|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลีซู, ผู้หญิง, อัตลักษณ์, การปรับตัว, ปิตาธิปไตย, เชียงราย |
Author |
อรอนงค์ แสนยากุล |
Title |
อัตลักษณ์และตัวตนของผู้หญิงลีซอ 3 รุ่น: กรณีศึกษาประสบการณ์ชีวิตผู้หญิงลีซูคนหนึ่ง |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ลีซู,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน) |
Total Pages |
124 |
Year |
2548 |
Source |
วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาสตรีศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
ผู้วิจัยศึกษาอัตลักษณ์ และตัวตนของผู้หญิงลีซูสามรุ่น คือ รุ่นย่า รุ่นแม่ และรุ่นลูกสาว โดยศึกษาประสบการณ์และวิถีชีวิตของผู้หญิงลีซูทั้งสามคน ตลอดจนกระบวนการสร้างอัตลักษณ์และตัวตน ผ่านบริบททางสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และการเมือง ที่ผู้หญิงลีซูทั้งสามคนปฏิสัมพันธ์ด้วย
อัตลักษณ์และตัวตนของผู้หญิงลีซูถูกสร้างขึ้นโดยการอบรมเลี้ยงดู และกระบวนการกล่อมเกลาทางสังคม ผ่านยสถาบันครอบครัว และสถาบันสังคมแบบปิตาธิปไตยของลีซู สถาบันสังคมไทย สถาบันการศึกษา และหน่วยงานของรัฐ อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงลีซูแต่ละคน คือ ย่า แม่ และลูกสาว ในบางช่วงเวลาเมื่อถูกกดดัน ก็ไม่ได้หัวชนฝาที่จะรักษาวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมเอาไว้ เช่น กรณีการแหกกรอบความเป็นผู้หญิงที่ดีตามความคาดหวังของสังคมลีซู ของย่า เพื่อต่อรองกับอำนาจบางอย่างที่ครอบงำย่าอยู่ หรือในกรณีของแม่ที่พยายามสร้างอัตลักษณ์ส่วนตัวขึ้นมาใหม่ เพื่อให้เข้ากับวิถีชีวิตสมัยใหม่และบทบาทใหม่ในฐานะแม่หลวง เป็นต้น
อัตลักษณ์และตัวตนของผู้หญิงจึงไม่สมบูรณ์ เลื่อนไหล ประกอบด้วยอัตลักษณ์ทางสังคม อัตลักษณ์ส่วนรวม และอัตลักษณ์ส่วนตัว ซ้อนทับกันหลายชั้น ไม่สามารถแบ่งแยกได้อย่างชัดเจน และด้วยเหตุที่บริบททางสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจและการเมือง มีความแตกต่างในแต่ละช่วงเวลา ส่งผลให้เกิดความแตกต่างในอัตลักษณ์และตัวตนของผู้หญิงลีซูทั้งสามคน ตามที่แต่ละคนจะเลือกแสดงออกในแต่ละช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์
ความเป็นตัวตนของผู้หญิงลีซูทั้งสามคน จึงถูกสร้างขึ้นมาใหม่เรื่อยๆ มีความหลากหลายและไม่สมบูรณ์ ผู้วิจัยข้อสังเกตว่า ในเมื่อสังคมเปลี่ยนแปลงหรือมีพลวัตตลอดเวลา อัตลักษณ์ และตัวตนอาจไม่มีโอกาสเป็นสิ่งสมบูรณ์หรือคงตัวก็เป็นได้ (หน้า 107-112, 118) |
|
Focus |
ศึกษาและทำความเข้าใจกระบวนการสร้างอัตลักษณ์ผู้หญิงชาติพันธุ์ลีซู รวมถึงปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงอัตลักษณ์และการโต้ตอบบริบททางสังคมที่เปลี่ยนไป ตลอดจนนำผลการศึกษาสร้างเป็นองค์ความรู้ทางสตรีศึกษา (หน้า 9-10) |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ลีซูมีแต่ภาษาพูดซึ่งเป็นภาษาในกลุ่มธิเบต-พม่า ต่อมามิชชันนารีได้สร้างภาษาเขียนขึ้นโดยประยุกต์จากอักษรโรมัน ผู้ชายส่วนใหญ่ที่มีหน้าที่ติดต่อกับภายนอกสามารถพูดได้หลายภาษา ส่วนผู้หญิงจะพูดภาษาที่ใช้ในบริเวณใกล้เคียงคือ อาข่า ลาหู่ และจีน (หน้า 39) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
|
Settlement Pattern |
ส่วนใหญ่ลีซูจะปลูกบ้านติดพื้นดิน ในบางพื้นที่ปลูกแบบยกพื้น สำหรับตัวบ้านจะใช้ไม้ต่างๆเท่าที่หาได้ เช่นไม้ไผ่ ทำเสาบ้าน ฝาบ้านก่อด้วยดินเหนียวหรือสานด้วยไม้ไผ่ ภายในแบ่งเป็นห้องต่างๆ ด้วยไม้ไผ่สาน ในบ้าน ส่วนหน้าด้านซ้ายมือของทางเข้าเป็นห้องครัว ด้านขวาเป็นห้องรับแขก ด้านในสุดตรงกลางตั้งหิ้งบูชาบรรพบุรุษ ด้านซ้ายเป็นห้องนอนลูกและขวามือเป็นห้องนอนพ่อแม่ (หน้า 36-37) |
|
Economy |
สังคมลีซูทำการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ พืชที่นิยมปลูกได้แก่ ข้าว ข้าวโพด พริก ฝ้าย มันฝรั่ง และผักต่างๆ ส่วนใหญ่จะปลูกข้าวเพื่อบริโภคภายในครัวเรือน สำหรับข้าวโพดที่ปลูกจะนำไปเลี้ยงสัตว์ หมักสุรา รวมถึงบริโภคเอง ลีซูนิยมเลี้ยงหมู ไก่ เพื่อบริโภคและใช้ประกอบพิธีกรรมต่างๆ นอกจากนี้ยังมีการเลี้ยงวัวไว้เพื่อขาย ส่วนม้าเลี้ยงไว้เพื่อบรรทุกของ โดยผู้ชายมีหน้าที่เลี้ยงสัตว์ใหญ่ ส่วนผู้หญิงจะเลี้ยงไก่และหมู (หน้า 36)
การใช้ทรัพยากรธรรมชาติของลีซูนั้นจะมีกฎเกณฑ์และกติการร่วมของชุมชน อันเป็นผลเนื่องจากการนับถือ เทพอี๊ดามาซึ่งดูแลความอุดมสมบูณ์ของทรัพยากร (หน้า 39)มีการจัดการทรัพยากรดิน น้ำ และป่า เช่น การอนุรักษ์ดินโดยไม่ทำไร่สวนในบริเวณที่ลาดชันมากเกินไป เพื่อป้องกันดินถูกทำลาย และการพักฟื้นดินบริเวณที่ทำไร่แล้ว (หน้า 42) การอนุรักษ์น้ำโดยไม่ตัดไม้ในเขตป่าต้นน้ำ (หน้า 43) เป็นต้น
หญิงลีซูเป็นผู้มีความรู้เรื่องการคัดและเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้บนชั้นก่อไฟเพื่อกันแมลง อีกทั้งเมล็ดพันธุ์ขนาดเล็กจะห่อด้วยใบฝักข้าวโพดเพื่อให้ยืนระยะเวลาการเก็บ โดยเมล็ดพันธุ์นี้ใช้สำหรับเพาะปลูกในปีถัดไป (หน้า 43)
การแบ่งพื้นที่ป่าและพื้นที่เพาะปลูก ลีซูมีการจำแนกพื้นที่โดยอาศัยสภาพภูมิอากาศ ดังนี้ เขตป่าดิบชื้น (อาจญาหมู่ย) เป็นเขตที่อุดมสมบูรณ์และเป็นต้นน้ำ มีสิ่งมีชีวิตหลากหลายรวมถึงพันธุ์ไม้และสมุนไพร ลีซูไม่ทำการเกษตรบริเวณนี้ แต่สามารถหาของป่าและสมุนไพรได้ ในอดีตมีการทำไร่ฝิ่นและปลูกพืชผสมผสาน เขตป่าร้อน (ลยูมยู่) เป็นเขตปลูกพืชไร่และข้าว อีกทั้งเป็นพื้นที่หาไม้สร้างบ้านเรือน เขตป่ากึ่งร้อนกึ่งเย็น (หม่าลูย์หม่าจา) เป็นเขตพื้นที่ตั้งบ้านเรือน และยังเป็นบริเวณที่ลีซูทำการเกษตร ปลูกข้าว และพืชไร่อื่นๆ รวมไปถึงการตัดไม้สร้างบ้านเรือน (หน้า 45) โดยข้าวและพริกจะนิยมปลูกบริเวณป่าไผ่เพราะจะต้องเผาป่าเพื่อเป็นปุ๋ย (หน้า 44)
หน้าที่การหาอาหารและยาสมุนไพรนั้น กลุ่มผู้หญิงจะมีหน้าที่หลักนี้ อาหารที่ผู้หญิงหาจะเป็น พืชผัก ปลา เห็ดและผลไม้ ส่วนผู้ชายจะมีหน้าที่หาเนื้อสัตว์และพืชหายาก (หน้า 44) |
|
Social Organization |
เมื่อศึกษาความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างหญิงชายผ่านโครงสร้างสังคมด้านความเชื่อพบความไม่เท่าเทียมกัน พิจารณาจากเทพที่ลีซูนับถือล้วนเป็นชาย (หน้า 34)
เมื่อศึกษาความสัมพันธ์เชิงอำนาจผ่านโครงสร้างสังคมด้านการเป็นผู้นำพบว่าชายเป็นใหญ่ เรียกว่าระบบปิตาธิปไตย (หน้า 35)
ลีซูสืบเชื้อสายทางฝ่ายชาย โดยบุตรชายเป็นผู้สืบแซ่ (หน้า 36)
ลักษณะครอบครัวลีซูนั้นเป็นครอบครัวขยายอาศัยอยู่ด้วยกันประมาณ 3 รุ่น ได้แก่ พ่อแม่ ลูกและปู่ย่า โดยพ่อเป็นหัวหน้าครอบครัว เมื่อแต่งงานฝ่ายชายจะนำภรรยาเข้าบ้านมีการแบ่งพื้นที่ภายในครอบครัวตามลำดับชั้น เช่น ลูกสะใภ้ไม่สามารถรับประทานอาหารร่วมกับพ่อสามี พี่ชายสามี และลุงได้ เป็นต้น โดยการนับญาติจะถือตามศักดิ์และอายุเป็นสำคัญ ลูกชายคนสุดท้องเป็นผู้เลี้ยงดูพ่อแม่จนกว่าจะเสียชีวิต และมรดกจะเป็นของลูกสุดท้องที่เลี้ยงดูพ่อแม่ (หน้า 36)
การเลือกคู่ครอง เมื่อลูกชาย 15 ปีขึ้นไป พ่อแม่ฝ่ายชายจะเป็นผู้จัดหาภรรยา การแต่งงานมักไม่ได้เกิดจากความรัก แต่เป็นการแต่งแบบแรงงานและเป็นแม่ของลูก ซึ่งอาจเกิดปัญหาครอบครัวภายหลังได้ (หน้า 59-60)
การเลี้ยงบุตรเป็นหน้าที่ของผู้หญิง รวมถึงการจัดหาและปรุงอาหาร การรักษาสมาชิกในครอบครัวเมื่อเจ็บป่วย งานเย็บปักเครื่องแต่งกาย ทอผ้า เครื่องใช้ต่างๆ รวมไปถึงงานนอกบ้านที่ทำร่วมกับผู้ชาย เช่น หาฝืน เลี้ยงสัตว์ ทำไร่ เป็นต้น (หน้า 61)
การตั้งชื่อเด็กเกิดใหม่นั้น จะตั้งตามลำดับโครงสร้างชื่อ ซึ่งจะมีความแตกต่างกันระหว่างชายหญิง หากมีเด็กเกิดใหม่ในครอบครัวเดิมที่มีเด็กเสียชีวิตก่อนหน้านี้ จะต้องตั้งชื่อพิเศษที่นอกเหนือจากชื่อตามลำดับโครงสร้างเพื่อแก้เคล็ด (หน้า 86) |
|
Political Organization |
สำหรับลีซูนั้นเพศชายมีบทบาทเป็นผู้นำ ทั้งผู้นำหมู่บ้าน และผู้ประกอบพิธีกรรม (หน้า 34) บุคคลต่างๆที่มีบทบาทเป็นผู้นำของลีซูได้แก่
1) ฆว่าทูว์ คือผู้นำชุมชน แต่เดิมจะเป็นผู้อาวุโสที่เคารพนับถือ ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นผู้ใหญ่บ้านที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นทางการ มีหน้าที่ปกครอง และไกล่เกลี่ยข้อพิพาทต่างๆ (หน้า 35)
2) มือหมือผะ คือชายที่เป็นผู้นำด้านความเชื่อ ดูแลอาปาโหม่ และประกอบพิธีกรรมต่างๆ แต่งตั้งจากการเสี่ยงทาย และในแต่ละชุมชนจะมีมือหมือผะได้เพียงคนเดียว (หน้า 35)
3) หนี่ผะ เป็นหมอด้านสุขภาพผู้ติดต่อกับเทพ ทำการรักษาด้านจิตวิญญาณ เช่น เรียกขวัญ เป็นต้น (หน้า 35) 4) โชโหม่วโชตี คือผู้อาวุโสทั้งชายหญิง เป็นผู้มีองค์ความรู้ด้านภูมิปัญญา การดำรงชีวิต (หน้า 35) |
|
Belief System |
ลีซูนับถือเทพ 3 องค์ ได้แก่ หวูซาผะโหม่ เชื่อว่าเป็นผู้สร้างมนุษย์ อยู่บนสวรรค์กับบรรพชนที่ล่วงลับไปแล้ว อิ๊ดามา เป็นเทพที่ดูแลธรรมชาติให้มีความอุดมสมบูรณ์ ทุกๆปีในวันที่สามของเทศกาลปีใหม่ลีซูจะทำพิธี อี๊ดามาหลัวะ เพื่อขอบคุณเทพอิ๊ดามาที่ดูแลแหล่งทรัพยากรสำหรับทำกิน และเมื่อจะทำการเพาะปลูก ลีซูต้องประกอบพิธีขออนุญาตเทพอิ๊ดามาเสียก่อน อาปาโหม่ เป็นเทพดูแลความสงบสุข เมื่อมีคนเกิด คนตาย หรือมีสัตว์เลี้ยงคลอดลูก (สมัยก่อน) จะต้องแจ้งให้อาปาโหม่ทราบ (หน้า 33-34)
ลีซูนับถือสายบรรพชนตามสายตระกูลพ่อ มีการตั้งหิ้งบูชาบริเวณกลางบ้านด้านในสุด โดยเชื่อว่าบรรพชนจะทำให้ลูกหลานเจริญก้าวหน้า (หน้า 34, 37)
ลีซูเชื่อว่า หวุ่ซาเป็นผู้สร้างและส่งเด็กมาเกิด และจะจัดพิธีฉาจัวเดื๋อ แจ้งทะเบียนคนเกิดแก่อาปาโหม่ เพื่อให้ช่วยคุ้มครอง (หน้า 86)เมื่อแรกคลอด ถ้าเด็กเป็นผู้หญิงจะใช้ตะกร้าครอบ หากเป็นผู้ชายจะใช้ไหนึ่งครอบเพื่อบ่งบอกว่าเป็นลูกของมนุษย์ ป้องกันสิ่งศักดิ์สิทธิ์นำเด็กไป (หน้า 86-87)
การเข้ามาของศาสนาคริสต์ในด้านการสนับสนุนการศึกษานั้นส่งผลให้มีนับถือศาสนาคริสต์ในชุมชน (หน้า 97)
เนื่องจากลีซูมีความเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในป่า ดังนั้นเวลาเข้าป่าจึงมีกฎเกณฑ์ข้อห้าม เช่น ห้ามตะโกน ห้ามทำหรือเก็บของสองอย่างในเวลาเดียวกัน ห้ามตักน้ำโดยใช้หม้อ เป็นต้น (หน้า 44)
ลีซูแบ่งเขตป่าตามความเชื่อและพิธีกรรมออกเป็น 3 บริเวณ ได้แก่
1)ป่าอิ๊ดด่าม่า เป็นป่าภูเขาสูงตั้งอยู่เหนือหมู่บ้าน ห่างชุมชนอย่างน้อย 2 กม. จะทำพิธีกรรมอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ป่าบริเวณนี้ห้ามใครเข้าไปทำลายต้นไม้และล่าสัตว์ จะมีคนคอยดูแลไม่ให้คนในชุมชนละเมิดกฏ
2)ป่าอาปาโหม่ฮี ในบริเวณที่อยู่ของเทพ ห้ามตัดหรือทำลายต้นไม้
3)ป่าบริเวณฝังศพ คนลีซูไม่มีป่าช้า ส่วนใหญ่จะฝังที่ไร่ของตนหรือในป่า โดยเสี่ยงทายด้วยไข่ว่าผู้ตายพอใจให้ฝังตรงไหน คนลีซูไม่นิยมรบกวนป่าที่มีการฝังศพ 3 ศพขึ้นไป จึงทำให้ป่าบริเวณนั้นมีความอุดมสมบูรณ์ (หน้า 40)
ในกรณีของดิน ลีซูเชื่อว่า ดินคือแม่ของสรรพสิ่ง ห้ามลบหลู่ จะมีการขอขมาและขอพรเทพแห่งดินทุกครั้งที่มีการใช้ประโยชน์ เช่น สร้างบ้าน เลือกที่ฝังศพ หรือเพาะปลูก เป็นต้น ลีซูทำพิธีขอพรเทพแห่งดินในไร่ทุกปี นิยมทำเดือนพฤศจิกายน และทำพิธีที่บ้านทุกสิ้นปีหรือสิ้นฤดูเก็บเกี่ยว (หน้า 42)
สำหรับน้ำ ลีซุเชื่อว่า มีเทพ “จือดู่สื่อผ่า จือดู่สื่อมา” ปกป้องคุ้มครองน้ำ จึงมีการทำพิธีเกี่ยวกับน้ำอย่างน้อยปีละครั้ง นิยมทำพิธีเวลาเช้ามืดของวันปีใหม่ในขณะตักน้ำครั้งแรกของปี เชื่อว่าถ้าใครตักน้ำเป็นคนแรกจะได้รับพรจากเทพน้ำ (หน้า 42) |
|
Education and Socialization |
ลีซูมีการสอนให้เด็กในวัยต่างๆได้เรียนรู้กิจวัตรประจำวันของตนเอง เช่น วัยเด็กจะฝึกการขับถ่าย และการนอนให้เป็นเวลา เมื่อโตขึ้นสามารถสื่อสารกับผู้อื่นได้จะสอนเรื่องสุขลักษณะต่างๆ และเมื่อมีวุฒิภาวะเพียงพอ แม่จะสอนลูกผู้หญิงการเย็บปักและงานบ้าน ส่วนผู้ชายจะเรียนรู้การทำมาหากิน (หน้า 65) นอกจากนี้เด็กๆจะถูกสอนมารยาททางสังคมเพื่อจะได้ปฏิบัติอย่างถูกต้องเมื่อโตขึ้น (หน้า 67)
สำหรับกระบวนการกล่อมเกลาทางสังคมของลีซูในด้านความเป็นผู้หญิงนั้น มีแนวทางแตกต่างตามช่วงวัย กล่าวคือ วัยเด็กเป็นการอบรมสั่งสอนโดยตรงจากแม่และย่า ทั้งทางด้านบทบาทและการปฏิบัติตนที่เหมาะสม วัยรุ่น เป็นวัยที่ได้รับการถ่ายทอดผ่านประสบการณ์ร่วมของชุมชน ซึ่งเป็นประสบการณ์ตรง เช่น การปักผ้าในช่วงเทศกาลปีใหม่ การช่วยจัดเตรียมอาหารในงานแต่งงาน เป็นต้น และวัยผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นวัยที่มีการถ่ายทอดผ่านประสบการณ์และการปฏิบัติจริง (หน้า 90-91) ส่วนกระบวนการขัดเกลาทางสังคมด้านความเป็นผู้ชายนั้น เกิดขึ้นผ่านการเรียนรู้การประกอบพิธีกรรมในพื้นที่สาธารณะ (หน้า 92)
ปีพ.ศ. 2508 ตำรวจตะเวนชายแดนได้สร้างโรงเรียนบ้านดอยช้างขึ้น เป็นโรงเรียน 4 ห้องเรียน สอนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-4 (ซึ่งในระยะแรกเมื่อจบชั้นสูงสุดแล้วผู้เรียนไม่มีโอกาสได้ศึกษาต่อ) และการศึกษาภาคค่ำสำหรับผู้ใหญ่ (ซึ่งโดยส่วนมากผู้เรียนจะเป็นผู้ชาย จนกระทั่งปี พ.ศ.2515 ผู้หญิงในหมู่บ้านเริ่มเรียนหนังสือมากขึ้น) (หน้า 93-94) |
|
Health and Medicine |
ไม่มีข้อมูล แต่ได้กล่าวถึงมีการเข้าป่าหายาสมุนไพร (หน้า 44) และมีการทำพิธีบูชาเทพแห่งดินและน้ำเพื่อรักษาโรคบางอย่าง โดยเฉพาะการขอขมาเทพแห่งน้ำเพื่อช่วยรักษาโรคผิวหนังลักษณะเป็นตุ่มใสๆ เป็นผื่นคัน ซึ่งเชื่อว่าเกิดจากการละเมิดเทพแห่งน้ำ เช่น ทิ้งสิ่งสกปรกลงในน้ำ เป็นต้น (หน้า 42-43 ) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
เครื่องแต่งกายของลีซูมีสีสันสดใส ผู้ชายสวมกางเกงคล้ายกางเกงขาก๊วยสีโทนเย็น ส่วนผู้สูงอายุนิยมสีดำหรือม่วงเข้ม เสื้อคล้ายแจ๊คเก็ตสีดำทำจากผ้ากำมะหยี่เย็บติดด้วยโลหะเงินทรงครึ่งวงกลมเรียงเป็นแถวทั้งด้านหน้าและหลัง และสวมถุงน่องสีดำติดด้วยแถบสีสดใส (หน้า 37)
เครื่องแต่งกายหญิงจะเหมือนๆกันในทุกวัย กล่าวคือ สวมกางเกงสีดำยาวเลยเข่า สวมเสื้อคลุมสีโทนเย็นสดใส ตัวเสื้อผ่าเป็นสองข้างตั้งแต่ช่วงเอวลงมา แขนยาว ปกเสื้อติดแถบสีดำ บริเวณต้นแขนและหน้าอกของเสื้อตกแต่งด้วยผ้าหลากสีสัน เอวคาดด้วยผ้าสีดำ ในงานสำคัญๆนิยมโพกศีรษะและพันแข้งด้วยผ้าสีโทนร้อน ซึ่งมีผ้าหลากสีและลายปักบริเวณขอบล่าง สวมผ้ากำมะหยี่แต่งด้วยโลหะเงินครึ่งวงกลมและเหรียญรูปีเมื่อประกอบพิธีกรรมหรืองานฉลอง (หน้า 38)
หางประดับเป็นเครื่องประดับสำหรับหญิงชาย ยกเว้นคนชรา ใช้ประดับไว้บริเวณด้านหน้าสำหรับชายและด้านหลังสำหรับหญิงใช้เฉพาะงานสำคัญต่างๆ ทำจากผ้าหลากสีเย็บเป็นเส้นยาวประดับไหมพรมทรงกลมบริเวณส่วนปลาย (หน้า 38) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ผู้วิจัยได้ศึกษากระบวนการสร้างตลอดจนการเปลี่ยนแปลงของอัตลักษณ์และตัวตนผู้หญิงลีซู 3 รุ่น พบว่า ประกอบด้วยอัตลักษณ์ทางสังคม อัตลักษณ์ส่วนร่วม และอัตลักษณ์ส่วนตัว (หน้า 108) เนื่องด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพสังคม วัฒนธรรม การเมือง และเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นแตกต่างกันในแต่ละรุ่น ก่อให้เกิดอัตลักษณ์ที่ต่างออกไประหว่างหญิงลีซู 3 รุ่น กล่าวคือ
1) รุ่นย่า เป็นรุ่นแรกๆที่อพยพเข้ามา ด้วยความห่างไกลจากศูนย์กลางอำนาจ วิถีชีวิตส่วนใหญ่จึงพึงพาทรัพยากรธรรมชาติเป็นหลัก มีอิสระในการจัดสรรทรัพยากรและการปกครองมากที่สุด อัตลักษณ์ของผู้หญิงรุ่นนี้จึงแสดงออกมาภายใต้บริบททางสังคมลีซู (หน้า 108-109)
2) รุ่นแม่ เริ่มมีปฏิสัมพันธ์กับภายนอก มีการเข้ามาจัดการศูนย์กลางอำนาจ มีการเปลี่ยนแปลงอัตลักษณ์ของผู้หญิงจากงานบ้านและไร่นา เป็นการต้อนรับดูแลผู้มาเยือน และการผลิตเพื่อการค้า (หน้า 110)
3) ลูกสาว จากนโยบายการศึกษา ส่งผลให้เด็กแยกตัวออกจากสังคมลีซู ขาดการเรียนรู้วิถีชีวิตแบบดั้งเดิม เกิดอัตลักษณ์ใหม่ขึ้น มีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีต่างๆ (หน้า 110-111)
ผู้วิจัยกล่าวว่า นโยบายการพัฒนามักละเลยการมีส่วนร่วมของชุมชน ซึ่งทำให้ชุมชนต้องปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และเกิดปัญหาต่างๆตามมา โดยอาจสรุปได้ว่าการปรับตัวดิ้นรนต่อความเปลี่ยนแปลงทำให้เกิดการสร้างอัตลักษณ์ใหม่ (หน้า 111)
ทั้งนี้ปัจจัยทางสังคมที่ส่งผลต่ออัตลักษณ์ของหญิงลีซูนั้น ได้แก่ สถาบันครอบครัว ซึ่งมีส่วนกล่อมเกลาและสร้างอัตลักษณ์ความเป็นหญิงชายตั้งแต่วัยเด็ก (หน้า 113) และชุมชน ซึ่งมีโครงสร้างอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ความเชื่อ เป็นตัวกำหนดบริบทสังคมอันเป็นกลไกควบคุมอัตลักษณ์ความเป็นหญิง (หน้า 114) |
|
Social Cultural and Identity Change |
นโยบายการพัฒนาบนพื้นที่สูงและนโยบายเน้นปัญหาความมั่นคงและยาเสพติด (ฝิ่น) ก่อให้เกิดปัญหาความยากจนและการแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติ การพัฒนาที่ปราศจากส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่นส่งผลให้ชุมชนชาวเขาอยู่ภายใต้การผลิตที่พึ่งพิงเทคโนโลยีและกลไกตลาดมากขึ้น ร่วมด้วยการลดพื้นที่การเพาะปลูกเนื่องจากนโยบายอนุรักษ์ป่าของรัฐ ก่อให้เกิดปัญหาความยากจนโดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่สามารถปรับรับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ (หน้า 51-52) อีกทั้งยังส่งผลต่อภาพลักษณ์ที่ปรากฏต่อภายนอกทั้งมุมมองการเป็นผู้ทำลายทรัพยากรธรรมชาติและการปลูกฝิ่น (หน้า 52)
ระบบการศึกษาสมัยใหม่จากภาครัฐส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอัตลักษณ์ทั้งทางด้านภาษาที่ใช้ มีการพูดภาษาไทยผสมภาษาตนเองมากขึ้นเมื่ออยู่ในชุมชน ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการแต่งกายตามสมัยนิยม (หน้า 93)การศึกษาที่สูงขึ้นเปิดโอกาสทางอาชีพตามที่ได้ผู้ศึกษามา หน้าที่การงานที่เปลี่ยนไปส่งผลต่อเปลี่ยนแปลงอัตลักษณ์และตัวตน เช่น ด้านการแต่งกาย บุคลิกภาพ เป็นต้น (หน้า 102)
การได้รับการศึกษาในระดับสูงขึ้นส่งผลกระทบต่อผู้เรียน เกิดความขัดแย้งภายในตัวเองจากสิ่งที่เรียนรู้ที่โรงเรียน เกิดข้อคำถามถึงความวัฒนธรรม ความเชื่อดั้งเดิม และเกิดการเปลี่ยนแปลงไปจากลักษณะที่พึงประสงค์ของหญิงลีซู (หน้า 98) อันส่งผลกระทบต่อการเลือกคู่ครองกับคนในเผ่า (หน้า 103) เกิดการแต่งงานระหว่างกลุ่มชาติพันธือื่นมากขึ้น (หน้า 104) |
|
Other Issues |
ลีซูให้ความสำคัญกับอาหารมื้อเช้าและมื้อเย็น มื้อกลางวันจะไม่นิยมทำอาหาร มักจะรับประทานอาหารที่เหลือจากมื้อเช้าหรือรับประทานอาหารประเภทสดๆ (หน้า 79)
โดยอาหารในแต่ละมื้อจะประกอบไปด้วยอาหารประเภทน้ำ 1 อาหารประเภทผัด และน้ำพริกซึ่งเป็นอาหารที่สำคัญสำหรับลีซู โดยจะไม่ใส่พริกลงในอาหารประเภทต้ม สำหรับประเภทผัดจะพิจารณาถึงสมาชิกในครอบครัวว่าสามารถกินอาหารรสเผ็ดได้หรือไม่ (หน้า 79) สำหรับงานเลี้ยงจะมีอาหารสำคัญคือลายหมู ซึ่งผู้ชายจะกินดิบ ส่วนผู้หญิงและเด็กจะกินสุก สำหรับผักหากอยู่ในฤดูกาลเพาะปลูกจะเป็นผักสดที่มีความหลากหลาย หากอยู่นอกฤดูกาลจะเป็นหน่อไม้ดอง (หน้า 79-80)
สำหรับการถนอมอาหารนั้นนอกจากหน่อไม้ดองแล้วยังมีการถนอมอาหารจากเนื้อหมู เช่น ใส้อั่ว หมูหมากส้ม หมูส้ม ใส้หมูส้ม และเนื้อหมูดิบเก็บแห้ง เป็นต้น (หน้า 80-81) การถนอมอาหารประเภทผักกาดนั้น จะมีการเลือกเก็บผลที่มีความสมบูรณ์มาถนอมอาหารไว้สำรองยามขาดแคลน เช่น ใบผักกาดแห้ง ต้นผักกาดแห้ง ยอดผักกาดดอง ผักกาดดองทรงเครื่อง เป็นต้น (หน้า 81-82) |
|
Map/Illustration |
ผังบ้านลีซู (หน้า 37)
ชุดแต่งงานของผู้หญิงผู้ชายสังคมลีซู (หน้า 38)
ชุดแต่งกายของหญิงสาวในเทศกาลวันขึ้นปีใหม่ (หน้า 39) |
|
|