สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ชาวบาดุย,จังหวัดบันเติน, อินโดนีเซีย, การต่อรองทางชาติพันธุ์, การพัฒนา
Author Ronny Mucharam
Title Marginalization and Negotiating Ethno-Space in Development Among Baduy People of Banten Province, Indonesia
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาอังกฤษ
Ethnic Identity - Language and Linguistic Affiliations -
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 129หน้า Year 2550
Source Ronny Mucharam. (2550).Marginalization and Negotiating Ethno-Space in Development Among Baduy People of Banten Province, Indonesia. วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต, สาขาวิชาการพัฒนาอย่างยั่งยืน บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
Abstract

ศึกษาเรื่องการต่อรองทางชาติพันธุ์ของชาวบาดุย จังหวัดบันเติน ประเทศอินโดนีเซีย เพื่อการรักษาวัฒนธรรมและวิถีความเป็นอยู่แบบเดิมของตนในขณะที่มีนโยบายพัฒนาพื้นที่ชายขอบจากรัฐบาลของประเทศอินโดนีเซีย โดยใช้การลงพื้นที่ สัมภาษณ์ และศึกษาเอกสารต่างๆ ก่อนหน้าที่จะประกาศตั้งเป็นประเทศนั้นบริเวณที่เป็นประเทศอินโดนีเซียในปัจจุบันเคยถูก
หลากหลายกลุ่มคนเข้าครอบครองโดยเริ่มแรกสุดเป็นยุคของอาณาจักรต่างๆก่อนที่ชาวต่างชาติจะเข้ามายังค้าขายและปกครองบริเวณนี้ซึ่งได้แก่ โปรตุเกส เนเธอร์แลนด์ อังกฤษ และญี่ปุ่น ซึ่งนโยบายและรูปแบบการปกครองก็แตกต่างกันออกไปภายหลังจากการประกาศตั้งประเทศแล้วนั้นก็ได้มีรัฐบาลขึ้นมาปกครองหลายรัฐบาลแต่ที่สำคัญคือการวางแผนพัฒนาประเทศในระยะสั้นและระยะยาวของประธานาธิบดี Suharto ซึ่งก่อให้เกิดการพัฒนาทางเศรษฐกิจมากมายและมีการอพยพย้ายถิ่นฐานของประชากรเพื่อขยายพื้นที่ทำกินซึ่งจากการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ทำให้มีชาวบาดุยส่วนหนึ่งที่เลือกย้ายไปยังบริเวณนอบนอกของชุมชนบาดุยได้รับกรรมสิทธิ์ที่ดินบริเวณนั้นจากทางรัฐบาลทำให้กลายเป็นการขยายพื้นที่ของชุมชนบาดุยออกไป (บทที่ 3)

ในประเทศอินโดนีเซียชาวชวาถือเป็นชนกลุ่มใหญ่ของประเทศจึงมีสถานะทางสังคมที่เหนือกว่าชนกลุ่มน้อยอื่นๆ ซึ่งก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางสังคมและการเมืองโดยเฉพาะกับคนที่อาศัยอยู่บนเกาะที่ห่างไกลจากเมืองหลวงก่อนหน้านี้ชนกลุ่มน้อยถือเป็นกลุ่มคนที่รัฐบาลมองว่าเป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าของประเทศ แต่ในปัจจุบันหลังจากการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศกลับพบว่าชนกลุ่มน้อยเหล่านี้มีรายได้ที่มากขึ้นทำให้ได้รับอภิสิทธิ์ในการปกครองพื้นที่ของตนเองมากขึ้นและมีส่วนร่วมในการวางแผนพัฒนาบริเวณของตนเอง (หน้า 54)

ปัญหาที่ชาวบาดุยกำลังเผชิญนอกจากการถูกจัดให้เป็นพื้นที่ชายขอบแล้วนั้นการที่ประชากรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้ชาวบาดุยต้องพยายามหาแหล่งรายได้เพิ่มเติมเนื่องจากว่าที่ดินที่มี
ยังคงเท่าเดิมเพื่อเลี้ยงชีพภายในครอบครัวให้ได้เท่าเดิม (หน้า 73)

นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามายังดินแดนของบาดุยจำเป็นจะต้องไปที่ KadukengJaro เพื่อขอลงทะเบียนก่อนที่จะเดินทางเข้าไปยังหมู่บ้านอื่นของบาดุยนักท่องเที่ยวที่เดินทางเป็นกลุ่มต้องมีหนังสืออนุญาตจากสำนักงานการท่องเที่ยวก่อนที่จะเดินทางมายังบาดุยโดยการตัดสินใจให้เข้าหรือไม่เป็นหน้าที่ของ JaroPamarentah (หน้า 103) พื้นที่บาดุยในไม่เปิดให้กับ
นักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่แต่สำหรับกลุ่มเล็กหรือผู้ที่เดินทางมาคนเดียวหากได้รับอนุญาตจาก Jaro ก็สามารถเดินทางเข้าไปได้ซึ่งโดยปกติจะมีผู้ที่เข้าไปเยี่ยมชมเขตบาดุยในประมาณวันละมากกว่า 10 คนในระหว่างสัปดาห์ และอาจมากถึง 30 คนในช่วงสุดสัปดาห์ (หน้า 103)

จากการศึกษาพบว่า ชาวบาดุยมีวิถีชีวิตของตนตามหลักคำสอนของบรรพบุรุษที่ยึดถือกันเรื่อยมาและไม่ต้องการจะเปลี่ยนแปลง ภายในชุมชนจึงมีการแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือบาดุยนอก มีเพื่อใช้เป็นตัวปรับและกรองวัฒนธรรมภายนอกก่อนที่จะเข้าถึงส่วนใน และบาดุยในที่ยังคงรักษาและยึดถือขนบธรรมเนียมอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลประกาศให้หมู่บ้านบาดุยเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ทำให้สถานะของบาดุยจากตอนแรกที่เป็นชุมชนชายขอบที่รัฐบาลต้องการพัฒนา การเป็นมีความสำคัญมากขึ้น เพราะมีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมมาก ทำให้บาดุยมีอำนาจในการต่อรองกับรัฐบาลในการอธิบายให้เข้าใจและเคารพถึงวัฒนธรรมของตน แสดงให้เห็นถึงการปรับตัวของชาวบาดุยที่จะชนเผ่าของตนเองอยู่ได้ แม้ว่าการปกครองภายนอกจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ก็ตาม

Focus

เน้นการศึกษาเรื่องการต่อรองทางชาติพันธุ์ของชาวบาดุย จังหวัดบันเติน ประเทศอินโดนีเซีย เพื่อการรักษาวัฒนธรรมและวิถีความเป็นอยู่แบบเดิมของตนในขณะที่มีนโยบายพัฒนาพื้นที่ชายขอบจากรัฐบาลของประเทศอินโดนีเซีย

Theoretical Issues

ใช้การลงพื้นที่ สัมภาษณ์ชาวบาดุยทั้งแบบกลุ่มและเดี่ยว ศึกษาจากบทความ และการสังเกตการณ์เพื่อให้เข้าใจถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบาดุย

Ethnic Group in the Focus

ชาวบาดุย จังหวัดบันเติน ประเทศอินโดนีเซีย(Banten Province Indonesia)

Language and Linguistic Affiliations

ในปัจจุบัน ชาวบาดุยนอกที่มีการเดินทางติดต่อกับโลกภายนอกสามารถใช้ภาษาอินโดนีเซีย (Bahasa) ได้

ชาวบาดุยไม่มีภาษาเขียนเป็นของตนเอง (หน้า 58)

บาดุยเรียกตนเองว่า Urangตาม Tangtu, Cibeo, Cikeusik สำหรับชาวบาดุยใน และตามด้วยชื่อหมู่บ้านสำหรับบาดุยนอก (หน้า 62) คำว่าบาดุยเกิดในยุคที่ชาวดัทช์ปกครอง โดยได้มาจากการที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ใกล้ภูเขา Baduy(หน้า 62)

ชาวบาดุยมักใช้ภาษาอินโดนีเซียในการติดต่อสื่อสารกับนักท่องเที่ยว (หน้า 104)

Study Period (Data Collection)

ไม่ระบุ

History of the Group and Community

ไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของชาวบาดุย แต่นักวิชาการบางส่วนเชื่อว่า ชุมชนบาดุยสืบเชื้อสายมาจากอาณาจักร Pajajaran ซึ่งเป็นอาณาจักรฮินดูแห่งสุดท้ายในเกาะชวาตะวันตก 

อาณาจักร pajajaranในขณะนั้นเป็นอาณาจักรฮินดูที่ใหญ่ที่สุดในเกาะชวาตะวันตก ซึ่งมีอาณาเขตครอบคลุมถึงบริเวณที่เป็นจังหวัดบันเตินในปัจจุบัน ต่อมีอาณาจักรนี้มีปัญหากับอาณาจักรรอบข้างซึ่งนับถืออิสลาม คืออาณาจักร Cirebon และอาณาจักร KasultananBanten ประชาชนได้รับอิทธิพลจากอาณาจักรทั้ง 2 ดังกล่าวและพ่อค้าชาวเปอร์เซียและตะวันออกกลางที่เดินทางมาค้าขาย ทำให้ประชาชนจำนวนมากหันไปนับถือศาสนาอิสลาม การที่ถูกบีบโดยอาณาจักร Kacirebonan ทางตะวันออกและ KasultananBanten ทางตะวันตกทำให้บุคคลชั้นสูงของอาณาจักรหนีไปยังบริเวณอื่น ทำให้นักวิชาการพยายามเชื่อมโยงกลุ่มชนชั้นสูงของอาณาจักร Pajajaranกับชาวบาดุย เพราะว่าวัฒนธรรมบางประเพณีของชาวบาดุยเหมือนกับของ
อาณาจักรอื่นๆในบริเวณรอบๆ ที่นับถือศาสนาซุน

ชุมชนบาดุย เป็นที่รู้จักตั้งแต่สมัยที่ยังปกครองเป็นอาณาจักร Bantenก่อนที่ชาวดัทช์จะเข้ามายังประเทศอินโดนีเซีย (หน้า 59) ชาวบาดุยเองไม่เชื่อว่าตนเองสืบเชื้อสายมาจากอาณาจักรใดในเกาะชวา (หน้า 60)

หมู่บ้าน Cicakal ตั้งขึ้นเพื่อแสดงความเคารพและระลึกถึงอาณาจักร KasultananBanten ที่นับถือศาสนาอิสลามและเคยปกครองดินแดนแทบนี้ และเพื่อให้พิธีกรรมบางอย่างของชาวบาดุย เช่น การแต่งงานถูกต้องอย่างเป็นทางการ (หน้า 106)

Settlement Pattern

ชาวบาดุยแบ่งพื้นที่ภายในชุมชนออกเป็น3 ส่วน ส่วนแรกใช้สำหรับทำการเกษตร เป็นบริเวณที่อยู่บริเวณเนินทางลาดของภูเขา ส่วนที่สองเป็นส่วนของป่า ซึ่งอยู่บริเวณยอดเขา และ
บางส่วนอยู่ในบริเวณด้านในชุมชน ปกคลุมวัดศักดิ์สิทธิ๋ SasakaDomas ส่วนที่สามคือส่วนที่อยู่อาศัย ซึ่งอยู่บริเวณพื้นที่ราบ และบริเวณที่ทางลาดที่ไม่สามารถเพาะปลูกได้ (หน้า 79)

หมู่บ้านแรกที่นักท่องเที่ยวสามารถเข้าถึงชุมชนบาดุยได้คือหมู่บ้าน Kaduketug ซึ่งมีสำนักงานของ JaroPamarentahตั้งอยู่ (หน้า 81)

โรงเก็บข้าวเปลือกตั้งอยู่ใกล้ขอบของป่าเพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้น เช่นไฟไหม้ โดยมีลักษณะคล้ายบ้านเรือนทั่วไปแต่ไม่มีหน้าต่าง มีเพียงประตูเล็กๆ 1 บานเป็นทางเข้า (หน้า 95)

หมู่บ้าน Gajeboh ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ Ciujung มีการเปิดร้านค้าที่ขายอาหารแบบทั่วไป น้ำอัดลม และข้าวของต่างๆ (หน้า 102)

โดยปกติจะใช้เวลา 3 –4 ชั่วโมงในการเดินเท้าจากบ้านของ Jaro ในหมู่บ้าน Kaduketug จนถึงเขตบาดุยใน หมู่บ้าน Cibeo ภายในเขตบาดุยในไม่มีร้านค้า แต่อาจจะมีพ่อค้าบางคนที่
เข้ามาขายสินค้าภายในบาดุยในบ้าง (หน้า 103)

ภายในอาณาเขตของบาดุย มีชุมชนมุสลิมอาศัยอยู่ด้วย คือหมู่บ้าน CicakalGirang

Demography

ชุมชนบาดุยประกอบไปด้วยประชากรมากกว่า 10,000 คน โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือกลุ่มบาดุยใน และบาดุยนอก (หน้า 4) บาดุยในมีประชากรมากกว่า 250 ครอบครัว อาศัยอยู่ใน 3 หมู่บ้านคือ Cibeo, Cikartawarna และ Cikeusik ในสมัยที่ดัทช์ปกครอง JaroPamarentah ได้แจ้งว่ามีสมาชิกทั้งหมด 40 ครัวเรือนภายในบริเวณบาดุยใน เพื่อบิดเบือนข้อมูลและทำให้
ชาวดัทช์ปกครองแค่บริเวณภายนอกของชุมชนบาดุย (หน้า 60) จำนวนประชากรภายในบาดุยในค่อนข้างคงที่ ในขณะที่ประชากรของบาดุยนอกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ (หน้า 72) ปัจจุบัน
ชาวบาดุยมีทั้งหมด 59 หมู่บ้าน โดยเป็นบาดุยใน 3 หมู่บ้าน และที่เหลือเป็นบาดุยนอก (หน้า 81)

ในหมู่บ้าน Kaduketug มีทั้งหมด 43 ครัวเรือน และประชากรทั้งหมด 120 คน (หน้า 81)

ในหมู่บ้าน CicakalGirang ประกอบไปด้วย 3 หมู่บ้านย่อย มีประชากรทั้งหมด 324 คน

Economy

เกี่ยวได้จะถูกนำไปใช้ในงานพิธีกรรมต่างๆ ของชุมชนโดยจะใช้พื้นที่บริเวณทางทิศใต้ของทุกหมู่บ้านของบาดุยใน ชาวบาดุยในของแต่ละหมู่บ้านจะช่วยเหลือในพื้นที่ของหมู่บ้านตนเอง ขณะที่บาดุยนอก สามารถเลือกได้ว่าจะช่วยเพาะปลูกภายในที่ดินของหมู่บ้านใดเพียงหมู่บ้านเดียว ซึ่งขึ้นอยู่กับความสนิทชิดเชื้อกับหมู่บ้านนั้นๆ เนื่องจากข้าวที่ได้ จะใช้ในพิธีกรรมสำคัญ เช่น Kawalu ที่ทำกันภายในแต่ละหมู่บ้านของบาดุยใน  (หน้า 84)
2. เพาะปลูกให้ผู้อาวุโส (elder farm)
3. เพาะปลูกของตนเอง (individual farm) โดยก่อนที่จะสามารถทำการเพาะปลูกหรือเก็บเกี่ยวของตนเองได้ ชาวบาดุยจะต้องผ่านการช่วยเพาะปลูกของชุมชน และช่วยผู้อาวุโสหรือพ่อแม่ของตนทำการเพาะปลูกก่อน (หน้า 84)

ชาวบาดุยแบ่งเขตป่าไม้ออกเป็น 2 ส่วนคือ LeuweungTutupan (Primary forest) ซึ่งสามารถเข้าไปใช้ในการเพาะปลูกได้เลย เนื่องจากเป็นป่าต้นน้ำของชุมชน และ LeuweungNgora (Secondary Forest) ซึ่งสามารถใช้ในการเพาะปลูกได้ (หน้า 85)

ป่าไม้ของชาวบาดุยอยู่ในสภาพที่ดีมาก คือมีความหลากหลายทางชีวภาพสูง และมีจำนวนประชากรสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่จำนวนมาก (หน้า 85) ชาวบาดุยสามารถใช้ผลผลิตจากป่า เช่นการเก็บฟืนเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง หรือการซ่อมแซมบ้านเรือนได้ เมื่อได้รับการอนุญาตจากผู้อาวุโสภายในชุมชน อย่างไรก็ตามชาวบาดุยนอกนิยมการซื้อไม้จากตลาดหรือร้านขายอุปกรณ์ภายนอกชุมชน เนื่องจากสะดวกมากกว่า(หน้า 87)

ชาวบาดุยสามารถจับสัตว์ เช่น กระรอก หรือกวางได้ในพิธีที่เรียกว่า Ngalanjak เนื้อสัตว์จะถูกใช้ในพิธี Kawalu และแบ่งปันกันภายในชาวบาดุยที่เข้าร่วมพิธีในแต่ละหมู่บ้าน (หน้า 88)

ในแต่ละวัน ผู้ชายชาวบาดุยจะออกไปทำการเกษตรของตนตั้งแต่เช้า มีการใช้อุปกรณ์คือเคียวและมีด ส่วนภรรยาจะเป็นผู้เตรียมกับข้าวมื้อต่างๆ ทำงานบ้าน ดูแลลูก ก่อนที่จะตามไปช่วยสามีที่บริเวณเพาะปลูก (หน้า 89)

ภายหลังจากการเก็บเกี่ยว ชาวบาดุยจะต้องนำข้าวที่ได้มาตากให้แห้ง ก่อนที่จะนำข้าวที่แห้งนั้นไปเก็บไว้ในโรงเก็บข้าว (Leuit) (หน้า 94) ก่อนที่จะเริ่มพิธี Kawalu ซึ่งเป็นการอดอาหาร 1 วันเพื่อเฉลิมฉลองและขอบคุณพระเจ้าที่ทำให้การเพาะปลูกสำเร็จด้วยดี โดยหลังจากนั้นผู้ชายจะเข้าป่าเพื่อล่าสัตว์และจับปลา ในการประกอบพิธีคนใดที่ร่วมเพาะปลูกกับหมู่บ้านใดก็จะร่วมพิธีในหมู่บ้านนั้น ห้ามเปลี่ยน จนกว่าจะถึงฤดูเพาะปลูกต่อไป ซึ่งต้องแจ้งผู้อาวุโสภายในชุมชนก่อนเช่นกัน (หน้า 95)

โรงเก็บข้าวเปลือก (Leuit) เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เนื่องจากแสดงถึงความมั่นคงทางด้านอาหารและแสดงถึงความมั่งมี ชาวบาดุยส่วนใหญ่มักจะมีที่เก็บข้าวเปลือกอย่างน้อย 2-3 แห่ง และ
บางแห่งอาจจะเก่าแก่ได้นานถึง 100 ปีแต่ข้าวที่เก็บไว้ภายในยังคงมีคุณภาพเหมือนเดิม เนื่องจากมีการใช้สมุนไพรบางชนิดภายในที่เก็บเพื่อป้องกันการขึ้นรา (หน้า 96)

คนในหมู่บ้าน CicakalGirang มีการทำชลประทานบริเวณนอกอาณาเขตของบาดุยและใช้ควายในการไถนา ประชากรส่วนใหญ่ในหมู่บ้านทำนา และบางส่วนโดยเฉพาะผู้หญิงทำงานเป็นแรงงานทั้งระยะสั้นและระยะยาวในโรงงานภายในเมือง (หน้า 105)

Social Organization

ชาวบาดุยใน ถือเป็นบุคคลที่ปฏิบัติตามหลักคำสอนและความเชื่อของชนเผ่าอย่างเคร่งครัด บุคคลภายนอกซึ่งไม่คุ้นเคยกับชาวบาดุยจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามายังบริเวณบาดุยใน

เขตบาดุยในเป็นบริเวณที่จำกัดการติดต่อสื่อสารกับโลกภายนอก เพื่อปกป้องวัฒนธรรมและเอกลักษณ์ของชนเผ่าไว้ ในขณะที่อนุญาตให้บาดุยนอกติดต่อสื่อสารกับโลกภายนอกได้ (หน้า7)

ทางเข้าสู่ชุมชนบาดุยของนักท่องเที่ยวอยู่ที่หมู่บ้าน KampungKaduketug ซึ่งมีสำนักงานของ JaroPamarentah อยู่
บริเวณพื้นที่ชายขอบส่วนใหญ่ของประเทศ คือบริเวณที่เป็นชุมชนท้องถิ่นมักจะดำรงชีวิตอยู่ด้วยระบบเศรษฐกิจแบบยังชีพ

ชุมชนบาดุยแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ บาดุยในและบาดุยนอก ซึ่งมีหน้าที่ต่างกันในสังคม บาดุยในประกอบด้วย 3 หมู่บ้าน คือ Cikeusik, Cikartawarnaและ Cibeo(หน้า 64) บาดุยใน
ค่อนข้างปิดตัวเองออกจากโลกภายนอก เนื่องจากกังวลว่าโลกภายนอกจะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตและทำลายคำสั่งสอนที่มาจากบรรพบุรุษ (หน้า 65) บาดุยนอกประกอบด้วย 56 หมู่บ้านภายในเขตของ Kanekes(หน้า 65)

ในปัจจุบันมีชาวบาดุยบางคนที่กลายเป็น boss หมายความว่ามีเงินมากกว่าบาดุยคนอื่นๆ (หน้า 75)

ในพิธีแต่งงานชาวบาดุยสามารถเอ่ยคำสาบานในภาษาของตนแทนการใช้ภาษาอารบิกได้ (หน้า 106)

Political Organization

ในชุมชนบาดุยมีการปกครอง 2 ลักษณะ คือระบบการบริหารที่มาจากระดับชาติ และแบบดั้งเดิม ในระดับชาติ ชาวบาดุยถือเป็นประชากรของ หมู่บ้าน KanekesLeuwidamar sub-district, Lebak regency ของจังหวัดบันเติน ซึ่งมีหัวหน้าหมู่บ้าน Kanekes เรียกว่า JaroPamarentah ที่เป็นชาวบาดุยเอง ในระบบดั้งเดิม ชาวบาดุยอยู่ใต้การปกครองของ Puun ที่มาจาก 3 หมู่บ้านของบาดุยใน โดยมี Puun ทั้งหมด 3 คนจากแต่ละหมู่บ้านของบาดุยใน ที่ทำหน้าที่ร่วมกันแบบไตรสามัคคี และแต่ละ Puun ก็มีหน้าที่ที่ต่างกันภายในชุมชนบาดุย (หน้า 6)

Puunไม่สามารถออกนอกบริเวณเขตของชุมชนบาดุย, ค้างคืนนอกหมู่บ้าน หรือพูดคุยกับคนทั่วไปตามปกติได้  หากชาวบาดุยคนใดทำผิดกฎจะต้องถูกเนรเทศออกจากชุมชนบาดุย ไปอยู่บาดุยนอกหรือนอกชุมชน และไม่สามารถกลับเข้ามาเพื่อเป็นชาวบาดุยใน หรือบาดุยนอกได้อีก (หน้า 7)  ในสมัยที่อยู่ใต้การปกครองของเนเธอร์แลนด์ รัฐบาลเนเธอร์แลนด์รับรู้ว่ามีชุมชนบาดุย อาศัยอยู่ในหมู่บ้าน Kanekes มีผู้นำคือ Puunและมี JaroPamareantah หรือที่ตอนนั้นเรียกว่า JaroGubernurmen เป็นหัวหน้าเขตย่อย (หน้า 60)

JaroTangtu เป็นหัวหน้าของการปกครองแบบดั้งเดิมของบาดุยในและเป็นผู้ดูแลเรื่องราวเกี่ยวกับความสัมพันธ์ภายในสังคมของชาวบาดุยใน เป็นตำแหน่งรองจาก Puun (หน้า 64)

Puunไม่สามารถออกนอกเขตหมู่บ้า นKanekes หรือนอนค้างคืนที่อื่นนอกจากเขตของบาดุยในได้ (หน้า 64) นอกจากการการเป็นผู้ปกครองบาดุยในแต่ละหมู่บ้านของตนเองแล้วนั้น Puun ยังเป็นผู้คุมกฎของชาวบาดุยทุกคนทั้งนอกและใน และแต่ละคนยังมีหน้าที่เฉพาะของตนเองอีกด้วย โดย KapuunanCikeusik มีหน้าที่ดูแลเรื่องเกี่ยวกับศาสนาและพิธีกรรม เป็นผู้กำหนดวันที่จัดงานเทศกาลต่างๆ รวมถึงเป็นศาลตัดสินความผิดของชาวบาดุย KapuunanCibeo มีหน้าที่ดูแลเรื่องภายในชุมชนและแขกที่เข้ามายังเขตของชุมชนบาดุย เช่น การข้ามเขต และการติดต่อสื่อสารกับภายนอกชุมชนบาดุย KapuunanCikartawarnaดูแลเกี่ยวกับการให้การศึกษาและความปลอดภัยแก่คนในชุมชน และเป็นที่ปรึกษาและดูแลสภาพชีวิตของผู้คนภายในบาดุย (หน้า 66-67)

หากมีคนต้องการจะเข้าพบ Puunต้องแจ้งผ่านทาง JaroTangtuและรอที่บ้านของ JaroTangtuก่อนที่ JaroTangtuจะไปเชิญ Puunมายังบ้านของตนเอง (หน้า 67)

Puunเปรียบเสมือนที่ปรึกษาและผู้คุ้มครองทั้งกาย ใจ และจิตวิญญาณของชาวบาดุย โดยตำแหน่งนี้จะสืบทอดผ่านทางสายเลือดของ Puun คนก่อน และจะต้องเป็นผู้ชายเท่านั้น และต้องมีคุณสมบัติครบทั้ง 6 ประการตามเกณฑ์ (หน้า 67)

Puunเป็นผู้แต่งตั้งและสามารถปลดได้ นอกจากนั้นยังมีหน้าที่เกี่ยวกับการเพาะปลูกโดยเฉพาะการเพาะปลูกรวมของชุมชน (Communal Farm) และนำพิธีต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการเพาะปลูกภายในบาดุยในหาก Puun คนเดิมต้องการจะลาออกจากตำแหน่งจะต้องมีการประกาศตัวทายาทก่อนเป็นเวลา 3 ปีเนื่องจากขั้นตอนการคัดเลือก Puun คนใหม่ใช้เวลานานมาก (หน้า 68)

Tangkesan คือผู้ทำนายประจำชุมชนบาดุยมีหน้าที่ในการทำนายทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับชาวบาดุยเช่นการเพาะปลูกการรักษาอนาคตกำหนด Puun คนใหม่ฯลฯ

Girang Seurat เปรียบเสมือนเลขาของ Puun และเป็นผู้ประสานงานระหว่างผู้อาวุโสคนอื่นในหมู่บ้านกับภายนอกชุมชนโดยตำแหน่งนี้

Baresan คือสมาชิกสภาที่ปรึกษาของ Puun มีหน้าที่ในการช่วยเหลือ Puun

Jaroคือตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มย่อยๆภายในสังคมโดยทำหน้าที่แทน PuunJaro แบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ
1. JaroTangtu เป็นผู้นำภายในบาดุยในมีหน้าที่ควบคุมการปกครองภายในพื้นที่บาดุยในร่วมกับJirang Seurat
2. JaroDangka มีหน้าที่ในการควบคุมและดูแลดินแดนที่อยู่ในความครอบครองของบาดุยทั้งภายในและภายนอกหมู่บ้านและมีหน้าที่ให้ความรู้แก่บาดุยที่อยู่ภายนอกเขตหรือถูกลงโทษ
3. JaroTanggungan 12 มีหน้าที่ในการประสานงานระหว่างJaroDangkaแต่ละคน (หน้า69-70)

JaroPamarentahเป็นตัวแทนของรัฐบาลในชุมชนบาดุยเปรียบเสมือนคนเชื่อมระหว่างระบอบการปกครอง2ระบบและระหว่างชุมชนบาดุยกับรัฐบาลโดยมีผู้ช่วย1คนคือCarik (หน้า70) นอกจากนั้นยังมีหน้าที่ในการปก้ไขข้อพิพาทเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ที่ดินระหว่างชาวบาดุยกับผู้ที่อาศัยในหมู่บ้านใกล้เคียง (หน้า72)

กรมป่าไม้ของประเทศอินโดนีเซียให้การสนับสนุนชาวบาดุยในการดูแลปกป้องพื้นที่ป่าโดยการประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อของชุมชนแม้ว่าจะไม่ได้เข้ามาตรวจสอบพื้นที่ป่าไม้บริเวณนี้บ่อยนักก็ตาม (หน้า85)

คนในหมู่บ้าน Cicakal ก็ปฏิบัติตามกฎของบาดุยด้วยเช่นกัน เช่น การห้ามตัดไม้ในป่าหรือปลูกพืชเศรษฐกิจภายในเขตของบาดุยฯลฯ (หน้า105)

Belief System

พื้นที่ของบาดุยในถือว่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่อนุญาตให้คนแปลกหน้ามาพักค้างคืนได้(หน้า 5) ภายในอาณาเขตของบาดุยในมีวิหารหิน รียกว่า SasakaDomas ซึ่งไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้ามายกเว้น Puun และผู้ที่ Puun อนุญาต (หน้า 5)

ชาวบาดุยเชื่อในเรื่องของจิตวิญญาณ ว่าจิตวิญญาณนั้นมีอยู่ในทุกสิ่งรอบตัว เช่น ก้อนหิน ต้นไม้ แม่น้ำ ฯลฯ (หน้า 5)
ชาวบาดุยยึดถือหลักคำสอนของบรรพบุรุษอย่างเหนียวแน่น โดยเฉพาะในพื้นที่บาดุยใน

พาหนะต่างๆไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ภายในพื้นที่ของบาดุย เพราะเชื่อว่าเป็นสิ่งต้องห้ามและจะทำลายวิถีชีวิตของพวกเขา (หน้า 11)

ชาวบาดุยเชื่อว่าตนเองเป็นคนกลุ่มแรกของโลก (หน้า 60)

ชาวบาดุยเชื่อว่าโลกถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้า (BataraBunggal) มีขนาดเท่ากับลูกจันทน์เทศ ก่อนที่จะมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และหมู่บ้าน Kanekes ของพวกเขาคือศูนย์กลางของจักรวาล มนุษย์คนแรกที่ถูกสร้างขึ้นและส่งมายังโลกคือ Adam และหนึ่งในผู้สืบเชื้อสายของ Adam คือ Puun คนแรกของชาวบาดุยที่ปกครองหมู่บ้าน Cikeusik และเมื่อ Cikeusik มีขนาดใหญ่
เกินไป ชาวบ้านบางส่วนถึงอพยพมายัง หมู่บ้าน Cikartawarnaและ Cibeoโดยการนำของ Puun ซึ่งสืบเชื้อสายมาจาก Puun คนแรก (หน้า 60)

ชาวบาดุยมองบาดุยในว่าเป็นสถานที่ที่บริสุทธิ์และสืบเชื้อสายตรงที่สุดจากเชื้อสายของ Adam ทั้ง 3 คนคือ BataraTilu, Batara Limaและ BataraTujuh (หน้า 61)

จากความเชื่อทางศาสนาทำให้ชาวบาดุยต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตามกฎที่บรรพบุรุษได้สั่งสอนมา พวกเขาดำรงชีวิตเหมือนผู้ปกป้องดินแดนศักดิ์สิทธิ์และจักรวาล ซึ่งประกอบไปด้วยภูเขา
สันปันน้ำ ต้นไม้ แม่น้ำ สัตว์และมนุษย์ ผู้ที่ทำผิดจะต้องได้รับการลงโทษตามความผิดที่ตนก่อ โดยถูกเนรเทศออกจากบริเวณบาดุยใน และ/หรือ บาดุยนอก

การตั้งหมู่บ้านใหม่เพิ่มเติมภายในเขตบาดุยในถือเป็นเรื่องที่ต้องห้าม (หน้า 64)

บาดุยนอกยังคงยึดถือคำสั่งสอนและความเชื่อที่ปฏิบัติต่อกันมา ไม่มีอำนาจและเป็นสิ่งต้องห้ามที่จะเปลี่ยนแปลงระบบดั้งเดิม (หน้า 66)

Puun เป็นตำแหน่งที่ศักดิ์สิทธิ์ เพราะเป็นผู้สืบเชื้อสายมาจาก ศาสนา SundaWiwitan (Old Sundanese) ทำให้ทุกคนต้องปฏิบัติตามและเชื่อฟังคำพูดของPuun(หน้า 67)

ชาวบาดุยเชื่อว่า SasakaDomas เป็นศูนย์กลางของจักรวาล เป็นสถานที่ที่พระเจ้าสร้างมนุษย์คนแรกขึ้นมาบนโลก (หน้า 79) ชาวบาดุยเชื่อว่า เมื่อชาวบาดุยตาย วิญญาณของพวกเขาจะกลับมายัง SasakaDomas เพื่อรวมเป็นหนึ่งกับบรรพบุรุษและพระเจ้าของพวกเขา (หน้า 80)

การปลูกต้นกานพลูภายในชุมชนถือเป็นเรื่องต้องห้ามของชาวบาดุย (หน้า 88)

เมื่อสิ้นสุดฤดูแล้ง ถือเป็นเดือนที่หนึ่งตามปฏิทินของชาวบาดุย จะมีการกำหนดพื้นที่สำหรับการเพาะปลูก (Narawas) ซึ่งจะมีการขออนุญาตจากเทพและวิญญาณบรรพบุรุษในการเพาะปลูกและขอพรให้เพาะปลูกได้ผลดี เดือนต่อๆ มาก็จะมีการปฏิบัติพิธีกรรมและกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวกับการเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวตามปฏิทินของชาวบาดุย (หน้า 91-92)

ชาวบาดุยเชื่อว่าการเพาะปลูกข้าวของชุมชนนั้นเป็นเหมือนการแต่งงานของพระแม่โพสพ (Dewi Sri / Shang HyangArsi ) กับแผ่นดินซึ่งจะต้องมีการประกอบพิธีโดยมีตัวแทนจากแต่ละครัวเรือนทุกคนแต่งกายด้วยชุดประจำเผ่าผู้ชายถือ Aseuk (ไม้ยาวปลายแหลม) และผู้หญิงถือเมล็ดข้าวที่ผ่านการปลุกเสกจาก Puun เป็นเวลา 3 คืนเพื่อให้ได้ผลผลิตจำนวนมากและทนทานต่อโรค (หน้า 96) ผู้ที่เข้าร่วมพิธีนี้ห้ามมีความคิดหรือการกระทำในเชิงลบ เช่น ปัสสาวะหรือถ่มน้ำลายในที่ดินของชุมชน ผู้หญิงที่กำลังมีประจำเดือนก็ห้ามเข้าร่วมในพิธีเช่นกัน (หน้า 97)

ก่อนที่จะเริ่มพิธีนักบวชจะมีการสวดมนต์และขออนุญาตดวงวิญญาณที่เป็นเจ้าของที่ดินเพื่อให้ชาวบาดุยใช้ในการเพาะปลูกรวมถึงขอพรจากพระเจ้าเพื่อให้มีน้ำที่พอเพียงต่อการเพาะปลูก หลังจากนั้น Puun จะสั่งให้ชาวบาดุยเริ่มขุดหลุมและหย่อนเมล็ดสำหรับการเพาะปลูกหลังจากปลูกทั่วบริเวณแล้วผู้อาวุโสเ ช่น Girang Seurat ที่รับผิดชอบพิธีนี้จะแจกจ่ายอาหารที่ทำจากข้าวที่ได้จากการเพาะปลูกของชุมชน ปลาเค็ม และเนื้อที่ได้จากการล่าสัตว์ในวันก่อนเริ่มพิธีกรรมห่อด้วยใบตอง (หน้า 97)

สำหรับชุมชนบาดุยสถานที่อยู่เป็นสิ่งที่มีความหมายมากต่อวัฒนธรรมความเชื่อและพิธีกรรมต่างๆทั้งในด้านพิธีการและกิจวัตรประจำวัน (หน้า 100) เพราะฉะนั้นหากมีชาวบาดุยคนได้ละทิ้งถิ่นฐานและไม่ปฏิบัติตามวัฒนธรรมของเผ่าก็จะไม่ถือว่าเป็นชาวบาดุยอีกต่อไป (หน้า 100)

สำหรับชาวบาดุยในการหารายได้นอกเขตของตนเป็นสิ่งต้องห้ามเพราะเชื่อว่าบริเวณนอกอาณาเขตของบาดุยเป็นบริเวณที่ไม่ได้ชำระล้างและเป็นที่อยู่ของคนบาป (หน้า 100)

บาดุยเชื่อว่าพื้นดินเป็นผู้ให้ชีวิตและจัดสรรทุกอย่างที่พวกเขาต้องการในการดำรงชีวิตทำให้พิธีกรรมทุกอย่างจะเกี่ยวข้องกับธรรมชาติ (หน้า 101)

ชาวบาดุยเชื่อนพระเจ้าองค์เดียวที่เป็นผู้สร้างจักรวาลและพระเจ้าเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด Puun เป็นเพียงผู้นำทางศาสนาของชุมชนบาดุย (หน้า 107)

ศาสนา Old Sundanese มีพิธีกรรมหลายอย่าง เช่น Kawalu และSeba (หน้า 108)

Muja คือพิธีกรรมที่เดินทางไปยังวัดศักดิ์สิทธิ์ (SasakaDomas/ArcaDomas) เป็นระยะเวลา 3 วันนำโดย Puun จากหมู่บ้าน Cikeusik โดยผู้ที่ร่วมเดินทางจะต้องเป็นเพศชายเท่านั้น
เส้นทางที่ใช้เดินทางเป็นเส้นทางที่ไม่ค่อยมีคนชำนาญยกเว้น Puun โดยการเดินทางไปยังวัดนี้เพื่อทำความสะอาดบริเวณวัดไม่ให้มีสิ่งสกปรกเป็นการแสดงความเคารพถึงวิญญาณของบรรพบุรุษความเชื่อและประเพณีของชาวบาดุย (หน้า 111)

Seba คือการนำสิ่งของไปมอบให้กับหน่วยงานของรัฐบาลโดยมี 2 ระดับ คือเ ล็กและใหญ่สลับกันไปในแต่ละปีซึ่งแตกต่างกันเพียงจำนวนของที่นำไปมอบพิธีนี้จัดขึ้นหลังจากฤดูเก็บเกี่ยวทั้งบาดุยนอกและบาดุยในรวมถึงการสำรวจประชากรของที่นำไปมอบให้จะเป็นผลผลิตทางการเกษตรและของป่าที่ดีที่สุด เช่น กล้วย น้ำตาล น้ำผึ้งป่า ข้าว ฯลฯ ซึ่งตัวแทนจากแต่ละหมู่บ้านเป็นผู้นำมา JaroPamarentah ในฐานะผู้นำชุมชนจะรวบรวมและจัดสรรให้แต่ละหน่วยงานโดยหน่วยงานที่มีการไปให้นั้น เช่น District office of Leuwidamar, Regenct office เป็นต้นระหว่างที่มีการนำของไปให้นั้นชาวบาดุยจะถือเป็นโอกาสในการบอกเล่าปัญหาและสิ่งที่ต้องการให้รัฐบาลช่วยเหลือหรืออธิบายเรื่องราวต่างๆซึ่งถือเป็นการต่อรองกับทางรัฐบาลเพื่อให้หน่วยงานเหล่านี้เข้าใจชุมชนบาดุยจะได้อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขทั้ง 2 ฝ่าย (หน้า 111 – 118)

Education and Socialization

มีการสร้างโรงเรียนขั้นพื้นฐานบริเวณชายขอบของชุมชนบาดุย แต่ไม่มีการสร้างภายในชุมชนเนื่องจากธรรมเนียมของชาวบาดุยไม่อนุญาตให้คนบาดุยไปโรงเรียนและได้รับการศึกษาแบบทั่วไป (หน้า 71)

เด็กชาวบาดุยเรียนรู้เรื่องราวต่างๆ จากพ่อแม่ของตน เช่น การเก็บน้ำสะอาด เก็บฟืน การกำจัดวัชพืช และการดำเนินชีวิตตามที่บรรพบุรุษได้สั่งสอนมา ฯลฯ (หน้า 91)

Health and Medicine

ชาวบาดุยมีชื่อเสียงในเรื่องของสมุนไพรและการรักษามากโดยมักจะมีชาวอินโดนีเซียมาขอซื้อเครื่องรางที่ปลุกเสกแล้วเช่น กริช หรือดาบ และยาตำรับพื้นบ้านหรือขอคำอวยพรจาก
ผู้อาวุโสของบาดุย (หน้า102)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

บาดุยในจะแต่งกายด้วยสีขาวทั้งเสื้อโสร่งและที่คาดศีรษะบางครั้งอาจมีการใส่โสร่งสีดำร่วมกับเสื้อขาวและที่คาดศีรษะสีขาว (หน้า 64)

บาดุยนอกจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีดำเพื่อให้แตกต่างจากชาวบาดุยในประกอบด้วยเสื้อโสร่งและที่คาดศีรษะเช่นกัน (หน้า 65)

ชาวบาดุยนอกจะไม่เคร่งครัดมากเท่าบาดุยใน จึงสามารถเดินทางด้วยรถ ใส่เสื้อผ้าตามสมัยนิยม เช่น เสื้อเชิ้ต กางเกงยีนส์ และจะใส่เสื้อผ้าของชนเผ่าเมื่อมีงานพิธีกรรมเพื่อแสดงว่าเป็นชาวบาดุย

สมัยก่อนการใส่เครื่องประดับที่ทำจากทองถือว่าเป็นสิ่งต้องห้าม แต่ในปัจจุบันสามารถใส่ได้ (หน้า 54)

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ชาวบาดุยถูกมองว่าเป็นหนึ่งในชนกลุ่มน้อยชายขอบ ในขณะที่ชาวชวา เป็นชนกลุ่มใหญ่ที่มีอำนาจและอิทธิพลเหนือชนกลุ่มน้อยทั้งหมด

มีหลักการหลายข้อในการระบุว่าคนๆ นั้นเป็นชาวบาดุยหรือไม่ เช่น การเกิดและอาศัยภายในหมู่บ้าน Kanekes นับถือศาสนา SundaWiwitan เชื่อฟังคำสั่งสอนของบรรพบุรุษ ปฏิบัติตนตามประเพณี และการสวมเสื้อผ้าเป็นเครื่องหมายแสดง (หน้า 107)

Social Cultural and Identity Change

มีการเปลี่ยนแปลงภายในสังคมหลายประการโดยเฉพาะภายในพื้นที่บาดุยนอก เช่น ความเชื่อด้านการแต่งกาย ภาษา การใช้ชีวิต การประกอบอาชีพและสังคม เช่น เด็กบาดุยนอกในปัจจุบันได้เปลี่ยนมาเล่นของเล่นที่ทำมาจากพลาสติกแทนของเล่นที่ทำจากต้นกล้วย ใบไม้ (หน้า 54) มีการฟังเพลงสากลจากวิทยุ (หน้า 104)

ปัจจุบันบาดุยนอกมีการใช้โทรศัพท์มือถือเพื่อติดต่อกับโลกภายนอก(หน้า 65)

สำหรับชาวบาดุย มีหรือไม่มีนักท่องเที่ยวไม่ได้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในชุมชนบาดุยเปลี่ยนไปในแง่ของประเพณี พวกเขาไม่ได้ให้ความสำคัญต่อนักท่องเที่ยวเป็นพิเศษ แต่จะเปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวที่มาตามโอกาสเสมอ โดยการกำหนดให้หมู่บ้าน Gajeboh เป็นส่วนที่เปิดให้นักท่องเที่ยวสามารถพักค้างคืนได้ (หน้า 101)

มีความแตกต่างระหว่างหมู่บ้านที่ต้อนรับนักท่องเที่ยวบ่อยๆ กับหมู่บ้านที่ไม่ค่อยได้พบนักท่องเที่ยว โดยหมู่บ้านที่พบนักท่องเที่ยวบ่อย มักจะเข้าถึงได้ง่ายและพูดคุยกับนักท่องเที่ยวแบบเป็นกันเอง และอาจจะมีมุมมองที่แตกต่างจากคนในหมู่บ้านที่ไม่ค่อยได้พบนักท่องเที่ยว(หน้า 104)

Other Issues

ก่อนหน้าที่จะประกาศตั้งเป็นประเทศนั้น บริเวณที่เป็นประเทศอินโดนีเซียในปัจจุบันเคยถูกหลากหลายกลุ่มคนเข้าครอบครอง โดยเริ่มแรกสุดเป็นยุคของอาณาจักรต่างๆ  ก่อนที่ชาวต่างชาติจะเข้ามายังค้าขายและปกครองบริเวณนี้ได้แก่ โปรตุเกส เนเธอร์แลนด์ อังกฤษ และญี่ปุ่น ซึ่งนโยบายและรูปแบบการปกครองก็แตกต่างกันออกไป ภายหลังจากการประกาศตั้งประเทศแล้วนั้น ก็ได้มีรัฐบาลขึ้นมาปกครองหลายรัฐบาล แต่ที่สำคัญคือการวางแผนพัฒนาประเทศในระยะสั้นและระยะยาวของประธานาธิบดี Suharto ซึ่งก่อให้เกิดการพัฒนาทางเศรษฐกิจมากมาย และมีการอพยพย้ายถิ่นฐานของประชากรเพื่อขยายพื้นที่ทำกิน ซึ่งจากการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ทำให้มีชาวบาดุยส่วนหนึ่งที่เลือกย้ายไปยังบริเวณ
รอบนอกของชุมชนบาดุยได้รับกรรมสิทธิ์ที่ดินบริเวณนั้นจากทางรัฐบาล ทำให้กลายเป็นการขยายพื้นที่ของชุมชนบาดุยออกไป (บทที่ 3)

ในประเทศอินโดนีเซีย ชาวชวาถือเป็นชนกลุ่มใหญ่ของประเทศ จึงมีสถานะทางสังคมที่เหนือกว่าชนกลุ่มน้อยอื่นๆ  ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางสังคมและการเมือง โดยเฉพาะกับคนที่อาศัยอยู่บนเกาะที่ห่างไกลจากเมืองหลวง

ก่อนหน้านี้ ชนกลุ่มน้อยถือเป็นกลุ่มคนที่รัฐบาลมองว่าเป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าของประเทศ แต่ปัจจุบันหลังจากการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ กลับพบว่าชนกลุ่มน้อยเหล่านี้มี
รายได้ที่มากขึ้น ทำให้ได้รับอภิสิทธิ์ในการปกครองพื้นที่ของตนเองมากขึ้น และมีส่วนร่วมในการวางแผนพัฒนาบริเวณของตนเอง (หน้า 54)

ปัญหาที่ชาวบาดุยกำลังเผชิญนอกจากการถูกจัดให้เป็นพื้นที่ชายขอบแล้วนั้น การที่ประชากรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้ชาวบาดุยต้องพยายามหาแหล่งรายได้เพิ่มเติมเนื่องจากว่าที่ดินที่มียังคงเท่าเดิม เพื่อเลี้ยงชีพภายในครอบครัวให้ได้เท่าเดิม (หน้า 73)

นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามายังดินแดนของบาดุย จำเป็นจะต้องไปที่ KadukengJaro เพื่อขอลงทะเบียนก่อนที่จะเดินทางเข้าไปยังหมู่บ้านอื่นของบาดุย นักท่องเที่ยวที่เดินทางเป็นกลุ่มต้องมีหนังสืออนุญาตจากสำนักงานการท่องเที่ยวก่อนที่จะเดินทางมายังบาดุย โดยการตัดสินใจให้เข้าหรือไม่เป็นหน้าที่ของ JaroPamarentah (หน้า 103)

พื้นที่บาดุยใน ไม่เปิดให้กับนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ แต่สำหรับกลุ่มเล็กหรือผู้ที่เดินทางมาคนเดียว หากได้รับอนุญาตจาก Jaro ก็สามารถเดินทางเข้าไปได้ ซึ่งโดยปกติจะมีผู้ที่เข้าไปเยี่ยมชมเขตบาดุยในประมาณวันละมากกว่า 10 คนในระหว่างสัปดาห์ และอาจมากถึง 30 คนในช่วงสุดสัปดาห์ (หน้า 103)

Map/Illustration

1. แผนที่ประเทศอินโดนีเซีย (หน้า 12)
2. แผนที่แสดงบริเวณที่ทำการศึกษา (หน้า 13)
3. แผนที่แสดงจังหวัดบันเติน (หน้า 63)
4. แผนผังแสดงรูปแบบการปกครองแบบดั้งเดิมของชาวบาดุย (หน้า 70)
5. แผนผังแสดงการปกครองของรัฐบาลกลางภายในชุมชนบาดุย (หน้า 71)
6. แผนที่แสดงบริเวณภายในหมู่บ้าน KaduketugJaro(หน้า 82)
7. แผนผังแสดงปฏิทินการเพาะปลูกและเก็บเกี่ยว (หน้า 92)

Text Analyst กรกนก ศฤงคารีเศรษฐ์ Date of Report 21 ก.พ. 2557
TAG ชาวบาดุย, จังหวัดบันเติน, อินโดนีเซีย, การต่อรองทางชาติพันธุ์, การพัฒนา, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง