สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject คนใต้,กลุ่มชาติพันธุ์สยาม,การบูรณาการกลุ่มชาติพันธุ์, รัฐพหุสังคม,รัฐเคดาห์, มาเลเซีย
Author อนุสรณ์ เมฆบุตร
Title การบูรณาการกลุ่มชาติพันธุ์ในรัฐพหุสังคม: กรณีศึกษากลุ่มชาติพันธุ์สยามในรัฐเคดาห์ ประเทศมาเลเซีย
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม, Language and Linguistic Affiliations -
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 195 Year 2549
Source วิทยานิพนธ์ ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาภูมิภาคศึกษา,บัณฑิตวิทยาลัยมหาวิทยาลัยเชียงใหม่,195 หน้า
Abstract

การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาถึงกลุ่มชาติพันธุ์สยามที่อาศัยอยู่ในชุมชนปลายระไมเป็น ต.ปาดังเกอร์เบา อ.เปิ้นดัง รัฐเคดาห์ ประเทศมาเลเซีย โดยขอบเขตด้านเนื้อหาเริ่มตั้งแต่รัฐมาเลเซียประกาศใช้นโยบายเศรษฐกิจใหม่ในปี คศ.1971 ถึง ค.ศ. 2006ผู้วิจัยใช้การวิจัยเชิงคุณภาพอธิบายถึงกระบวนการบูรณาการแห่งชาติที่รัฐมาเลเซียใช้เป็นเครื่องมือสร้างความเป็นเอกภาพภายใต้ความแตกต่างด้านชาติพันธุ์ ที่นำมาสู่ผลกระทบในด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมืองและความเป็นตัวตนของชาวสยามปลายระไม รวมถึงการปรับตัวกับนโยบายบูรณาการดังกล่าว (หน้า169-177) ส่วนแรกผู้วิจัย อธิบายปรากฏการณ์ภายหลังการได้รับเอกราชของมาเลเซียที่รัฐพยายามสร้างความเป็นรัฐ-ชาติขึ้นด้วยการสร้างกฎเกณฑ์และวิธีการต่างๆ ส่วนที่สองผู้วิจัยให้รายละเอียดกระบวนการสร้างรัฐ-ชาติภายใต้เอกลักษณ์ชุดใหม่ ส่วนที่สามเป็นนำเอาแนวคิดการบูรณาการของนักวิชาการ มาเป็นกรอบในการอธิบายถึงกระบวนการบูรณาการแห่งชาติที่นำมาสู่ผลกระทบในด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมืองและความเป็นตัวตนของชาวสยามปลายระไม รวมถึงการปรับตัวเพื่อตอบโต้กับนโยบายบูรณาการดังกล่าว
 
ผลการศึกษาสรุปได้ว่า การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจใหม่เน้นสร้างโอกาสในการทำงานแก่ชาวมาเลเซียทุกเชื้อชาติอย่างเท่าเทียม ให้สถาบันการเงินมาส่งเสริมชาวภูมิบุตรในการประกอบกิจกรรมต่างๆ และพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานสู่ชนบทมากขึ้น รวมถึงการยกระดับการศึกษาและการอบรมเพื่อประกอบอาชีพ เหล่านี้ เป็นกระบวนการบูรณาการทางเศรษฐกิจ ที่ส่งผลกระทบต่อชาวสยามปลายระไมในการปรับตัวโดยเฉพาะเรื่องสิทธิการถือครองที่ดินทำกินทางการเกษตร และมีการปรับตัวเพื่อเข้าสู่การเกษตรเชิงพาณิชย์มากขึ้น  (หน้า 170-171) รัฐบาลเข้าไปควบคุมระบบการศึกษา ให้ภาษามาเลเซียเป็นวิชาบังคับ กำหนดหลักสูตรที่มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับสังคมชาวมาเลเซียมากขึ้น นับเป็นกระบวนการกล่อมเกลาทางความคิด ทำให้ชาวสยามปลายระไมปรับตัวภายใต้นโยบายดังกล่าวโดยการก่อตั้งโรงเรียนสอนภาษาไทยภายในวัดปลายระไมขึ้น ขณะเดียวกันโควตาในการศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาของรัฐส่งผลให้เยาวชนสยามเกิดความกระตือรือล้นในการศึกษามากขึ้น (หน้า 172-173) นอกจากนั้น ค่านิยมร่วมกันในการสร้างเอกภาพและความเสมอภาค จากหลักอุดมการณ์แห่งชาติ 5 ข้อ ทำให้พลเมืองมีสิทธิที่จะถือนับถือศาสนา ชาวสยามปลายระไมจึงสามารถแสดงออกในกิจกรรมทางศาสนาและประเพณีได้อย่างเป็นอิสระ อย่างไรก็ดี การแต่งงานข้ามชาติพันธุ์โดยเฉพาะกับชาวมลายู ทำให้ชาวสยามปลายระไมต้องสูญเสียอัตลักษณ์ทางศาสนาไป ด้วยข้อบังคับของวัฒนธรรมที่ใหญ่กว่า (หน้า 173) 

Focus

ภายใต้วาทกรรม “เอกภาพภายใต้ความแตกต่าง” มาเลเซียเป็นรัฐ-ชาติที่มีความแตกต่างหลากหลายด้านชาติพันธุ์ ได้ดำเนินกระบวนการบูรณาการแห่งชาติ ด้วยการเริ่มต้นกำหนดนโยบายเศรษฐกิจใหม่ขึ้นในปี ค.ศ. 1971และนโยบายวิสัยทัศน์ 2020 ซึ่งเป็นนโยบายที่รัฐใช้ต่อเนื่องมา พร้อมกับเน้นการสร้างการมีส่วนร่วมในค่านิยมและสัญลักษณ์ของสมาชิกในพหุสังคม โดยหวังจะเสริมสร้างให้เกิดความเป็นเอกภาพในชาติ ด้วยการประกาศใช้นโยบายด้านการศึกษาและหลักอุดมการณ์แห่งชาติ ผลจากการดำเนินกระบวนการบูรณาการดังกล่าว นำมาสู่ผลกระทบต่อกลุ่มชาติพันธุ์ในรัฐพหุสังคมแบบมาเลเซีย
 
ผู้วิจัยจึงเน้นศึกษากระบวนการ และผลกระทบต่อกลุ่มชาติพันธุ์ในด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมืองและความเป็นตัวตนโดยเลือกกลุ่มชาติพันธุ์สยามที่อาศัยอยู่ในชุมชนปลายระไม ตำบลปาดังเกอร์เบา อำเภอเปิ้นดัง รัฐเคดาห์ ประเทศมาเลเซียเป็นกรณีศึกษา (หน้า จ,169-170)

Theoretical Issues

ผู้วิจัยใช้แนวคิดรัฐ-ชาติ (nation-state)แนวคิดพหุสังคม (plural society)  และแนวคิดการบูรณาการ (Integration)ของนักวิชาการหลายคน อธิบายปรากฏการณ์ตามกระบวนการบูรณาการกลุ่มชาติพันธุ์ ที่รัฐมาเลเซียใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างความเป็นเอกภาพที่เกิดขึ้นในชุมชนปลายระไม ตำบลปาดังเกอร์เบา อำเภอเปิ้นดัง รัฐเคดาห์ (หน้า 22-29, 30-35, 36-42)
 
 
แนวคิดดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ในการอธิบายและวิเคราะห์ถึงกระบวนการสร้างรัฐ-ชาติ ในพหุสังคมว่าสามารถดำรงอยู่อย่างไร และดำเนินกระบวนการบูรณาการอย่างไร

Ethnic Group in the Focus

ชาวสยาม, คนไทย,คนสยาม, เซียม, ออรังเซียม (orang Siam), ชาวเซียม       (หน้า 84)

Language and Linguistic Affiliations

ปรากฏถึงอิทธิพลของภาษาไทยในรัฐเคดาห์จากชื่อเรียกของสถานที่รวมถึงประเพณีงานรื่นเริง และมีผู้คนจำนวนมากสามารถพูดและเข้าใจภาษาไทยได้ 
 
โดยกลุ่มที่พูดภาษาไทยเป็นภาษาท้องถิ่นมี 2 กลุ่มคือ ชาวซัมซัม (เป็นหนึ่งในกลุ่มชาติพันธุ์ย่อยของชาวมลายู) อาศัยกระจุกตัวอยู่ทางตอนเหนือของรัฐเคดาห์
 
กลุ่มชาวสยาม ในรัฐเคดาห์ซึ่งอาศัยอยู่มากที่อำเภอเปิ้นดัง ส่วนประชากรในชุมชนปลายระไมพูดภาษาไทยสำเนียงถิ่นใต้และภาษามลายู (หน้า 84,87) 

Study Period (Data Collection)

ผู้วิจัยศึกษาปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในชุมชนปลายระไม ต.ปาดังเกอร์เบา อ.เปิ้นดัง รัฐเคดาห์ ประเทศมาเลเซีย ในช่วงเวลาเริ่มประกาศใช้นโยบายเศรษฐกิจใหม่ ค.ศ. 1971 ถึง ปี ค.ศ. 2006 โดยเก็บข้อมูลภาคสนาม 1-2 เดือน ในปี ค.ศ. 2006 (หน้า 18-19)

History of the Group and Community

ผู้วิจัยให้ข้อมูลประวัติศาสตร์กลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศมาเลเซีย 3 กลุ่มหลักคือ มลายู จีน และอินเดีย
 
นอกจากนั้น เป็นพวกชนพื้นเมืองดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ในบริเวณคาบสมุทรมลายู แถบซาราวัคและซาบาห์ เช่น ออรังอัสลี  อิบัน (Iban) และคาดาซัน(Kadazans) และชนพื้นเมืองดั้งเดิม เช่น พวกดายัก (Dyak) ชาวป่าชาวเขาพวกอาหรับ ยุโรป และชาวสยาม(ชาวไทย) ชาวศรีลังกาฯลฯ (หน้า 1,49) รัฐมลายูในอดีตเคยเป็นเมืองท่าสำคัญทางการค้าของอยุธยาและมีความสัมพันธ์ในฐานะรัฐเมืองขึ้น ชาวสยามส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบททางตอนเหนือของประเทศมาเลเซีย ในปี ค.ศ. 1909 อังกฤษได้ขยายอาณานิคมเข้าครอบครอง 4 รัฐของรัฐบาลสยาม ได้แก่ รัฐไทรบุรี (เคดาห์) รัฐกลันตัน รัฐตรังกานู และรัฐเปอร์ลิส ภายใต้ชื่อ “รัฐนอกสหพันธรัฐมลายู” (หน้า 1,49)  4 รัฐ ดังกล่าว โดยเฉพาะในรัฐไทรบุรีหรือเคดาห์ บริเวณ ตำบลปาดังเกอร์เบา อำเภอเปิ้นดัง เป็นรัฐที่มีชาวมาเลเซียเชื้อสายไทยตั้งชุมชนเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุด มีศิลปวัฒนธรรม ภาษา ศาสนา ขนบประเพณีและการใช้ชีวิตแบบไทยในเมืองแม่ แต่ยังคงด้อยการศึกษา (หน้า 11-13,83-86)
 
 
ผู้วิจัยสรุปความเป็นมาของชาวสยามในชุมชนปลายระไม จากคำบอกเล่าของชาวบ้านและจากเอกสารว่า ประชาชนส่วนใหญ่อพยพมาตั้งถิ่นฐานและบุกเบิกที่ดินเพื่อทำเกษตรที่รัฐไทรบุรี ตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 18-19 โดยเฉพาะอพยพมาจากเมืองสงขลา และนครศรีธรรมราช อีกนัยหนึ่ง ในสมัยรัชกาลที่ 5 (พ.ศ. 2310 -2411) ช่วงเวลาที่เริ่มมีการปลดปล่อยทาส คนเหล่านี้ได้รวมกลุ่มกันมาจับจองที่ดินทำกินและจัดตั้งเป็นหมู่บ้านปลายระไม หรือตีตี อาการ์ ขึ้นในพื้นที่ตำบลทุ่งควาย อำเภอเปิ้นดัง (หน้า 85)

Settlement Pattern

ชาวสยามในชุมชนปลายระไม มักตั้งบ้านเรือนเรียงรายไปตามสองฝากฝั่งของถนนคลองเตียง (Jalan Sungai Tiang) (หน้า 84)

Demography

ชาวสยามในพื้นที่ตำบลปาดังเกอร์เบา อำเภอเปิ้นดัง เป็นศูนย์รวมของชาวมาเลเซียเชื้อสายไทยที่ใหญ่ที่สุดในรัฐเคดาห์ มีคนไทย 11 หมู่บ้าน 1,237 ครัวเรือน มีประชากร 6,189 คน มีวัด 12 วัด กระจายกันอยู่ตามหมู่บ้านต่างๆ จากการสำรวจปี ค.ศ. 2005 (พ.ศ. 2548) ชุมชนปลายระไมมีประชากร 1,212 คน 333 ครัวเรือน ไม่มีชาวมลายูอาศัยอยู่ในชุมชน(หน้า 13,91)

Economy

ชาวชุมชนปลายระไมส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำนา อาศัยน้ำฝนตามธรรมชาติและทำสวนยางพาราในที่ดินของตนเอง ลักษณะเป็นแบบเพื่อยังชีพ อาศัยแรงงานในครอบครัวเป็นหลัก กระทั่งเมื่อรัฐบาลมาเลเซียได้เข้ามาจัดกระบวนการพัฒนาพื้นที่ทางการเกษตรเพื่อยกระดับรายได้และให้โอกาสในการทำงานแก่ชาวมาเลเซียทุกเชื้อชาติ ตามนโยบายเศรษฐกิจใหม่ (ค.ศ.1971-1990) จึงเริ่มมีการขยายพื้นที่การเกษตรในชนบท โดยกำหนดกฎเกณฑ์การถือครองที่ดินทำกินทางการเกษตรขึ้นใหม่ รัฐได้จัดเจ้าหน้าที่มาให้ความรู้ คำแนะนำการปลูกพืชใหม่ ๆ ทำให้เปลี่ยนรูปแบบการทำเกษตรเป็นเชิงพาณิชย์มากขึ้น(หน้า 94,96-98) และรัฐยังได้ผลักดันให้ชาวภูมิตรเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมโดยพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน และตั้งธนาคารภูมิบุตรขึ้นเพื่อให้ชาวภูมิบุตรสามารถกู้ยืมเงินมาใช้ลงทุนประกอบกิจการตามนโยบายวิสัยทัศน์ 2020 (หน้า 95)

Social Organization

ผู้วิจัยเสนอเกี่ยวกับพัฒนาการพหุสังคมในมาเลเซียและความเป็นรัฐ-ชาติ เพื่อชี้ให้เห็นถึงที่มาและความสำคัญของกระบวนการบูรณาการในรัฐพหุสังคม โดยเริ่มอธิบายลักษณะสังคมในคาบสมุทรมลายูที่มีลักษณะหลากหลายของกลุ่มคน ก่อนที่อังกฤษจะเข้ามามีอำนาจ (หน้า 49-51)
 
 
จากนั้น ผู้วิจัยชี้ให้เห็นภาพสังคมมาเลเซียเริ่มมีปัญหาความหลากหลายทางชาติพันธุ์ระหว่างกลุ่มคน 3 เชื้อชาติหลัก (ชาวพื้นเมืองมลายู ชาวจีนและชาวอินเดีย) (หน้า 51-56) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มาเลเซียยังอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ จนกระทั่งภายหลังจากได้รับเอกราช รัฐบาลพยายามแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างเชื้อชาติโดยการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจแบบเปิด เพื่อลดความแตกต่างในเรื่องฐานะของเชื้อชาติ (หน้า 57-59)
 
 
ภายใต้บริบทสังคมรัฐชาติดังกล่าว มีผลทำให้กลุ่มชาติพันธุ์สยามที่เป็นส่วนหนึ่งของสังคมมาเลเซียต้องปรบตัวทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง โดยพบว่าชาวไทยใน อ.เปิ้นดัง มีพลวัตในการปรับตัวค่อนข้างสูง (หน้า 11-13) ซึ่งชุมชนปลายระไมเป็นชุมชนดั้งเดิมที่ไม่พบว่ามีคนจากชุมชนอื่นอพยพมาตั้งรกราก และไม่มีชาวมลายูอาศัยอยู่ในชุมชน แต่มีชาวจีนเชื้อสายมาเลเซียที่นับถือพุทธศาสนานิกายเถรวาทอาศัยอยู่บ้าง (หน้า 91)
 
 โครงสร้างทางสังคมในชุมชนตามที่ปรากฏชัดในงานศึกษา ส่วนใหญ่แสดงออกทางศาสนาและประเพณี กล่าวคือ ชาวสยามปลายระไมมีการแสดงออกถึงวิถีชีวิตตามวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่นในบริบทสังคมที่เกี่ยวข้องกับศาสนาอยู่มาก เช่น ประเด็นการแต่งงานของผู้ชายชาวสยามกับการบวชเรียน และประเด็นการแต่งงานข้ามกลุ่มชาติพันธุ์ของชาวสยามที่มีการที่มีบริบททางศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้อง (หน้า 142-145) ดังนั้น ชาวสยามในมาเลเซียจึงไม่นิยมแต่งงานข้ามกลุ่มชาติพันธุ์ (inter-ethnic marriage) เนื่องจากเกรงว่าจะต้องถูกกลืนไปกับวัฒนธรรมที่เหนือกว่า (dominant culture) โดยเฉพาะการเปลี่ยนศาสนา ซึ่งชาวสยามเห็นว่าจะนำไปสู่การสูญเสียอัตลักษณ์ในที่สุด (หน้า 128-129,141-143)

Political Organization

ชาวสยามในชุมชนปลายระไมต้องปฏิบัติตาม หรืออยู่ภายใต้หลักเกณฑ์ที่เกี่ยวกับการปกครองคนภายในรัฐมาเลเซีย ในฐานะเป็นชนกลุ่มน้อยที่ได้สัญชาติมาเลเซีย ซึ่งรัฐได้ออกแบบกระบวนการของการได้มาซึ่งสิทธิความเป็นพลเมืองไว้หลายรูปแบบ (หน้า 148-150) รวมถึงได้กำหนดรูปแบบการใช้นามสกุลของแต่ละเชื้อชาติให้มีความแตกต่างกัน เพื่อให้แต่ละกลุ่มชาติพันธุ์มีอัตลักษณ์เฉพาะของตน (หน้า 150) 
 
รัฐพยายามดึงชาวบ้านให้เข้ามามีส่วนร่วมทางการปกครอง โดยเข้ามาจัดระเบียบทางโครงสร้างการปกครองให้มีผู้ใหญ่บ้านในฐานะตัวแทนของรัฐ และให้มีคณะ-กรรมการเพื่อทำงานด้านต่างๆ ในชุมชน กำหนดบทบาทให้เชื่อมโยงกับกิจกรรมทางสังคม อันเป็นไปตามแบบแผนการปฏิสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ตามที่รัฐใช้เป็นเครื่องมือทางการปกครอง (หน้า 151-155 )
 
อย่างไรก็ดี สิทธิของความเป็นพลเมืองมาเลเซียทำให้ชาวบ้านมีสิทธิทางการเมืองอย่างเต็มที่และมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยอิสระ รวมถึงโครงสร้างอำนาจชุมชนซึ่งทางรัฐบาล (รัฐบาลรัฐเคดาห์) ก็ไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้อง (หน้า 161-162)
 
ภายในชุมชนปลายระไมมีการรวมตัวของสมาชิกพรรคการเมืองเกิดขึ้นคือ พรรคอัมโมของชาวมลายู ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลที่ครองเสียงข้างมากมาตลอด รัฐใช้ความเป็นสมาชิกพรรคการเมืองเป็นกลไกอย่างหนึ่งในการควบคุมคนในสังคม และปลูกฝังอุดมการณ์ทางการเมือง เพื่อกำหนดทิศทางการจัดระเบียบการปกครองให้ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ (ชาวมลายูและชาวสยาม) ให้เป็นหน่วยเดียวกัน โดยที่ชนกลุ่มน้อยก็ไม่สูญเสียอัตลักษณ์ไป ขณะเดียวกันมีชาวสยามปลายระไมจำนวนหนึ่งที่ไม่สนใจเรื่องการเมือง (หน้า 155-157,163-167)

Belief System

ชาวสยามในชุมชนปลายระไมนับถือศาสนาพุทธเถรวาท มีวัดปลายระไมเป็นศาสนสถานอยู่ในชุมชน มีการแสดงออกถึงวิถีชีวิตในชุมชนในบริบทการนับถือศาสนาและประเพณีท้องถิ่น อย่างชาวไทยพุทธทั่วไปที่แสดงถึงอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์สยาม เช่น ประเพณีการบวช ประเพณีการตาย งานทำบุญเดือนสิบ ประเพณีสงกรานต์ งานลอยกระทง การจัดกิจกรรทางศาสนาจะจัดภายในบริเวณวัดซึ่งรัฐบาลให้การยอมรับในวัฒนธรรมประเพณีของแต่ละกลุ่มชาติพันธ์ที่มีอยู่ในประเทศ (หน้า 91-92,126-127,135-140) 

Education and Socialization

ก่อนการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจใหม่ (ค.ศ.1971-1990) ของรัฐบาล ชาวสยามในชุมชนปลายระไม ไม่ค่อยสนใจเข้าเรียนในโรงเรียนของรัฐบาล เนื่องจากต้องเป็นแรงงานช่วยงานในครัวเรือนประกอบกับการเดินทางยังไม่สะดวก (หน้า 94-96) แต่หลังจากดำเนินนโยบายเศรษฐกิจใหม่ รัฐบาลมาเลเซียใช้ระบบการศึกษาเป็นรูปแบบหนึ่งในการบูรณาการทางสังคม มีการสร้างโรงเรียนในชนบทและให้เรียนแบบให้เปล่า จัดโควตาแก่ชาวพื้นเมืองในการศึกษาระดับที่สูงขึ้น และกำหนดให้ใช้ภาษามลายูเป็นภาษาราชการ ส่งผลให้คนในชุมชนปลายระไมกระตือลือร้นส่งบุตรหลานเล่าเรียนมากขึ้น เพื่อมีโอกาสประกอบอาชีพและมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น รัฐบาลกลางใช้หลักสูตรการเรียนการสอนที่ออกแบบขึ้นเพื่อเป็นเครื่องมือในการขัดเกลาทางสังคม ปลูกฝังทางความคิด และอุดมการณ์ให้กับชาวมาเลเซียทุกเชื้อชาติโดยเน้นบริบทของชาวมลายูเป็นหลัก (หน้า 145,120-125,130-135)

Health and Medicine

-ไม่ปรากฏข้อมูล-

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ในความเป็นพหุสังคม วัฒนธรรมการแต่งกายของชาวสยามปลายระไมจึงรับเอาแบบมลายูมาใช้ในกลุ่มชาติพันธุ์ กล่าวคือ ผู้ชายสยามบางคนนิยมนุ่งโสร่งเวลาอยู่บ้านเช่นเดียวกับชายมลายู และใส่กางเกงขาสั้นออกนอกบ้านได้ ขณะที่ชายชาวมลายูทำไม่ได้ สำหรับผู้หญิงสยามไม่มีกฎเกณฑ์ในการแต่งกาย แต่ก็มักนุ่งโสร่งปาเต๊ะเมื่ออยู่บ้านเหมือนผู้หญิงมลายู ส่วนการแต่งกายของนักเรียน ทางรัฐบาลจะบังคับให้เด็กมลายูที่เป็นผู้หญิงต้องใส่ฮิญาบ ส่วนเด็กผู้ชายให้นั่งกางเกงขายาวตามหลักศาสนาอิสลาม ส่วนเด็กสยามและเด็กเชื้อชาติอื่นๆ ที่ไม่ใช่มุสลิมสำหรับเด็กผู้หญิงก็ไม่ต้องคลุมฮิญาบ ส่วนเด็กผู้ชายให้นุ่งกางเกงขายาวเหมือนกับเด็กมลายู (หน้า 123,138)  

Folklore

นิทานชาวบ้านของคนไทยพุทธบ้านปลายระไม รัฐไทรบุรี กล่าวถึงประเพณีที่สำคัญของชาวชุมชนว่าเหมือนกันกับในเมืองไทย โดยเฉพาะประเพณีในภาคใต้ เช่น ประเพณีสงกรานต์ รดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ ประเพณีลอยกระทง ประเพณีงานเดือนสิบ ประเพณีการบวช และประเพณีการตาย(หน้า 91) ปัจจุบัน ด้วยระบบการศึกษาของรัฐบาลมาเลเซียที่มีหลักสูตรและเนื้อหาที่เน้นบริบทของชาวมลายูเป็นสำคัญ และรัฐบาลไม่อนุญาตให้ชาวสยามตั้งโรงเรียนสอนภาษาไทยทำให้กลุ่มชาติพันธุ์สยามในชุมชนปลายระไม ต้องปรับตัวเพื่อหาพื้นที่แสดงอัตลักษณ์ความเป็นชาติพันธุ์สยามในด้านภาษา โดยการสร้างโรงเรียนสอนภาษาไทยขึ้นที่วัดปลายระไม ขณะที่การแสดงออกในเรื่องประเพณีของชาวสยามยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง (หน้า 127,130-132) 

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

“กลุ่มชาติพันธุ์สยาม” หรือ “ชาวสยาม” (Orang Siam) หรือ “ชาวไทย” หรือ “เซียม”ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ทางตอนเหนือของประเทศมาเลเซียใน 4 รัฐ ได้แก่ รัฐกลันตัน ตรังกานูไทรบุรี(เคดาห์) และเปอร์ลิส ในอดีตดินแดนนี้ประเทศสยามเสียให้แก่อังกฤษในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อปี ค.ศ. 1909 (พ.ศ. 2452)  แต่ชาวสยามยังคงตั้งหลักแหล่งอยู่ต่อกลายเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ส่วนน้อยกลุ่มหนึ่งที่เป็นพลเมืองมาเลเซียมีตัวตนทางวัฒนธรรมที่เด่นชัดเหมือนกับชาวสยามในประเทศไทย ส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ในรัฐเคดาห์ พื้นที่อำเภอเปิ้นดัง นอกจากนั้น ยังมีชาวมลายูมุสลิมที่พูดภาษาไทยและได้รับอิทธิพลประเพณีไทยที่พบมากในเคดาห์ เปอร์ลิส และเประ เรียกคนกลุ่มนี้ว่า “ซัมซัม” (Sam-Sam) (หน้า 84-85) ผู้วิจัยรายงานข้อมูลปี พ.ศ. 2543 ชาวมลายู มีร้อยละ 58 ชาวจีน มีร้อยละ 24 และชาวอินเดีย มีร้อยละ 8 ส่วนที่มีเชื้อชาติอื่นๆ มีประมาณร้อยละ 10 ของจำนวนประชากรมาเลเซียที่มีประมาณ 26 ล้านคน (หน้า 1,11-13,185)
 
การอพยพของชาวจีนและอินเดียมาเป็นจำนวนมากในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ทำให้มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในคาบสมุทรมลายู ชาวจีนที่เข้ามาตั้งหลักแหล่งมีหลายเผ่าพันธุ์ ในระยะแรกเรียกกันในนาม “บาบ๋า” (Baba)  เป็นกลุ่มที่มีบทบาทในด้านเศรษฐกิจมากที่สุด ส่วนชาวอินเดียได้เข้ามารับจ้างเป็นแรงงานในคาบสมุทรมลายูช่วงที่อังกฤษมีอิทธิพลในแถบมะละกา (หน้า 1-5,51-53) ต่อมา กลายเป็นการแบ่งกลุ่มประชากรตามเชื้อชาติที่เป็นลักษณะของการควบคุมอาชีพในระบบเศรษฐกิจมาเลเซียกล่าวคือ ชาวจีนกลายเป็นชนชั้นกลางของสังคมนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจ ส่วนชาวอินเดียส่วนใหญ่เป็นชนชั้นใช้แรงงาน ขณะที่ชาวมลายูมีอำนาจทางการเมืองการปกครอง และมักได้รับสิทธิพิเศษทางสังคมเหนือเชื้อชาติอื่น นับเป็นความแตกต่างด้านวัฒนธรรม ประเพณี ภาษา ศาสนา วิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งทางเชื้อชาติในกลุ่มประชากรของมาเลเซีย (หน้า 7-8,57-58)
 
นอกจากนั้น ผู้วิจัยยักล่าวถึงลักษณะสังคมมาเลเซียว่า ยังคงมีลักษณะการแบ่งเป็น 4 ชนชั้น ได้แก่ กลุ่มเชื้อพระวงศ์และเครือญาติ กลุ่มผู้นำทางการเมือง กลุ่มผล ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และกลุ่มประชาชนทั่วไป รวมถึงการแบ่งชนชั้นตามเชื้อชาติ ที่เรียกว่า กลุ่มภูมิบุตร (Bumiputera) เพื่อที่จะใช้เป็นสัญลักษณ์ร่วมกันกับชาวมลายูและเพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ ส่วนชาวสยามเป็นชนกลุ่มน้อยที่จัดอยู่ในกลุ่มภูมิบุตร มีความสัมพันธ์กับชาวมลายูในแง่ความเป็นชาวภูมิบุตรด้วยกัน รวมถึงยังมีความสัมพันธ์ทางศาสนาและการขายสินค้ากับชาวจีนด้วย อย่างไรก็ดี ชาวสยามไม่ได้มีบทบาทสำคัญทั้งในด้านเศรษฐกิจและการเมืองซึ่งแตกต่างจากกลุ่มชาติพันธุ์หลัก (หน้า 60-64, 95)

Social Cultural and Identity Change

ผู้วิจัยกล่าวถึงผลกระทบและการปรับตัวในด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม ด้านการเมือง และความเป็นตัวตนของชาวสยามปลายระไม อันเนื่องมาจากกระบวนการบูรณาการที่นำไปสู่เอกภาพของรัฐมาเลเซีย โดยเฉพาะในช่วงแรกของการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจใหม่ (ค.ศ.1971-1990) อันมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อยกระดับรายได้และโอกาสการประกอบอาชีพให้แก่ชาวมาเลเซียทุกเชื้อชาติ  ทำให้ให้ชาวสยามในชุมชนปลายระไมมีทางเลือกประกอบอาชีพมากขึ้น ทั้งภาคเกษตรและการเข้ารับราชการ พร้อมกับต้องปรับตัวให้เข้ากับกฎเกณฑ์ใหม่ของรัฐโดยเฉพาะเรื่องการถือครองที่ดินทำกินทางเกษตร ขณะเดียวกันก็มีการปรับตัวเพื่อเข้าสู่การเกษตรเชิงพาณิชย์เพื่อตอบสนองความต้องการที่จะมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และเพื่อให้ได้รับการยอมรับจากสังคมมาเลเซีย จากโอกาสที่ได้รับการศึกษาที่สูงขึ้น (หน้า 95,101-103,114-116)
 
ผลจากการส่งเสริมด้านการศึกษาจากภาครัฐ ทำให้เยาวชนสยามได้รับการปลูกฝังในการหลักสูตรการศึกษาที่รัฐได้กำหนด ระบบกรศึกษาที่รัฐเป็นผู้กำหนดโดยใช้ภาษามลายูเป็นสื่อกลางในการเรียนการสอนทำให้เยาวชนได้รับรู้ถึงความเป็นชาติพันธุ์ในบริบทชาวมลายู มากกว่าความเป็นชาติพันธุ์ของตนเอง อย่างไรก็ดี รัฐบาลมาเลเซียได้ตระหนักถึงการสร้างเอกภาพภายในชาติภายใต้รัฐพหุสังคมมาก จึงให้ความสำคัญกับความเสมอภาคในการนับถือศาสนา ประเพณีและวัฒนธรรม ชาวสยามปลายระไมจึงสามารถแสดงออกในกิจกรรมทางศาสนาและประเพณีท้องถิ่นได้ แต่ต้องได้รับอนุญาตจากทางการก่อน (หน้า 120-125,129-135,146-147)
 
ในระยะแรกโครงสร้างอำนาจของชุมชนปลายระไมไม่มีความซับซ้อนมาก จากในอดีตที่ผู้นำชุมชน จะเป็นพระสงฆ์ซึ่งเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของชาวบ้าน แต่เมื่อรัฐได้เข้ามามีบทบาทในการจัดระเบียบการปกครองชุมชนเสียใหม่ในสมัยรัฐ-ชาติ  ทำให้ตำแหน่ง “ผู้ใหญ่บ้าน” เป็นผู้นำชุมชนทางการเมือง ผู้ใหญ่บ้านเปรียบเสมือนตัวแทนระหว่างภาครัฐและประชาชน และรัฐเข้ามามีบทบาทในชุมชนมากขึ้นเป็นลำดับโดยพยายามดึงชาวบ้านให้เข้ามามีส่วนร่วมทางการปกครองมากขึ้น นับเป็นการจัดระเบียบความเป็นพลเมือง และการจัดระเบียบทางการเมืองที่ส่งผลให้ชาวสยามในชุมชนปลายระไมในฐานะเป็นพลเมืองของมาเลเซียและเป็นชนกลุ่มน้อยต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์รูปแบบต่างๆ ที่รัฐได้กำหนดขึ้น (หน้า 152-153,157-161)
 
ขณะเดียวกัน ความเป็นพลเมืองส่งผลให้ชาวสยามในชุมชนปลายระไมเข้าสู่การมีส่วนร่วมทางการเมืองด้วย จากที่ปรากฏคือ ชาวสยามสามารถเป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกพรรคการเมือง ซึ่งรัฐใช้เป็นกลไกควบคุมคนในสังคมและปลูกฝังอุดมการณ์การเมืองแบบมาเลเซีย ขณะเดียวกันผู้นำพรรคการเมืองที่มีค่านิยมแบบชาวมลายูก็ยอมรับความแตกต่างทางชาติพันธุ์ในการใช้อำนาจปกครอง(หน้า 156-157,166-168) 

Other Issues

ผู้วิจัยชี้ให้เห็นภาพสังคมมาเลเซียเริ่มมีปัญหาความหลากหลายทางชาติพันธุ์ระหว่างกลุ่มคน 3 เชื้อชาติหลัก (ชาวพื้นเมืองมลายู ชาวจีนและชาวอินเดีย) (หน้า 51-56) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มาเลเซียยังอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ จนกระทั่งภายหลังจากได้รับเอกราช รัฐบาลพยายามแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างเชื้อชาติโดยการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจแบบเปิด เพื่อลดความแตกต่างในเรื่องฐานะของเชื้อชาติ (หน้า 57-59) แต่ด้วยความต้องการของกลุ่มประชากรที่แตกต่างกันทำให้ยังไม่เกิดเอกภาพในประเทศอย่างแท้จริง จวบจนภายหลังเหตุการณ์จลาจลในปี ค.ศ. 1969 รัฐบาลได้ประกาศใช้นโยบายเศรษฐกิจใหม่ (NEP) และนโยบายวิสัยทัศน์ 2020 ที่เน้นถึงรูปแบบการบูรณาการ เพื่อสร้างความเสมอภาค-เอกภาพในประเทศมาเลเซียตั้งแต่ปี ค.ศ. 1970 ถึงปัจจุบัน (หน้า 59-64)
 
ผู้วิจัยวิเคราะห์ปัจจัยความสำเร็จในการบูรณาการความเป็นเอกภาพระหว่างเชื้อชาติในมาเลเซีย ในประเด็นความเป็นรัฐ-ชาติว่า เกี่ยวข้องกับความเป็นรัฐบาลประชาธิปไตยและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (หน้า 66-72) ประกอบกับการประกาศหลักอุดมการณ์แห่งชาติ 5 ประการ เป็นเสมือนหลักพื้นฐานสำคัญในการเริ่มต้นของสังคมมาเลเซียที่มีความกลมเกลียว (หน้า 72-75) ซึ่งดำเนินไปพร้อมกับการปฏิบัตินโยบายพัฒนาประเทศ 2 นโยบายหลัก คือ นโยบายเศรษฐกิจใหม่ (NEP) และนโยบายวิสัยทัศน์ 2020 เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายในด้านเอกภาพของชาติและการปรองดองกันในสังคม ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงทางการเมือง เป็นประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างสมบูรณ์ (หน้า 76-83)

Map/Illustration

ผู้วิจัยได้ใช้แผนที่แสดงที่ตั้ง อาณาเขต ประกอบคำอธิบายประวัติการตั้งถิ่นฐาน พื้นที่ชุมชนศึกษา (หน้า 4,17,90,193,194) ใช้ภาพถ่ายสภาพการใช้ชีวิตปัจจุบันของชุมชน ลักษณะบ้านเรือน สถานที่สำคัญในชุมชน สภาพถนน สิ่งแวดล้อม และบรรยากาศกิจกรรม/งานเทศกาลในชุมชนประกอบคำอธิบาย (หน้า 88-89,  97,102,110,115,122,124,127,132,139 และ 163) ภาพบุคคลผู้ให้สัมภาษณ์ และแสดงภาพของสื่อ ภาพกิจกรรมของรัฐ และเอกสารสำคัญของทางราชการ (หน้า 100,134,137,140,156,160 และ 166)

Text Analyst นพรัตน์ พาทีทิน Date of Report 02 ต.ค. 2567
TAG คนใต้, กลุ่มชาติพันธุ์สยาม, การบูรณาการกลุ่มชาติพันธุ์, , รัฐพหุสังคม, รัฐเคดาห์, มาเลเซีย, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง