สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ลัวะ,การตั้งถิ่นฐาน,ผังหมู่บ้าน, น่าน
Author อรรถรัตน์ ฆะสันต์
Title คติความเชื่อและภูมิปัญญาซึ่งสัมพันธ์กับการตั้งถิ่นฐาน ผังหมู่บ้าน และบ้านเรือนของชุมชนชาติพันธุ์ลัวะในประเทศไทย
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ลัวะ (มัล ปรัย) ลัวะมัล ไปร ลัวะปรัย, Language and Linguistic Affiliations ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
[เอกสารฉบับเต็ม]
Total Pages 125 หน้า Year 2553
Source หลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาสถาปัตยกรรมพื้นถิ่น ภาควิชาสถาปัตยกรรม บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร
Abstract

วิทยานิพนธ์เล่มนี้เป็นการนำเสนอคติความเชื่อและภูมิปัญญาซึ่งสัมพันธ์กับการตั้งถิ่นฐาน ผังหมู่บ้านและบ้านเรือนของชุมชนชาติพันธุ์ลัวะ 3 พื้นที่ในจังหวัดน่าน
 
ผลการศึกษาพบว่า ชาวลัวะมีความเป็นอยู่แบบดั้งเดิมและมีบางส่วนเปลี่ยนแปลงรูปแบบการตั้งถิ่นฐาน ซึ่งเป็นผลมาจากการอพยพหนีการปราบปรามคอมมิวนิสต์ การเปลี่ยนแปลงผังหมู่บ้านมีผลให้เกิดการขยายตัวของจำนวนประชากรที่เพิ่มมากขึ้น ปัจจัยทางภูมิศาสตร์ พื้นที่ทำเกษตร การถูกจำกัดพื้นที่และความเชื่อในการเลือกพื้นที่ปลูกเรือนเป็นสำคัญ
 
ด้านสถาปัตยกรรมมีการเปลี่ยนแปลงตามสภาพสังคมภายนอก ค่านิยม ความเชื่อเรื่องการสร้างเรือนบางข้อที่เฉพาะจงจงเกินไป ในบางพื้นที่ก็จะละเว้น ทำให้บางความเชื่อบางพิธีกรรมเลือนลางหายไปในที่สุด

Focus

เพื่อศึกษาคติความเชื่อและภูมิปัญญาซึ่งสัมพันธ์กับการตั้งถิ่นฐาน ผังหมู่บ้าน และสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นชาวลัวะในพื้นที่จังหวัดน่าน ที่ได้รับผลจากความเชื่อและภูมิปัญญา รวมถึงปัจจัยต่างๆที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่  (หน้า ง )

Theoretical Issues

ผู้เขียนใช้ประสบการณ์จากการทำงานภาคสนามในพื้นที่ชุมชนลัวะจังหวัดน่าน 3 พื้นที่  ถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับคติความเชื่อและภูมิปัญญาซึ่งสัมพันธ์กับการตั้งถิ่นฐาน ผังหมู่บ้านและ
บ้านเรือนของชุมชนชาติพันธุ์ลัวะในประเทศไทย

Ethnic Group in the Focus

ลัวะ

Language and Linguistic Affiliations

ลัวะเป็นชาติพันธุ์ที่จัดอยู่ในกลุ่มตระกูลย่อย มอญ-เขมร ของกลุ่มตระกูลภาษาออสโตรเอเชียติก (หน้า  13)
 
ลัวะในบริเวณนี้แบ่งตามความแตกต่างของภาษาได้ 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือ ลัวะไปร  ลัวะมัล  และลัวะอะจูล  (หน้า 13)

Study Period (Data Collection)

ไม่ระบุ

History of the Group and Community

ชาวลัวะมีการอพยพเข้ามาในไทยถึง 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2419 เนื่องจากโดนทางการลาวปราบปราม ครั้งที่ 2 ปี พ.ศ. 2517-2518 เนื่องจากหนีคอมมิวนิสต์ในประเทศลาว ลัวะจะอาศัยอยู่ตามแม่น้ำสายต่างๆ ซึ่งลำน้ำต่างๆ จะแยกจากแม่น้ำน่าน (หน้า 1)
 
ชาวลัวะในประเทศลาวมีการอพยพข้ามมาประเทศไทยบริเวณจังหวัดน่านถึง 2 ครั้ง
 
ครั้งแรก ปี พ.ศ. 2419 เนื่องจากชนกลุ่มน้อยในประเทศลาวถูกกดขี่จากฝ่ายปกครองในเรื่อง ภาษี ส่วย ทำให้ชนกลุ่มน้อยทำการต่อต้าน จึงถูกทางการปราบปราม และได้หลบหนีอพยพ
เข้ามาในประเทศไทย
 
ครั้งที่สองได้ อพยพมาในปี พ.ศ. 2517-2518  เนื่องจากหนีภัยคอมมิวนิสต์ในประเทศลาว ครั้งนี้ชาวลัวะที่อพยพมาได้เข้ามาอาศัยอยู่ที่ศูนย์อพยพบ้านน้ำยาว อำเภอปัว และศูนย์สบตอง อำเภอแม่ริม จังหวัดน่าน (หน้า 13)
 
ชาวลัวะบ้านน้ำแพะในมีประวัติการอพยพถึง 2 ครั้ง ครั้งแรกคือย้ายมาบ้านป่ากำ ตำบลดงพญา เนื่องจากพื้นที่ทำไร่ ไม่เพียงพอต่อจำนวนประชากรที่มากขึ้น จึงได้รวมตัวกันอพยพย้ายมาบริเวณพื้นที่ตำบลบ่อเกลือใต้ซึ่งห่างจากหมู่บ้านปัจจุบันประมาณ 3 กิโลเมตร ในการอพยพครั้งนี้มีชาวลัวะอีกกลุ่มหนึ่งที่แยกกันตั้งหมู่บ้านก็คือ “หมู่บ้านน้ำแพะนอก” (หน้า 83)
 
ชาวลัวะบ้านน้ำแพะในมีการอพยพอีกครั้งเมื่อ 20 ปีที่แล้ว โดยย้ายให้เข้ามาใกล้ถนนปัว-บ่อเกลือ เพื่อความสะดวกในการคมนาคม (หน้า 84 )

Settlement Pattern

บ้านน้ำแพะในมีลักษณะการอยู่อาศัยแบบครอบครัวใหญ่มีเรือนแถวเป็นเรือนลัวะดั้งเดิม ปลูกสร้างอยู่อาศัยหลายครอบครัว (หน้า 4) บ้านน้ำแพะในมีลักษณะเป็นเรือนแถว ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของหลายครอบครัวมักจะเป็นญาติพี่น้องกัน สืบสายเลือดจากพ่อแม่เดียวกัน (หน้า 32)
 
ลักษณะบ้านเรือนของชาวบ้านบ้านจูนจะมีลักษณะที่เกาะกลุ่มกันบริเวณหลักๆ อยู่สองกลุ่มคือ ทางทิศเหนือและทิศใต้ มีบางส่วนทางทิศเหนือที่บ้านเรือนเรียงรายตามถนน ซึ่งเป็นทางไปไร่และสวน (หน้า 34)

ลักษณะบ้านเรือนของชาวบ้านบ้านสกาด มีการอาศัยอยู่ค่อนข้างหนาแน่น ครอบคลุมพื้นที่บริเวณกว้าง พื้นที่แรกของที่ตั้งหมู่บ้านสกาดคือ บ้านสกาดกลาง เมื่อมีประชากรมากขึ้นก็ขยายตัวเป็นบ้านสกาดเหนือ สกาดใต้และบ้านภูกอกตามลำดับ (หน้า 37)
 
บ้านเรือนชาวลัวะบ้านสกาดปลูกสร้างไล่เรียงกันตามระดับสูงต่ำตามพื้น ที่เรือนแต่ละหลังมีการปรับพื้นที่หน้าดินให้เหมาะสมกับกิจกรรมในครัวเรือน (หน้า 37)
 
ลักษณะบ้านเรือนชาวลัวะบ้านน้ำแพะใน จะเกาะตัวตามถนนลดหลั่นลงไปตามระดับของสันเขา บริเวณเรือนของแต่ละหลังก็จะปรับหน้าดินให้ได้ระนาบเพื่อความสะดวกในการใช้งาน และพื้นที่ท้ายหมู่บ้านจะเป็นศูนย์การเรียนรู้ชุมชน ซึ่งทางรัฐได้จัดสร้างให้เมื่อ 20 ปีที่แล้ว (หน้า 39-40)
 
ลักษณะพื้นที่ที่ชาวลัวะบ้านน้ำแพะในตั้งถิ่นฐานอาศัยอยู่นั้น พื้นที่โดยรอบของหมู่บ้านเป็นภูเขาที่สลับซับซ้อน ซึ่งเป็นทิวเขาหลวงพระบาง และพื้นที่หมู่บ้านก็อยู่บนสันเขา ซึ่งก็เป็นลักษณะพื้นที่ที่ชาวลัวะชอบตั้งถิ่นฐานอยู่ (หน้า 40)
 
เรือนแบบดั้งเดิมของชาวลัวะ มีลักษณะเป็นเรือน 2 ชั้น ยกพื้นมีใต้ถุน หลังคาเรือนมุงด้วยหญ้าคาปกคลุมด้านหนึ่งจนติดพื้นดิน ไม่มีหน้าต่างหรือช่องเปิดเลย  ขึ้นเรือนไปจะเป็นพื้นที่ชาน
ใต้หลังคาซึ่งเป็นส่วนกึ่งกลางระหว่างชานแดดกับพื้นที่ภายในเรือน ภายในเรือนจะมีเตาไฟอยู่ทางซ้ายมือหรือถ้ามีหลายครอบครัวอยู่รวมกันอาจจะมีหลายเตาไฟแบ่งแยกกันของแต่ละครอบครัวเลยก็ได้ (หน้า 43)
 
เรือนแบบผสมผสานระหว่างเรือนดั้งเดิมกับเรือนคนพื้นราบของชาวลัวะ มีลักษณะเป็นเรือนยกพื้นมีใต้ถุน ผนังเป็นฝาขัดแตะ หรือบางหลังก็ใช้ไม้จริง แต่เรือนรูปแบบนี้ยังไม่มีหน้าต่างหรือถ้ามีก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนหลังคาเป็นหลังคาจั่วธรรมดา ไม่มีด้านใดด้านหนึ่งจรดพื้น แต่ยังใช้หญ้าคาในการมุงเหมือนดั้งเดิม หรือเรือนบางหลังได้ต่อเติมโดยมีเรือนคนพื้นราบ
อีกหลังหนึ่งคู่กันซึ่งมีชานเป็นตัวเชื่อมระหว่างเรือนทั้งสองรูปแบบนี้
 
เรือนคนพื้นราบของชาวลัวะ มีลักษณะเหมือนกับเรือนทั่วไป เป็นเรือนไม้จริง 2 ชั้น ยกพื้นมีใต้ถุนหรือบางหลังอาจทำผนังปิดล้อมชั้นล่างเป็นพื้นที่ใช้สอย โครงสร้างมีทั้งปูนและไม้เนื้อแข็ง ผนังไม้ หลังคาสังกะสีหรือกระเบื้องลอนคู่ เรือนรูปแบบนี้จะมีช่องเปิดกว้างและมากกว่าเรือนทั้งสองแบบ (หน้า 43)
 
เรือนชาวลัวะทั่วไปจะเป็นเรือนยกพื้นสูงประมาณ 1-1.5 เมตร ทางขึ้นเรือนจะเป็นบันไดขึ้นนอกชานซึ่งมีระดับต่ำกว่าตัวเรือนชั้นใน ความกว้างไม่มีข้อจำกัดแน่นอน ฝั่งตรงข้ามของบันไดจะเป็นที่วางน้ำดื่มซึ่งทำเป็นชั้นสูง ถัดจากระเบียงชั้นล่างส่วนนี้จะเป็นระเบียงชั้นในซึ่งพื้นมีระดับเดียวกับตัวเรือน มีความกว้าง 1-1.5 เมตร ระเบียงนี้จะใช้เป็นที่รับแขกที่ยังไม่รู้จักสนิทดีและใช้เป็นที่นอนของแขก นอกชานชั้นในจะมีเฉพาะเรือนที่มีขนาดใหญ่เรือนที่มีขนาดเล็กจะไม่มี เรือนชั้นในจะถูกแยกด้วยฝามีประตูเข้า 2 ประตู ภายในถูกแยกออกเป็นห้องอาจจะมี 1-2 ห้อง ที่กั้นด้วยฝา นอกนั้นเป็นโถงโล่ง มุมหนึ่งของโถงจะถูกแบ่งเป็นห้องครัวโดยจัดทำเตาไฟไว้มุมหนึ่ง เตาไฟนี้จะทำเป็นกะบะสี่เหลี่ยม ภายในบรรจุด้วยทรายมีเหล็กสามขาหรือหินสามก้อนวางไว้และบริเวณนี้จะเป็นที่รับประทานของคนในครอบครัว และส่วนที่เหลือจะใช้เป็นที่นอนของคนในครอบครัวด้วย เหนือเตาไฟจะมีไม้ไผ่สานกันแขวนไว้เพื่อเป็นที่วางเครื่องครัว (หน้า 44)
 
ลักษณะเรือนในหมู่บ้านสกาดเป็นลักษณะเรียงราย ลดหลั่นตามพื้นที่ลาดเอียงทางฝั่งทิศเหนือของเทือกเขา ลักษณะผังหมู่บ้านเป็นรูปแบบกลุ่มเรือนขนาดใหญ่ที่กระจายตัวกันตามพื้นที่ที่เหมาะสมตามสภาพภูมิศาสตร์ ซึ่งแยกเป็นสองกลุ่มเรือนใหญ่ได้ 2 กลุ่ม คือกลุ่มทางทิศเหนือและทิศใต้ ภายในหมู่บ้านมีถนนหลักที่ทอดยาวผ่านกลุ่มเรือนทั้งสองกลุ่ม (หน้า 105 )
 
ลักษณะผังหมู่บ้าน เป็นแบบเรือนเกาะตัวสองข้างของถนนเพราะว่าหมู่บ้านตั้งอยู่บนสันเขาขนาดเล็กที่ทอดตัวยาวจากถนนปัว-บ่อเกลือ ซึ่งเปรียบเหมือนถนนหลักของหมู่บ้านและการปลูกเรือนจึงปลูกบนสันเขาเช่นกันเพราะพื้นที่ด้านข้างมีความลาดเอียงมากเกินไปไม่สามรถปลูกเรือนได้ ซึ่งเป็นเหมือนการบังคับผังหมู่บ้านไปในตัวให้การปลูกเรือนลาดหลั่นไหลตามสันเขาเรือนจึงไม่กระจายเป็นกลุ่มจะกระจายตัวตามความยาวของสันเขาแทน (หน้า 106)
 

Demography

บ้านสกาดมีประชากรเป็นจำนวนมากก็เปรียบได้กับอายุของหมู่บ้าน จากการสัมภาษณ์ผู้สูงอายุ อายุ 70 ปี กล่าวว่าพ่อแม่ของท่าน ก็ได้เกิดที่หมู่บ้านนี้ไม่ได้อพยพมาจากไหน ก็อาจจะพอทราบอายุของหมู่บ้านได้ว่ามากกว่า 90 ปีขึ้นไป (หน้า 38 )
 
บ้านจูน หมู่ที่ 4 เป็นหมู่บ้านชาวลัวะที่อาศัยในตำบลป่ากลาง ซึ่งมีประชากรอาศัยอยู่ 3 ชาติพันธุ์ คือ ชาวม้ง ชาวเมี่ยน และชาวลัวะ  (หน้า 47) บ้านจูนเป็นหมู่บ้านที่มีขนาดใหญ่ปานกลางมีจำนวนประชากรที่เป็นชาวลัวะประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์  (หน้า 48)
 
บ้านสกาด เป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่แบ่งเป็น 4 หมู่บ้าน มีทั้งหมด 632 หลังคาเรือน หมู่บ้านมีอายุประมาณ 90 ปี (หน้า 66) หมู่บ้านสกาดเป็นหมู่บ้านชาวลัวะที่มีขนาดใหญ่ มีอาณาเขตหมู่บ้านเป็นบริเวณกว้างมีจำนวนประชากรตามเขตพื้นที่ อบต. ทั้งหมด 2,908 คน (หน้า 67)
 
บ้านน้ำแพะใน ประชากรในหมู่บ้านมีจำนวนไม่มากและการมีอยู่อาศัยอย่างครอบครัวใหญ่หลายครอบครัวอาศัยในเรือนเดียวกัน จำนวนเรือนในหมู่บ้านจึงมีไม่มาก (หน้า 116)

Economy

ชาวลัวะเป็นชาติพันธุ์ที่มีวิถีชีวิตที่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ ทำเกษตรกรรมและเป็นการทำเพื่อยังชีพเป็นส่วนใหญ่ คือ การทำไร่ข้าว รองลงมาก็หาของป่า ล่าสัตว์
 
สมัยก่อนอาชีพที่ทำรายได้ให้แก่ชาวลัวะก็คือ การหาของป่าและการล่าสัตว์ แต่ปัจจุบันการล่าสัตว์แทบจะหมดไปแล้วเหลือเพียงการจับปู จับปลา ตามห้วยหนองต่างๆเท่านั้น แต่การเก็บของป่ายังดำรงอยู่คือ การตัดไม้ หาน้ำผึ้ง หาต้นอ่อนพืชหรือสมุนไพร (หน้า 14)
 
ชาวลัวะทำไร่ข้าวเหนียวและข้าวโพด เว้นจากการทำไร่ก็จะหาของป่า ล่าสัตว์ ผลผลิตส่วนใหญ่ก็จะนำมาบริโภคและเลี้ยงสัตว์ ถ้าเหลือก็จะนำไปจำหน่ายภายในหมู่บ้านหรือหมู่บ้าน
ข้างเคียง (หน้า 1)
 
นอกจากการปลูกข้าวไร่แล้ว ยังปลูกข้าวโพดด้วยหรืออาจจะมีผักอย่างอื่นเช่น ถั่วแขก  พริกแดง แตงกวา ผลผลิตจากการทำเกษตรกรรมก็จะนำมาบริโภคภายในครอบครัว ถ้าเหลือก็จะนำไปจำหน่ายภายในหมู่บ้านหรืออาจจะมีพ่อค้ามารับซื้อนำไปขายในตัวเมือง (หน้า 14)

ชาวลัวะเลี้ยงสัตว์มีทั้ง หมู  ไก่ เนื่องจากต้องใช้ในการประกอบพิธีกรรมและไว้บริโภคหรือขายในหมู่บ้าน บางหมู่บ้านเลี้ยงสุนัขเพื่อไว้เฝ้าบ้านและเพื่อใช้ในการประกอบพิธีในการบูชาผีเจ้าที่ของบางหมู่บ้าน (หน้า 14)
 
ถ้าเป็นหมู่บ้านที่ไกลหรืออยู่บ้านดอยสูงจะเลี้ยงม้าไว้ใช้เพื่อในการขนของ และถ้าหมู่บ้านไหนทำนาก็จะเลี้ยงควายไว้ด้วย นอกจากนี้ในช่วงว่างเว้นจากการทำไร่ผู้ชายชาวลัวะบางคนยังสานกระบุง ตะกร้าหรือแอบใส่ข้าวเหนียวไว้ใช้ในครัวเรือนหรือขายในหมู่บ้าน (หน้า 14)
 
อาชีพของชาวลัวะขึ้นอยู่กับสภาพภูมิอากาศตามฤดูกาล ช่วงเว้นว่างจากการทำเกษตรกรรมก็จะล่าสัตว์หาของป่าแต่เนื่องจากสภาพป่าปัจจุบันลดน้อยลง ชาวลัวะผู้ชายจึงนิยมเดินทางไปทำงานรับจ้างภายในตัวเมืองจังหวัดน่านหรือจังหวัดใกล้เคียง หลังจากฤดูกาลเพาะปลูกเก็บเกี่ยวแล้วภายในหมู่บ้านก็จะพบเห็นแต่คนแก่ ผู้หญิงและเด็กน้อย เพราะผู้ชายส่วนใหญ่ไปรับจ้างกัน แต่ก็จะเป็นตามฤดูกาลเท่านั้น เพราะเมื่อถึงฤดูเพาะปลูกที่จะต้องเริ่มทำไร่ทำนา ผู้ชายลัวะก็จะเดินทางกลับหมู่บ้านตนเอง (หน้า 14)
 
ชาวลัวะบ้านจูนจะใช้พื้นที่โดยรอบของหมู่บ้านทำการเกษตร (หน้า 35) บางครอบครัวปรับเปลี่ยนจากการทำไร่ข้าวมาเป็นการทำสวนแทน เช่น สวนมะม่วง สวนลำไย และบางครอบครัวก็ทำแปลงผักควบคู่ไปกับการทำสวนอีกด้วย แต่ก็มีบางครอบครัวที่ยังคงทำไร่อยู่ (หน้า 36) มีหลายครอบครัวที่ทำการเกษตรเพื่อยังชีพ และการเดินเก็บท่อนไม้ที่ไร่ของตนเองหรือบริเวณพื้นที่รอบๆหมู่บ้านเพื่อนำมาเป็นฟืนใช้เป็นเชื้อเพลิงในการหุงหาอาหาร และรวมถึงให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายในยามฤดูหนาว ซึ่งเป็นวิถีชีวิตที่เห็นจนชินตาในสังคมชาวลัวะ รวมถึงการเก็บหญ้าคามาจับเป็นตับเพื่อมาใช้เปลี่ยนหลังคาเมื่อหลังคาเกิดการผุพัง แต่ปัจจุบันได้ทำเพื่อนำไปจำหน่ายอีกด้วยซึ่งก็เป็นอีกหนทางหนึ่งในการดำรงชีวิต (หน้า 36) ชาวลัวะบ้านจูนจะนิยมปลูกต้นไผ่กันเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะปลูกกันในพื้นที่ตนเอง รวมไปถึงป่าชุมชน (หน้า 36)
 
ชาวลัวะบ้านสกาดจะใช้พื้นที่โดยรอบของหมู่บ้านทำการเกษตรเป็นส่วนใหญ่ (หน้า 37) วิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวลัวะบ้านสกาด คือ การทำไร่ข้าวหรือข้าวโพด (หน้า 38) ชาวลัวะบ้านสกาดหลายครอบครัวหันมาปลูกพืชสวนกัน อาทิ กาแฟ ลิ้นจี่ แต่ที่เห็นเด่นชัดและนิยมปลูกกันมากก็คือ การปลูกเมี่ยง (หน้า 38) บางครอบครัวไม่ได้ทำไร่ข้าวแล้วมารับจ้างเก็บใบเมี่ยงหรือปลูกพืชสวนเพียงอย่างเดียว แต่การทำไร่ข้าวชาวลัวะบ้านสกาดบางครอบครัวก็ยังคงอยู่เพราะถือว่าเป็นวิถีชีวิตที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ และยังไว้กินไว้ใช้ในครัวเรือนได้อีกด้วย (หน้า 39)

การหาฝืนเศษไม้ตามไร่หรือป่าเขาละแวกหมู่บ้านเพื่อมาเป็นเชื้อเพลิงในการหุงหาอาหารหรือไว้สร้างความอบอุ่น เป็นวิถีชีวิตที่ชาวลัวะบ้านสกาดยังคงปฏิบัติอยู่ทุกครัวเรือน (หน้า 39)
 
ชาวลัวะบ้านน้ำแพะใน ใช้พื้นที่โดยรอบหมู่บ้านเป็นพื้นที่ทำเกษตรกรรม เป็นการทำไร่หมุนเวียนซึ่งเป็นวิถีชีวิตแต่ดั้งเดิม (หน้า 40) ชาวลัวะบ้านน้ำแพะใน ยังคงทำไร่ข้าวเพื่อยังชีพ หาของป่าและล่าสัตว์ (หน้า 116) ชาวลัวะบ้านน้ำแพะในไม่ถนัดในการเพาะปลูกพืชผักต่างๆ ถนัดแต่การทำไร่ข้าวอย่างเดียว สำหรับผักผลไม้นั้นจะเป็นผลผลิตจากการหาของป่าเป็นส่วนใหญ่ (หน้า 117)
 
ชาวลัวะบ้านน้ำแพะในดำรงชีวิตโดยการทำไร่หมุนเวียนซึ่งเป็นไร่ข้าว ไว้กินภายในครัวเรือนซึ่งครอบครัวไหนมีผู้ชายจำนวนมากก็จะมีแรงมีกำลังในการทำไร่มากกว่าครอบครัวอื่น ผู้หญิงก็มีหน้าที่หุงหาอาหาร กิจกรรมต่างๆในครัวเรือนหรือถ้ามีลูกอ่อนก็จะเลี้ยงควบคู่ไปด้วย นอกจากทำไร่ข้าวแล้วปัจจุบันมีบางครอบครัวได้ปลูกเผือก ปลูกมัน เพื่อนำมาขายเล็กๆน้อยๆ รวมถึงการเก็บของป่าซึ่งเป็นวิถีของชาวลัวะเมื่อว่างจากการทำไร่ก็จะเดินป่าหาผลไม้ หน่อไม้ เผือก มัน มาบริโภคในครัวเรือน บางครัวเรือนได้เลี้ยงวัวก็จะนำวัวไปปล่อยไว้บริเวณไร่ พื้นที่ที่เว้นจากการทำไร่ เป็นการเสริมรายได้ให้กับครอบครัว แต่วิถีชีวิตที่เห็นเป็นประจำก็คือการเดินเข้าป่าหรือที่ไร่ของตนเองเพื่อเก็บฟืนมาสะสมไว้ให้ความอบอุ่นและเป็นเชื้อเพลิงในการหุงหาอาหาร (หน้า 41)

Social Organization

การนับถือผีของชาวลัวะมีข้อสังเกตว่า การนับถือผีบรรพบุรุษนั้นล้วนสืบต่อกันตามสายแม่ โดยมีพิธีมอบไหเหล้าประจำตระกูลโดยทายาทฝ่ายหญิงคนหัวปี จะได้รับสิทธินี้ก่อนคนอื่น (หน้า 17)
 
ประเพณีโบราณ ฝ่ายชายยังต้องทำพิธีไหว้ของฝ่ายหญิง ซึ่งเท่ากับเป็นพิธีโอนนามสกุลมาถือประจำตระกูลของฝ่ายหญิง (หน้า 19)
 
พิธีแต่งงานของชาวลัวะ ฝ่ายหญิงจะมาสู่ขอฝ่ายชาย โดยพ่อแม่ฝ่ายหญิงจะให้ผู้เฒ่าผู้แก่ที่นับถือประจำหมู่บ้านมาทำพิธีสู่ขอ (หน้า 18)

Political Organization

ชาวลัวะส่วนมากยังเชื่อและยังกลัวผีกัน ผีจึงมีบทบาทกับชีวิต รวมไปถึงพิธีกรรมต่างๆ ต้องมีเรื่องของผีเข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ จึงทำให้หมอผีผู้ประกอบพิธีกรรมจึงมีบทบาทในสังคมลัวะเป็นอย่างสูง (หน้า 17)

มีผู้นำที่เป็นทางการก็คือ ผู้ใหญ่กันศักดิ์ เป็นผู้ใหญ่บ้าน บ้านจูน หมู่ที่ 4 ซึ่งเป็นที่รู้จัก และชาวลัวะให้การยอมรับนับถือเป็นอย่างมาก (หน้า 50)
 
มีผู้นำที่เป็นทางการก็คือ ผู้ใหญ่รุณ เป็นผู้ใหญ่บ้าน บ้านน้ำแพะ เป็นที่นับถือของคนในหมู่บ้าน เป็นคนที่ช่วยประสานงานการช่วยเหลือจากทางรัฐกับหมู่บ้าน (หน้า 87)

Belief System

ความเชื่อเกี่ยวกับพิธีกรรม

ชาวลัวะมีความเชื่อและนับถือผีอยู่ 2 ประเภท คือ ผีที่มีอำนาจและผีบรรพบุรุษประจำตระกูล (หน้า 17) การนับถือผีของชาวลัวะมีข้อสังเกตว่า การนับถือผีบรรพบุรุษนั้นล้วนสืบต่อกันตามสายแม่ โดยมีพิธีมอบไหเหล้าประจำตระกูลโดยทายาทฝ่ายหญิงคนหัวปี จะได้รับสิทธินี้ก่อนคนอื่น (หน้า 17)
 
ชาวลัวะเชื่อในเรื่องผี วิญญาณ ความเชื่อนี้จึงทำให้ชาวลัวะกลัวคนตาย ไม่นิยมยินดีกับการทำศพ นอกจากจำเป็นจริงๆ เช่นเป็นญาติพี่น้องกัน จึงไปร่วมงานศพ งานศพชาวลัวะจึงมีผู้คนร่วมงานไม่มาก (หน้า 19)

ชาวลัวะจะมีพิธีในงานศพบางประการที่น่าสนใจคือ เมื่อมีการตายเกิดขึ้นในบ้านและบังเอิญมีคนภายนอกเข้ามาจะกลับไปไม่ได้จนกว่าพิธีทำศพจะเสร็จสิ้น และก็เช่นเดียวกับสมาชิกในครอบครัวของผู้ตายก็ออกนอกบ้านไม่ได้จนกว่าพิธีจะเสร็จสิ้น (หน้า 19)

ในพิธีงานศพ ในช่วงที่หามศพไปที่หลุมศพ จะมีประเพณีที่ปฏิบัติกันมาแต่โบราณ คือ ผู้หญิงในหมู่บ้านจะร้องไห้เดินตามศพไปจนถึงหลุม การแต่งกายของผู้หญิงนี้ก็จะแต่งด้วยชุดที่สวยงามพิเศษกว่าปกติ จะไม่ใส่สีขาวหรือดำตามประเพณีของคนไทย ถ้ามีดอกไม้สีสดก็จะนำมาแซมผม จะมีเสียงร้องไห้เท่านั้นที่ดูหดหู่ พอศพถึงหลุมก็หย่อนศพลงหลุมและนำเสื้อผ้าลงหลุมไปด้วย (หน้า 19)
 
ความเชื่อเรื่องการเพาะปลูก

ชาวลัวะได้ประยุกต์พิธีกรรมคนเมืองเข้ากับพิธีกรรมดั้งเดิมที่เกี่ยวกับการปลูกข้าว คือ “พิธีทำขวัญควาย” ก่อนการไถนา แทนการทำพิธีไหว้ผี เชิญผีเข้าไร่ ก่อนการปลูกข้าว (หน้า 16)
 
ในฤดูการผลิตมาถึงแต่ละปี ชาวลัวะจะประกอบพิธีเซ่นไหว้ผีหลายครั้งในช่วงเวลาต่างๆกัน (หน้า 20) พิธีทำโสลดเป็นพิธีสำคัญพิธีหนึ่งของชาวลัวะ (หน้า 21)
 
การทำพิธีเซ่นทรวง เพื่อให้ข้าวเจริญงอกงามไม่เสียหายให้ผลผลิตดีและผู้ที่เข้ามาทำไร่หรือเจ้าของไร่ไม่ถูกผีไร่ต่างๆ ที่อยู่ในบริเวณนั้นกระทำให้เกิดการเจ็บป่วยในภายหน้า จะเห็นได้ว่าไก่ที่ใช้เซ่นผีใช้ ไก่ 4 ตัว แต่ถ้าไร่นั้นผีแรง จำนวนไก่ก็อาจจะต้องใช้มากขึ้น ซึ่งจำนวนเท่าใดนั้นแล้วแต่หมอผีจะเป็นผู้กำหนด (หน้า 22)
 
เมื่อทำพิธีที่ไร่เสร็จเรียบร้อยแล้ว ในตอนเย็นจะมีการทำพิธีบอกผีเรือน 1 ครั้ง โดยหมอผีคนเดิมจะมาประกอบพิธี การบอกผีเรือนก็เพื่อที่จะให้ผีเรือนช่วยคุ้มครองสมาชิกในครัวเรือนนั้นๆ (หน้า 22)
 
ความเชื่อเรื่องการตั้งถิ่นฐาน

คนลัวะเชื่อว่า ทุกหนทุกแห่งมีผีสิงสถิตอยู่หรือที่เรียกว่าผีเจ้าที่ (ปรองเจ้าตี้) การลงตั้งหมู่บ้านผู้เฒ่าผู้แก่จะต้องทำพิธีถามผีเจ้าที่อีกครั้งหนึ่งว่าเจ้าที่ที่สิงสถิตอยู่ ณ ที่นั่นยินยอมให้ตั้งหมู่บ้านได้หรือไม่ (หน้า 24)
 
ชาวลัวะจะไม่สร้างเรือนคร่อมจอมปลวก เรือนจะสร้างห่างจากจอมปลวกประมาณ 2 วา เพื่อกันไม่ให้เด็กไปเล่น เพราะผีจอมปลวกอาจจะทำให้เด็กที่ไปเล่นหรือสมาชิกของเรือนที่สร้างคร่อมจอมปลวกถูกผีจอมปลวกทำให้เจ็บป่วยอยู่ไม่สบาย (หน้า 26)
 
ชาวลัวะจะไม่สร้างเรือนที่เป็นกิ่วหรือสันเขาที่แคบๆ เพราะชาวลัวะถือว่าเป็นทางถนนของผี ผู้อยู่จะไม่สุขสบาย อาจจะเกิดการเจ็บป่วยและอาจถึงตายได้ (หน้า 26) ชาวลัวะมีความเชื่อว่า ก่อนสร้างเรือนจะต้องสร้างยุ้งข้าวก่อน เพราะลัวะถือว่าข้าวเป็นสิ่งสำคัญ และผีขวัญข้าวเป็นผีที่แรงพอสมควร หากไม่สร้างยุ้งข้าวก่อน ผีขวัญข้าวอาจจะทำให้คนในเรือนเกิดการเจ็บป่วยได้ (หน้า 26)
 
ชาวลัวะเชื่อว่าการสร้างเรือนขวางถนนจะทำให้คนในเรือนนั้นเกิดการเจ็บป่วย (หน้า 27) จะไม่สร้างเรือนหันหน้าเข้าหากัน ให้หน้าจั่วเรือนตรงกัน โดยเฉพาะถ้าเรือนหนึ่งอยู่สูงกว่าอีกเรือนหนึ่ง คนลัวะถือว่าผีเรือน (ปรองเจิง) ของเรือนหนึ่งจะไปทำให้คนอีกเรือนหนึ่งเกิดการเจ็บป่วยได้ (หน้า 27)
 
ชาวลัวะสร้างเรือนจะต้องคำนึงถึงทิศหัวนอนของคนในบ้าน เพราะคนลัวะถือว่าจะไม่ให้หันหัวนอนไปทางทิศตะวันออก เพราะเป็นทิศที่ร้อน คนที่นอนเอาศีรษะไปทางทิศนี้จะร้อนหรืออาจจะเกิดการเจ็บป่วยได้บ่อยๆ (หน้า 27)

Education and Socialization

เด็กๆจากบ้านน้ำแพะไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนในอำเภอบ่อเกลือซึ่งห่างจากหมู่บ้านไป 4 กิโลเมตร

Health and Medicine

ชาวลัวะมีความเชื่อเกี่ยวกับการคลอด ผู้หญิงชาวลัวะเมื่อตั้งท้องจะไม่อยู่นิ่งเฉย เพราะมีความเชื่อว่าถ้าอยู่เฉยจะทำให้คลอดลำบาก ต้องเดิน ทำงาน เคลื่อนไหวตัวเองตลอด (หน้า 18)
 
เมื่อถึงกำหนดคลอด หมอผีจะมาช่วยทำคลอด หมอผีทั้งหมดจะเป็นผู้ชาย สิ่งแรกที่หมอผีต้องทำก่อน คือ ช่วยบีบท้องให้หญิงท้องที่กำลังจะคลอด การบีบท้องจะช่วยให้หมอผีรู้ว่าเด็กในท้องนอนอยู่ท่าไหนและนานเท่าไรกว่าจะคลอด ต่อจากนั้นก็ร่ายคาถาหรือคำที่เป็นมงคลเป็นภาษาลัวะ โดยเนื้อหาก็คือ ขอให้ผีไม่มารบกวนให้คลอดได้ง่ายและให้ปลอดภัยทั้งแม่และลูก (หน้า 18)
 
เมื่อคลอดออกมาแล้ว ผู้เป็นพ่อต้องรีบเอารกไปฝังที่จอมไผ่ที่ใกล้บ้านที่สุดทันที  ซึ่งมีความเชื่อว่าถ้าไม่นำไปฝังจะเป็นอันตรายต่อเด็ก อาจเจ็บไข้ โตไม่เต็มที่ หรือจะเลี้ยงดูยาก (หน้า 18) และต้องมีการทำขวัญเด็ก จะเอาทารกไปลนไฟ จากนั้นจะพาเด็กออกนอกเรือน หมอผีจะพูดคำทำขวัญเด็กว่า “ถ้าเป็นลูกผี ผีจงมาเอาไป ถ้าไม่มาเอาไป ก็เป็นลูกเรา” พูดซ้ำเช่นนี้ 2-3 ครั้ง จึงพาทารกกลับเข้าเรือน (หน้า 18)
 

Art and Crafts (including Clothing Costume)

บ้านสกาด

เรือนชาวลัวะบ้านสกาดมีการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากความเชื่อที่เปลี่ยนไป เช่น เรือนกรณีศึกษาทั้ง 3 หลัง พบว่าครัวไฟจะย้ายมาอยู่ชั้นล่างของเรือนซึ่งมีการลดบทบาทการใช้สอยและ
ความเชื่อที่ลดน้อยลง ซึ่งเป็นเพราะว่ารูปแบบเรือนที่ไม่เหมาะแก่การใช้สอยเตาไฟภายในเรือน เมื่อย้ายครัวลงมาชั้นล่าง เตาไฟก็ได้เปลี่ยนไปเป็น เตาถ่านทั่วไป
 
การจัดวางครัวไฟของชาวลัวะทั้ง 3 หลัง วางอยู่ตำแหน่งทิศตะวันตกของเรือนซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวกัน แม้ว่าตำแหน่งนี้จะมีลมพัดตลอด แต่ก็มีการแก้ปัญหาโดยการปิดผนังด้านนี้ไม่ให้ลมพัดเข้ามาได้ ซึ่งการวางตำแหน่งครัวไฟหรือเตาไฟนี้ เป็นลักษณะเฉพาะของเรือนชาวลัวะดั้งเดิมอยู่แล้วที่เตาไฟอยู่ในตำแหน่งซ้ายมือเมื่อหันหน้าเข้าจั่วเรือน (หน้า 83)
 
บ้านจูน

ลักษณะผังบริเวณบ้านจูนนั้นมีเอกลักษณ์คืออาณาเขตเรือนแต่ละหลังจะมีรั้วไม้ไผ่ที่สามารถหาได้ทั่วไปเป็นการบอกอาณาเขตอย่างชัดเจน (หน้า 111)
 
รูปแบบเรือนของชาวลัวะได้ค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปในช่วง 20 ปี มานี้เนื่องจากมีถนนตัดผ่านแม้ในช่วงแรกจะเป็นถนนลูกรังก็ตาม แต่ก็มีการติดต่อค้าขายกับคนพื้นราบ รวมทั้งการแต่งงานกับคนพื้นราบและนำเอาวัฒนธรรมต่างๆ มาเผยแพร่ให้ชาวลัวะบ้านสกาด อาจรวมถึงรูปแบบการสร้างเรือนแบบคนพื้นราบด้วย (หน้า 113)

Folklore

บ้านสกาดมีเรื่องเล่าขานต่อๆกันมาหลายรุ่นว่า มีกลุ่มชาวลัวะได้เดินทางอพยพจากดงพญา เพราะว่าผลผลิตทางการเกษตรลดน้อยลงเป็นเรื่องที่ไม่ดีจึงต้องย้ายหมู่บ้าน เดินทางหาที่สร้างหมู่บ้านหลายวันไม่มีพื้นที่เหมาะสม อยู่มาวันหนึ่งมีหญิงชราได้มาบอกว่าพื้นที่บริเวณนี้อุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การตั้งถิ่นฐานเป็นที่อยู่อาศัย แล้วหญิงชราก็พาเดินทางมายังพื้นที่บ้านสกาดปัจจุบันนี้ และเมื่อตกลงจะอยู่อาศัย ณ บริเวณนี้แล้ว ก็ได้ทำพิธีต่างๆขอเจ้าป่าเจ้าเขาเพื่อขอพื้นที่นี้เป็นที่อาศัย เมื่อเสร็จพิธีและชาวลัวะได้อยู่อาศัยแล้ว หญิงชราคนนั้นก็ได้หายตัวไป และไม่มีใครพบอีกเลย (หน้า 66)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มีข้อมูล

Social Cultural and Identity Change

บ้านจูนมีชุมชนชาวลัวะเหมือนกัน แต่อพยพมาจากต่างที่ต่างถิ่นกัน การนับถือผีก็คนละสายกัน วัฒนธรรม ประเพณีต่างๆก็ไม่สามารถทำร่วมกันได้ (หน้า 35)
 
ชาวลัวะได้มีการรวมกลุ่มกันเพื่อไปจัดทำแนวกันไฟ โดยการถางป่าไม่ให้มีอาณาเขตติดกัน เพราะในฤดูแล้งจะมีไฟป่าเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ซึ่งเป็นความร่วมมือของชุมชนและการสนับสนุนจากทางภาครัฐด้วย ซึ่งแสดงถึงความหวงแหนป่าไม้ที่ชาวลัวะให้ความเคารพและดูแลรักษาดั่งในอดีตกาล (หน้า 42)
 
การเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิต จากการทำเกษตรเพื่อยังชีพ มาเป็นเพื่อการค้าขายหรือการได้ออกไปรับจ้างภายในเมืองใหญ่ทำให้วิถีชีวิตดั้งเดิมนั้นเปลี่ยนแปลงไป การติดต่อกับคนพื้นราบเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ชาวลัวะรับเอาวัฒนธรรมและความเชื่อของคนพื้นราบเข้ามา (หน้า 124)

Critic Issues

 -

Other Issues

 -

Map/Illustration

- ภาพตำแหน่งชาวลัวะในพื้นที่ต่างๆ  (หน้า 2)
- ภาพพื้นที่มีน้ำล้อมรอบ  (หน้า 23)
- ภาพพื้นที่มีภูเขาล้อมรอบ  (หน้า 24)
- ภาพตำแหน่งพื้นที่ทำการศึกษา (หน้า 33)
- ภาพตำแหน่งบ้านจูน หมู่ 4 ตำบลป่ากลาง อำเภอปัว จังหวัดน่าน (หน้า 34)
- ภาพแสดงภาพตัดของบ้านจูน  (หน้า 35)
- ภาพตำแหน่งบ้านสกาด หมู่ 2 ตำบลสกาด อำเภอปัว จังหวัดน่าน (หน้า 37)
- ภาพตำแหน่งบ้านน้ำแพะใน หมู่ 13 ตำบลบ่อเกลือใต้ อำเภอบ่อเกลือ จังหวัดน่าน (หน้า 40)
- ภาพแสดงภาพตัดของบ้านน้ำแพะใน  (หน้า 41)
- ภาพแผนผังเรือนลัวะดั้งเดิม (หน้า 46)
- ภาพองค์ประกอบภายในบ้านจูน  (หน้า 48)
- ภาพตำแหน่งเรือนกรณีศึกษาและส่วนต่างๆของหมู่บ้านจูน  (หน้า 49)
- ภาพองค์ประกอบภายในบ้านน้ำแพะใน (หน้า 84)
- ภาพแผนผังแสดงชุมชนบ้านจูน  (หน้า 103)
- ภาพแผนผังแสดงชุมชน บ้านสกาด (หน้า 104)
- ภาพแผนผังแสดงชุมชนบ้านน้ำแพะใน (หน้า 106)
- ภาพแผนผังแสดงแบบการขยายตัวของบ้านจูน (จากซ้ายไปขวา) (หน้า 107)
- ภาพลักษณะการวางเรือนตามพื้นที่ลาดเอียงของชุมชนบ้านสกาด (หน้า115)
- ภาพการพัฒนาและรูปลักษณ์ของเรือนทั้ง 3 ชุมชน (หน้า 120)

Text Analyst สุนิษา ฝึกฝน Date of Report 06 ม.ค. 2566
TAG ลัวะ, การตั้งถิ่นฐาน, ผังหมู่บ้าน, น่าน, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง