช (หน้า 66)

ตามบริบททางประวัติศาสตร์ชาวลาหู่บนดอยมูเซอ ได้อพยพมาตั้งรกรากและทำมาหากินบนดอยมูเซอตั้งแต่ปี พ.ศ. 2510 เดิมบนดอยมูเซอเป็นที่ตั้งของ 3 หมู่บ้านชาติพันธุ์หลัก ได้แก่
บ้านอุมยอม บ้านลีซอและบ้านม้ง ซึ่งอยู่ในเขตปกครองของอำเภอเมืองตาก ต่อมาในปี พ.ศ. 2503 ได้เปลี่ยนมาอยู่ในพื้นที่ของศูนย์สงเคราะห์ชาวเขาจังหวัดตาก และสถานีทดลองพืชสวนดอยมูเซอ การใช้พื้นที่หมู่บ้านและพื้นที่ทำการเกษตรจึงถูกกำหนดอย่างชัดเจน กระทั่งช่วงปี พ.ศ. 2517-2519 เกิดการแตกตัวของหมู่บ้านอุมยอมออกไปเป็น 3 หมู่บ้าน ได้แก่ บ้านส้มป่อย บ้านห้วยปลาหลด และบ้านใหม่ ต่อมาในปี พ.ศ. 2524 มีการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติตากสินมหาราช ทำให้ 2 หมู่บ้าน คือหมู่บ้านห้วยปลาหลด และหมู่บ้านใหม่ เปลี่ยนมาอยู่ภายใต้การกำกับควบคุมของอุทยานแห่งชาติตากสินมหาราช โดยพื้นที่ของเขตอุทยานครอบคลุมพื้นที่ตั้งของหมู่บ้าน(หน้า 74,144)

ผู้ศึกษา ให้ข้อมูลที่มาและพัฒนาการของการจัดตั้งตลาดชาวเขาดอยมูเซอที่เริ่มต้นจากการก่อสร้างถนนสายตาก-แม่สอด ทำให้บริเวณนั้นกลายเป็นพื้นที่ที่คับคั่งไปด้วยผู้คน ในระยะแรกจึงเป็นการแลกเปลี่ยนซื้อขายระหว่างชาวลาหู่ที่ได้นำเอาของป่ามาขายให้กับเจ้าหน้าที่และบรรดาแรงงานทำถนน กระทั่งปี พ.ศ. 2521ทางจังหวัดเห็นความสำคัญของพื้นที่จึงให้มีการจัดตั้งเป็น “ตลาดชาวไทยภูเขาดอยมูเซอ”เพื่อให้ชาวเขานำผลผลิตทางเกษตรที่รัฐส่งเสริมให้เพาะปลูกนำมาขาย และเป็นแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดตาก โดยมีศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์
ชาวเขาเป็นผู้ดูแล (หน้า 78-89)
 
นอกจากนั้น ผู้วิจัยได้ให้ข้อมูลสถานการณ์ตลาดดอยมูเซอ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539 ประกอบด้วยเรื่องสาเหตุความขัดแย้งในพื้นที่ตลาดของบรรดาผู้ค้าทั้งคนไทยและกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ระหว่างปี พ.ศ. 2539-2543 และข้อมูลพัฒนาการของโครงสร้างตลาด ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2524-2539 (หน้า 90-98) ที่นำมาสู่การจัดตั้งตลาดชาวเขาดอยมูเซอแห่งที่สองที่เรียกว่า
ตลาดใหม่  

Settlement Pattern

ไม่มีข้อมูล

Demography

ปัจจุบันบริเวณดอยมูเซอจะเป็นที่ตั้งของชุมชนชาติพันธุ์ 6 หมู่บ้าน โดยมีบ้านอุมยอม(บ้านเก่า) เป็นบ้านของชาวลาหู่ จำนวน 78 ครัวเรือน มีประชากร 302 คน  บ้านลีซอ เป็นชาวลีซอ จำนวน 48 ครัวเรือน มีประชากร 238 คน  บ้านแม้วใหม่ (ม้งใหม่) เป็นชาวม้ง จำนวน 94 ครัวเรือน มีประชากร 720 คน  บ้านส้มป่อย เป็นชาวลาหู่ จำนวน 88 ครัวเรือน มีประชากร 428 คน  บ้านห้วยปลาหลด เป็นชาวลาหู่ จำนวน70 ครัวเรือน มีประชากร 243 คน และ  บ้านใหม่ เป็นชาวลาหู่ จำนวน 30 ครัวเรือน มีประชากร 117คน (ข้อมูลสำรวจปี พ.ศ. 2549) โดยเมื่อปี พ.ศ. 2500 พบว่าบนดอยมูเซอมีชาวลาหู่อาศัยอยู่จำนวนมากที่สุด (หน้า 143-144)

Economy

ตามบริบททางประวัติศาสตร์ชาวลาหู่บนดอยมูเซอ ได้อพยพมาตั้งรกรากและทำมาหากินบนดอยมูเซอตั้งแต่ปี พ.ศ. 2510 ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมโดยเพาะปลูกฝิ่นเป็นรายได้หลัก ปลูกข้าว (ข้าวดอยหรือข้าวไร่) ไว้บริโภค และล่าสัตว์หาของป่า เป็นระบบผลิตที่พึ่งพาป่า กระทั่งเมื่อยุคการพัฒนาพื้นที่สูงของหน่วยงานรัฐ ทำให้ชาวลาหู่และกลุ่มชาติพันธุ์บนดอยมูเซอซึ่งเป็นชาวเขาที่เข้ามาทำการบุกรุกพื้นที่ป่า ค้ายาเสพติด ทำไร่เลื่อนลอย ถูกจำกัดการใช้พื้นที่และจำกัดขอบเขตหมู่บ้านไม่สามารถขยายได้ต่อไป (หน้า 55-56,150)  ส่งผลให้
ชาวลาหู่ปรับเปลี่ยนรูปแบบและวิธีการผลิต เป็นการเพาะปลูกในพื้นที่จำกัด การล่าสัตว์ หาของป่าและปลูกฝิ่นกลายเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย (หน้า 73-76)  ขณะเดียวกัน หน่วยงานรัฐ
ได้เข้ามาส่งเสริมให้ปลูกพืชเศรษฐกิจ เช่น กาแฟพันธุ์ และพืชผักผลไม้เมืองหนาวหลายชนิด สามารถเพาะปลูกในพื้นที่ขนาดเล็กและเก็บเกี่ยวได้ตลอดปี ต่อมาชาวลาหู่และกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ บนดอยมูเซอ ได้นำเอาผลผลิตที่เพาะปลูกได้มาจำหน่ายเพื่อเพิ่มรายได้ที่ตลาดชาวเขา ซึ่งทางหน่วยงานรัฐได้จัดสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2521 (หน้า 40-42)

การก่อร่างของตลาดดอยมูเซอมีความเกี่ยวโยงกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมของประเทศและจังหวัดตาก ทางหลวงหลายเลข 105 ในระยะแรก การค้าขายจะมีลักษณะเป็นเพิงหมาแหงน บ้างเอากระสอบมาปูริมถนน ของที่นำมาขาย เช่น ของป่า ของชำ ต่อมาเริ่มมีร้านค้ามากขึ้น และเริ่มมีกลุ่มม้งลีซอ คนไทย ฯลฯ มาเป็นพ่อค้าแม่ค้า  จนในปี พ.ศ.2539 มีร้านค้าประจำ 22 ราย เป็นชาวไทยพื้นราบ 16 ราย ชาวไทยภูเขา 6 ราย ร้านค้าแผงลอย 264 ราย เป็นชาวไทยพื้นราบจำนวน 44 ราย ชาวไทยภูเขา 220 ราย (หน้า 82) จนกระทั่งในปี 2545 มีการพัฒนาตลาดเพื่อรองรับผู้ประกอบการทั้งหมด ผ่านการดูแลและจัดการโดยศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา จ. ตาก โดยมีเงื่อนไขว่า ผู้เข้ามาค้าขายต้องเป็นสมาชิกของหมู่บ้านชาติพันธุ์ทั้ง 10 หมู่บ้าน คือ 1.บ้านห้วยจะกือ(กะเหรี่ยง) 2.บ้านห้วยปลาหลด(มูเซอ) 3. บ้านใหม่(มูเซอ) 4. บ้านส้มป่อย(มูเซอ) 5. บ้านมูเซอเหลือง 6. บ้านลีซอ 7. บ้านม้ง
8. บ้านอุมยอม(มูเซอ) 9. บ้านต้นมะม่วง (ม้ง) 10. บ้านห้วยขนุน (ม้ง)

“เงือนไขในระเบียบข้อบังคับของตลาดแห่งนี้คือ คนที่มีสิทธิ์จะใช้ประโยชน์ในพื้นที่จะต้องเป็น”ชาวเขา” กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆบนดอยมูเซอ ในพื้นที่ 10 หมู่บ้านเท่านั้น โดยห้ามคนไทย
พื้นราบเข้ามาจับจอง หรือเป็นผู้ประกอบการโดยเด็ดขาด” อย่างไรก็ตาม การสร้างตลาดใหม่ เหมือนจะดูว่าสามารถแก้ไขปัญหาข้อขัดแย้งเรื่องระเบียบร้านค้าได้ และเป็น
การส่งเสริมการท่องเที่ยวตามนโยบายที่ได้รับมอบหมายมาจากจังหวัด แต่ผลปรากฏว่าพ่อค้าแม่ค้าบางส่วนขายได้ไม่นานก็ต้องกลับไปขายที่ตลาดเก่าเพราะมีลูกค้ามากกว่า ตลาดใหม่ไม่ติดตลาดแม้ว่าจะมีสาธารณูปโภคดีกว่าตลาดเก่าก็ตาม ด้วยเหตุผลเรื่องลูกค้าที่รู้จักตลาดเก่ามากกว่าทำให้พ่อค้าตลาดใหม่ดิ้นรนเข้าไปขายของที่ตลาดเก่า

สินค้าที่นำมาขาย เช่น ผักเมืองหนาว ปวยเล้ง บล๊อคโคลี่ คะน้าฮ่องกง ผักสลัด ยอดมะระหวาน พ่อค้าจะนำเสนอว่าเป็นผักปลอดสารพิษและเป็นผู้ปลูกเอง และถือเป็นกลยุทธหนึ่งในการค้าของตลาดมูเซอ พริก พริกแห้ง กระเทียม 
          

Social Organization

ไม่มีข้อมูล

Political Organization

ไม่มีข้อมูล

Belief System

ปัจจุบัน ชาวลาหู่แบ่งตามกลุ่มศาสนา ความเชื่อ ได้ 2 กลุ่มคือ
1) ชาวลาหู่เชเล  ลาหู่ญี และลาหู่ฟู  เป็นกลุ่มนับถือผีและพุทธ ขณะเดียวกันยังนับถือเทพเจ้ากื่อซาด้วย
2) ชาวลาหู่นะ ลาหู่เหลือง ลาหู่ญี และลาหู่ลาบา เป็นกลุ่มนับถือศาสนาคริสต์ ขณะที่การประกอบพิธีกรรมของชาวลาหู่เชเลส่วนใหญ่จะสะท้อนวัฒนธรรมปลูกฝิ่น ปลูกข้าว และการล่าสัตว์หาของป่า เช่น พิธีจะฮาคูเว (พิธีทำขวัญข้าว)  พิธีจ่ากู่เว (ทำบุญต้นข้าว) พิธีจ่าวิกู (ทำบุญดอกข้าว) พิธีกินข้าวใหม่ (หน้า 55)
 
ชาวลาหู่หรือมูเซอ มีความเชื่อแบบที่นับถือ “กื่อซา” เป็นผู้สร้างโลกของชาวลาหู่คล้ายศาสนาคริสต์ที่นับถือพระบิดา นอกจากนั้น ยังเชื่อในพลังเหนือธรรมชาติที่แฝงอยู่รอบๆ เรื่องของวิญญาณ ผีสางเทวดา ทั้งที่เป็นผีที่ดี (เรียกว่า เน่) และผีที่ไม่ดี (เรียกว่า ซื้อ-ซือ) นอกจากนั้น ยังมี “สัจจะปู่เมอเซอ” และ “พระเจ้าหน่าสี้”  เป็นเทพเจ้าผู้มีอิทธิฤทธิ์มากรองจากกื่อซา ส่วนในการขับไล่ผีที่ไม่ดีจะมี “ลาส่อ” หรือหมอผี เป็นผู้ทำพิธีกรรมขับไล่(หน้า 50-51)  

Education and Socialization

ไม่มีข้อมูล

Health and Medicine

ไม่มีข้อมูล

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มีข้อมูล

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ชาวลาหู่ในประเทศไทย แบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1) ลาหู่นะ (Lahu Na)  2) ลาหู่ญี หรือ มูเซอแดง (Lahu Nyi)  3) ลาหู่ชี หรือ มูเซอเหลือง หรือ มูเซอกุย (Lahu Shi) และ4) ลาหู่เชเล หรือมูเซอดำ (Lahu Shehleh) ซึ่งมักถูกเรียกว่า นะเหมี่ยว โดยที่ชาวลาหู่นะ (Lahu Na) เป็นกลุ่มที่อพยพมาอยู่ในประเทศไทยก่อนกลุ่มอื่นๆ ขณะที่ชาวลาหู่ญี หรือมูเซอแดง (Lahu Nyi) เป็นมูเซอกลุ่มใหญ่ที่สุดที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย (หน้า 49)

Social Cultural and Identity Change

ภายใต้กรอบการพัฒนาและมุมมองว่าด้วยการอนุรักษ์ของภาครัฐที่ได้เข้ามาจัดการ ควบคุมการใช้พื้นที่สูงบนดอยมูเซอโดยประกาศเป็นพื้นที่ในเขตอุทยานแห่งชาติตากสินมหาราช พร้อมกับสร้างพื้นที่ตลาดชาวเขาดอยมูเซอเป็นบริบทส่งเสริมการท่องเที่ยว เป็นสาเหตุให้ชาวบ้านกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ บนดอยมูเซอต้องพยายามปรับเปลี่ยนรูปแบบและวิธีการผลิตที่แตกต่างไปจากเดิมเนื่องจากเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจสำหรับชาวบ้านกลุ่มชาติพันธุ์บนดอยมูเซอ (หน้า 77-78) โดยเฉพาะชาวลาหู่กรณีศึกษา ซึ่งผู้วิจัยได้นำเสนอรูปแบบวิธีการปรับอัตลักษณ์ของกลุ่มเพื่อความคงอยู่ได้ในพื้นที่ ทั้ง 4 หมู่บ้าน (บ้านอุมยอม บ้านส้มป่อย บ้านห้วยปลาหลด และบ้านใหม่) (หน้า 75-76) ที่มีการปรับตัวที่แตกต่างกันตามบริบทความสามารถเข้าถึง
การพัฒนา (หน้า 73-74) 

กรณีบ้านห้วยปลาหลด และบ้านใหม่ ภายหลังจากถูกประกาศเป็นพื้นที่ในเขตอุทยานแห่งชาติตากสินมหาราชซ้อนทับมาในปี พ.ศ. 2524 ได้ส่งผลเป็นการห้ามขยายพื้นที่หมู่บ้าน ระงับความเจริญของสาธารณูปโภคพื้นฐานต่างๆ ลดพื้นที่ทำการเกษตร วัฒนธรรมการปลูกฝิ่นถูกปราบปราม ทำให้ทั้ง 2 หมู่บ้านเริ่มขยายพื้นที่ปลูกข้าวไปในพื้นที่อื่นๆ ในเขตอำเภอพบพระ บริเวณที่ทำกินของกะเหรี่ยงและม้งที่เข้าไปในป่าลึก

Other Issues

1.พัฒนาการของตลาดดอยมูเซอ ตั้งแต่ช่วงเวลาการจัดตั้งกระทั่งเกิดสถานการณ์ความขัดแย้งในการใช้พื้นที่ และการอ้างสิทธิระหว่างผู้ค้าชาติพันธุ์กับผู้ค้าที่เป็นชาวไทยพื้นราบ หรือระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ด้วยกัน รวมถึงการแก้ปัญหาของภาครัฐต่อประเด็นนี้ในลักษณะเข้ามาจัดระเบียบการใช้พื้นที่ตลาด นำไปสู่การจัดตั้งตลาดดอยมูเซอแห่งใหม่ในที่สุด (หน้า 78-82, 92-98,101-106 )
 
2. สภาพความเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของ 6 หมู่บ้านชุมชนชาติพันธุ์บนดอยมูเซอ กรณีเกิดความทับซ้อนของพื้นที่ตั้งของหมู่บ้านและพื้นที่ทำการเกษตร บริเวณเขตพื้นที่รอยต่อระหว่าง อ.เมือง จ. ตาก กับ อ.แม่สอด จ.ตาก (หน้า 66-76) และการดำเนินกิจกรรมโครงการต่างๆ ของศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาจังหวัดตาก และสถานีทดลองพืชสวนดอยมูเซอ ตามนโยบายการพัฒนาพื้นที่สูงของภาครัฐ (หน้า 77-78,144-155)
 
3.ความสัมพันธ์ของพื้นที่ทำกิน และพื้นที่หมู่บ้านชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์ทั้ง 6 หมู่บ้านบนดอยมูเซอ กับพื้นที่ตลาดดอยมูเซอ ในลักษณะการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตและวิธีคิดเพื่อความดำรงอยู่ของกลุ่มชาติพันธุ์อย่างเหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ(หน้า 144-151)โดยเฉพาะวัฒนธรรมการเพาะปลูกแบบใหม่ที่หันมาเน้นพืชผักเชิงพาณิชย์อันเป็นสินค้าหลักในตลาดดอยมูเซอซึ่งจะต้องมีขายในตลาดตลอดทั้งปี  (หน้า159-160)

พื้นที่ตลาดเป็นพื้นที่ของผู้หญิง โดยพบว่าพ่อค้าส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิง เพราะสามารถเรียกลูกค้าและพูดภาษาไทยได้ดีกว่าผู้ชาย ผู้ชายจึงจะเป็นผู้ปลูกผักแล้วจึงให้สมาชิกในครอบครัวที่เป็นผู้หญิง เช่น ภรรยา หรือลูกสาวมาขายของแทน(หน้า 118)

Map/Illustration

ผู้วิจัยได้ใช้แผนที่แสดงที่ตั้งของตลาดดอยมูเซอ แผนผังแสดงโครงสร้างของตลาด (หน้า 42,83,100) ภาพถ่ายแสดงบรรยากาศค้าขายในตลาดดอยมูเซอทั้งตลาดเก่าและตลาดใหม่ (หน้า 87-88,93-95,106-107,120-122)  และภาพถ่ายสภาพการตั้งบ้านเรือนของชาวลาหู่บนดอยมูเซอ (หน้า 54)

Text Analyst น.ส. นพรัตน์ พาทีทิน Date of Report 08 เม.ย 2558
TAG ลาหู่, ลาหู่เชเล, มูเซอดำ, ตลาดชาวเขา, ดอยมูเซอ, ตำบลแม้ท้อ, อำเภอเมือง, ตาก, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง