สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ไต ไทใหญ่ในรัฐฉาน, ไทใหญ่ในมณฑลยูนนาน, สังคมและความเป็นอยู่, อาชีพ, ชายแดนยูนนาน – พม่า
Author Aranya Siriphon
Title Weaving the Tai Social World : The Process of Translocality and Alternative Modernities along the Yunnan-Burma Border
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาอังกฤษ
Ethnic Identity ไทใหญ่ ไต คนไต, Language and Linguistic Affiliations ไท(Tai)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม)
Total Pages 204 หน้า Year 2551
Source Aranya Siriphon. (2551). Weaving the Tai Social World : the Process of Translocality and Alternative Modernities along the Yunnan-Burma Border. วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิต, สาขาวิชาสังคมศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
Abstract

เป็นการศึกษาถึงเรื่องการข้ามถิ่น ความเป็นอยู่ ความเป็นชาติพันธุ์และค่านิยมในหมู่ชาวไทใหญ่ที่อาศัยอยู่ในเขตชายแดนยูนนาน – พม่า ทั้ง 2ฝั่ง ผ่านการค้าขายและสินค้าในบริเวณเขตชายแดน โดยการลงสำรวจภาคสนามและสัมภาษณ์ เพื่อแสดงให้เห็นถึงรูปแบบทางสังคมวัฒนธรรมที่เปลี่ยนไป

จากการศึกษาพบว่า ภายหลังจากมีการเปิดประเทศ การปรับเปลี่ยนนโยบายทางเศรษฐกิจ และความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลพม่าและจีน ทำให้บริเวณชายแดนยูนนาน – พม่า มีความมีการเปลี่ยนแปลงหลายประการ เช่น การเปลี่ยนบทบาททางสังคมของเพศหญิง อาชีพที่เปลี่ยนไป โอกาสทางการค้าขายที่เพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้มีการอพยพข้ามเขตแดนเพื่อค้าขาย เปิดร้านอาหาร ฯลฯ มากขึ้น และวัฒนธรรมบางอย่างที่เปลี่ยนไป เช่นการหันมานิยมใช้ของและแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่มาจากประเทศไทย เพราะชาวไทใหญ่ถือว่าเป็นพี่น้องกับคนไทย และไม่ใช่พวกเดียวกับคนจีน

Focus

เน้นการศึกษาเรื่องการข้ามถิ่น ความเป็นอยู่ ความเป็นชาติพันธุ์และค่านิยมในหมู่ชาวไทใหญ่ที่อาศัยอยู่ในเขตชายแดนยูนนาน – พม่า ทั้ง 2ฝั่ง ผ่านการค้าขายและสินค้าในบริเวณเขตชายแดน 

Theoretical Issues

ใช้การลงพื้นที่ ติดตามพ่อค้าแม่ค้าเร่ในการเดินทางข้ามชายแดนไปยังเมืองต่างๆ และค้าขายตามตลาด รวมถึงการสัมภาษณ์ และศึกษางานวิจัยก่อนๆ เพื่ออธิบายถึงลักษณะทางเศรษฐกิจ การเคลื่อนไหวของประชากร และความเป็นอยู่ของชาวไทใหญ่ในบริเวณชายแดนยูนนาน – พม่าทั้ง 2 ฝั่ง

Ethnic Group in the Focus

ไทใหญ่บริเวณชายแดนยูนนาน – พม่า (ไทใหญ่ในรัฐฉานของพม่า และไทใหญ่ในเขตปกครองตนเอง Dehongของจีน)

Language and Linguistic Affiliations

เป็นภาษาที่มาจากสายตระกูลไทตะวันตกเช่นเดียวกับภาษาไทย ภาษาเหนือ ภาษาในแคว้นอัสสัม และภาษาไทใหญ่ในรัฐฉาน

ในฝั่ง Dehong คนไทยสามารถเข้าใจได้ประมาณ 40% อีก 60% มีการผสมกับภาษาจีน ในฝั่งรัฐฉานก็เช่นเดียวกันแต่เป็นการผสมกับภาษาพม่า

ภาษาเขียนเรียกว่า Daina เป็นการแปลงมาจากภาษาพม่าซึ่งแปลงมาจากภาษาสันสกฤตอีกที

Study Period (Data Collection)

มิถุนายน พ.ศ. 2547 – มิถุนายน พ.ศ. 2548

History of the Group and Community

ชายแดนยูนนาน – พม่า ได้เปิดอย่างเป็นทางการเมื่อปีค.ศ. 1978 แต่ว่าประชาชนสามารถใช้ได้เมื่อปีค.ศ. 1996
เขตปกครองตนเอง dehong ได้จัดตั้งขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1953

ในช่วงศตวรรษที่ 13 ชาวไทใหญ่ถือเป็นผู้ที่ครอบครองดินแดนแถบนี้โดยมีการจัดตั้งเป็นอาณาจักรไท ซึ่งมี Sao pha เป็นผู้ปกครอง มีการจัดส่งเครื่องบรรณาการไปให้จักรวรรดิจีน และมีการถูกปกครองโดยพม่ากับจีนสลับกันเป็นช่วงๆ รวมถึงปกครองโดยอังกฤษในช่วงศตวรรตที่ 16 Sao pha อยู่ในความดูแลของพม่าและจีนแต่ยังสามารถปกครองตนเองได้ จนกระทั่งในศตวรรตที่ 19 พม่าถูกปกครองโดยอังกฤษ และมีปัญหาความรุนแรงระหว่างชนกลุ่มน้อยมากมาย ในส่วนที่อยู่กับประเทศจีน ก็ได้รับผลกระทบจากการปฏิวัติจีน

Settlement Pattern

ชาวไทใหญ่จะอาศัยอยู่ในที่ราบลุ่มแม่น้ำ และพื้นที่ราบต่ำ ซึ่งสามารถปลูกข้าวได้ ส่วนกลุ่มชาติพันธุ์อื่นมักจะอยู่ตามที่ราบสูงและภูเขา เพื่อปลูกพืชจำพวกชาและผลไม้

Demography

ภายในเขตปกครองตนเอง Dehong มีประชากรทั้งหมดมากกว่า 1 ล้านคน ประกอบด้วยประชากรจากหลายชาติพันธุ์ โดยมากกว่าครึ่งมาจาก 6 ชนกลุ่มน้อยหลักคือ Achang, ไทใหญ่, Bulong, Han, Jingpo, Lisu
ชาวจีนฮั่น ได้มีการอพยพมายังดินแดนแถบนี้เมื่อประมาณ 200 ปีที่ผ่านมา
มีการรณรงค์ให้ชาวจีนฮั่นอพยพไปอยู่ในแถบ Dehong มากขึ้นเรื่อยๆ
ในปัจจุบัน(มิถุนายน พ.ศ. 2547 – มิถุนายน พ.ศ. 2548)พบว่า 48.31 % ของประชากรเป็นชาวจีนฮั่น 31.9% เป็นชาวไทใหญ่ ที่เหลือคือชนกลุ่มน้อยอื่นๆ
ยังคงมีการอพยพจากฝั่งรัฐฉานประเทศพม่าเข้ามายัง Dehong ประเทศจีนมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากรายได้และความเป็นอยู่ที่ยากจนทางฝั่งพม่า
 
 
ในปัจจุบันมีจำนวนอย่างน้อย 35 ครอบครัวที่อพยพมาจากฝั่งรัฐฉานเข้ามาค้าขายในฝั่ง Dehong
 
ภายหลังจากนโยบายการจัดสรรดินแดนของประเทศจีน ทำให้ที่ดินของชายไทใหญ่ถูกแบ่งออกเป็นส่วนย่อยๆ ซึ่งไม่พอต่อการทำอาชีพเกษตรกรรม ชาวไทใหญ่บางส่วนจึงเลือกที่จะขายที่ดินให้กับชาวจีนฮั่นที่อพยพเข้ามาสร้างสาธารณูปโภคต่างๆ, ขายให้รัฐบาลจีน หรือให้เพื่อนบ้านคนอื่นเช่า ก่อนจะนำเงินที่ได้จากการขายที่มาซื้อบ้านอาศัยอยู่ภายในตัวเมืองและประกอบอาชีพอย่างอื่นแทน

Economy

ผู้หญิงชาวไทใหญ่จากรัฐฉานที่มายังเขตปกครองตนเอง Dehong มักประกอบอาชีพค้าขาย พนักงานเสิร์ฟในร้านอาหาร แรงงานก่อสร้าง หรือแม้แต่แรงงานเกี่ยวกับเพศ
ในสมัยก่อน ผู้หญิงชาวไทใหญ่ที่เดินทางมาค้าขายนั้น จะมาแค่ช่วงที่ไม่ใช่ฤดูฝน แต่ใน
 
ปัจจุบันได้เปลี่ยนเป็นการค้าขายแบบเต็มเวลาและทิ้งหน้าที่การประกอบเกษตรกรรมให้กับพ่อแม่หรือคนรุ่นก่อน
 
อาชีพสำหรับผู้ชายไทใหญ่ในปัจจุบัน เช่น การเกษตร งานก่อสร้าง ขับรถ ขนส่ง หรือแรงงานยกของในตลาด ในขณะที่อาชีพที่เปิดโอกาสให้ผู้หญิงมีน้อยกว่ามาก ผู้หญิงจึงนิยมเปลี่ยนมาประกอบอาชีพค้าขายแทนเนื่องจากเป็นไม่กี่ช่องทางที่สามารถหารายได้ได้
ผู้หญิงบางคนมีการพัฒนาจากการขายของเป็นการตัดเย็บหรือตกแต่งเสื้อผ้า
ในช่วงที่การค้าขายซบเซาระหว่างที่ผู้หญิงค้าขายผู้ชายก็อาจจะกลับไปปลูกพืชเศรษฐกิจเช่นแตงโม
 
ปัจจุบัน ในการซื้อขายเสื้อผ้าในแถบชายแดนยูนนาน – พม่านั้น พบว่า มีความต้องการสูงเกี่ยวกับเสื้อผ้าพื้นบ้านที่มาจากประเทศไทย รวมถึงการตัดเย็บและตกแต่งด้วยลวดลายของไทย รวมถึงการใช้สินค้าที่มาจากไทย ซึ่งชาวไทใหญ่เชื่อว่าคุณภาพดีกว่า และทนทานกว่าของที่มาจากจีนแม้ว่าราคาจะสูงกว่าถึงสามเท่าก็ตาม
 
ตลาดกลางเมืองเรียกว่า กาดใหม่ เป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งเป็นสถานที่ที่คนท้องถิ่นจะมาเลือกซื้อและแลกเปลี่ยนสินค้า มีการแบ่งออกเป็นส่วนๆ ตามของที่ขาย เช่น Kad Tangkin ขายอาหาร Kad Koaw ขายเสื้อผ้าเป็นต้น นอกจากตลาดกลางเมืองแล้ว ทุกๆ 5 วันจะมี Wan Kad Je ภายในเมือง ซึ่งให้ผู้คนที่อาศัยอยู่ในบริเวณรอบๆ สามารถมาตั้งร้านขายได้
พ่อค้าแม่ค้าชาวไทใหญ่โดยเฉพาะที่มาจากฝั่งรัฐฉานมักจะตั้งร้านขายสินค้าที่แสดงถึงกลุ่มชาติพันธุ์ เช่นสินค้าที่มาจากประเทศไทย
 
สินค้าที่พ่อค้าแม่ค้าชาวไทใหญ่มักจะขายคือเครื่องอุปโภคบริโภคทั่วไป เช่นแชมพู บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ชา กาแฟ เครื่องสำอาง VCDเพลงและละคร ฯลฯ อีกประเภทหนึ่งคือสินค้าที่เกี่ยวกับศาสนาพุทธ เช่นรูปพระพุทธเจ้า เป็นต้น สินค้าที่ขายมักจะมาจากบริษัททั้งจากไทยและจีน และบางส่วนมาจากพม่า
 
เสื้อผ้าที่ขายมีหลายแบบเช่นแบบทั่วไปของชาวจีน โสร่งของพม่า และผ้าซิ่นของไทย โดยเฉพาะผ้าซิ่นที่ได้รับความนิยมในชาวไทใหญ่มาก เพื่อนำไปตัดชุดใส่ไปงานเทศกาล
ผู้ค้ารายย่อยสามารถสั่งซื้อสินค้าได้สองทาง ทางที่หนึ่งคือติดต่อกับบริษัทหรือผู้ค้าโดยตรง ซึ่งสามารถขนส่งได้ภายใน 1 วัน ผ่านทางรถบรรทุก ส่วนอีกวิธีคือการสั่งซื้อผ่านทางผู้ค้าส่ง ซึ่งมีทั้งชาวจีนและชาวไทใหญ่ ส่วนมากมักจะพิจารณาถึงความสัมพันธ์และความใกล้ชิดกับผู้ค้าเพื่อให้ได้สินค้าในราคาที่ถูกลง

Social Organization

ชาวไทใหญ่เชื่อว่าผู้ชายมีสถานะและบทบาทเหนือกว่าผู้หญิง ซึ่งกำหนดหน้าที่ทางสังคม
ผู้หญิงไทใหญ่จะมีหน้าที่ดูแลงานบ้านต่างๆ เช่น การทอผ้า ทำอาหาร เลี้ยงลูก รวมถึงการทำนาข้าวด้วยเช่นกัน ในขณะที่ผู้ชายไทใหญ่มักจะอยู่เฉยๆ และไม่ทำงานอะไรยกเว้นถูกบังคับ
 
ชาวไทใหญ่มีค่านิยมที่ว่าผู้ชายเป็นหัวหน้าครอบครัวและผู้หญิงจะต้องเคารพและเชื่อฟังผู้ชาย โดยถูกสอนและฝึกมาตั้งแต่เด็กว่าจะต้องเคารพพ่อและเมื่อแต่งงานออกไปต้องเชื่อฟังสามี
 
ในปัจจุบัน ผู้หญิงมีสถานะที่ทัดเทียมกับผู้ชายมากขึ้น ตั้งแต่หลังการเปลี่ยนรูปแบบเศรษฐกิจและการศึกษา โดยเฉพาะการค้าขายเนื่องจากว่าผู้หญิงมีบทบาทสำคัญตั้งแต่การผลิต ควบคุม และค้าขาย ทำให้ผู้หญิงเป็นผู้ที่กุมอำนาจทางการเงินของครอบครัว
เนื่องจากปัจจุบันผู้หญิงเป็นฝ่ายมีบทบาทในการค้าขาย ต่อรองและจัดการด้านการเงิน ผู้ชายที่ไม่ถนัดในเรื่องค้าขายนัก จะช่วยเหลือการค้าขายของภรรยาแล้ว ยังต้องเปลี่ยนบทบาทไปเป็นผู้ดูแลเรื่องงานบ้าน ดูแลลูกหรือแกะสลักงานไม้หรืองานที่ตนเองมีฝีมือก่อนจะส่งให้ภรรยานำไปขาย ทำให้ในปัจจุบัน ผู้หญิงมีอำนาจทางเศรษฐกิจมากขึ้นเนื่องจากเป็นผู้หารายได้หลักเข้าสู่ครอบครัว งานการบางอย่างที่เคยเป็นของผู้หญิง ผู้ชายจึงเป็นผู้รับไปทำ เพื่อให้ผู้หญิงสามารถหารายได้เข้าสู่ครอบครัวได้
 
ปัจจุบัน ความแตกต่างและความไม่เท่าเทียมกันทางเพศในสังคมชาวไทใหญ่จึงลดลงกว่าแต่ก่อน

Political Organization

ชายแดนเป็นบริเวณที่คลุมเครือ เพราะว่าไม่ได้มีแต่เพียงอำนาจรัฐที่มีบทบาทภายในพื้นที่แต่ยังมีผู้ที่เกี่ยวข้องมีมากมาย เช่น ชาวบ้านแถบชายแดน เป็นต้น
 
ในการมาเริ่มต้นค้าขายระหว่าง 2 ประเทศนั้น ผู้ที่จะเริ่มต้นมักขอความช่วยเหลือจากญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงที่มาจากหมู่บ้านหรือเมืองเดียวกัน รวมถึงคนรู้จัก เพื่อให้ช่วยติดต่อหาสถานที่ตั้งร้านที่ปลอดภัยและราคาถูก รวมถึงการติดต่อขอซื้อสินค้าซึ่งถ้าเกิดว่ารู้จักกันหรือมีความสนิทสนมกันในระดับหนึ่งแล้วมักจะได้เครดิตในการซื้อของไปขายได้ ผู้ที่มาก่อนมักจะคอยให้คำแนะนำและความช่วยเหลือแก่ผู้ที่มาใหม่ตามวัฒนธรรม พี่น้อง และเพื่อนที่เรียกว่า Taiko
 
นอกจากนั้นยังมีความสัมพันธ์กับคนไทใหญ่ด้วยกันเองแล้ว ชาวไทใหญ่ที่มาค้าขายยังมักจะสานสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือที่เรียกว่า Konlong โดยการให้สิ่งของเล็กๆน้อยๆ  เพื่อให้เจ้าหน้าที่อนุมัติใบประกอบร้านอาหารให้ง่ายขึ้น, ต่อใบอนุญาตในการอยู่ข้ามเมืองได้นานขึ้นเป็นต้น
 
ความสัมพันธ์ทุกรูปแบบนั้นจะขึ้นกับความเชื่อใจและผลประโยชน์ร่วมกัน
นอกจากความสัมพันธ์ยังมีสถานะ border resident ที่สามารถช่วยให้การค้าขายและประกอบอาชีพระหว่างชายแดนสองฝั่งเป็นไปได้อย่างสะดวกมากขึ้น

Belief System

ชาวไทใหญ่นับถือศาสนาพุทธ นิกายเถรวาท

Education and Socialization

สมัยก่อนมีการเรียนที่วัด
ในปัจจุบันผู้หญิงสามารถเข้าเรียนได้ และสามารถศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้นในเมืองใหญ่
ผู้หญิงชาวไทใหญ่จะมีทักษะด้านการตัดเย็บเสื้อผ้า ซึ่งถ่ายทอดมาจากแม่
 
ปัจจุบันทักษะการตัดเย็บเสื้อผ้ากำลังได้รับความนิยมมากขึ้นโดยเฉพาะการตัดเย็บเสื้อผ้าในแบบที่มาจากไทย ทำให้เกิดการเรียนรู้ผ่านผู้ที่มีความรู้ หนังสือ ฯลฯ
 
พ่อค้าแม่ค้าในสมัยปัจจุบันต่างก็ได้รับการศึกษาถึงระดับมัธยมศึกษาตอนปลายหรือมหาวิทยาลัยแต่เนื่องจากไม่สามารถหางานที่ดีและรายได้มากพอภายในพม่า จึงเปลี่ยนมาทำอาชีพค้าขายที่ให้รายได้สูงกว่าแทน

Health and Medicine

ไม่มีข้อมูล

Art and Crafts (including Clothing Costume)

การแต่งกายของชายไทใหญ่ในยูนนานสามารถบ่งบอกถึงฐานะทางสังคมได้ เช่นสามารถแยกระหว่างผู้หญิงโสดและผู้หญิงที่มีครอบครัวแล้วได้ผ่านเครื่องประดับที่เรียกว่า Xiaoho แยกอายุของผู้สวมใส่ได้ผ่านสีและรูปแบบของผ้าซิ่นและเสื้อ โดยผู้หญิงสาวทั้งที่โสดและแต่งงานแล้วจะสวมเสื้อและผ้าซิ่นสีสันสดใส ในขณะที่ผู้เฒ่าจะใส่สีดำหรือเทา
เด็กทั้งชายและหญิงจะใส่กางเกงและเสื้อตามประเพณีของเผ่า
 
นอกจากนั้นถ้าเกิดว่าเป็นหญิงสาวร่ำรวยและสูงศักดิ์ จะสวมใส่ผ้าซิ่นที่เรียกว่าซิ่นฟ้าสี่ตีน คือมีลวดลายอยู่บริเวณขอบผ้าซิ่น 4 แบบ รวมถึงใส่เสื้อผ้าไหมสีทอง ผู้หญิงทั่วไปจะใส่ผ้าซิ่นสามตีนและเสื้อสีสันสดใส ในขณะที่ผู้ที่ยากจนมักจะใส่ผ้าซิ่นสองตีน
ในปัจจุบันผ้าซิ่นสามตีนยังคงมีการสวมใส่อยู่แสดงถึงฐานะปานกลาง แต่ซิ่นฟ้าสี่ตีนได้หายไป เมื่อมีการบังคับใช้กฎหมายคอมมิวนิสต์ในช่วงปีค.ศ. 1950
 
ในชีวิตประจำวัน ปกติผู้หญิงมักจะใส่เสื้อยืด กางเกงยีนส์และรองเท้าส้นสูงตามแฟชั่นแบบจีน แต่หลังจากแต่งงาน ผู้หญิงไทใหญ่มักจะเปลี่ยนมาใส่เสื้อผ้าหน้าสีดำ รวบผมมวย
ในวันปกติผู้ชายมักจะใส่เสื้อยืด เสื้อเชิ้ตและกางเกง ยกเว้นในโอกาสพิเศษ เช่น งานเทศกาลที่จะใส่เสื้อสไตล์ไทใหญ่ เสื้อสไตล์ฉาน และ กางเกง kon si
 
นอกจากนั้นการแต่งตัวในรูปแบบเดียวกันแสดงให้เห็นว่ามาจากหมู่บ้านหรือว่าเมืองเดียวกัน ในสมัยก่อนสมาชิกในกลุ่มจะมาเลือกผ้า เลือกแบบก่อนที่จะช่วยกันตัดเย็บเสื้อผ้าให้ออกมาในรูปแบบเดียวกัน แต่ในปัจจุบันมักจะนิยมไปที่ร้านตัดเสื้อผ้าในตลาดเลือกผ้าและสั่งตัด
 
แต่ละเมืองก็จะมีรูปแบบการแต่งตัวที่เฉพาะไม่เหมือนกัน แตกต่างกันในบางจุด
ในปัจจุบันการที่ผู้ชายใส่เสื้อยืดและกางเกงที่มาจากประเทศไทยและผู้หญิงที่ใส่ผ้าซิ่นที่เป็นรูปแบบของไทยจะได้รับการยอมรับ แสดงถึงฐานะความร่ำรวยของผู้ใส่ ในขณะที่การแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าแบบจีนมาในงานเทศกาลถือเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ เพราะถือว่าคนๆนั้นเป็นคนจีน ไม่ใช่ไทใหญ่ ทำให้ครอบครัวเสียชื่อเสียง

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ชาวจีนฮั่นปกครองชาวไทใหญ่ด้วยหลายวิธี เช่น แบบBarbarians ruling Barbariansหรือแบบdirect sinicization and ethnic assimilationซึ่งทำให้ชาวไทใหญ่รู้สึกด้อยกว่าชาวจีนฮั่น โดยเฉพาะเมื่อสิ่งของทางวัฒนธรรมถูกทำลายในช่วงรัฐบาลคอมมิวนิสต์ช่วงแรกๆ และหลังจากนโยบายจัดสรรที่ดินที่ทำให้ชาวไทใหญ่รู้สึกตัวเองเสียศักดิ์ศรีและด้อยกว่าชาวจีนทั่วไป จึงพยายามที่จะหลีกเลี่ยงความรู้สึกเล่านั้นด้วยการนำเอาวัฒนธรรมของไทย ซึ่งถือว่าเป็นเมืองพี่น้อง
 
จากการศึกษาประวัติศาสตร์ทั้งจากนักวิชาการชาวไทยและชาวไทใหญ่ที่พบว่า คนไทยอาจจะอพยพมาจากประเทศจีนทางตอนใต้ และนับเป็นพี่น้องกับชาวไทใหญ่ รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างนักวิชาการทั้งสองฝ่าย ความเป็นญาติพี่น้องในหมู่ชาวไทใหญ่กับชาวไทย การเข้าถึงสื่อ และกิจกรรมทางสังคมและศาสนาของพระราชวงศ์ของไทย เช่น การทอดกฐินพระราชทานที่วัดของไทใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นต้น ทำให้ชาวไทใหญ่ที่ในปัจจุบันไม่มี Sao pha  อันเป็นผู้ปกครองเมืองแล้ว หันมานับถือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็น Khun Horkham แทน ทำให้รู้สึกว่าไทใหญ่กับไทยนั้นเป็นบ้านพี่เมืองน้องกัน และภาพลักษณ์ของไทยที่เจริญทำให้รู้สึกว่าตนเองนั้นก็คือคนไทนอกประเทศไทย

Social Cultural and Identity Change

ในสมัยก่อนที่จะเปิดชายแดนผู้หญิงไทใหญ่ในฝั่ง Dehong มักจะเลือกแต่งงานกับผู้ชายชาวพม่า เนื่องจากปัญหาความยากจน แต่ในปัจจุบันภายหลังจากการเปิดเขตการค้าในแถบชายแดน มีผู้หญิงชาวพม่าจำนวนมากที่ต้องการจะแต่งงานกับผู้ชายชาวจีน

ภายหลังจากการเปิดพรมแดนและเปลี่ยนแปลงนโยบายทางเศรษฐกิจของจีนและนโยบายการจัดสรรพื้นที่ ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในหลายๆ ด้านโดยเฉพาะในเรื่องอาชีพ และบทบาทของเพศในสังคมชาวไทใหญ่ รวมถึงค่านิยม ที่ภายหลังจากการที่ไม่สามารถมีดินแดนเป็นของตนเอง ทำให้รู้สึกว่าตนด้อยกว่าชาวจีนฮั่น ชาวไทใหญ่จึงหันมาแสดงออกด้วยการนิยมวัฒนธรรมที่มาจากดินแดนที่ถือเป็นพี่น้อง ซึ่งก็คือประเทศไทย 

Critic Issues

การค้าระหว่างชายแดนพม่า – จีนนั้นขึ้นกับความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศเป็นหลัก  นอกจากนั้นในบริเวณชายแดนเป็นบริเวณที่คลุมเครือเพราะว่าชาวบ้านในท้องถิ่นก็มีบทบาทในการใช้ประโยชน์จากชายแดนแถบนี้เช่นกัน ซึ่งชาวบ้านทั้ง 2 ฝั่งต่างพยายามหาช่องทางในการหารายได้จากความแตกต่างระหว่าง 2 ประเทศ เช่น การซื้อจักรยานยนต์จากฝั่งจีนก่อนขับเข้าไปขายในฝั่งพม่า โดยที่ไม่ต้องเสียภาษีนำเข้าให้กับทางรัฐบาลพม่า หรือเขตเศรษฐกิจ Jiagao ที่ยกเว้นการเก็บภาษีให้กับสินค้าบางประเภทภายในเงื่อนไขที่กำหนด ซึ่งก็มีประชากรบางกลุ่มที่พยายามหาช่องทางเพื่อให้ได้รับการยกเว้นการเก็บภาษีเช่นการขึ้นทะเบียนรถยนต์ญี่ปุ่นเป็นต้น 

Other Issues

ไม่มีข้อมูล

Map/Illustration

1. ภาพแสดงแผนที่ที่ทำการศึกษาบริเวณชายแดนยูนนาน – พม่า
2. แผนที่แสดงอาณาเขตของเขตปกครองตนเอง Dehong ของประเทศจีน
3. แผนที่แสดงเขตปกครองตนเอง Dehong และเมืองรอบชายแดนยูนนาน – พม่า
4. รูปภาพแสดงท่าเรือท้องถิ่นที่ใช้ในการข้ามพรมแดน
5. รูปภาพแสดงรถจักรยานยนต์บรรทุกสินค้าที่ซื้อภายในเมือง Ruili ชายแดนประเทศจีน
6. รูปภาพแสดงผืนดินของชาวไทใหญ่ภายในเขตปกครองตนเอง Dehong ที่ได้ขายหรือให้ชาวจีนเช่า
7.รูปภาพแสดงเสื้อผ้าและสินค้าจากประเทศไทย,รัฐฉานของพม่า และประเทศจีนที่กำลังนำไปขายที่ตลาดกลางเมือง Luxi
8. รูปภาพแสดงพ่อค้าเร่ชาวไทใหญ่จากรัฐฉานขายสินค้าเช่นแชมพู ครีมจากพม่า ไทย และจีนในงานเทศกาล
9. รูปภาพแสดงชาวไทใหญ่ใน Dehong เลือกซื้อเสื้อผ้าในตลาด Wad Kad
10. รูปภาพแสดงพ่อค้าแม่ค้าเร่ขายสินค้าไทยและจีนในตลาดเคลื่อนที่
11. ป้ายแสดงกฐินพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวใน Dehong
12. รูปภาพแสดงพิธีกฐินพระราชทานที่วัด Wuyun ในเมือง Luxi
13. รูปภาพแสดงสถานีโทรทัศน์ MNLTS ที่ออกอากาศด้วยภาษาไทใหญ่
14. รูปภาพแสดงสามีชาวไทใหญ่กำลังช่วยภรรยาขนสินค้าขึ้นรถเพื่อไปขาย
15. รูปภาพแสดงร้านตัดเสื้อของชาว Dehong ภายในตลาดกลางของเมือง Luxi
16. รูปภาพแสดงการแต่งกายของสตรีโสดชาวไทใหญ่ใน Dehong ในอดีต
17. รูปภาพแสดงการแต่งกายของสตรีไทใหญ่ใน Dehong ที่แต่งงานแล้วในงานเทศกาล
18. รูปภาพแสดงการแต่งกายที่เหมือนกันของชาวไทใหญ่ที่มาจากเมืองเดียวกัน
19. รูปภาพแสดงการขายผ้าที่มาจากประเทศไทยในตลาดกลางเมือง Luxi
20. รูปภาพแสดงแตงโม ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจหลักนอกจากข้าวของชาวไทใหญ่ 

Text Analyst กรกนก ศฤงคารีเศรษฐ์ Date of Report 04 ต.ค. 2567
TAG ไต ไทใหญ่ในรัฐฉาน, ไทใหญ่ในมณฑลยูนนาน, สังคมและความเป็นอยู่, อาชีพ, ชายแดนยูนนาน – พม่า, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง