|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ดาระอั้ง ดาระอาง ดาละอั้ง ปะหล่อง, การจัดการทรัพยากรป่าไม้, อัตลักษณ์, บ้านปางแดงนอก, เชียงใหม่ |
Author |
ธีรัช สีหะกุลัง |
Title |
ผลกระทบของการจัดการทรัพยากรป่าของรัฐไทยต่อการปรับเปลี่ยนอัตลักษณ์ของชาวดาระอั้ง หมู่บ้านปางแดงนอก จังหวัดเชียงใหม่ |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ดาราอาง ดาระอางแดง รูไม ปะเล รูจิง ตะอาง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน)
(เอกสารฉบับเต็ม)
|
Total Pages |
174 หน้า |
Year |
2551 |
Source |
การศึกษาตามหลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชามานุษยวิทยา ภาควิชามานุษยวิทยา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร |
Abstract |
วิทยานิพนธ์เล่มนี้เป็นการนำเสนอผลกระทบของการจัดการทรัพยากรป่าของรัฐไทยต่อการปรับเปลี่ยนอัตลักษณ์ของชาวดาระอั้ง หมู่บ้านปางแดงนอก จังหวัดเชียงใหม่ ผ่านคดีความบุกรุกป่าสงวน เพื่อสะท้อนให้เห็นการปรับเปลี่ยนอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ดาระอั้งหมู่บ้านปางแดงนอก
ผลการศึกษาพบว่า ชาวดาระอั้งหมู่บ้านปางแดงนอกปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตความเป็นอยู่ผ่านการเปลี่ยนการนับถือศาสนา ชาวบ้านบางส่วนยังคงนับถือศาสนาพุทธควบคู่กับความเชื่อเรื่องผี และพยายามสร้างการต่อรองเรื่องการจัดการทรัพยากรด้วยการทำฝายปะหล่อง ส่วนอีกกลุ่มเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนท์ ทำให้ต้องปรับเปลี่ยนความคิดและวิถีการดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกับการนับถือศาสนาคริสต์ และสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงกับคริสตจักรภายในจังหวัดเชียงใหม่
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าดาระอั้ง บ้านปางแดงจะมีการนับถือศาสนาที่แตกต่างกัน แต่ก็มีความพยายามที่จะธำรงอัตลักษณ์ความเป็นดาระอั้งอยู่ |
|
Focus |
เพื่อศึกษาหมู่บ้านปางแดงนอก อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ผ่านปัญหาคดีความบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนเพื่อสะท้อนให้เห็นการปรับเปลี่ยนอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ดาระอั้งหมู่บ้าน
ปางแดงนอก |
|
Theoretical Issues |
ผู้เขียนใช้ประสบการณ์จากการทำงานภาคสนามในพื้นที่ชุมชนชาวดาระอั้งจังหวัดเชียงใหม่ ถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับความเป็นมาของกลุ่มชาติพันธุ์ดาระอั้ง สภาพทั่วไปของหมู่บ้าน ระบบการผลิต และเศรษฐกิจ รวมถึงพิธีกรรมความเชื่อต่างๆ ของชาวดาระอั้งในประเทศไทย |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
นักภาษาศาสตร์กำหนดให้ภาษาที่ชาวดาระอั้งใช้สื่อสารเป็นสายหนึ่งของปะหล่องอิคตะวันออก(Eastern Palaungic)ซึ่งเป็นกลุ่มย่อยในสายออสโตร-เอเชียติค(Austro-Asiatic) ปัจจุบัน ดาระอั้งที่อพยพเข้ามาในไทยสามารถพูดภาษาไทยได้(หน้า 27)
ดาระอั้งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ไม่มีภาษาเขียนเป็นของตนเอง ดาระอั้งในรัฐฉานจะใช้ภาษาไทใหญ่ของพม่าเป็นภาษาเขียนของกลุ่มดาระอั้ง(หน้า 27)
ชาวดาระอั้งหมู่บ้านปางแดงสามารถฟัง พูดภาษาไทยได้ แต่การอ่านการเขียนภาษาไทยยังเป็นอุปสรรคในการสื่อสาร(หน้า 74) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
กลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มนี้แต่เดิมอาศัยอยู่ในรัฐฉาน ประเทศพม่าก่อนอพยพเข้ามาเมืองไทยประมาณปี พ.ศ. 2522 (หน้า 23)
ชาวดาระอั้งที่อาศัยอยู่ในพื้นที่รัฐฉานได้รับความเดือดร้อนจากภัยสงคราม เนื่องจากพื้นที่รัฐฉานเป็นพื้นที่ที่มีกองกำลังติดอาวุธของกลุ่มชาติพันธุ์หลายกลุ่ม ทำให้กลุ่มชาติพันธุ์หลายกลุ่มต้องอพยพอยู่ตลอดเวลาเพื่อหาพื้นที่ที่มีความปลอดภัยในการตั้งถิ่นฐานของครอบครัว (หน้า 40)
ในช่วงเวลาปี พ.ศ. 2523 – 2524 เป็นช่วงเวลาที่ชาวดาระอั้งได้อพยพเข้ามาอยู่บริเวณชายแดนประเทศไทยมากที่สุด (หน้า 41) ดาระอั้งได้ลี้ภัยมาอยู่ที่ศูนย์ผู้ลี้ภัยหมู่บ้านนอแล อ. ฝาง จ. เชียงใหม่ ศูนย์ผู้ลี้ภัยหมู่บ้านนอแล เป็นที่อยู่อาศัยของกลุ่มชาติพันธุ์หลายกลุ่มชาติพันธุ์ ประกอบไปด้วย ชาวเขาเผ่าจีนฮ่อ ไทยใหญ่ มูเซอดำ และดาระอั้ง และกลุ่มคนพลัดถิ่น
กระจายตัวอยู่ใน 6 หมู่บ้าน มีจำนวนครัวเรือนกว่า 600 ครัวเรือน (หน้า 45)
ชาวดาระอั้งได้อพยพหนีภัยสงครามมาจากพม่า และเข้ามาตั้งบ้านเรือนที่หมู่บ้านนอแล อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ หมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่บริเวณพื้นที่ของโครงการหลวงดอยอ่างขาง (หน้า 48-49)
ชาวดาระอั้งได้เข้ามาในอำเภอเชียงดาว เนื่องจากชาวดาระอั้งได้เข้ามารับจ้างทำสวนชาที่บ้านแม่จอน ชาวดาระอั้งมีความสามารถในการปลูกชาตั้งแต่อาศัยอยู่ในพม่าและเมื่อชาวดาระอั้งเข้ามาก็ได้มีการชักชวนญาติพี่น้องคนอื่นๆ เข้ามาอยู่อาศัยภายในหมู่บ้านแม่จอนด้วย หมู่บ้านแม่จอนจึงเป็นจุดเริ่มต้นของชุมชนดาระอั้งในอำเภอเชียงดาว (หน้า50)ก่อนจะกระจายกลุ่มชาติพันธุ์ ตั้งบ้านเรือนอาศัยอยู่ภายในอำเภอเชียงดาว จำนวน 4 หมู่บ้าน ได้แก่ บ้านแม่จอน บ้านห้วยปง บ้านปางแดงใน และบ้านปางแดงนอก (หน้า 93)
ในปี พ.ศ.2532 รัฐได้ประกาศใช้นโยบายปิดป่าเพื่อให้ป่าเป็นพื้นที่อนุรักษ์ และทำให้รัฐเป็นฝ่ายเข้าไปจัดการทรัพยากรป่าได้อย่างถูกกฎหมาย จากนโยบายดังกล่าว ดาระอั้งประสบปัญหาขัดแย้งกับรัฐมาโดยตลอด ทั้งข้อหาบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติและลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ปัญหาการจับกุมดังกล่าวทำให้ชาวดาระอั้งไม่กล้าเข้าไปทำไร่เพาะปลูกในพื้นที่ที่ถูกประกาศเป็นเขตป่า พื้นที่การทำมาหากินและการสร้างที่อยู่อาศัยถูกจำกัด และการดำรงชีวิตใน ปัจจุบันดาระอั้งต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตหลายประการ เช่น อาชีพ การนับถือศาสนา เพื่อให้ดำรงชีวิตอยู่ได้
ปัจจุบัน ชาวดาระอั้งที่เกิดในประเทศไทยได้รับสัญชาติไทยบ้างแล้ว แต่ดาระอั้งที่อพยพเข้ามาจากพม่าส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับสัญชาติไทย ชาวดาระอั้งจึงต้องการสัญชาติไทยเพื่อให้ได้มีที่ดินทำกินอย่างถูกต้องตามกฎหมาย |
|
Settlement Pattern |
ดาระอั้งที่หมู่บ้านปางแดงมีการสร้างบ้านเรือน 2 ลักษณะ คือ
1. บ้านที่ติดดิน เป็นบ้านชั้นเดียว ภายในบ้านมีเตาไฟ และแคร่ไม้ไผ่สำหรับนอน
2. บ้านยกพื้น มีใต้ถุนเป็นที่เก็บของและเลี้ยงสัตว์ บนบ้านมีเตาไฟ บางบ้านกั้นห้องไว้นอน
เตาไฟของชาวดาระอั้ง ไม่ได้มีไว้ใช้ประกอบอาหาร แต่ใช้สำหรับสร้างความอบอุ่นและชงชา ต้มน้ำเท่านั้น |
|
Demography |
ในประเทศไทยมีการประมาณการว่ามีจำนวนประชากรชาวดาระอั้งประมาณ 5,000 – 7,000 คน (หน้า 25)
หมู่บ้านปางแดงนอกเป็นหมู่บ้านที่มีจำนวนประชากรของชาวดาระอั้งจำนวนมาก (หน้า 74) |
|
Social Organization |
ระบบเครือญาติของชาวดาระอั้งมีการนับญาติทั้งทางฝ่ายพ่อ และฝ่ายแม่ ทำให้ชาวดาระอั้งภายในหมู่บ้านจึงเป็นเครือญาติกันเกือบทั้งหมด ระบบเครือญาติได้เข้ามามีอิทธิพลต่อระบบการผลิตของชาวดาระอั้ง ภายในกลุ่มเครือญาติเดียวกันชาวดาระอั้งจะมีการออมแรงกันในเครือญาติในการช่วยเหลือเรื่องการเพาะปลูก (หน้า 38-39)
นอกจากนี้ ชาวดาระอั้งยังมีการนับญาติที่ผูกพันจากการแต่งงานอีกด้วย เมื่อลูกชายแต่งงานจะให้ลูกสะใภ้เข้ามาอยู่ภายในบ้านของฝ่ายชาย (หน้า 74) จะเห็นได้ว่าเมื่อผู้ชายชาวดาระอั้งได้แต่งงานกับผู้หญิงชาวดาระอั้งภายในชุมชน จะทำให้ระบบเครือญาติมีความเข้มแข็งมากขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์ในการทำกิจกรรมของชุมชน เช่น การทำบุญที่วัด การไหว้ผีในการทำเกษตร ตลอดจนเป็นการแลกเปลี่ยนแรงงานในการเพาะปลูก (หน้า73) |
|
Political Organization |
ชาวดาระอั้งที่อาศัยอยู่หมู่บ้านปางแดงนอกมีผู้นำชุมชน สามารถแยกออกได้ตามกลุ่มที่นับถือศาสนาออกเป็น 2 กลุ่ม ประกอบไปด้วย ผู้นำกลุ่มดาระอั้งที่นับถือศาสนาพุทธ และผู้นำกลุ่ม
ดาระอั้งที่นับถือศาสนาคริสต์ (หน้า 86)
กลุ่มดาระอั้งที่นับถือศาสนาพุทธประกอบไปด้วยกลุ่มผู้นำที่เป็นทางการ และไม่เป็นทางการ ผู้นำที่เป็นทางการของกลุ่มศาสนาพุทธจะเป็นผู้ใหญ่บ้าน และผู้นำของดาระอั้งที่ไม่เป็นทางการจะเป็นผู้สูงอายุภายในชุมชน และผู้นำทางพิธีกรรมของชาวดาระอั้ง (หน้า 87)
ในสังคมของชาวดาระอั้งมีระบบผู้ชายเป็นใหญ่ ระบบชายเป็นใหญ่ของชาวดาระอั้งสามารถเชื่อมโยงกับความเชื่อทางศาสนาพุทธของชาวดาระอั้ง เพราะผู้ชายชาวดาระอั้งเป็นกลุ่มคนที่สามารถบวชเรียนเพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนาและหาความรู้ได้ (หน้า 39)
ระบบชายเป็นใหญ่ได้มีอิทธิพลในการดำรงชีวิตของชาวดาระอั้งในหลายๆด้าน เช่น การตัดสินใจก็จะเป็นหน้าที่ของฝ่ายชาย และผู้ชายจะเป็นผู้นำในการประกอบพิธีกรรมของหมู่บ้าน
ทั้งความเชื่อทางศาสนาพุทธ และความเชื่อเรื่องผี (หน้า 39)
ผู้นำทางพิธีกรรมของชาวดาระอั้งมีความสำคัญอย่างมากในการดำเนินพิธีกรรมที่เป็นรูปแบบของชุมชนดาระอั้งแบบครั้งที่อาศัยอยู่ในประเทศพม่า ผู้นำทางพิธีกรรมจึงได้รับความเคารพจากชาวดาระอั้งให้ดำเนินพิธีกรรม และทำการรักษาคนที่ไม่สบายภายในหมู่บ้าน ถึงแม้ว่าปัจจุบันบทบาทของผู้นำทางพิธีกรรมในการรักษาพยาบาลจะลดลง แต่บทบาทความเป็นผู้นำทางพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อเรื่องผียังคงมีอยู่ ทำให้บทบาทของผู้นำทางพิธีกรรมยังเป็นที่เคารพของชุมชนในปัจจุบัน (หน้า 87) เช่น การตัดสินใจก็จะเป็นหน้าที่ของฝ่ายชาย และผู้ชายจะเป็นผู้นำในการประกอบพิธีกรรมของหมู่บ้านทั้งความเชื่อทางศาสนาพุทธ และความเชื่อเรื่องผี (หน้า 39)
ผู้นำทางพิธีกรรมของชาวดาระอั้งมีความสำคัญอย่างมากในการดำเนินพิธีกรรมที่เป็นรูปแบบของชุมชนดาระอั้งแบบครั้งที่อาศัยอยู่ในประเทศพม่า ผู้นำทางพิธีกรรมจึงได้รับความเคารพจากชาวดาระอั้งให้ดำเนินพิธีกรรม และรักษาคนที่ไม่สบายภายในหมู่บ้าน ถึงแม้ว่าปัจจุบันบทบาทของผู้นำทางพิธีกรรมในการรักษาพยาบาลจะลดลง แต่บทบาทความเป็นผู้นำทางพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อเรื่องผียังคงมีอยู่ ทำให้บทบาทของผู้นำทางพิธีกรรมยังเป็นที่เคารพของชุมชนในปัจจุบัน (หน้า 87) |
|
Belief System |
ชาวดาระอั้งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่นับถือศาสนาพุทธเป็นศาสนาหลักตั้งแต่อาศัยอยู่ในประเทศพม่า ความเป็นชาติพันธุ์ของดาระอั้งจึงผูกอยู่กับศาสนาพุทธ ความเชื่อ และพิธีกรรม (หน้า 76)
ชาวดาระอั้งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่นับถือศาสนาพุทธเป็นหลัก (หน้า 47)วัดดาวสนธยาสร้างขึ้นโดยชาวดาระอั้งป๊อกศาสนาพุทธ วัดแห่งนี้จึงมีแต่ชาวดาระอั้งเท่านั้นที่เข้ามาประกอบพิธีกรรมภายในวัด โดยที่ชาวลาหู่ และคนเมืองจะไม่เข้ามาร่วมทำกิจกรรมในวัดแห่งนี้ วัดสร้างด้วยวัสดุง่ายๆ เช่น เสาไม้ไผ่ มุงหลังคาหญ้าคา ภายในประดิษฐานพระพุทธรูป และมีพระชาวดาระอั้งจำพรรษา(หน้า 61)
ชาวดาระอั้งในหมู่บ้านห้วยปงส่วนมากจะนับถือศาสนาพุทธ แต่ก็มีบางส่วนที่นับถือศาสนาคริสต์ (หน้า 51)
ความเชื่อเรื่องผีในสังคมดาระอั้งมีบทบาทควบคู่กับพระพุทธศาสนา ผีในสังคมดาระอั้งมีความสำคัญหลายระดับลดหลั่นลงไป โดยผีที่มีความสำคัญสูงสุดคือผีเจ้าเมือง เป็นผีระดับชุมชนที่คอยปกปักรักษาหมู่บ้านให้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข (หน้า 77) ทุกหมู่บ้านมีการสร้างหอผีเจ้าเมืองมีการเซ่นไหว้กันเป็นประจำทุกปี ในการบูชาผี โดยชาวดาระอั้งจะทำการบูชาผีเป็นประจำปีละ 2 ครั้ง (หน้า 77)
ชาวดาระอั้งมีความเชื่อในเรื่องของวิญญาณอยู่ 2 ลักษณะคือ ระดับที่หนึ่งเรียกว่า “กาบู” เป็นผี หรือวิญญาณของสิ่งมีชีวิต และอีกระดับหนึ่งคือ “กานำ” เป็นวิญญาณที่สถิตอยู่ในสิ่งไม่มีชีวิต เช่น ภูเขา แม่น้ำ ต้นไม้ โดยเชื่อว่าคนจะมีระดับวิญญาณทั้งสองนี้คอยให้ความคุ้มครองอยู่ (หน้า 77)
งานปีใหม่ของชาวดาระอั้งมีพิธีกรรมแรกในรอบปีของชุมชน งานปีใหม่นั้นตรงกับช่วงเทศกาลสงกรานต์ของชาวไทใหญ่ และสงกรานต์ของคนไทย ซึ่งตรงกับช่วงเดือนเมษายนของทุกปี งานปีใหม่ของชาวดาระอั้งกินเวลา 5 วัน (หน้า 78)
พิธีปิด-เปิดประตูผีเป็นพิธีกรรมที่สำคัญมาก จะทำขึ้นในช่วงหลังการเพาะปลูกเสร็จแล้ว โดยชาวดาระอั้งจะทำการปิดประตูเมือง และปิดประตูผี จะทำบริเวณหอผีเจ้าเมืองของหมู่บ้าน โดยมีหมอผีประจำหมู่บ้านเป็นผู้ประกอบพิธี (หน้า 79)
ชาวดาระอั้งจะขออนุญาตนำอาหารออกมากิน เชื่อว่าการกินอาหารต่อจากผีเจ้าเมืองจะทำให้แข็งแรง อยู่เย็นเป็นสุข (หน้า 79)
ในอดีตชาวดาระอั้งอาศัยอยู่ในรัฐฉาน ชาวดาระอั้งมีความเชื่อผสมผสานระหว่างพุทธและผีซึ่งเชื่อมโยงไปถึงการปฏิบัติของพิธีกรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ หมู่บ้านปางแดงนอกเป็นหมู่บ้านหนึ่งที่ชาวดาระอั้งได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ การเปลี่ยนแปลงทางศาสนาได้จัดระเบียบวิธีคิดความเชื่อในแนวทางปฏิบัติการของพิธีกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้เกิดอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ดาระอั้งของชาวดาระอั้งใหม่อีกกลุ่มหนึ่งคือ อัตลักษณ์ของกลุ่มดาระอั้งที่นับถือศาสนาคริสต์ (หน้า 82) |
|
Education and Socialization |
ชาวดาระอั้งรุ่นใหม่ ได้รับการศึกษาจากโรงเรียนในเมืองไทยซึ่งสามารถพูดภาษาไทยภาคกลางได้ (หน้า 27)
โรงเรียนบ้านปางแดง เป็นโรงเรียนระดับอนุบาล ถึงประถมศึกษาปีที่ 6 มีครูอยู่ในโรงเรียน 9 คน โดยเป็นครูที่สอนตามแต่ระดับชั้นเรียนไปและเป็นครูคนเมืองจากข้างล่าง โรงเรียนนี้มีกลุ่มนักเรียนที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่หลากหลายทั้ง ดาระอั้ง ลาหู่ ลีซู อาข่า กะเหรี่ยงจากหมู่บ้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบ้านห้วยปง บ้านปางแดงใน บ้านท่าขี้เหล็ก บ้านห้วยอีโก๋ (หน้า 62)
เด็กนักเรียนจะทราบว่าเพื่อนๆมาจากหมู่บ้านไหน กลุ่มชาติพันธุ์อะไร ส่วนใหญ่จะสื่อสารระหว่างกลุ่มด้วยภาษาไทยภาคเหนือ แต่ภายในกลุ่มดาระอั้ง เด็กๆจะสื่อสารด้วยภาษาดาระอั้ง
กลุ่มดาระอั้งที่เรียนหนังสือก็จะเป็นกลุ่มดาระอั้งที่เป็นวัยรุ่น และเด็กเท่านั้นส่วนผู้ใหญ่ยังไม่ให้ความสำคัญ และยังมีเรื่องอื่นๆที่สำคัญกว่านี้มาก เช่น เรื่องปากท้องของครอบครัว และ
ที่อยู่อาศัย ทำให้การศึกษาเป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งที่ถูกมองข้ามออกจากวิถีชีวิตของชาวดาระอั้ง (หน้า 63) |
|
Health and Medicine |
เมื่อชาวดาระอั้งหมู่บ้านปางแดงนอกที่ถือศาสนาคริสต์ไม่สบาย จะไปขอยาจากผู้นำหมู่บ้านชาวลีซู ส่วนป๊อกศาสนาพุทธจะซื้อยากินเอง แต่ถ้าอาการร้ายแรง ชาวบ้านจะลงไปที่
โรงพยาบาลในอำเภอเชียงดาว (หน้า 66)
ชาวดาระอั้งหมู่บ้านปางแดงนอกไม่สามารถใช้สิทธิ์ 30 บาท รักษาทุกโรคได้ เนื่องจากไม่มีบัตรประชาชน บางส่วนที่มีบัตรก็ไม่สามารถใช้สิทธิ์ในโรงพยาบาลนี้ได้เนื่องจากชื่อและบัตรอยู่ในเขตพื้นที่อำเภอฝาง ทำให้การไปรักษาที่โรงพยาบาลเป็นตัวเลือกสุดท้ายของชาวดาระอั้งเมื่อเกิดอาการเจ็บป่วย (หน้า 66) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
อัตลักษณ์หนึ่งของดาระอั้งสะท้อนในการแต่งกายของผู้หญิง คือ นุ่งผ้าซิ่น ใส่เสื้อแขนยาว มีพู่ไหมพรมห้อยรอบแขนเสื้อทั้งสองข้างและมีผ้าคาดศีรษะ เอกลักษณ์อีกอย่างคือ การสวมหน่อง หรือที่คล้องเอวที่ทำจากเงิน และไม้ หรือหวาย แต่บางคนอาจใช้สังกะสีทำหน่อง
ดาระอั้งเชื่อว่า หน่อง เป็นวัตถุมงคลของชีวิต เมื่อตายไปจะทำให้ขึ้นสวรรค์ ถ้าถอดออกจะทำให้สิ่งไม่ดีเข้าครอบงำ ดังนั้นผู้หญิงจึงต้องสวมไว้ตลอดเวลา
ส่วนผู้ชายจะใส่เสื้อแบบคนไต ผ้าฝ้ายสีน้ำเงินหรือดำ กางเกงเซียม คล้ายกับกางเกงของคนไต บางคนก็หันมาใส่เสื้อยึดแทน(หน้า 73)
อย่างไรก็ตามในหมู่บ้านปางแดงนอกเด็กวัยรุ่นจะแต่งกายชุดประจำกลุ่มเฉพาะในเทศกาลงานสำคัญเท่านั้น เช่น วันไหว้ผี หรืองานคริสต์มาสที่ต้องออกไปนอกหมู่บ้าน แต่ถ้าอยู่บ้านหรือไปโรงเรียน เด็กจะแต่งชุดเหมือนคนพื้นราบ |
|
Folklore |
มีตำนานเล่าว่า ต้นกำเนิดของดาระอั้งคือนางดอยเงิน หรือหลอยเงิน ซึ่งเป็นวิญญาณผีสาว (บางคนใช้ว่านางฟ้า) วันหนึ่งได้เหาะลงมาอาบน้ำในโลกมนุษย์อย่างสนุกสนาน และไม่ทันระมัดระวังตัว จึงถูกแร้วของนายพราน(บางตำนานบอกว่าเป็นชาวมูเซอ) รัดเข้าที่เอว ดิ้นไม่หลุด ผีสาวได้ถูกนายพรานจับตัวเข้าเมืองโดยไม่ทันได้ถอดแร้วออกจากเอว และนายพรานยังได้เอาห่วงเงินคล้องไว้ที่เอว เพื่อถ่วงน้ำหนักไม่ให้ผีสาวสามารถบินขึ้นไปได้ จากนั้นมาแร้ว และห่วงเงินดังกล่าวได้กลายมาเป็น “หน่อง” ได้กลายมาเป็นเครื่องประดับสำคัญของผู้หญิง
ชาวดาระอั้ง (หน้า 72) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ดาระอั้ง(Dlang)หรือปะหล่อง(Palaong) เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่ในรัฐฉาน ประเทศพม่า เรียกตนเองว่า ดาระอั้ง มีความหมายว่า คนที่อยู่บนดอย ดา แปลว่า คน ระอั้ง แปลว่า ภูเขา ส่วนชื่อปะหล่องนั้น เป็นชื่อเรียกในภาษาไทใหญ่ มีความหมายว่า กลุ่มคนที่อยู่ห่างไกลความเจริญ
การจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ดาระอั้งมีความหลากหลายอย่างมาก Howard and Wattana ได้จำแนกดาระอั้งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ ปะหล่องทอง ปะหล่องเงิน และปะหล่องรูไม และเห็นว่า
ปะหล่องในประเทศไทยคือ ปะหล่องเงิน
Diran จำแนกโดยใช้เครื่องแต่งกายของชาวดาระอั้ง แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มปะหล่องทอง และกลุ่มปะหล่องเงิน
สกุณี ณัฐพูลวัฒน์ จำแนกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ คือ ดาระอั้งแดง ซึ่งเป็นกลุ่มที่อยู่ในประเทศไทย ดาระอั้งเงิน หรือดาระอั้งรูไม เป็นกลุ่มดาระอั้งอาศัยอยู่มากที่สุดในรัฐฉาน ประเทศพม่า และ
ดาระอั้งทอง อาศัยอยู่ในเมืองน้ำสาน ประเทศพม่า
จากการสัมภาษณ์ของผู้วิจัย พบว่า ชาวดาระอั้งในหมู่บ้านปางแดงนอกมีทั้งที่บอกว่าตนเองเป็นดาระอั้งแดงและ บางส่วนบอกว่าตนเองเป็นดาระอั้งเงิน |
|
Social Cultural and Identity Change |
หมู่บ้านปางแดงนอกตั้งอยู่ริมถนนลาดยางสายทุ่งหลุก-ห้วยตะโก้-ผาลาย มีเสาไฟฟ้าหน้าหมู่บ้าน แต่มีเพียงบ้านคนเมือง บ้านลาหู่ และรีสอร์ทของชาวต่างชาติที่มีไฟฟ้าใช้ ส่วนดาระอั้งพุทธและคริสต์ ยังไม่มีไฟฟ้าใช้ เพราะไม่มีทะเบียนบ้าน และหมู่บ้านตั้งอยู่ในเขตป่าสงวน บางบ้านจะใช้แผงโซลาเซล แบตเตอรี่รถยนต์ และยังมีส่วนมากที่ใช้เทียนไข และเตาไฟ
เพื่อส่องสว่างยามกลางคืน
ชาวดาระอั้งจะใช้น้ำประปาภูเขาต่อท่อมาถึงหมู่บ้าน นอกจากนี้ยังน้ำจากลำห้วย และใช้ห้องน้ำร่วมกันทั้งหมู่บ้าน(หน้า 77)
ชาวดาระอั้งมีการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมการกินให้เกิดความสอดคล้องกับวัฒนธรรมคนเมืองที่เป็นพ่อค้า แม่ค้า ในพื้นที่หมู่บ้าน ส่วนหนึ่งเกิดจากการชื่นชอบในรสชาติอาหาร และราคาที่
ไม่แพง (หน้า 75)
ความเป็นดาระอั้งที่หมู่บ้านปางแดงนอกได้รับกระแสวัฒนธรรมจากกลุ่มคนเมือง ที่เป็นคนไทยในพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนผสมผสานวัฒนธรรมของชาวดาระอั้งขึ้นมาใหม่ ความเป็นดาระอั้งที่หมู่บ้านปางแดงนอกจึงเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมในรัฐฉาน กลุ่มคนเมืองได้ทำให้กลุ่มดาระอั้งสามารถรับวัฒนธรรมของคนเมืองไปได้บางส่วน โดยสิ่งสำคัญคือภาษา ทำให้ชาวดาระอั้งสามารถเข้าใจและปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมให้มีความใกล้เคียงกับความเป็นไทยของกลุ่มคนเมืองได้ (หน้า 91-92)
ชาวดาระอั้งในประเทศไทยได้มีการปรับเปลี่ยนการเพาะปลูก โดยนิยมปลูกพืชเชิงเดี่ยวในลักษณะของเชิงพาณิชย์มากขึ้น ทำให้ชาวดาระอั้งมีความสัมพันธ์กับระบบตลาด และการเพาะปลูกพืชเชิงเดี่ยวทำให้ต้องพึ่งพาระบบเงินตรามากขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับการดำรงชีวิตในรัฐฉาน (หน้า 94) |
|
Map/Illustration |
- ภาพการตั้งบ้านเรือนของชาวดาระอั้งหมู่บ้านกาลอ ทางทิศตะวันตกของเมืองเชียงตุง (หน้า 26)
- ภาพไร่ชาของชาวดาระอั้งในรัฐฉาน ประเทศพม่า (หน้า 30)
- ภาพชาวดาระอั้งกลุ่มดาระอั้งเงิน ที่หมู่บ้านกาลอ ประเทศพม่า (หน้า 31)
- ภาพปะหล่องรูไม เป็นกลุ่มดาระอั้งกลุ่มหนึ่งในประเทศพม่า (หน้า 40)
- ภาพใจบ้านของชาวดาระอั้งหมู่บ้านนอแล อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ (หน้า 44)
- ภาพการแต่งกายของผู้หญิงดาระอั้งหมู่บ้านนอแล อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ (หน้า 44)
- ภาพใจบ้านหมู่บ้านปางแดงใน (หน้า 54)
- ภาพชุมชนดาระอั้งหมู่บ้านปางแดงนอก (หน้า 60)
- ภาพการเพาะปลูกพืชเชิงเดียวของดาระอั้ง (หน้า 69)
- ภาพการแยกเส้นด้ายเพื่อที่จะนำมาทอซิ่นของชาวดาระอั้ง (หน้า 71)
- ภาพการตากข้าวโพด (หน้า 72)
- ภาพการจับกุมชาวดาระอั้งหมู่บ้านปางแดงนอก (หน้า 122) |
|
|