|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
พิธีแขกเจ้าเซ็น, การธำรงชาติพันธุ์, ไทยมุสลิม,นิกายชีอะห์ |
Author |
ธีรนันท์ ช่วงพิชิต |
Title |
พิธีเจ้าเซ็น(อาชูรอ): อัตลักษณ์และการธำรงชาติพันธุ์ของมุสลิมนิกายชีอะห์ในสังคมไทย |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
- |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน)
(เอกสารฉบับเต็ม) |
Total Pages |
272 หน้า |
Year |
2551 |
Source |
ธีรนันท์ ช่วงพิชิต .2551.“พิธีเจ้าเซ็น(อาชูรอ):อัตลักษณ์และการธำรงชาติพันธุ์ของมุสลิมนิกายชีอะห์ในสังคมไทย”.ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชามานุษยวิทยา.มหาวิทยาลัยศิลปากร.272 หน้า. |
Abstract |
การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ นำเสนอเรื่องราวของชาวไทยมุสลิมนิกายชีอะห์ในประเทศไทย หรือที่ในเอกสารประวัติศาสตร์กล่าวถึงในชื่อ แขกเจ้าเซ็น หรือ แขกเทศ ในปประเด็นการดำเนินชีวิตในสังคมกรุงเทพมหานคร โดยผ่านพิธีเจ้าเซ็น ในมิติทางประวัติศาสตร์ สังคม และวัฒนธรรม
จากการศึกษา พบว่า พิธีเจ้าเซ็น มีบทบาทในการสร้างอัตลักษณ์ สร้างความสัมพันธ์ ความเป็นเครือญาติ และสำนึกร่วมในความเชื่อ ความศรัทธาทางศาสนาอย่างเดียวกัน รวมหมู่เพื่อสร้างความเข้มแข็งของความเป็นแขกเจ้าเซ็น และแสดงพื้นที่และตัวตนของกลุ่มมุสลิมนิกายชีอะห์ในสังคมไทย (บทคัดย่อ) |
|
Focus |
เป็นงานวิจัยที่ผู้เขียนต้องการถ่ายทอดเรื่องราวของชาวไทยมุสลิมเชื้อสายเปอร์เซีย นิกายชีอะห์ในสังคมไทย โดยศึกษาผ่าน “พิธีเจ้าเซ็น” ทั้งในด้านประวัติศาสตร์ ด้านสังคมและวัฒนธรรม ทั้งนี้ผู้เขียนต้องการแสดงให้เห็นถึงอัตลักษณ์และการคงอยู่ของกลุ่มมุสลิมนิกายชีอะห์ในกรุงเทพมหานคร |
|
Theoretical Issues |
ผู้เขียนได้ถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของชาวไทยมุสลิมนิกายชีอะห์ในสังคมไทย โดยศึกษาผ่าน “พิธีเจ้าเซ็น” ทั้งในด้านประวัติศาสตร์ ด้านสังคมและวัฒนธรรม ทั้งนี้
ผู้เขียนต้องการแสดงให้เห็นถึงอัตลักษณ์และการคงอยู่ของกลุ่มมุสลิมนิกายชีอะห์ในกรุงเทพมหานครรวมถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ความเชื่อ ภาษาของกลุ่ม รวมถึงการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตของชาวไทยมุสลิมนิกายชีอะห์ในกรุงเทพมหานคร และงานวิจัยเรื่องนี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการนำไปปรับใช้เพื่อความเข้าใจในบทบาทของการปรับตัวของชาวไทยมุสลิมนิกายชีอะห์ในสังคมไทยได้เป็นอย่างดี |
|
Ethnic Group in the Focus |
ชาวไทยมุสลิมนิกายชีอะห์ในกรุงเทพมหานคร |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาไทย ภาษาอาหรับ ภาษาเปอร์เซีย |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
หลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีจำนวนมากแสดงถึงการเดินทางเข้ามายังสังคมไทยของแขกเปอร์เซียและอาหรับ ที่เข้ามาติดต่อค้าขายกับผู้คนในภูมิภาคนี้ตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ 5-6
จากการขุดพบหลักฐานโบราณคดีจำนวนมาก จำพวกลูกปัด เหรียญกษาปณ์ ทองคำ เศษเครื่องถ้วย และรูปปั้นดินเผา ฯลฯ ตามแหล่งโบราณคดีหลายแห่ง เช่น แหล่งโบราณคดีควนลูกปัด อำเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่ แหล่งโบราณคดียะรัง อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี และแหล่งโบราณคดีแหลมโพธิ์ อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ขณะที่ศาสนาอิสลามเริ่มเกิดขึ้นบน
ดินแดนคาบสมุทรอารเบีย ประมาณพุทธศตวรรษที่ 12
วัฒนธรรมอิสลามเข้ามายังสังคมไทยหลังจากที่มีผู้คนเดินทางเข้ามามากขึ้น กลุ่มชาวสยามเรียกว่า แขก เดินทางเข้ามาสัมพันธ์กับดินแดนในภูมิภาคนี้ ก่อนการเกิดรัฐและความเป็นสยาม อีกทั้งก่อนที่จะรู้จักชาวตะวันตกชาติอื่นๆซึ่งเข้ามาภายหลัง บันทึกประวัติศาสตร์ร่วมสมัยกล่าวถึง แขก ที่นำพาวัฒนธรรมศาสนาอิสลามมาสู่สังคมไทยในนามของ แขกมะหะหมัด หรือพวกศาสนามะหะหมัด ที่หมายถึงคนกลุ่มเดียวกับแขกเทศ แขกมะหง่น หรือแขกมัวร์ (หน้า 22-23) โดยเฉกอะหมัด ในฐานะผู้นำกลุ่มชนที่เดินทางเข้ามายังอยุธยาในฐานะพ่อค้าวานิชพร้อม
น้องชาย และยังได้ช่วยปรึกษาราชการงานเมืองที่เกี่ยวกับการค้าขายและการเดินเรือกับราชสำนักสยามส่งผลให้การค้าของราชสำนักเจริญขึ้นตามลำดับ และนอกจากนี้ยังมีบทบาทสำคัญในการนำพาวัฒนธรรมความเชื่อความศรัทธาของตนเข้ามาเผยแผ่ในสยาม ทำให้ศาสนาอิสลามของชนกลุ่มนี้ได้รับการยอมรับอย่างมาก (หน้า 18-43) |
|
Settlement Pattern |
ชุมชนแขกเจ้าเซ็นนั้นได้มีการย้ายถิ่นฐานมาตั้งรกรากในกรุงธนบุรีช่วงหลังปีพ.ศ.2310 ซึ่งอพยพลงมาจากกรุงศรีอยุธยาตามเส้นทางนำเป็นส่วนใหญ่ และได้ตั้งชุมชนในระยะแรกบริเวณใกล้กับศูนย์กลางอำนาจของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี (หน้า 40) |
|
Economy |
สภาพเศรษฐกิจในสังคมแขกเจ้าเซ็นทั้ง 4 แห่ง เนื่องจากเป็นชุมชนในสังคมเมืองที่มีพื้นฐานค่านิยมเป็นสังคมข้าราชการมาตั้งแต่ในอดีต และยังปลูกฝังให้มุ่งเข้าสู่อาชีพข้าราชการ หรือองค์กรที่ขึ้นกับหน่วยงานของภาครัฐมากกว่าการประกอบวิชาชีพอื่นๆ จึงทำให้ภาพรวมของระบบเศรษฐกิจชุมชน แขกเจ้าเซ็นมีฐานรายได้จากการเข้ารับราชการตามหน่วยงานต่างๆ (หน้า 76-79) |
|
Social Organization |
ถึงแม้ว่าวัฒนธรรมบางอย่างของชาวไทยมุสลิมนิกายชีอะห์ในในย่านฝั่งธนฯจะถูกวัฒนธรรมจากภายนอกกลืน หรือเกิดการผสมกันทางวัฒนธรรมไปบ้าง แต่สำหรับความสัมพันธ์ทาง
เครือญาติ สำนึกร่วมในศาสนา และความเชื่อความศรัทธาต่างๆยังคงสะท้อนถึงอัตลักษณ์หรือตัวตนความเป็นแขกเจ้าเซ็นได้เป็นอย่างดี
ในส่วนของการแต่งงาน หากเปรียบเทียบระหว่างการแต่งงานของแขกเจ้าเซ็นกับ คนไทย ที่เปลี่ยนศาสนาเป็นมุสลิม กับการแต่งงานกับสุหนี่ โดยกรณีหลัง แขกเจ้าเซ็นแต่งงานกับสุหนี่กลับเป็นไปได้ยากและมีเงื่อนไข ทั้งยังถูกวิภาควิจารณ์ คัดค้านจากญาติผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย ทั้งนี้เพราะการเลือกคู่ครองจากมุสลิมสุหนี่ ในอดีตส่วนใหญ่มีทัศนคติต่อแขกเจ้าเซ็นในเชิงลบ
โดยเฉพาะกับภาพลักษณ์ของ พิธีเจ้าเซ็น ส่งผลให้ต่างฝ่ายต่างไม่สนับสนุนให้มีการใช้ชีวิตคู่กัน
นอกจากนี้ยังมีพิธีฝังศพของแขกเจ้าเซ็น โดยการเอาศพผู้ล่วงลับตั้งขบวนแห่ไปฝังในสุสานของกุฎีต้นสนร่วมกันจนในที่สุดกลายเป็นพื้นที่ร่วมในวัฒนธรรมแขกเจ้าเซ็นด้วยเช่นกัน |
|
Political Organization |
ชาวไทยมุสลิมในชุมชนแขกเจ้าเซ็นนับถือศาสนาอิสลาม นิกายชีอะห์ ศรัทธาในเรื่องพระผู้เป็นเจ้าพระองค์เดียว ในส่วนของวัฒนธรรมของชาวไทยมุสลิมนิกายชีอะห์ในในย่านฝั่งธนฯ จะถูกวัฒนธรรมจากภายนอกกลืน หรือเกิดการผสมกันทางวัฒนธรรมบ้าง แต่ความสัมพันธ์ทางเครือญาติ สำนึกร่วมในศาสนา และความเชื่อความศรัทธาต่างๆยังคงอยู่ในปัจจุบัน
ในความเป็นมุสลิมนิกายชีอะห์นั้นเกี่ยวข้องกับความเป็น อิมามัต หรือสถานภาพความเป็นผู้นำของบุคคลพิเศษกลุ่มนี้ เป็นพื้นฐานความศรัทธา อิหม่ามทั้งหมดสืบเชื่อสายต่อจากท่านศาสดามุฮัมหมัด ผ่านมาทางบุตรีของท่าน คือ ฟาฏิมะฮ์กับท่านอะลี ผู้ที่ดำรงสถานะความเป็นอิหม่าม คือกลุ่มชนซึ่งพระผู้เป็นเจ้าประสงค์ที่จะปกป้องให้เขาเหล่านั้นห่างไกลจากความผิดทั้งมวล ตามที่ปรากฏในคัมภีร์อัลกุรอาน ด้วยเหตุนี้การดำรงความเป็นอิหม่ามของกลุ่มบุคคลดังกล่าวในความศรัทธาของนิกายชีอะห์ จึงยึดมั่นว่าเป็นการเลือกสรรตามความประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริง (หน้า 18-43)
สำหรับพิธีกรรมของชาวไทยมุสลิมกลุ่มนี้ ความสำคัญของพิธี มะหะหร่ำ หรือพิธีอาชูรอ(ในภาษาอาราบิค แปลว่า สิบ หรือวันที่สิบ โดยมุสลิมกลุ่มนี้จะจัดพิธีกรรมเพื่อลำลึกถึงอิหม่าม
ฮูเซนของพวกตนที่ถูกสังหารในวันที่ 10 เดือนมุฮัรรอม ฮิจเราะฮ์ที่ 61 ของศาสนาอิสลาม) ได้กลายมาเป็นอัตลักษณ์ของแขกกลุ่มนี้ รวมถึงเป็นการแสดงภาพลักษณ์ที่ทำให้กลุ่มนี้มีความแตกต่างจากแขกกลุ่มอื่น และยังเป็นการแสดงนัยถึงความแตกต่างในเรื่องของนิกายในศาสนาอิสลาม (หน้า 22) |
|
Belief System |
พิธีเจ้าเซ็นเป็นพิธีที่จัดขึ้นในทุกๆปีเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์อิสลามตามที่ตนเองเชื่อและศรัทธา แขกเจ้าเซ็น มีความเชื่อความศรัทธาแตกต่างจากชนกลุ่มใหญ่ในศาสนาอิสลาม โดยเฉพาะพิธีกรรมการลำลึกถึงมรณกรรมของบุคคล โดยวันเริ่มต้นของการเข้าสู่ช่วงเวลาของพิธีกรรม คือ วันแรกถึงวันที่สิบของเดือนมะหะหร่ำ ในพิธีมีบทสวดแบบการขับบทร้องพิลาปรำพันถึงการเสียชีวิตของอิหม่ามฮูเซน การคร่ำครวญเชิงพรรณนาถึงอิหม่ามของตนอย่างช้าๆ คล้ายบทโศลกสรรเสริญ มีจังหวะและท่วงทำนองที่สลับกับการข้อนอก หรือตีอกอย่างแรงของผู้ชายที่เข้าร่วมพิธีสลับกับจังหวะการเคลื่อนไหวอย่างมีท่วงท่าการก้าวย่าง
ในส่วนของการแต่งกายในวัฒนธรรมแขกเจ้าเซ็นนั้น ทั้งชายและหญิงจะเปลี่ยนจากเครื่องสีตามวิถีชีวิตที่ใช้เสื้อผ้ามีสีสันโดยทั่วไปมาเป็นการใช้เครื่องแต่งกายสีดำล้วนเท่านั้น ทั้งยังใช้
ต่อเนื่องตลอดช่วงเวลาของการไว้ทุกข์ให้กับอิหม่ามฮูเซนรวมระยะเวลาทั้งสิ้นประมาณ 2 เดือน ทั้งนี้การแต่งดำเพื่อไว้ทุกข์จะนับรวมไปถึงช่วงเวลาหลังจากที่อิหม่ามฯเสียชีวิตแล้ว 40 วันตามวัฒนธรรมในศาสนาของแขกกลุ่มนี้ เพื่อเป็นการอุทิศส่วนกุศลแด่ผู้วายชนม์ต่ออีกเป็นเวลา 40 วันรวมถึงหมวกกลีบสำหรับเพศชาย ซึ่งในปกติจะใช้หมวกกลีบสีขาว ส่วนผู้หญิงนั้นต้องใช้ผ้าคลุมผม
ส่วนในพิธีนั้นจะมีรูปแบบพิธีกรรมที่หลายท่านเรียกว่าชายขอบ เช่น การสวมผ้ากัฟฟาหนี่สำหรับผู้ชายทุกคนทั้งเด็กและผู้ใหญ่ที่เข้าร่วมในพิธีเจ้าเซ็นในคืน อาชูรอ ที่แสดงถึงการไว้อาลัยขั้นสูงสุดที่จะแสดงต่ออิหม่ามอูเซน ที่เป็นสัญลักษณ์ที่หมายถึงการร่วมพลีชีวิตกับเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ โดยผ้ากัฟฟาหนี่ที่สวมนี้ใช้เพื่อรองรับเลือดของตนเองจากการควั่นหัวในวันรุ่งขึ้น นอกจากนี้ยังรวมถึงการงดเว้นงานรื่นเริงทุกประเภท และงดการจัดงานมงคลทุกชนิดในช่วงเดือนเดียวกันนี้อีกด้วย(หน้า 92-120) |
|
Education and Socialization |
ในส่วนของการศึกษานั้นทางชุมชนแขกเจ้าเซ็นในช่วงก่อนและหลัง พ.ศ. 2520 นั้นมีกระบวนการเคลื่อนไหวภายในสังคมต่อเนื่องมาเป็นลำดับ จากที่ผ่านมาความรู้ถูกจำกัดอยู่ในวงแคบเฉพาะกลุ่มบุคคล จนกลายมาเป็นการเปิดกว้างสู่สาธารณะจากเดิมที่เจ้าคุณของลูกบ้านทำหน้าที่เป็นทั้งประมุขสูงสุดที่ให้ความรู้ รวมทั้งการชี้ขาดตัดสินข้อขัดแย้งทางสังคมและศาสนา ต่อมาความรู้เป็นสิ่งที่ลูกบ้านสามารถเข้าถึงได้มากขึ้น |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
การแต่งกายของแขกเจ้าเซ็นได้เข้ามาสู่สังคมไทยในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ โดยเข้ามาในภาพของแขกมัวร์ หรือแขกเทศ และได้รับการยอมรับจากผู้มีความรู้และปัญญา จนกลายมาเป็นแบบแผนของเครื่องแต่งกายในราชสำนักอยุธยา และสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบันโดยดำรงรูปแบบในราชพิธีราชสำนักกรุงรัตนโกสินทร์ แต่ปัจจุบันจะสามารถพบเห็นการแต่งกายของ
แขกเจ้าเซ็นได้เฉพาะในพิธีเจ้าเซ็นเท่านั้น เนื่องจากวัฒนธรรมของแขกเจ้าเซ็นถูกกลืนไปตามกระแสสังคมใหม่ที่กระแสวัฒนธรรมตะวันตกได้ไหลบ่าเข้ามาทำลายความเป็นตัวตนของแขกกลุ่มนี้
ในส่วนของการแต่งกายถือเป็นจารีตหรือข้อกำหนดของการเข้าร่วมพิธีกรรมและถือปฏิบัติกันอย่างเคร่งครัดนับตั้งแต่วันเริ่มต้นของการเข้าสู่ช่วงเวลาของพิธีกรรม คือ วันที่ 1 เดือนมุฮัรรอมเป็นต้นไป เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายในวัฒนธรรมแขกเจ้าเซ็นทั้งชายและหญิง จะเปลี่ยนจากเครื่องสีตามวิถีชีวิตที่ใช้เสื้อผ้ามีสีสันโดยทั่วไปมาเป็นการใช้เครื่องแต่งกายสีดำล้วนเท่านั้น ทั้งยังใช้ต่อเนื่องตลอดช่วงเวลาของการไว้ทุกข์ให้กับอิหม่ามฮูเซนรวมระยะเวลาทั้งสิ้นประมาณ 2 เดือน รวมถึงหมวกกลีบสำหรับเพศชาย ซึ่งในปกติจะใช้หมวกกลีบสีขาว ส่วนผู้หญิงนั้นต้องใช้ผ้าคลุมผม นอกจากนี้ยังรวมถึงการงดเว้นงานรื่นเริงทุกประเภท และงดการจัดงานมงคลทุกชนิดในช่วงเดือนเดียวกันนี้ด้วย (หน้า 140) |
|
Folklore |
เรื่องเล่าเหตุการณ์ หรือ เป็นการเล่าเรื่องราวผ่านการแสดง หรือที่เรียกว่าบันทึก 12 เล่มที่ลำดับเหตุการณ์กัรบะลาอ์ โดยใช้เวลาในการเล่า 10 วัน ซึ่งเป็นการถ่ายทอดเรื่องราวความเจ็บปวดจากการกระทำของฝ่ายตรงข้ามที่เกิดขึ้นตั้งแต่ท่านศาสดามุฮัมหมัดจนถึงวงศ์วานเครือญาติที่ต้องร่วมเผชิญกับความทุกข์ทรมานทั้งทางกายและใจ ท้ายที่สุดของพิธีเจ้าเซ็นในแต่ละคืนนั้นจะต้องจบลงด้วยการกล่าวคำสาปแช่ง หรือล่าหนัต ด้วยการขอวิงวอนต่อพระผู้เป็นเจ้าให้ทรงสาปแช่งต่อผู้ที่กระทำชั่วต่ออิหม่ามฮูเซนของพวกตนเสมอ |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ความแตกต่างในด้านสังคมและวัฒนธรรมมีผลทำให้แขกเจ้าเซ็น ต้องอยู่ในฐานะความเป็นมุสลิมชายขอบของสังคม ส่งผลให้กลุ่มชนดังกล่าวต้องสร้างพื้นที่ในสังคม หรือสร้างความเป็น
ตัวตนภายใต้กรอบความเป็นมุสลิมท่ามกลางสังคมเมืองที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ขณะที่ความเป็นชาติพันธุ์เกิดจากความเชื่อและศรัทธาร่วมของคนในสังคมเดียวกัน ซึ่งแขกเจ้าเซ็นมีผลให้ศาสนาอิสลามนิกายชีอะห์ในสังคมไทยมีอัตราเพิ่มขึ้น ในเวลาต่อมานั้นชาวไทยมุสลิมนิกายชีอะห์กลุ่มนี้ยังได้รับการยอมรับต่อพิธีเจ้าเซ็นในฐานะของพิธีกรรมที่เกิดขึ้นจากจิตสำนึกร่วมศาสนาและแรงศรัทธา (หน้า 92-93)
นอกจากนี้ยังมีการนำเอาอัตลักษณ์ในวัฒนธรรมประเพณีต่างๆมาผสมผสานกับวัฒนธรรมพื้นถิ่น เพื่อสร้างความเป็นตัวตน และแสดงอัตลักษณ์ของตนเองสู่สังคม อาทิ วัฒนธรรม
การแต่งกาย ภาษา อาหาร รวมถึงความเชื่อความศรัทธา และพิธีกรรมที่เกี่ยวกับศาสนาของตน |
|
Social Cultural and Identity Change |
สำหรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของแขกเจ้าเซ็น จากการศึกษาพบว่าในหลายด้านได้รับการยอมรับจนกลายเป็นแบบแผนจารีตของราชสำนักสยามตั้งแต่สมัยอยุธยาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ อย่างไรก็ตามยังมีอัตลักษณ์ในบางเรื่องได้รับการผสมผสานจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมใหม่ของสังคมไทยในระยะต่อมา และขณะเดียวกันก็ยังถูกกลืนไปกับกระแสการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วของสังคมไทยในปัจจุบัน (หน้า 187-203)
นอกจากนี้วัฒนธรรมการแต่งกายของแขกเจ้าเซ็นถูกกลืนไปตามกระแสสมัยใหม่ที่ไหลบ่าเข้ามาแทนที่ความเป็นตัวตนของวัฒนธรรมแขกเจ้าเซ็นไทยในปัจจุบัน โดยจะสามารถพบเห็นการแต่งกายของแขกเจ้าเซ็นได้เฉพาะใน “พิธีเจ้าเซ็น” เท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม มีผลต่อการปรับตัวกับสิ่งที่เกิดขึ้น
แต่แขกเจ้าเซ็นก็สามารถธำรงความเป็นตัวตนอยู่ในสังคมที่แตกต่างได้เป็นอย่างดี (หน้า 187-215) |
|
Other Issues |
จากการศึกษาพบว่า ความแตกต่างในด้านสังคมและวัฒนธรรมมีผลทำให้แขกเจ้าเซ็น ต้องอยู่ในฐานะความเป็นมุสลิมชายขอบของสังคม ส่งผลให้กลุ่มชนดังกล่าวต้องสร้างพื้นที่ในสังคมหรือ สร้างความเป็นตัวตนภายใต้กรอบความเป็นมุสลิมท่ามกลางสังคมเมืองที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความหลากหลาย และความแตกต่างทั้งวัฒนธรรมและศาสนา อีกทั้งยังพยายามสร้างพื้นที่ความเป็นมุสลิมกลุ่มน้อย ของนิกายชีอะห์ คู่กับมุสลิมกลุ่มใหญ่ ของนิกายสุหนี่ ที่อาจจะถูกกลืนไปกับกระแสสังคมที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน (หน้า 187-200)
พิธีเจ้าเซ็นกับภาพลักษณ์ การมะต่ำ การกรีดศีรษะ รวมถึงการลุยไฟ ถูกปฏิเสธจากสังคมมุสลิมกลุ่มใหญ่ด้วยทัศนคติในเชิงลบ ที่มองว่าการแสดงออกของแขกเจ้าเซ็นผ่านบทบาทการแสดงอิทธิฤทธิ์และปาฏิหาริย์เกินขอบเขตการอนุมัติของศาสนา ทำให้คนในเลือกแสดงออกด้วยการปรับปฏิสัมพันธ์แบบปิดสังคม และตอกย้ำอุดมการณ์ของตนที่มีทัศนะต่อการกระทำ
ดังกล่าวด้วยความภาคภูมิใจและดื่มด่ำรับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับตนเองทดแทนการสูญเสียและการเสียสละของอิหม่ามฮูเซน โดยอุทิศความร้อนรุ่มและความเจ็บปวดของตนด้วยความรักและความจงรักภักดีของตนที่มีต่ออิหม่ามฮูเซน ผู้ซึ่งเป็นที่รักของศาสดามุฮัมหมัดและของพระผู้เป็นเจ้า
ในส่วนของพิธีกรรมนั้นถือเป็นส่วนสำคัญต่อการสร้างความทรงจำในประวัติศาสตร์ความศรัทธาของตน กระตุ้นให้เกิดความรู้สึกร่วมในความทรงจำเพื่อการคงความเป็นแขกเจ้าเซ็น ให้ได้ดำรงอยู่ผ่านจากคนรุ่นหนึ่งไปยังแขกเจ้าเซ็นรุ่นต่อไปท่ามกลางกระแสการปรับตัวของสังคมในปัจจุบัน |
|
Map/Illustration |
1. แผนที่แสดงที่ตั้งชุมชน “แขกเจ้าเซ็น” ในสังคมธนบุรี (หน้า 17)
2. ภาพแขกเทศ แขกมะหง่น แขกมัวร์ ในจิตรกรรมไทยที่วัดสุวรรณาราม (หน้า21)
3. แผนที่ชุมชนแขกเจ้าเซ็นในกรุงศรีอยุธยาฉบับพระยาโบราณราชธานินทร์ (หน้า 27)
4. ภาพสถานฝังศพเจ้าพระยาบวรราชนายก (เฉกอะหมัด)ในอยุธยา (หน้า 28)
5. ภาพสถานฝังศพเจ้าพระยาบวรราชนายก (เฉกอะหมัด)ในปัจจุบัน (หน้า 30)
6. ภาพจิตรกรรมที่วัดโพธิ์ปฐมวาส สงขลา เขียนพิธีเจ้าเซ็น (อาชูรอ) (หน้า 36)
7. ภาพเขียนแขกเปอร์เซีย หรือแขกเทศในสายตาคนสยาม (หน้า 38)
8. ภาพเขียนชาวสยามในสายตาฝรั่งเศส (หน้า 39)
9. ภาพกุฎีใหญ่ หรือมัสยิดต้นสน(หลังเดิม) (หน้า 42)
10. ภาพขบวนพยุหยาตราชลมารค แสดงชุมชนแขกเจ้าเซ็นใน “ที่ดินพระราชทาน” (หน้า 54)
11. ภาพกุฎีหลวง หรือ กุฎีเจ้าเซ็น (อาคารหลังเดิม) (หน้า 55)
12. ภาพกุฎีหลวง (ปัจจุบัน) ตั้งอยู่บนถนนพรานนก บางกอกน้อย (หน้า 58)
13. กุฎีนอก หรือ กะดีปลายนา (หน้า 63)
14. ภาพสุเหร่าผดุงธรรมอิสลาม หลังแรกที่ปากคลองมอญ (หน้า 65)
15. ภาพสุเหร่า หรือมัสยิดผดุงธรรมอิสลาม (ปัจจุบัน) (หน้า 68)
16. ภาพหมวกฉาก หรือหมวกกรีบ อัตลักษณ์การแต่งกายที่เหลืออยู่ของแขกเจ้าเซ็น (หน้า 82)
17. ภาพสุสานมัสยิดต้นสน สุสานร่วมของ “แขกสุหนี่”และ “แขกเจ้าเซ็น” (หน้า 87)
18. แผนที่แสดงเส้นทางกองคาราวานอิหม่ามฮูเซน (ฮิจเราะฮ์ที่ 61) (หน้า 117)
19. ภาพแม่น้ำฟะรอต เมืองกัรบะลาอ์ สถานที่เคยเกิดโศกนาฏกรรม (หน้า 120)
20. โต๊ะระบัด เครื่องประกอบพิธีเจ้าเซ็น ที่กุฎีหลวง (หน้า 126)
21. ภาพคณะระจ่าปี่-จ่ากลองในพิธีเจ้าเซ็นที่กุฎีเจริญพาศน์ (หน้า 132)
22. การแต่งดำของแขกเจ้าเซ็นในการเข้าร่วมพิธีฯและการไว้ทุกข์ (หน้า 139)
23. ภาพกองเพลิงสำหรับการลุยไฟในคืนที่ 7 (หน้า 164)
24. ภาพ “บ้ายี่หนู”เดินนำ “ลุยไฟ”เพื่อรับความร้อนที่กุฎีเจริญพาศน์ (หน้า 165)
25. ภาพพิธีอาชูรอที่ใหญ่ที่สุดของเมืองยาช ประเทศอิหร่าน ประเทศอิหร่าน เมื่อปี พ.ศ.2451 (หน้า 184)
26. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จฯทอดพระเนตรพิธีเจ้าเซ็นที่กุฎีเจริญพาศน์ (หน้า 196) |
|
|