|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ไต ไทใหญ่ในรัฐฉาน, ไทใหญ่ในมณฑลยูนนาน, สังคมและความเป็นอยู่, อาชีพ, ชายแดนยูนนาน – พม่า |
Author |
Aranya Siriphon |
Title |
Weaving the Tai Social World : The Process of Translocality and Alternative Modernities along the Yunnan-Burma Border |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
ไทใหญ่ ไต คนไต,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม) |
Total Pages |
204 หน้า |
Year |
2551 |
Source |
Aranya Siriphon. (2551). Weaving the Tai Social World : the Process of Translocality and Alternative Modernities along the Yunnan-Burma Border. วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิต, สาขาวิชาสังคมศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. |
Abstract |
เป็นการศึกษาถึงเรื่องการข้ามถิ่น ความเป็นอยู่ ความเป็นชาติพันธุ์และค่านิยมในหมู่ชาวไทใหญ่ที่อาศัยอยู่ในเขตชายแดนยูนนาน – พม่า ทั้ง 2ฝั่ง ผ่านการค้าขายและสินค้าในบริเวณเขตชายแดน โดยการลงสำรวจภาคสนามและสัมภาษณ์ เพื่อแสดงให้เห็นถึงรูปแบบทางสังคมวัฒนธรรมที่เปลี่ยนไป
จากการศึกษาพบว่า ภายหลังจากมีการเปิดประเทศ การปรับเปลี่ยนนโยบายทางเศรษฐกิจ และความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลพม่าและจีน ทำให้บริเวณชายแดนยูนนาน – พม่า มีความมีการเปลี่ยนแปลงหลายประการ เช่น การเปลี่ยนบทบาททางสังคมของเพศหญิง อาชีพที่เปลี่ยนไป โอกาสทางการค้าขายที่เพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้มีการอพยพข้ามเขตแดนเพื่อค้าขาย เปิดร้านอาหาร ฯลฯ มากขึ้น และวัฒนธรรมบางอย่างที่เปลี่ยนไป เช่นการหันมานิยมใช้ของและแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่มาจากประเทศไทย เพราะชาวไทใหญ่ถือว่าเป็นพี่น้องกับคนไทย และไม่ใช่พวกเดียวกับคนจีน |
|
Focus |
เน้นการศึกษาเรื่องการข้ามถิ่น ความเป็นอยู่ ความเป็นชาติพันธุ์และค่านิยมในหมู่ชาวไทใหญ่ที่อาศัยอยู่ในเขตชายแดนยูนนาน – พม่า ทั้ง 2ฝั่ง ผ่านการค้าขายและสินค้าในบริเวณเขตชายแดน |
|
Theoretical Issues |
ใช้การลงพื้นที่ ติดตามพ่อค้าแม่ค้าเร่ในการเดินทางข้ามชายแดนไปยังเมืองต่างๆ และค้าขายตามตลาด รวมถึงการสัมภาษณ์ และศึกษางานวิจัยก่อนๆ เพื่ออธิบายถึงลักษณะทางเศรษฐกิจ การเคลื่อนไหวของประชากร และความเป็นอยู่ของชาวไทใหญ่ในบริเวณชายแดนยูนนาน – พม่าทั้ง 2 ฝั่ง |
|
Ethnic Group in the Focus |
ไทใหญ่บริเวณชายแดนยูนนาน – พม่า (ไทใหญ่ในรัฐฉานของพม่า และไทใหญ่ในเขตปกครองตนเอง Dehongของจีน) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
เป็นภาษาที่มาจากสายตระกูลไทตะวันตกเช่นเดียวกับภาษาไทย ภาษาเหนือ ภาษาในแคว้นอัสสัม และภาษาไทใหญ่ในรัฐฉาน
ในฝั่ง Dehong คนไทยสามารถเข้าใจได้ประมาณ 40% อีก 60% มีการผสมกับภาษาจีน ในฝั่งรัฐฉานก็เช่นเดียวกันแต่เป็นการผสมกับภาษาพม่า
ภาษาเขียนเรียกว่า Daina เป็นการแปลงมาจากภาษาพม่าซึ่งแปลงมาจากภาษาสันสกฤตอีกที |
|
Study Period (Data Collection) |
มิถุนายน พ.ศ. 2547 – มิถุนายน พ.ศ. 2548 |
|
History of the Group and Community |
ชายแดนยูนนาน – พม่า ได้เปิดอย่างเป็นทางการเมื่อปีค.ศ. 1978 แต่ว่าประชาชนสามารถใช้ได้เมื่อปีค.ศ. 1996
เขตปกครองตนเอง dehong ได้จัดตั้งขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1953
ในช่วงศตวรรษที่ 13 ชาวไทใหญ่ถือเป็นผู้ที่ครอบครองดินแดนแถบนี้โดยมีการจัดตั้งเป็นอาณาจักรไท ซึ่งมี Sao pha เป็นผู้ปกครอง มีการจัดส่งเครื่องบรรณาการไปให้จักรวรรดิจีน และมีการถูกปกครองโดยพม่ากับจีนสลับกันเป็นช่วงๆ รวมถึงปกครองโดยอังกฤษในช่วงศตวรรตที่ 16 Sao pha อยู่ในความดูแลของพม่าและจีนแต่ยังสามารถปกครองตนเองได้ จนกระทั่งในศตวรรตที่ 19 พม่าถูกปกครองโดยอังกฤษ และมีปัญหาความรุนแรงระหว่างชนกลุ่มน้อยมากมาย ในส่วนที่อยู่กับประเทศจีน ก็ได้รับผลกระทบจากการปฏิวัติจีน |
|
Settlement Pattern |
ชาวไทใหญ่จะอาศัยอยู่ในที่ราบลุ่มแม่น้ำ และพื้นที่ราบต่ำ ซึ่งสามารถปลูกข้าวได้ ส่วนกลุ่มชาติพันธุ์อื่นมักจะอยู่ตามที่ราบสูงและภูเขา เพื่อปลูกพืชจำพวกชาและผลไม้ |
|
Demography |
ภายในเขตปกครองตนเอง Dehong มีประชากรทั้งหมดมากกว่า 1 ล้านคน ประกอบด้วยประชากรจากหลายชาติพันธุ์ โดยมากกว่าครึ่งมาจาก 6 ชนกลุ่มน้อยหลักคือ Achang, ไทใหญ่, Bulong, Han, Jingpo, Lisu
ชาวจีนฮั่น ได้มีการอพยพมายังดินแดนแถบนี้เมื่อประมาณ 200 ปีที่ผ่านมา
มีการรณรงค์ให้ชาวจีนฮั่นอพยพไปอยู่ในแถบ Dehong มากขึ้นเรื่อยๆ
ในปัจจุบัน(มิถุนายน พ.ศ. 2547 – มิถุนายน พ.ศ. 2548)พบว่า 48.31 % ของประชากรเป็นชาวจีนฮั่น 31.9% เป็นชาวไทใหญ่ ที่เหลือคือชนกลุ่มน้อยอื่นๆ
ยังคงมีการอพยพจากฝั่งรัฐฉานประเทศพม่าเข้ามายัง Dehong ประเทศจีนมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากรายได้และความเป็นอยู่ที่ยากจนทางฝั่งพม่า
ในปัจจุบันมีจำนวนอย่างน้อย 35 ครอบครัวที่อพยพมาจากฝั่งรัฐฉานเข้ามาค้าขายในฝั่ง Dehong
ภายหลังจากนโยบายการจัดสรรดินแดนของประเทศจีน ทำให้ที่ดินของชายไทใหญ่ถูกแบ่งออกเป็นส่วนย่อยๆ ซึ่งไม่พอต่อการทำอาชีพเกษตรกรรม ชาวไทใหญ่บางส่วนจึงเลือกที่จะขายที่ดินให้กับชาวจีนฮั่นที่อพยพเข้ามาสร้างสาธารณูปโภคต่างๆ, ขายให้รัฐบาลจีน หรือให้เพื่อนบ้านคนอื่นเช่า ก่อนจะนำเงินที่ได้จากการขายที่มาซื้อบ้านอาศัยอยู่ภายในตัวเมืองและประกอบอาชีพอย่างอื่นแทน |
|
Economy |
ผู้หญิงชาวไทใหญ่จากรัฐฉานที่มายังเขตปกครองตนเอง Dehong มักประกอบอาชีพค้าขาย พนักงานเสิร์ฟในร้านอาหาร แรงงานก่อสร้าง หรือแม้แต่แรงงานเกี่ยวกับเพศ
ในสมัยก่อน ผู้หญิงชาวไทใหญ่ที่เดินทางมาค้าขายนั้น จะมาแค่ช่วงที่ไม่ใช่ฤดูฝน แต่ใน
ปัจจุบันได้เปลี่ยนเป็นการค้าขายแบบเต็มเวลาและทิ้งหน้าที่การประกอบเกษตรกรรมให้กับพ่อแม่หรือคนรุ่นก่อน
อาชีพสำหรับผู้ชายไทใหญ่ในปัจจุบัน เช่น การเกษตร งานก่อสร้าง ขับรถ ขนส่ง หรือแรงงานยกของในตลาด ในขณะที่อาชีพที่เปิดโอกาสให้ผู้หญิงมีน้อยกว่ามาก ผู้หญิงจึงนิยมเปลี่ยนมาประกอบอาชีพค้าขายแทนเนื่องจากเป็นไม่กี่ช่องทางที่สามารถหารายได้ได้
ผู้หญิงบางคนมีการพัฒนาจากการขายของเป็นการตัดเย็บหรือตกแต่งเสื้อผ้า
ในช่วงที่การค้าขายซบเซาระหว่างที่ผู้หญิงค้าขายผู้ชายก็อาจจะกลับไปปลูกพืชเศรษฐกิจเช่นแตงโม
ปัจจุบัน ในการซื้อขายเสื้อผ้าในแถบชายแดนยูนนาน – พม่านั้น พบว่า มีความต้องการสูงเกี่ยวกับเสื้อผ้าพื้นบ้านที่มาจากประเทศไทย รวมถึงการตัดเย็บและตกแต่งด้วยลวดลายของไทย รวมถึงการใช้สินค้าที่มาจากไทย ซึ่งชาวไทใหญ่เชื่อว่าคุณภาพดีกว่า และทนทานกว่าของที่มาจากจีนแม้ว่าราคาจะสูงกว่าถึงสามเท่าก็ตาม
ตลาดกลางเมืองเรียกว่า กาดใหม่ เป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งเป็นสถานที่ที่คนท้องถิ่นจะมาเลือกซื้อและแลกเปลี่ยนสินค้า มีการแบ่งออกเป็นส่วนๆ ตามของที่ขาย เช่น Kad Tangkin ขายอาหาร Kad Koaw ขายเสื้อผ้าเป็นต้น นอกจากตลาดกลางเมืองแล้ว ทุกๆ 5 วันจะมี Wan Kad Je ภายในเมือง ซึ่งให้ผู้คนที่อาศัยอยู่ในบริเวณรอบๆ สามารถมาตั้งร้านขายได้
พ่อค้าแม่ค้าชาวไทใหญ่โดยเฉพาะที่มาจากฝั่งรัฐฉานมักจะตั้งร้านขายสินค้าที่แสดงถึงกลุ่มชาติพันธุ์ เช่นสินค้าที่มาจากประเทศไทย
สินค้าที่พ่อค้าแม่ค้าชาวไทใหญ่มักจะขายคือเครื่องอุปโภคบริโภคทั่วไป เช่นแชมพู บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ชา กาแฟ เครื่องสำอาง VCDเพลงและละคร ฯลฯ อีกประเภทหนึ่งคือสินค้าที่เกี่ยวกับศาสนาพุทธ เช่นรูปพระพุทธเจ้า เป็นต้น สินค้าที่ขายมักจะมาจากบริษัททั้งจากไทยและจีน และบางส่วนมาจากพม่า
เสื้อผ้าที่ขายมีหลายแบบเช่นแบบทั่วไปของชาวจีน โสร่งของพม่า และผ้าซิ่นของไทย โดยเฉพาะผ้าซิ่นที่ได้รับความนิยมในชาวไทใหญ่มาก เพื่อนำไปตัดชุดใส่ไปงานเทศกาล
ผู้ค้ารายย่อยสามารถสั่งซื้อสินค้าได้สองทาง ทางที่หนึ่งคือติดต่อกับบริษัทหรือผู้ค้าโดยตรง ซึ่งสามารถขนส่งได้ภายใน 1 วัน ผ่านทางรถบรรทุก ส่วนอีกวิธีคือการสั่งซื้อผ่านทางผู้ค้าส่ง ซึ่งมีทั้งชาวจีนและชาวไทใหญ่ ส่วนมากมักจะพิจารณาถึงความสัมพันธ์และความใกล้ชิดกับผู้ค้าเพื่อให้ได้สินค้าในราคาที่ถูกลง |
|
Social Organization |
ชาวไทใหญ่เชื่อว่าผู้ชายมีสถานะและบทบาทเหนือกว่าผู้หญิง ซึ่งกำหนดหน้าที่ทางสังคม
ผู้หญิงไทใหญ่จะมีหน้าที่ดูแลงานบ้านต่างๆ เช่น การทอผ้า ทำอาหาร เลี้ยงลูก รวมถึงการทำนาข้าวด้วยเช่นกัน ในขณะที่ผู้ชายไทใหญ่มักจะอยู่เฉยๆ และไม่ทำงานอะไรยกเว้นถูกบังคับ
ชาวไทใหญ่มีค่านิยมที่ว่าผู้ชายเป็นหัวหน้าครอบครัวและผู้หญิงจะต้องเคารพและเชื่อฟังผู้ชาย โดยถูกสอนและฝึกมาตั้งแต่เด็กว่าจะต้องเคารพพ่อและเมื่อแต่งงานออกไปต้องเชื่อฟังสามี
ในปัจจุบัน ผู้หญิงมีสถานะที่ทัดเทียมกับผู้ชายมากขึ้น ตั้งแต่หลังการเปลี่ยนรูปแบบเศรษฐกิจและการศึกษา โดยเฉพาะการค้าขายเนื่องจากว่าผู้หญิงมีบทบาทสำคัญตั้งแต่การผลิต ควบคุม และค้าขาย ทำให้ผู้หญิงเป็นผู้ที่กุมอำนาจทางการเงินของครอบครัว
เนื่องจากปัจจุบันผู้หญิงเป็นฝ่ายมีบทบาทในการค้าขาย ต่อรองและจัดการด้านการเงิน ผู้ชายที่ไม่ถนัดในเรื่องค้าขายนัก จะช่วยเหลือการค้าขายของภรรยาแล้ว ยังต้องเปลี่ยนบทบาทไปเป็นผู้ดูแลเรื่องงานบ้าน ดูแลลูกหรือแกะสลักงานไม้หรืองานที่ตนเองมีฝีมือก่อนจะส่งให้ภรรยานำไปขาย ทำให้ในปัจจุบัน ผู้หญิงมีอำนาจทางเศรษฐกิจมากขึ้นเนื่องจากเป็นผู้หารายได้หลักเข้าสู่ครอบครัว งานการบางอย่างที่เคยเป็นของผู้หญิง ผู้ชายจึงเป็นผู้รับไปทำ เพื่อให้ผู้หญิงสามารถหารายได้เข้าสู่ครอบครัวได้
ปัจจุบัน ความแตกต่างและความไม่เท่าเทียมกันทางเพศในสังคมชาวไทใหญ่จึงลดลงกว่าแต่ก่อน |
|
Political Organization |
ชายแดนเป็นบริเวณที่คลุมเครือ เพราะว่าไม่ได้มีแต่เพียงอำนาจรัฐที่มีบทบาทภายในพื้นที่แต่ยังมีผู้ที่เกี่ยวข้องมีมากมาย เช่น ชาวบ้านแถบชายแดน เป็นต้น
ในการมาเริ่มต้นค้าขายระหว่าง 2 ประเทศนั้น ผู้ที่จะเริ่มต้นมักขอความช่วยเหลือจากญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงที่มาจากหมู่บ้านหรือเมืองเดียวกัน รวมถึงคนรู้จัก เพื่อให้ช่วยติดต่อหาสถานที่ตั้งร้านที่ปลอดภัยและราคาถูก รวมถึงการติดต่อขอซื้อสินค้าซึ่งถ้าเกิดว่ารู้จักกันหรือมีความสนิทสนมกันในระดับหนึ่งแล้วมักจะได้เครดิตในการซื้อของไปขายได้ ผู้ที่มาก่อนมักจะคอยให้คำแนะนำและความช่วยเหลือแก่ผู้ที่มาใหม่ตามวัฒนธรรม พี่น้อง และเพื่อนที่เรียกว่า Taiko
นอกจากนั้นยังมีความสัมพันธ์กับคนไทใหญ่ด้วยกันเองแล้ว ชาวไทใหญ่ที่มาค้าขายยังมักจะสานสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือที่เรียกว่า Konlong โดยการให้สิ่งของเล็กๆน้อยๆ เพื่อให้เจ้าหน้าที่อนุมัติใบประกอบร้านอาหารให้ง่ายขึ้น, ต่อใบอนุญาตในการอยู่ข้ามเมืองได้นานขึ้นเป็นต้น
ความสัมพันธ์ทุกรูปแบบนั้นจะขึ้นกับความเชื่อใจและผลประโยชน์ร่วมกัน
นอกจากความสัมพันธ์ยังมีสถานะ border resident ที่สามารถช่วยให้การค้าขายและประกอบอาชีพระหว่างชายแดนสองฝั่งเป็นไปได้อย่างสะดวกมากขึ้น |
|
Belief System |
ชาวไทใหญ่นับถือศาสนาพุทธ นิกายเถรวาท |
|
Education and Socialization |
สมัยก่อนมีการเรียนที่วัด
ในปัจจุบันผู้หญิงสามารถเข้าเรียนได้ และสามารถศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้นในเมืองใหญ่
ผู้หญิงชาวไทใหญ่จะมีทักษะด้านการตัดเย็บเสื้อผ้า ซึ่งถ่ายทอดมาจากแม่
ปัจจุบันทักษะการตัดเย็บเสื้อผ้ากำลังได้รับความนิยมมากขึ้นโดยเฉพาะการตัดเย็บเสื้อผ้าในแบบที่มาจากไทย ทำให้เกิดการเรียนรู้ผ่านผู้ที่มีความรู้ หนังสือ ฯลฯ
พ่อค้าแม่ค้าในสมัยปัจจุบันต่างก็ได้รับการศึกษาถึงระดับมัธยมศึกษาตอนปลายหรือมหาวิทยาลัยแต่เนื่องจากไม่สามารถหางานที่ดีและรายได้มากพอภายในพม่า จึงเปลี่ยนมาทำอาชีพค้าขายที่ให้รายได้สูงกว่าแทน |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
การแต่งกายของชายไทใหญ่ในยูนนานสามารถบ่งบอกถึงฐานะทางสังคมได้ เช่นสามารถแยกระหว่างผู้หญิงโสดและผู้หญิงที่มีครอบครัวแล้วได้ผ่านเครื่องประดับที่เรียกว่า Xiaoho แยกอายุของผู้สวมใส่ได้ผ่านสีและรูปแบบของผ้าซิ่นและเสื้อ โดยผู้หญิงสาวทั้งที่โสดและแต่งงานแล้วจะสวมเสื้อและผ้าซิ่นสีสันสดใส ในขณะที่ผู้เฒ่าจะใส่สีดำหรือเทา
เด็กทั้งชายและหญิงจะใส่กางเกงและเสื้อตามประเพณีของเผ่า
นอกจากนั้นถ้าเกิดว่าเป็นหญิงสาวร่ำรวยและสูงศักดิ์ จะสวมใส่ผ้าซิ่นที่เรียกว่าซิ่นฟ้าสี่ตีน คือมีลวดลายอยู่บริเวณขอบผ้าซิ่น 4 แบบ รวมถึงใส่เสื้อผ้าไหมสีทอง ผู้หญิงทั่วไปจะใส่ผ้าซิ่นสามตีนและเสื้อสีสันสดใส ในขณะที่ผู้ที่ยากจนมักจะใส่ผ้าซิ่นสองตีน
ในปัจจุบันผ้าซิ่นสามตีนยังคงมีการสวมใส่อยู่แสดงถึงฐานะปานกลาง แต่ซิ่นฟ้าสี่ตีนได้หายไป เมื่อมีการบังคับใช้กฎหมายคอมมิวนิสต์ในช่วงปีค.ศ. 1950
ในชีวิตประจำวัน ปกติผู้หญิงมักจะใส่เสื้อยืด กางเกงยีนส์และรองเท้าส้นสูงตามแฟชั่นแบบจีน แต่หลังจากแต่งงาน ผู้หญิงไทใหญ่มักจะเปลี่ยนมาใส่เสื้อผ้าหน้าสีดำ รวบผมมวย
ในวันปกติผู้ชายมักจะใส่เสื้อยืด เสื้อเชิ้ตและกางเกง ยกเว้นในโอกาสพิเศษ เช่น งานเทศกาลที่จะใส่เสื้อสไตล์ไทใหญ่ เสื้อสไตล์ฉาน และ กางเกง kon si
นอกจากนั้นการแต่งตัวในรูปแบบเดียวกันแสดงให้เห็นว่ามาจากหมู่บ้านหรือว่าเมืองเดียวกัน ในสมัยก่อนสมาชิกในกลุ่มจะมาเลือกผ้า เลือกแบบก่อนที่จะช่วยกันตัดเย็บเสื้อผ้าให้ออกมาในรูปแบบเดียวกัน แต่ในปัจจุบันมักจะนิยมไปที่ร้านตัดเสื้อผ้าในตลาดเลือกผ้าและสั่งตัด
แต่ละเมืองก็จะมีรูปแบบการแต่งตัวที่เฉพาะไม่เหมือนกัน แตกต่างกันในบางจุด
ในปัจจุบันการที่ผู้ชายใส่เสื้อยืดและกางเกงที่มาจากประเทศไทยและผู้หญิงที่ใส่ผ้าซิ่นที่เป็นรูปแบบของไทยจะได้รับการยอมรับ แสดงถึงฐานะความร่ำรวยของผู้ใส่ ในขณะที่การแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าแบบจีนมาในงานเทศกาลถือเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ เพราะถือว่าคนๆนั้นเป็นคนจีน ไม่ใช่ไทใหญ่ ทำให้ครอบครัวเสียชื่อเสียง |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ชาวจีนฮั่นปกครองชาวไทใหญ่ด้วยหลายวิธี เช่น แบบBarbarians ruling Barbariansหรือแบบdirect sinicization and ethnic assimilationซึ่งทำให้ชาวไทใหญ่รู้สึกด้อยกว่าชาวจีนฮั่น โดยเฉพาะเมื่อสิ่งของทางวัฒนธรรมถูกทำลายในช่วงรัฐบาลคอมมิวนิสต์ช่วงแรกๆ และหลังจากนโยบายจัดสรรที่ดินที่ทำให้ชาวไทใหญ่รู้สึกตัวเองเสียศักดิ์ศรีและด้อยกว่าชาวจีนทั่วไป จึงพยายามที่จะหลีกเลี่ยงความรู้สึกเล่านั้นด้วยการนำเอาวัฒนธรรมของไทย ซึ่งถือว่าเป็นเมืองพี่น้อง
จากการศึกษาประวัติศาสตร์ทั้งจากนักวิชาการชาวไทยและชาวไทใหญ่ที่พบว่า คนไทยอาจจะอพยพมาจากประเทศจีนทางตอนใต้ และนับเป็นพี่น้องกับชาวไทใหญ่ รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างนักวิชาการทั้งสองฝ่าย ความเป็นญาติพี่น้องในหมู่ชาวไทใหญ่กับชาวไทย การเข้าถึงสื่อ และกิจกรรมทางสังคมและศาสนาของพระราชวงศ์ของไทย เช่น การทอดกฐินพระราชทานที่วัดของไทใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นต้น ทำให้ชาวไทใหญ่ที่ในปัจจุบันไม่มี Sao pha อันเป็นผู้ปกครองเมืองแล้ว หันมานับถือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็น Khun Horkham แทน ทำให้รู้สึกว่าไทใหญ่กับไทยนั้นเป็นบ้านพี่เมืองน้องกัน และภาพลักษณ์ของไทยที่เจริญทำให้รู้สึกว่าตนเองนั้นก็คือคนไทนอกประเทศไทย |
|
Social Cultural and Identity Change |
ในสมัยก่อนที่จะเปิดชายแดนผู้หญิงไทใหญ่ในฝั่ง Dehong มักจะเลือกแต่งงานกับผู้ชายชาวพม่า เนื่องจากปัญหาความยากจน แต่ในปัจจุบันภายหลังจากการเปิดเขตการค้าในแถบชายแดน มีผู้หญิงชาวพม่าจำนวนมากที่ต้องการจะแต่งงานกับผู้ชายชาวจีน
ภายหลังจากการเปิดพรมแดนและเปลี่ยนแปลงนโยบายทางเศรษฐกิจของจีนและนโยบายการจัดสรรพื้นที่ ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในหลายๆ ด้านโดยเฉพาะในเรื่องอาชีพ และบทบาทของเพศในสังคมชาวไทใหญ่ รวมถึงค่านิยม ที่ภายหลังจากการที่ไม่สามารถมีดินแดนเป็นของตนเอง ทำให้รู้สึกว่าตนด้อยกว่าชาวจีนฮั่น ชาวไทใหญ่จึงหันมาแสดงออกด้วยการนิยมวัฒนธรรมที่มาจากดินแดนที่ถือเป็นพี่น้อง ซึ่งก็คือประเทศไทย |
|
Critic Issues |
การค้าระหว่างชายแดนพม่า – จีนนั้นขึ้นกับความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศเป็นหลัก นอกจากนั้นในบริเวณชายแดนเป็นบริเวณที่คลุมเครือเพราะว่าชาวบ้านในท้องถิ่นก็มีบทบาทในการใช้ประโยชน์จากชายแดนแถบนี้เช่นกัน ซึ่งชาวบ้านทั้ง 2 ฝั่งต่างพยายามหาช่องทางในการหารายได้จากความแตกต่างระหว่าง 2 ประเทศ เช่น การซื้อจักรยานยนต์จากฝั่งจีนก่อนขับเข้าไปขายในฝั่งพม่า โดยที่ไม่ต้องเสียภาษีนำเข้าให้กับทางรัฐบาลพม่า หรือเขตเศรษฐกิจ Jiagao ที่ยกเว้นการเก็บภาษีให้กับสินค้าบางประเภทภายในเงื่อนไขที่กำหนด ซึ่งก็มีประชากรบางกลุ่มที่พยายามหาช่องทางเพื่อให้ได้รับการยกเว้นการเก็บภาษีเช่นการขึ้นทะเบียนรถยนต์ญี่ปุ่นเป็นต้น |
|
Map/Illustration |
1. ภาพแสดงแผนที่ที่ทำการศึกษาบริเวณชายแดนยูนนาน – พม่า
2. แผนที่แสดงอาณาเขตของเขตปกครองตนเอง Dehong ของประเทศจีน
3. แผนที่แสดงเขตปกครองตนเอง Dehong และเมืองรอบชายแดนยูนนาน – พม่า
4. รูปภาพแสดงท่าเรือท้องถิ่นที่ใช้ในการข้ามพรมแดน
5. รูปภาพแสดงรถจักรยานยนต์บรรทุกสินค้าที่ซื้อภายในเมือง Ruili ชายแดนประเทศจีน
6. รูปภาพแสดงผืนดินของชาวไทใหญ่ภายในเขตปกครองตนเอง Dehong ที่ได้ขายหรือให้ชาวจีนเช่า
7.รูปภาพแสดงเสื้อผ้าและสินค้าจากประเทศไทย,รัฐฉานของพม่า และประเทศจีนที่กำลังนำไปขายที่ตลาดกลางเมือง Luxi
8. รูปภาพแสดงพ่อค้าเร่ชาวไทใหญ่จากรัฐฉานขายสินค้าเช่นแชมพู ครีมจากพม่า ไทย และจีนในงานเทศกาล
9. รูปภาพแสดงชาวไทใหญ่ใน Dehong เลือกซื้อเสื้อผ้าในตลาด Wad Kad
10. รูปภาพแสดงพ่อค้าแม่ค้าเร่ขายสินค้าไทยและจีนในตลาดเคลื่อนที่
11. ป้ายแสดงกฐินพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวใน Dehong
12. รูปภาพแสดงพิธีกฐินพระราชทานที่วัด Wuyun ในเมือง Luxi
13. รูปภาพแสดงสถานีโทรทัศน์ MNLTS ที่ออกอากาศด้วยภาษาไทใหญ่
14. รูปภาพแสดงสามีชาวไทใหญ่กำลังช่วยภรรยาขนสินค้าขึ้นรถเพื่อไปขาย
15. รูปภาพแสดงร้านตัดเสื้อของชาว Dehong ภายในตลาดกลางของเมือง Luxi
16. รูปภาพแสดงการแต่งกายของสตรีโสดชาวไทใหญ่ใน Dehong ในอดีต
17. รูปภาพแสดงการแต่งกายของสตรีไทใหญ่ใน Dehong ที่แต่งงานแล้วในงานเทศกาล
18. รูปภาพแสดงการแต่งกายที่เหมือนกันของชาวไทใหญ่ที่มาจากเมืองเดียวกัน
19. รูปภาพแสดงการขายผ้าที่มาจากประเทศไทยในตลาดกลางเมือง Luxi
20. รูปภาพแสดงแตงโม ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจหลักนอกจากข้าวของชาวไทใหญ่ |
|
|