|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),อาหารและโภชนาการ, เด็ก, กาญจนบุรี |
Author |
Sinee Chotiboriboon, Sopa Tamachotipong, Solot Sirisai, Sakorn Dhanamitta, Suttilak Smitasiri, Charana Sappasuwan, Praiwan Tantivatanasathien, Pasamai Eg-Kantrong |
Title |
Thailand: Food System and Nutritional Status of Indigenous Children in a Karen Community |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
โพล่ง โผล่ง โผล่ว ซู กะเหรี่ยง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
Chotiboriboon,Sinee et al. “Thailand : food system and nutritional status of indigenous children in a Karen community” in Indigenous Peoples’ food systems. Page 159-183. |
Total Pages |
25 หน้า |
Year |
|
Source |
Chotiboriboon,Sinee et al. “Thailand : food system and nutritional status of indigenous children in a Karen community” in Indigenous Peoples’ food systems. Page 159-183. |
Abstract |
เป็นการศึกษาการบริโภคอาหารและภาวะโภชนาการในเด็กและมารดาชนเผ่ากะเหรี่ยงที่บ้านสะเนพอง จังหวัดกาญจนบุรี โดยผ่านทางการเก็บข้อมูลทั้งทางตรงและทางอ้อม ประกอบการผลจากการตรวจด้วยหลักสหวิทยาการ เพื่อนำมาเปรียบเทียบกับข้อมูลทางโภชนาการมาตรฐาน
จากการศึกษาพบว่าอาหารและวัตถุดิบส่วนมากที่พบภายในบริเวณพื้นที่มีคุณค่าทางสารอาหารมากพอ ยกเว้นอาหารที่มีธาตุเหล็กเป็นส่วนประกอบ แต่พบว่าเด็กส่วนมากยังอยู่ในภาวะขาดสารอาหารที่จำเป็นเช่นวิตามินต่างๆ ปัจจัยหนึ่งที่ก่อให้เกิดการขาดอาหารคือภายหลังจากการประกาศอุทยานแห่งชาติทุ่งใหญ่นเรศวรทำให้ชาวบ้านไม่สามารถจับสัตว์ป่าหรือเก็บของป่าได้ ทำให้จำนวนอาหารลดลง นอกจากนั้นยังพบว่าควรส่งเสริมการเลี้ยงดูบุตรให้ถูกวิธีแก่มารดาโดยเฉพาะเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูก เพราะเรื่องนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการบริโภคขนมในเด็ก |
|
Focus |
เน้นศึกษาการบริโภคอาหารและภาวะโภชนาการในเด็กและมารดาชนเผ่ากะเหรี่ยงที่บ้านสะเนพอง จังหวัดกาญจนบุรี |
|
Theoretical Issues |
ใช้การเก็บข้อมูลทั้งทางตรงผ่านทางการสัมภาษณ์คนในชุมชนรวมถึงภาค NGO ผ่านทางการสื่อสารด้วยภาษาไทยและภาษากะเหรี่ยง เพื่อรวบรวมและใช้หลักการทางสหวิทยาการ เช่นการตรวจทางห้องปฏิบัติการ และข้อมูลทางอ้อมที่ได้จากสำนักงานสาธารณสุขประจำจังหวัด เพื่อนำมาใช้เปรียบเทียบกับข้อมูลทางโภชนาการ |
|
Ethnic Group in the Focus |
ในงานบทความ ผู้เขียนใช้คำว่ากะเหรี่ยง แต่เมื่อพิจารณาจากการระบบเรียกชื่อตนเอง(Ethnic Identity)พบว่ากลุ่มชาติพันธุ์ที่กล่าวในงานวิจัยนี้เป็นคนโพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งที่ถูกเรียกรวมว่ากะเหรี่ยง |
|
Study Period (Data Collection) |
ธันวาคม พ.ศ. 2547 – กันยายน พ.ศ. 2548 โดยเก็บข้อมูลภาคสนามในช่วง กุมภาพันธ์ – มิถุนายน พ.ศ. 2548 |
|
History of the Group and Community |
ชาวกะเหรี่ยงในหมู่บ้านสะเนพองนั้นได้มีการบันทึกว่าอาศัยอยู่ที่นี้มามากกว่า 200 ปี ในตอนแรกจะอยู่กันอย่างกระจายตัวเป็นชุมชนเล็กๆ (5-10 ครอบครัว ผูกพันกันด้วยระบบเครือญาติ) และแยกตัวโดดเดี่ยวจากชุมชนเมือง จนถึงในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่ได้มีการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง ทำให้มีการเข้ามาของแผนการพัฒนาชุมชน และนโยบายแห่งชาติ |
|
Settlement Pattern |
ภายในชุมชนประกอบด้วย 126 ครัวเรือน ที่อาศัยอยู่ในบ้านที่สร้างจากไม้และไม้ไผ่, วัดพุทธ, โรงสีข้าว, แผงพลังงานแสงอาทิตย์, โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน, สถานรับดูแลเด็ก, สถานีภาคสนามของหน่วยงานพัฒนากลุ่มคนที่อาศัยอยู่ตามภูเขา และธนาคารข้าวของชุมชน มีบ้านของผู้นำชุมชนอยู่บริเวณตรงกลางของหมู่บ้าน และร้านขายของชำ 7 ร้าน |
|
Demography |
มีผู้อยู่อาศัยภายในชุมชน 126 ครัวเรือน ทั้งหมด 661 คน เป็นเพศชาย 345 คน (52.2%) และเพศหญิง 316 คน (47.8%) |
|
Economy |
ประชากรภายในชุมชนสามารถหาอาหารเพื่อบริโภคได้จากพื้นที่ 4 ส่วน คือ Sanephong Base (240เฮกเตอร์) , Jakhiphue base (32 เฮกเตอร์) , Thichwe Base (4.8 เฮกเตอร์) , Thupho Base (320 เฮกเตอร์) โดยส่วนมากจะทำการปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์หรือเก็บของป่าจากพื้นที่ในส่วนของ Sanephong Base
พื้นที่บริเวณ Sanephong Base เป็นที่ราบลุ่มม่น้ำในหุบเขาทอดจากทางตะวันออกไปตะวันตก คนในชุมชนใช้ประโยชน์จากพื้นที่ส่วนนี้ในหลายๆ ด้าน เช่น การตั้งหมู่บ้าน ปลูกข้าว, สวนกล้วย, มะม่วง และขนุน ส่วนผัก เช่น พืชตระกูลฟักทองและบวบจะทำการปลูกในสวนหลังบ้าน กิจกรรมเพื่อการดำเนินชีวิตของผู้คนในชุมชนส่วนใหญ่จะเป็นการปลูกข้าว
แหล่งอาหารภายในท้องถิ่นประมาณ 85% มาจากการเพาะปลูกในท้องถิ่น การปลูกข้าว มัน และเผือกมักจะปลูกในช่วงเดือนตุลาคม – มกราคมและจะกักตุนไว้สำหรับการบริโภคทั้งปี อาหารส่วนใหญ่ประกอบด้วยข้าว ผัก และพริก มีผลไม้ตลอดปี ยกเว้นบางชนิดเช่นมะม่วง ฝรั่งและขนุนที่พบช่วงฤดูร้อน
การแบ่งปันอาหารซึ่งกันและกันภายในชุมชน โดยถือว่าเป็นคุณธรรมข้อสำคัญ เพราะฉะนั้นชาวบ้านจึงไม่ได้ปลูกข้าวสำหรับเพื่อนตนเองเท่านั้นแต่เผื่อคนอื่นด้วย ชาวบ้านมักจะแบ่งข้าวเปลือกของตัวเองออกเป็น 2ส่วน คือเพื่อการบริโภคและเพื่อผู้ที่มาเยือน
แต่จากการสำรวจพบว่า 58 % ของครัวเรือนทั้งหมดมีข้าวเปลือกไม่เพียงพอต่อการรับประทานภายในครัวเรือน บ้านที่มีข้าวเปลือกจำนวนมากจะเก็บคลังข้าวเปลือกไว้สำหรับให้ครอบครัวที่ไม่สามารถผลิดได้เพียงพอมายืมไป รวมถึงสามารถยืมข้าวเปลือกจากญาติพี่น้อง
ปลาและสัตว์น้ำสามารถพบได้ตามลำธารหลักรอบๆภูเขาสูง ซึ่งสามารถพบพืชและผักในบริเวณนี้ได้อีกเช่นกัน คนส่วนมากดำรงชีวิตด้วยการจับปลาและสัตว์น้ำ เช่นปู หอย กุ้ง และกบจากลำธาร อาหารจำพวกเนื้อสัตว์สามารถพบได้ในบริเวณป่าโดยรอบ แต่การล่าสัตว์และจับสัตว์เล็กเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายในพื้นที่บริเวณนี้
รายได้ต่อหัวของประชากรภายในหมู่บ้านสะเนพอง คือ 19,789 บาท (ของประเทศไทยคือ 28,412 บาท)
ด้านน้ำดื่ม ชาวบ้านสามารถดื่มได้จากลำธาร น้ำฝน และน้ำประปา โดยมีส่วนหนึ่งที่มีการต้มน้ำก่อนดื่ม ส่วนมารดาที่กำลังให้นมบุตรและเด็กทารกดื่มแต่น้ำที่ผ่านการต้มเท่านั้น
ภายในหมู่บ้านมีน้ำประปาแต่ว่ายังมีไม่เพียงพอต่อการใช้ตลอดทั้งปี |
|
Political Organization |
ผู้นำอย่างเป็นทางการคือกำนันและผู้ใหญ่บ้าน
ผู้นำอย่างไม่เป็นทางการเช่นพระ หรือผู้อาวุโสที่เป็นที่เคารพของหมู่บ้าน |
|
Belief System |
ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธแต่ก็มีความเชื่อเรื่องวิญญาณที่อยู่ตามธรรมชาติ เช่นข้าว มีพิธีศักดิ์สิทธิ์เพื่อแสดงความเคารพต่อวิญญาณ เพื่อให้อยู่อย่างมีความสุข ถ้าเกิดไม่มีการจัดพิธีเหล่านี้ขึ้น จะทำให้วิญญาณลงโทษใครสักคนภายในหมู่บ้าน
ชาวบ้านเชื่อว่าข้าวขาวเป็นอาหารสำคัญและดีต่อคนท้อง กำลังให้นมบุตร และเด็กเล็ก
เชื่อว่าปลามีส่วนสำคัญในการพัฒนาสมอง
เชื่อว่าแกงเลียงหัวปลีจะช่วยเพิ่มน้ำนมแม่ในช่วงการให้นมบุตร |
|
Education and Socialization |
ในปีพ.ศ. 2505 ได้มีการจัดตั้งโรงเรียนประถมศึกษาแห่งแรก ดำเนินการโดยตำรวจตระเวณชายแดน การศึกษาทำให้เด็กกะเหรี่ยงสามารถอ่านและเขียนภาษาไทยได้ โดยเด็กเหล่านี้ได้รับโอกาสทางการศึกษาเท่ากับเด็กคนอื่นในประเทศ คือเรียนฟรีจนถึงม.3 แต่เด็กกะเหรี่ยงส่วนใหญ่มักจะเรียนจบถึงชั้น ป. 6 เพราะครอบครัวไม่มีเงินพอสำหรับค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการเรียนสำหรับการเรียนในระดับที่สูงขึ้นนอกชุมชนสะเนพ่องได้ เช่น ค่าเดินทาง ค่าอุปกรณ์การเรียนเป็นต้น และมีหลายคนที่เข้าเรียนตามหลักสูตรที่เปิดสอนแบบไม่เป็นทางการทั่วไป |
|
Health and Medicine |
โดยทั่วไปใช้ส้วมซึมโดยเฉพาะบ้านเรือนที่อยู่ใกล้ลำธาร สำหรับบ้านที่ห่างออกไปจะเข้าไปขับถ่ายในป่าโดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อน
นอกจากนี้ในหมู่บ้านยังมีอาสาสมัครประจำหมู่บ้านจำนวน 10 คนที่รับผิดชอบการบริการรักษาขั้นปฐมภูมิ |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
มีการเพิ่มจำนวนของร้านขายของชำภายในชุมชน
อาหารพื้นเมือง 5 รายการมีการทำน้อยลงหรือไม่มีเลย เช่น Bai-sa (ถั่วชนิดหนึ่ง) หรือน้ำมันงาที่เคยใช้ในสมัยก่อนถูกแทนที่ด้วยน้ำมันปาล์ม กล้วยบางชนิด และธัญพืชพื้นเมืองบางชนิดก็ได้สูญหายไปเนื่องจากความแห้งแล้ง |
|
Other Issues |
อาหารสำหรับทารก เด็กและมารดา
ทารก – ส่วนใหญ่รับประทานน้ำนมแม่ จนถึงอายุประมาณ 1 ขวบ แต่เมื่อหยุดนมแม่แล้วพบว่าเด็กบางส่วนมีภาวะขาดสารอาหารบางอย่าง เช่น วิตามิน A วิตามิน C ธาตุเหล็ก
เด็ก – พบว่าเด็กส่วนใหญ่อยู่ในภาวะขาดสารอาหารเรื้อรัง บางส่วนพบโรคโลหิตจาง คอพอก ตาบอดในความมืด ฟันผุ และเลือดออกตามไรฟัน
คนท้อง – ควรกินข้าวขาว ปลา เนื้อหมู ไก่ ไข่ นม และผักบางชนิด รวมถึง กล้วยและมะละกอสุก แต่ไม่ควรรับประทานข้าวโพด เผือก มัน และสับปะรด เพราะอาจทำให้เกิดการปวดท้องได้
เด็กก่อนวัยเรียน – 5 ปี – ควรรับประทานข้าวขาว หมู มะละกอสุก ฝรั่ง และปลา ส่วนมากเด็กอายุตั้งแต่ 3 ขวบขึ้นไปสามารถเลือกอาหารที่ตนเองจะรับประทานได้ รวมถึงขอทานขนม ซึ่งแม่สามารถซื้อได้ที่ร้านขายของชำ
เด็กอายุ 6 ปีขึ้นไป – สามารถรับประทานอาหารเหมือนผู้ใหญ่ได้ บางส่วนชอบรับประทานอาหารประเภททอดด้วยเช่นกัน |
|
Map/Illustration |
แผนที่แสดงที่อยู่ของชุมชนกะเหรี่ยงสะเนพ่อง |
|
|