|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
คนใต้,กลุ่มชาติพันธุ์สยาม,การบูรณาการกลุ่มชาติพันธุ์, รัฐพหุสังคม,รัฐเคดาห์, มาเลเซีย |
Author |
อนุสรณ์ เมฆบุตร |
Title |
การบูรณาการกลุ่มชาติพันธุ์ในรัฐพหุสังคม: กรณีศึกษากลุ่มชาติพันธุ์สยามในรัฐเคดาห์ ประเทศมาเลเซีย |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
- |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
195 |
Year |
2549 |
Source |
วิทยานิพนธ์ ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาภูมิภาคศึกษา,บัณฑิตวิทยาลัยมหาวิทยาลัยเชียงใหม่,195 หน้า |
Abstract |
การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาถึงกลุ่มชาติพันธุ์สยามที่อาศัยอยู่ในชุมชนปลายระไมเป็น ต.ปาดังเกอร์เบา อ.เปิ้นดัง รัฐเคดาห์ ประเทศมาเลเซีย โดยขอบเขตด้านเนื้อหาเริ่มตั้งแต่รัฐมาเลเซียประกาศใช้นโยบายเศรษฐกิจใหม่ในปี คศ.1971 ถึง ค.ศ. 2006ผู้วิจัยใช้การวิจัยเชิงคุณภาพอธิบายถึงกระบวนการบูรณาการแห่งชาติที่รัฐมาเลเซียใช้เป็นเครื่องมือสร้างความเป็นเอกภาพภายใต้ความแตกต่างด้านชาติพันธุ์ ที่นำมาสู่ผลกระทบในด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมืองและความเป็นตัวตนของชาวสยามปลายระไม รวมถึงการปรับตัวกับนโยบายบูรณาการดังกล่าว (หน้า169-177) ส่วนแรกผู้วิจัย อธิบายปรากฏการณ์ภายหลังการได้รับเอกราชของมาเลเซียที่รัฐพยายามสร้างความเป็นรัฐ-ชาติขึ้นด้วยการสร้างกฎเกณฑ์และวิธีการต่างๆ ส่วนที่สองผู้วิจัยให้รายละเอียดกระบวนการสร้างรัฐ-ชาติภายใต้เอกลักษณ์ชุดใหม่ ส่วนที่สามเป็นนำเอาแนวคิดการบูรณาการของนักวิชาการ มาเป็นกรอบในการอธิบายถึงกระบวนการบูรณาการแห่งชาติที่นำมาสู่ผลกระทบในด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมืองและความเป็นตัวตนของชาวสยามปลายระไม รวมถึงการปรับตัวเพื่อตอบโต้กับนโยบายบูรณาการดังกล่าว
ผลการศึกษาสรุปได้ว่า การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจใหม่เน้นสร้างโอกาสในการทำงานแก่ชาวมาเลเซียทุกเชื้อชาติอย่างเท่าเทียม ให้สถาบันการเงินมาส่งเสริมชาวภูมิบุตรในการประกอบกิจกรรมต่างๆ และพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานสู่ชนบทมากขึ้น รวมถึงการยกระดับการศึกษาและการอบรมเพื่อประกอบอาชีพ เหล่านี้ เป็นกระบวนการบูรณาการทางเศรษฐกิจ ที่ส่งผลกระทบต่อชาวสยามปลายระไมในการปรับตัวโดยเฉพาะเรื่องสิทธิการถือครองที่ดินทำกินทางการเกษตร และมีการปรับตัวเพื่อเข้าสู่การเกษตรเชิงพาณิชย์มากขึ้น (หน้า 170-171) รัฐบาลเข้าไปควบคุมระบบการศึกษา ให้ภาษามาเลเซียเป็นวิชาบังคับ กำหนดหลักสูตรที่มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับสังคมชาวมาเลเซียมากขึ้น นับเป็นกระบวนการกล่อมเกลาทางความคิด ทำให้ชาวสยามปลายระไมปรับตัวภายใต้นโยบายดังกล่าวโดยการก่อตั้งโรงเรียนสอนภาษาไทยภายในวัดปลายระไมขึ้น ขณะเดียวกันโควตาในการศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาของรัฐส่งผลให้เยาวชนสยามเกิดความกระตือรือล้นในการศึกษามากขึ้น (หน้า 172-173) นอกจากนั้น ค่านิยมร่วมกันในการสร้างเอกภาพและความเสมอภาค จากหลักอุดมการณ์แห่งชาติ 5 ข้อ ทำให้พลเมืองมีสิทธิที่จะถือนับถือศาสนา ชาวสยามปลายระไมจึงสามารถแสดงออกในกิจกรรมทางศาสนาและประเพณีได้อย่างเป็นอิสระ อย่างไรก็ดี การแต่งงานข้ามชาติพันธุ์โดยเฉพาะกับชาวมลายู ทำให้ชาวสยามปลายระไมต้องสูญเสียอัตลักษณ์ทางศาสนาไป ด้วยข้อบังคับของวัฒนธรรมที่ใหญ่กว่า (หน้า 173) |
|
Focus |
ภายใต้วาทกรรม “เอกภาพภายใต้ความแตกต่าง” มาเลเซียเป็นรัฐ-ชาติที่มีความแตกต่างหลากหลายด้านชาติพันธุ์ ได้ดำเนินกระบวนการบูรณาการแห่งชาติ ด้วยการเริ่มต้นกำหนดนโยบายเศรษฐกิจใหม่ขึ้นในปี ค.ศ. 1971และนโยบายวิสัยทัศน์ 2020 ซึ่งเป็นนโยบายที่รัฐใช้ต่อเนื่องมา พร้อมกับเน้นการสร้างการมีส่วนร่วมในค่านิยมและสัญลักษณ์ของสมาชิกในพหุสังคม โดยหวังจะเสริมสร้างให้เกิดความเป็นเอกภาพในชาติ ด้วยการประกาศใช้นโยบายด้านการศึกษาและหลักอุดมการณ์แห่งชาติ ผลจากการดำเนินกระบวนการบูรณาการดังกล่าว นำมาสู่ผลกระทบต่อกลุ่มชาติพันธุ์ในรัฐพหุสังคมแบบมาเลเซีย
ผู้วิจัยจึงเน้นศึกษากระบวนการ และผลกระทบต่อกลุ่มชาติพันธุ์ในด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมืองและความเป็นตัวตนโดยเลือกกลุ่มชาติพันธุ์สยามที่อาศัยอยู่ในชุมชนปลายระไม ตำบลปาดังเกอร์เบา อำเภอเปิ้นดัง รัฐเคดาห์ ประเทศมาเลเซียเป็นกรณีศึกษา (หน้า จ,169-170) |
|
Theoretical Issues |
ผู้วิจัยใช้แนวคิดรัฐ-ชาติ (nation-state)แนวคิดพหุสังคม (plural society) และแนวคิดการบูรณาการ (Integration)ของนักวิชาการหลายคน อธิบายปรากฏการณ์ตามกระบวนการบูรณาการกลุ่มชาติพันธุ์ ที่รัฐมาเลเซียใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างความเป็นเอกภาพที่เกิดขึ้นในชุมชนปลายระไม ตำบลปาดังเกอร์เบา อำเภอเปิ้นดัง รัฐเคดาห์ (หน้า 22-29, 30-35, 36-42)
แนวคิดดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ในการอธิบายและวิเคราะห์ถึงกระบวนการสร้างรัฐ-ชาติ ในพหุสังคมว่าสามารถดำรงอยู่อย่างไร และดำเนินกระบวนการบูรณาการอย่างไร |
|
Ethnic Group in the Focus |
ชาวสยาม, คนไทย,คนสยาม, เซียม, ออรังเซียม (orang Siam), ชาวเซียม (หน้า 84) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ปรากฏถึงอิทธิพลของภาษาไทยในรัฐเคดาห์จากชื่อเรียกของสถานที่รวมถึงประเพณีงานรื่นเริง และมีผู้คนจำนวนมากสามารถพูดและเข้าใจภาษาไทยได้
โดยกลุ่มที่พูดภาษาไทยเป็นภาษาท้องถิ่นมี 2 กลุ่มคือ ชาวซัมซัม (เป็นหนึ่งในกลุ่มชาติพันธุ์ย่อยของชาวมลายู) อาศัยกระจุกตัวอยู่ทางตอนเหนือของรัฐเคดาห์
กลุ่มชาวสยาม ในรัฐเคดาห์ซึ่งอาศัยอยู่มากที่อำเภอเปิ้นดัง ส่วนประชากรในชุมชนปลายระไมพูดภาษาไทยสำเนียงถิ่นใต้และภาษามลายู (หน้า 84,87) |
|
Study Period (Data Collection) |
ผู้วิจัยศึกษาปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในชุมชนปลายระไม ต.ปาดังเกอร์เบา อ.เปิ้นดัง รัฐเคดาห์ ประเทศมาเลเซีย ในช่วงเวลาเริ่มประกาศใช้นโยบายเศรษฐกิจใหม่ ค.ศ. 1971 ถึง ปี ค.ศ. 2006 โดยเก็บข้อมูลภาคสนาม 1-2 เดือน ในปี ค.ศ. 2006 (หน้า 18-19) |
|
History of the Group and Community |
ผู้วิจัยให้ข้อมูลประวัติศาสตร์กลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศมาเลเซีย 3 กลุ่มหลักคือ มลายู จีน และอินเดีย
นอกจากนั้น เป็นพวกชนพื้นเมืองดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ในบริเวณคาบสมุทรมลายู แถบซาราวัคและซาบาห์ เช่น ออรังอัสลี อิบัน (Iban) และคาดาซัน(Kadazans) และชนพื้นเมืองดั้งเดิม เช่น พวกดายัก (Dyak) ชาวป่าชาวเขาพวกอาหรับ ยุโรป และชาวสยาม(ชาวไทย) ชาวศรีลังกาฯลฯ (หน้า 1,49) รัฐมลายูในอดีตเคยเป็นเมืองท่าสำคัญทางการค้าของอยุธยาและมีความสัมพันธ์ในฐานะรัฐเมืองขึ้น ชาวสยามส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบททางตอนเหนือของประเทศมาเลเซีย ในปี ค.ศ. 1909 อังกฤษได้ขยายอาณานิคมเข้าครอบครอง 4 รัฐของรัฐบาลสยาม ได้แก่ รัฐไทรบุรี (เคดาห์) รัฐกลันตัน รัฐตรังกานู และรัฐเปอร์ลิส ภายใต้ชื่อ “รัฐนอกสหพันธรัฐมลายู” (หน้า 1,49) 4 รัฐ ดังกล่าว โดยเฉพาะในรัฐไทรบุรีหรือเคดาห์ บริเวณ ตำบลปาดังเกอร์เบา อำเภอเปิ้นดัง เป็นรัฐที่มีชาวมาเลเซียเชื้อสายไทยตั้งชุมชนเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุด มีศิลปวัฒนธรรม ภาษา ศาสนา ขนบประเพณีและการใช้ชีวิตแบบไทยในเมืองแม่ แต่ยังคงด้อยการศึกษา (หน้า 11-13,83-86)
ผู้วิจัยสรุปความเป็นมาของชาวสยามในชุมชนปลายระไม จากคำบอกเล่าของชาวบ้านและจากเอกสารว่า ประชาชนส่วนใหญ่อพยพมาตั้งถิ่นฐานและบุกเบิกที่ดินเพื่อทำเกษตรที่รัฐไทรบุรี ตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 18-19 โดยเฉพาะอพยพมาจากเมืองสงขลา และนครศรีธรรมราช อีกนัยหนึ่ง ในสมัยรัชกาลที่ 5 (พ.ศ. 2310 -2411) ช่วงเวลาที่เริ่มมีการปลดปล่อยทาส คนเหล่านี้ได้รวมกลุ่มกันมาจับจองที่ดินทำกินและจัดตั้งเป็นหมู่บ้านปลายระไม หรือตีตี อาการ์ ขึ้นในพื้นที่ตำบลทุ่งควาย อำเภอเปิ้นดัง (หน้า 85) |
|
Settlement Pattern |
ชาวสยามในชุมชนปลายระไม มักตั้งบ้านเรือนเรียงรายไปตามสองฝากฝั่งของถนนคลองเตียง (Jalan Sungai Tiang) (หน้า 84) |
|
Demography |
ชาวสยามในพื้นที่ตำบลปาดังเกอร์เบา อำเภอเปิ้นดัง เป็นศูนย์รวมของชาวมาเลเซียเชื้อสายไทยที่ใหญ่ที่สุดในรัฐเคดาห์ มีคนไทย 11 หมู่บ้าน 1,237 ครัวเรือน มีประชากร 6,189 คน มีวัด 12 วัด กระจายกันอยู่ตามหมู่บ้านต่างๆ จากการสำรวจปี ค.ศ. 2005 (พ.ศ. 2548) ชุมชนปลายระไมมีประชากร 1,212 คน 333 ครัวเรือน ไม่มีชาวมลายูอาศัยอยู่ในชุมชน(หน้า 13,91) |
|
Economy |
ชาวชุมชนปลายระไมส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำนา อาศัยน้ำฝนตามธรรมชาติและทำสวนยางพาราในที่ดินของตนเอง ลักษณะเป็นแบบเพื่อยังชีพ อาศัยแรงงานในครอบครัวเป็นหลัก กระทั่งเมื่อรัฐบาลมาเลเซียได้เข้ามาจัดกระบวนการพัฒนาพื้นที่ทางการเกษตรเพื่อยกระดับรายได้และให้โอกาสในการทำงานแก่ชาวมาเลเซียทุกเชื้อชาติ ตามนโยบายเศรษฐกิจใหม่ (ค.ศ.1971-1990) จึงเริ่มมีการขยายพื้นที่การเกษตรในชนบท โดยกำหนดกฎเกณฑ์การถือครองที่ดินทำกินทางการเกษตรขึ้นใหม่ รัฐได้จัดเจ้าหน้าที่มาให้ความรู้ คำแนะนำการปลูกพืชใหม่ ๆ ทำให้เปลี่ยนรูปแบบการทำเกษตรเป็นเชิงพาณิชย์มากขึ้น(หน้า 94,96-98) และรัฐยังได้ผลักดันให้ชาวภูมิตรเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมโดยพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน และตั้งธนาคารภูมิบุตรขึ้นเพื่อให้ชาวภูมิบุตรสามารถกู้ยืมเงินมาใช้ลงทุนประกอบกิจการตามนโยบายวิสัยทัศน์ 2020 (หน้า 95) |
|
Social Organization |
ผู้วิจัยเสนอเกี่ยวกับพัฒนาการพหุสังคมในมาเลเซียและความเป็นรัฐ-ชาติ เพื่อชี้ให้เห็นถึงที่มาและความสำคัญของกระบวนการบูรณาการในรัฐพหุสังคม โดยเริ่มอธิบายลักษณะสังคมในคาบสมุทรมลายูที่มีลักษณะหลากหลายของกลุ่มคน ก่อนที่อังกฤษจะเข้ามามีอำนาจ (หน้า 49-51)
จากนั้น ผู้วิจัยชี้ให้เห็นภาพสังคมมาเลเซียเริ่มมีปัญหาความหลากหลายทางชาติพันธุ์ระหว่างกลุ่มคน 3 เชื้อชาติหลัก (ชาวพื้นเมืองมลายู ชาวจีนและชาวอินเดีย) (หน้า 51-56) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มาเลเซียยังอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ จนกระทั่งภายหลังจากได้รับเอกราช รัฐบาลพยายามแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างเชื้อชาติโดยการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจแบบเปิด เพื่อลดความแตกต่างในเรื่องฐานะของเชื้อชาติ (หน้า 57-59)
ภายใต้บริบทสังคมรัฐชาติดังกล่าว มีผลทำให้กลุ่มชาติพันธุ์สยามที่เป็นส่วนหนึ่งของสังคมมาเลเซียต้องปรบตัวทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง โดยพบว่าชาวไทยใน อ.เปิ้นดัง มีพลวัตในการปรับตัวค่อนข้างสูง (หน้า 11-13) ซึ่งชุมชนปลายระไมเป็นชุมชนดั้งเดิมที่ไม่พบว่ามีคนจากชุมชนอื่นอพยพมาตั้งรกราก และไม่มีชาวมลายูอาศัยอยู่ในชุมชน แต่มีชาวจีนเชื้อสายมาเลเซียที่นับถือพุทธศาสนานิกายเถรวาทอาศัยอยู่บ้าง (หน้า 91)
โครงสร้างทางสังคมในชุมชนตามที่ปรากฏชัดในงานศึกษา ส่วนใหญ่แสดงออกทางศาสนาและประเพณี กล่าวคือ ชาวสยามปลายระไมมีการแสดงออกถึงวิถีชีวิตตามวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่นในบริบทสังคมที่เกี่ยวข้องกับศาสนาอยู่มาก เช่น ประเด็นการแต่งงานของผู้ชายชาวสยามกับการบวชเรียน และประเด็นการแต่งงานข้ามกลุ่มชาติพันธุ์ของชาวสยามที่มีการที่มีบริบททางศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้อง (หน้า 142-145) ดังนั้น ชาวสยามในมาเลเซียจึงไม่นิยมแต่งงานข้ามกลุ่มชาติพันธุ์ (inter-ethnic marriage) เนื่องจากเกรงว่าจะต้องถูกกลืนไปกับวัฒนธรรมที่เหนือกว่า (dominant culture) โดยเฉพาะการเปลี่ยนศาสนา ซึ่งชาวสยามเห็นว่าจะนำไปสู่การสูญเสียอัตลักษณ์ในที่สุด (หน้า 128-129,141-143) |
|
Political Organization |
ชาวสยามในชุมชนปลายระไมต้องปฏิบัติตาม หรืออยู่ภายใต้หลักเกณฑ์ที่เกี่ยวกับการปกครองคนภายในรัฐมาเลเซีย ในฐานะเป็นชนกลุ่มน้อยที่ได้สัญชาติมาเลเซีย ซึ่งรัฐได้ออกแบบกระบวนการของการได้มาซึ่งสิทธิความเป็นพลเมืองไว้หลายรูปแบบ (หน้า 148-150) รวมถึงได้กำหนดรูปแบบการใช้นามสกุลของแต่ละเชื้อชาติให้มีความแตกต่างกัน เพื่อให้แต่ละกลุ่มชาติพันธุ์มีอัตลักษณ์เฉพาะของตน (หน้า 150)
รัฐพยายามดึงชาวบ้านให้เข้ามามีส่วนร่วมทางการปกครอง โดยเข้ามาจัดระเบียบทางโครงสร้างการปกครองให้มีผู้ใหญ่บ้านในฐานะตัวแทนของรัฐ และให้มีคณะ-กรรมการเพื่อทำงานด้านต่างๆ ในชุมชน กำหนดบทบาทให้เชื่อมโยงกับกิจกรรมทางสังคม อันเป็นไปตามแบบแผนการปฏิสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ตามที่รัฐใช้เป็นเครื่องมือทางการปกครอง (หน้า 151-155 )
อย่างไรก็ดี สิทธิของความเป็นพลเมืองมาเลเซียทำให้ชาวบ้านมีสิทธิทางการเมืองอย่างเต็มที่และมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยอิสระ รวมถึงโครงสร้างอำนาจชุมชนซึ่งทางรัฐบาล (รัฐบาลรัฐเคดาห์) ก็ไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้อง (หน้า 161-162)
ภายในชุมชนปลายระไมมีการรวมตัวของสมาชิกพรรคการเมืองเกิดขึ้นคือ พรรคอัมโมของชาวมลายู ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลที่ครองเสียงข้างมากมาตลอด รัฐใช้ความเป็นสมาชิกพรรคการเมืองเป็นกลไกอย่างหนึ่งในการควบคุมคนในสังคม และปลูกฝังอุดมการณ์ทางการเมือง เพื่อกำหนดทิศทางการจัดระเบียบการปกครองให้ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ (ชาวมลายูและชาวสยาม) ให้เป็นหน่วยเดียวกัน โดยที่ชนกลุ่มน้อยก็ไม่สูญเสียอัตลักษณ์ไป ขณะเดียวกันมีชาวสยามปลายระไมจำนวนหนึ่งที่ไม่สนใจเรื่องการเมือง (หน้า 155-157,163-167) |
|
Belief System |
ชาวสยามในชุมชนปลายระไมนับถือศาสนาพุทธเถรวาท มีวัดปลายระไมเป็นศาสนสถานอยู่ในชุมชน มีการแสดงออกถึงวิถีชีวิตในชุมชนในบริบทการนับถือศาสนาและประเพณีท้องถิ่น อย่างชาวไทยพุทธทั่วไปที่แสดงถึงอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์สยาม เช่น ประเพณีการบวช ประเพณีการตาย งานทำบุญเดือนสิบ ประเพณีสงกรานต์ งานลอยกระทง การจัดกิจกรรทางศาสนาจะจัดภายในบริเวณวัดซึ่งรัฐบาลให้การยอมรับในวัฒนธรรมประเพณีของแต่ละกลุ่มชาติพันธ์ที่มีอยู่ในประเทศ (หน้า 91-92,126-127,135-140) |
|
Education and Socialization |
ก่อนการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจใหม่ (ค.ศ.1971-1990) ของรัฐบาล ชาวสยามในชุมชนปลายระไม ไม่ค่อยสนใจเข้าเรียนในโรงเรียนของรัฐบาล เนื่องจากต้องเป็นแรงงานช่วยงานในครัวเรือนประกอบกับการเดินทางยังไม่สะดวก (หน้า 94-96) แต่หลังจากดำเนินนโยบายเศรษฐกิจใหม่ รัฐบาลมาเลเซียใช้ระบบการศึกษาเป็นรูปแบบหนึ่งในการบูรณาการทางสังคม มีการสร้างโรงเรียนในชนบทและให้เรียนแบบให้เปล่า จัดโควตาแก่ชาวพื้นเมืองในการศึกษาระดับที่สูงขึ้น และกำหนดให้ใช้ภาษามลายูเป็นภาษาราชการ ส่งผลให้คนในชุมชนปลายระไมกระตือลือร้นส่งบุตรหลานเล่าเรียนมากขึ้น เพื่อมีโอกาสประกอบอาชีพและมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น รัฐบาลกลางใช้หลักสูตรการเรียนการสอนที่ออกแบบขึ้นเพื่อเป็นเครื่องมือในการขัดเกลาทางสังคม ปลูกฝังทางความคิด และอุดมการณ์ให้กับชาวมาเลเซียทุกเชื้อชาติโดยเน้นบริบทของชาวมลายูเป็นหลัก (หน้า 145,120-125,130-135) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ในความเป็นพหุสังคม วัฒนธรรมการแต่งกายของชาวสยามปลายระไมจึงรับเอาแบบมลายูมาใช้ในกลุ่มชาติพันธุ์ กล่าวคือ ผู้ชายสยามบางคนนิยมนุ่งโสร่งเวลาอยู่บ้านเช่นเดียวกับชายมลายู และใส่กางเกงขาสั้นออกนอกบ้านได้ ขณะที่ชายชาวมลายูทำไม่ได้ สำหรับผู้หญิงสยามไม่มีกฎเกณฑ์ในการแต่งกาย แต่ก็มักนุ่งโสร่งปาเต๊ะเมื่ออยู่บ้านเหมือนผู้หญิงมลายู ส่วนการแต่งกายของนักเรียน ทางรัฐบาลจะบังคับให้เด็กมลายูที่เป็นผู้หญิงต้องใส่ฮิญาบ ส่วนเด็กผู้ชายให้นั่งกางเกงขายาวตามหลักศาสนาอิสลาม ส่วนเด็กสยามและเด็กเชื้อชาติอื่นๆ ที่ไม่ใช่มุสลิมสำหรับเด็กผู้หญิงก็ไม่ต้องคลุมฮิญาบ ส่วนเด็กผู้ชายให้นุ่งกางเกงขายาวเหมือนกับเด็กมลายู (หน้า 123,138) |
|
Folklore |
นิทานชาวบ้านของคนไทยพุทธบ้านปลายระไม รัฐไทรบุรี กล่าวถึงประเพณีที่สำคัญของชาวชุมชนว่าเหมือนกันกับในเมืองไทย โดยเฉพาะประเพณีในภาคใต้ เช่น ประเพณีสงกรานต์ รดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ ประเพณีลอยกระทง ประเพณีงานเดือนสิบ ประเพณีการบวช และประเพณีการตาย(หน้า 91) ปัจจุบัน ด้วยระบบการศึกษาของรัฐบาลมาเลเซียที่มีหลักสูตรและเนื้อหาที่เน้นบริบทของชาวมลายูเป็นสำคัญ และรัฐบาลไม่อนุญาตให้ชาวสยามตั้งโรงเรียนสอนภาษาไทยทำให้กลุ่มชาติพันธุ์สยามในชุมชนปลายระไม ต้องปรับตัวเพื่อหาพื้นที่แสดงอัตลักษณ์ความเป็นชาติพันธุ์สยามในด้านภาษา โดยการสร้างโรงเรียนสอนภาษาไทยขึ้นที่วัดปลายระไม ขณะที่การแสดงออกในเรื่องประเพณีของชาวสยามยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง (หน้า 127,130-132) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
“กลุ่มชาติพันธุ์สยาม” หรือ “ชาวสยาม” (Orang Siam) หรือ “ชาวไทย” หรือ “เซียม”ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ทางตอนเหนือของประเทศมาเลเซียใน 4 รัฐ ได้แก่ รัฐกลันตัน ตรังกานูไทรบุรี(เคดาห์) และเปอร์ลิส ในอดีตดินแดนนี้ประเทศสยามเสียให้แก่อังกฤษในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อปี ค.ศ. 1909 (พ.ศ. 2452) แต่ชาวสยามยังคงตั้งหลักแหล่งอยู่ต่อกลายเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ส่วนน้อยกลุ่มหนึ่งที่เป็นพลเมืองมาเลเซียมีตัวตนทางวัฒนธรรมที่เด่นชัดเหมือนกับชาวสยามในประเทศไทย ส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ในรัฐเคดาห์ พื้นที่อำเภอเปิ้นดัง นอกจากนั้น ยังมีชาวมลายูมุสลิมที่พูดภาษาไทยและได้รับอิทธิพลประเพณีไทยที่พบมากในเคดาห์ เปอร์ลิส และเประ เรียกคนกลุ่มนี้ว่า “ซัมซัม” (Sam-Sam) (หน้า 84-85) ผู้วิจัยรายงานข้อมูลปี พ.ศ. 2543 ชาวมลายู มีร้อยละ 58 ชาวจีน มีร้อยละ 24 และชาวอินเดีย มีร้อยละ 8 ส่วนที่มีเชื้อชาติอื่นๆ มีประมาณร้อยละ 10 ของจำนวนประชากรมาเลเซียที่มีประมาณ 26 ล้านคน (หน้า 1,11-13,185)
การอพยพของชาวจีนและอินเดียมาเป็นจำนวนมากในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ทำให้มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในคาบสมุทรมลายู ชาวจีนที่เข้ามาตั้งหลักแหล่งมีหลายเผ่าพันธุ์ ในระยะแรกเรียกกันในนาม “บาบ๋า” (Baba) เป็นกลุ่มที่มีบทบาทในด้านเศรษฐกิจมากที่สุด ส่วนชาวอินเดียได้เข้ามารับจ้างเป็นแรงงานในคาบสมุทรมลายูช่วงที่อังกฤษมีอิทธิพลในแถบมะละกา (หน้า 1-5,51-53) ต่อมา กลายเป็นการแบ่งกลุ่มประชากรตามเชื้อชาติที่เป็นลักษณะของการควบคุมอาชีพในระบบเศรษฐกิจมาเลเซียกล่าวคือ ชาวจีนกลายเป็นชนชั้นกลางของสังคมนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจ ส่วนชาวอินเดียส่วนใหญ่เป็นชนชั้นใช้แรงงาน ขณะที่ชาวมลายูมีอำนาจทางการเมืองการปกครอง และมักได้รับสิทธิพิเศษทางสังคมเหนือเชื้อชาติอื่น นับเป็นความแตกต่างด้านวัฒนธรรม ประเพณี ภาษา ศาสนา วิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งทางเชื้อชาติในกลุ่มประชากรของมาเลเซีย (หน้า 7-8,57-58)
นอกจากนั้น ผู้วิจัยยักล่าวถึงลักษณะสังคมมาเลเซียว่า ยังคงมีลักษณะการแบ่งเป็น 4 ชนชั้น ได้แก่ กลุ่มเชื้อพระวงศ์และเครือญาติ กลุ่มผู้นำทางการเมือง กลุ่มผล ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และกลุ่มประชาชนทั่วไป รวมถึงการแบ่งชนชั้นตามเชื้อชาติ ที่เรียกว่า กลุ่มภูมิบุตร (Bumiputera) เพื่อที่จะใช้เป็นสัญลักษณ์ร่วมกันกับชาวมลายูและเพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ ส่วนชาวสยามเป็นชนกลุ่มน้อยที่จัดอยู่ในกลุ่มภูมิบุตร มีความสัมพันธ์กับชาวมลายูในแง่ความเป็นชาวภูมิบุตรด้วยกัน รวมถึงยังมีความสัมพันธ์ทางศาสนาและการขายสินค้ากับชาวจีนด้วย อย่างไรก็ดี ชาวสยามไม่ได้มีบทบาทสำคัญทั้งในด้านเศรษฐกิจและการเมืองซึ่งแตกต่างจากกลุ่มชาติพันธุ์หลัก (หน้า 60-64, 95) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ผู้วิจัยกล่าวถึงผลกระทบและการปรับตัวในด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม ด้านการเมือง และความเป็นตัวตนของชาวสยามปลายระไม อันเนื่องมาจากกระบวนการบูรณาการที่นำไปสู่เอกภาพของรัฐมาเลเซีย โดยเฉพาะในช่วงแรกของการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจใหม่ (ค.ศ.1971-1990) อันมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อยกระดับรายได้และโอกาสการประกอบอาชีพให้แก่ชาวมาเลเซียทุกเชื้อชาติ ทำให้ให้ชาวสยามในชุมชนปลายระไมมีทางเลือกประกอบอาชีพมากขึ้น ทั้งภาคเกษตรและการเข้ารับราชการ พร้อมกับต้องปรับตัวให้เข้ากับกฎเกณฑ์ใหม่ของรัฐโดยเฉพาะเรื่องการถือครองที่ดินทำกินทางเกษตร ขณะเดียวกันก็มีการปรับตัวเพื่อเข้าสู่การเกษตรเชิงพาณิชย์เพื่อตอบสนองความต้องการที่จะมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และเพื่อให้ได้รับการยอมรับจากสังคมมาเลเซีย จากโอกาสที่ได้รับการศึกษาที่สูงขึ้น (หน้า 95,101-103,114-116)
ผลจากการส่งเสริมด้านการศึกษาจากภาครัฐ ทำให้เยาวชนสยามได้รับการปลูกฝังในการหลักสูตรการศึกษาที่รัฐได้กำหนด ระบบกรศึกษาที่รัฐเป็นผู้กำหนดโดยใช้ภาษามลายูเป็นสื่อกลางในการเรียนการสอนทำให้เยาวชนได้รับรู้ถึงความเป็นชาติพันธุ์ในบริบทชาวมลายู มากกว่าความเป็นชาติพันธุ์ของตนเอง อย่างไรก็ดี รัฐบาลมาเลเซียได้ตระหนักถึงการสร้างเอกภาพภายในชาติภายใต้รัฐพหุสังคมมาก จึงให้ความสำคัญกับความเสมอภาคในการนับถือศาสนา ประเพณีและวัฒนธรรม ชาวสยามปลายระไมจึงสามารถแสดงออกในกิจกรรมทางศาสนาและประเพณีท้องถิ่นได้ แต่ต้องได้รับอนุญาตจากทางการก่อน (หน้า 120-125,129-135,146-147)
ในระยะแรกโครงสร้างอำนาจของชุมชนปลายระไมไม่มีความซับซ้อนมาก จากในอดีตที่ผู้นำชุมชน จะเป็นพระสงฆ์ซึ่งเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของชาวบ้าน แต่เมื่อรัฐได้เข้ามามีบทบาทในการจัดระเบียบการปกครองชุมชนเสียใหม่ในสมัยรัฐ-ชาติ ทำให้ตำแหน่ง “ผู้ใหญ่บ้าน” เป็นผู้นำชุมชนทางการเมือง ผู้ใหญ่บ้านเปรียบเสมือนตัวแทนระหว่างภาครัฐและประชาชน และรัฐเข้ามามีบทบาทในชุมชนมากขึ้นเป็นลำดับโดยพยายามดึงชาวบ้านให้เข้ามามีส่วนร่วมทางการปกครองมากขึ้น นับเป็นการจัดระเบียบความเป็นพลเมือง และการจัดระเบียบทางการเมืองที่ส่งผลให้ชาวสยามในชุมชนปลายระไมในฐานะเป็นพลเมืองของมาเลเซียและเป็นชนกลุ่มน้อยต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์รูปแบบต่างๆ ที่รัฐได้กำหนดขึ้น (หน้า 152-153,157-161)
ขณะเดียวกัน ความเป็นพลเมืองส่งผลให้ชาวสยามในชุมชนปลายระไมเข้าสู่การมีส่วนร่วมทางการเมืองด้วย จากที่ปรากฏคือ ชาวสยามสามารถเป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกพรรคการเมือง ซึ่งรัฐใช้เป็นกลไกควบคุมคนในสังคมและปลูกฝังอุดมการณ์การเมืองแบบมาเลเซีย ขณะเดียวกันผู้นำพรรคการเมืองที่มีค่านิยมแบบชาวมลายูก็ยอมรับความแตกต่างทางชาติพันธุ์ในการใช้อำนาจปกครอง(หน้า 156-157,166-168) |
|
Other Issues |
ผู้วิจัยชี้ให้เห็นภาพสังคมมาเลเซียเริ่มมีปัญหาความหลากหลายทางชาติพันธุ์ระหว่างกลุ่มคน 3 เชื้อชาติหลัก (ชาวพื้นเมืองมลายู ชาวจีนและชาวอินเดีย) (หน้า 51-56) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มาเลเซียยังอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ จนกระทั่งภายหลังจากได้รับเอกราช รัฐบาลพยายามแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างเชื้อชาติโดยการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจแบบเปิด เพื่อลดความแตกต่างในเรื่องฐานะของเชื้อชาติ (หน้า 57-59) แต่ด้วยความต้องการของกลุ่มประชากรที่แตกต่างกันทำให้ยังไม่เกิดเอกภาพในประเทศอย่างแท้จริง จวบจนภายหลังเหตุการณ์จลาจลในปี ค.ศ. 1969 รัฐบาลได้ประกาศใช้นโยบายเศรษฐกิจใหม่ (NEP) และนโยบายวิสัยทัศน์ 2020 ที่เน้นถึงรูปแบบการบูรณาการ เพื่อสร้างความเสมอภาค-เอกภาพในประเทศมาเลเซียตั้งแต่ปี ค.ศ. 1970 ถึงปัจจุบัน (หน้า 59-64)
ผู้วิจัยวิเคราะห์ปัจจัยความสำเร็จในการบูรณาการความเป็นเอกภาพระหว่างเชื้อชาติในมาเลเซีย ในประเด็นความเป็นรัฐ-ชาติว่า เกี่ยวข้องกับความเป็นรัฐบาลประชาธิปไตยและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (หน้า 66-72) ประกอบกับการประกาศหลักอุดมการณ์แห่งชาติ 5 ประการ เป็นเสมือนหลักพื้นฐานสำคัญในการเริ่มต้นของสังคมมาเลเซียที่มีความกลมเกลียว (หน้า 72-75) ซึ่งดำเนินไปพร้อมกับการปฏิบัตินโยบายพัฒนาประเทศ 2 นโยบายหลัก คือ นโยบายเศรษฐกิจใหม่ (NEP) และนโยบายวิสัยทัศน์ 2020 เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายในด้านเอกภาพของชาติและการปรองดองกันในสังคม ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงทางการเมือง เป็นประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างสมบูรณ์ (หน้า 76-83) |
|
Map/Illustration |
ผู้วิจัยได้ใช้แผนที่แสดงที่ตั้ง อาณาเขต ประกอบคำอธิบายประวัติการตั้งถิ่นฐาน พื้นที่ชุมชนศึกษา (หน้า 4,17,90,193,194) ใช้ภาพถ่ายสภาพการใช้ชีวิตปัจจุบันของชุมชน ลักษณะบ้านเรือน สถานที่สำคัญในชุมชน สภาพถนน สิ่งแวดล้อม และบรรยากาศกิจกรรม/งานเทศกาลในชุมชนประกอบคำอธิบาย (หน้า 88-89, 97,102,110,115,122,124,127,132,139 และ 163) ภาพบุคคลผู้ให้สัมภาษณ์ และแสดงภาพของสื่อ ภาพกิจกรรมของรัฐ และเอกสารสำคัญของทางราชการ (หน้า 100,134,137,140,156,160 และ 166) |
|
|