สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ลีซู, ผู้หญิง, อัตลักษณ์, การปรับตัว, ปิตาธิปไตย, เชียงราย
Author อรอนงค์ แสนยากุล
Title อัตลักษณ์และตัวตนของผู้หญิงลีซอ 3 รุ่น: กรณีศึกษาประสบการณ์ชีวิตผู้หญิงลีซูคนหนึ่ง
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ลีซู, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน) Total Pages 124 Year 2548
Source วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาสตรีศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
Abstract

ผู้วิจัยศึกษาอัตลักษณ์ และตัวตนของผู้หญิงลีซูสามรุ่น คือ รุ่นย่า รุ่นแม่ และรุ่นลูกสาว โดยศึกษาประสบการณ์และวิถีชีวิตของผู้หญิงลีซูทั้งสามคน ตลอดจนกระบวนการสร้างอัตลักษณ์และตัวตน ผ่านบริบททางสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และการเมือง ที่ผู้หญิงลีซูทั้งสามคนปฏิสัมพันธ์ด้วย

อัตลักษณ์และตัวตนของผู้หญิงลีซูถูกสร้างขึ้นโดยการอบรมเลี้ยงดู และกระบวนการกล่อมเกลาทางสังคม ผ่านยสถาบันครอบครัว และสถาบันสังคมแบบปิตาธิปไตยของลีซู สถาบันสังคมไทย สถาบันการศึกษา และหน่วยงานของรัฐ อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงลีซูแต่ละคน คือ ย่า แม่ และลูกสาว ในบางช่วงเวลาเมื่อถูกกดดัน ก็ไม่ได้หัวชนฝาที่จะรักษาวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมเอาไว้ เช่น กรณีการแหกกรอบความเป็นผู้หญิงที่ดีตามความคาดหวังของสังคมลีซู ของย่า เพื่อต่อรองกับอำนาจบางอย่างที่ครอบงำย่าอยู่ หรือในกรณีของแม่ที่พยายามสร้างอัตลักษณ์ส่วนตัวขึ้นมาใหม่ เพื่อให้เข้ากับวิถีชีวิตสมัยใหม่และบทบาทใหม่ในฐานะแม่หลวง เป็นต้น

อัตลักษณ์และตัวตนของผู้หญิงจึงไม่สมบูรณ์ เลื่อนไหล ประกอบด้วยอัตลักษณ์ทางสังคม อัตลักษณ์ส่วนรวม และอัตลักษณ์ส่วนตัว ซ้อนทับกันหลายชั้น ไม่สามารถแบ่งแยกได้อย่างชัดเจน และด้วยเหตุที่บริบททางสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจและการเมือง มีความแตกต่างในแต่ละช่วงเวลา ส่งผลให้เกิดความแตกต่างในอัตลักษณ์และตัวตนของผู้หญิงลีซูทั้งสามคน ตามที่แต่ละคนจะเลือกแสดงออกในแต่ละช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์

ความเป็นตัวตนของผู้หญิงลีซูทั้งสามคน จึงถูกสร้างขึ้นมาใหม่เรื่อยๆ มีความหลากหลายและไม่สมบูรณ์ ผู้วิจัยข้อสังเกตว่า ในเมื่อสังคมเปลี่ยนแปลงหรือมีพลวัตตลอดเวลา อัตลักษณ์ และตัวตนอาจไม่มีโอกาสเป็นสิ่งสมบูรณ์หรือคงตัวก็เป็นได้ (หน้า 107-112, 118)

Focus

ศึกษาและทำความเข้าใจกระบวนการสร้างอัตลักษณ์ผู้หญิงชาติพันธุ์ลีซู รวมถึงปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงอัตลักษณ์และการโต้ตอบบริบททางสังคมที่เปลี่ยนไป ตลอดจนนำผลการศึกษาสร้างเป็นองค์ความรู้ทางสตรีศึกษา (หน้า 9-10)

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

ลีซู

Language and Linguistic Affiliations

ลีซูมีแต่ภาษาพูดซึ่งเป็นภาษาในกลุ่มธิเบต-พม่า ต่อมามิชชันนารีได้สร้างภาษาเขียนขึ้นโดยประยุกต์จากอักษรโรมัน ผู้ชายส่วนใหญ่ที่มีหน้าที่ติดต่อกับภายนอกสามารถพูดได้หลายภาษา ส่วนผู้หญิงจะพูดภาษาที่ใช้ในบริเวณใกล้เคียงคือ อาข่า ลาหู่ และจีน (หน้า 39)

Study Period (Data Collection)

ไม่ระบุ

History of the Group and Community

ไม่มีข้อมูล

Settlement Pattern

ส่วนใหญ่ลีซูจะปลูกบ้านติดพื้นดิน ในบางพื้นที่ปลูกแบบยกพื้น สำหรับตัวบ้านจะใช้ไม้ต่างๆเท่าที่หาได้ เช่นไม้ไผ่ ทำเสาบ้าน ฝาบ้านก่อด้วยดินเหนียวหรือสานด้วยไม้ไผ่ ภายในแบ่งเป็นห้องต่างๆ ด้วยไม้ไผ่สาน ในบ้าน ส่วนหน้าด้านซ้ายมือของทางเข้าเป็นห้องครัว ด้านขวาเป็นห้องรับแขก ด้านในสุดตรงกลางตั้งหิ้งบูชาบรรพบุรุษ ด้านซ้ายเป็นห้องนอนลูกและขวามือเป็นห้องนอนพ่อแม่ (หน้า 36-37)

Demography

ไม่มีข้อมูล

Economy

สังคมลีซูทำการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ พืชที่นิยมปลูกได้แก่ ข้าว ข้าวโพด พริก ฝ้าย มันฝรั่ง และผักต่างๆ ส่วนใหญ่จะปลูกข้าวเพื่อบริโภคภายในครัวเรือน สำหรับข้าวโพดที่ปลูกจะนำไปเลี้ยงสัตว์ หมักสุรา รวมถึงบริโภคเอง ลีซูนิยมเลี้ยงหมู ไก่ เพื่อบริโภคและใช้ประกอบพิธีกรรมต่างๆ นอกจากนี้ยังมีการเลี้ยงวัวไว้เพื่อขาย ส่วนม้าเลี้ยงไว้เพื่อบรรทุกของ โดยผู้ชายมีหน้าที่เลี้ยงสัตว์ใหญ่ ส่วนผู้หญิงจะเลี้ยงไก่และหมู (หน้า 36)

การใช้ทรัพยากรธรรมชาติของลีซูนั้นจะมีกฎเกณฑ์และกติการร่วมของชุมชน อันเป็นผลเนื่องจากการนับถือ  เทพอี๊ดามาซึ่งดูแลความอุดมสมบูณ์ของทรัพยากร (หน้า 39)มีการจัดการทรัพยากรดิน น้ำ และป่า เช่น การอนุรักษ์ดินโดยไม่ทำไร่สวนในบริเวณที่ลาดชันมากเกินไป เพื่อป้องกันดินถูกทำลาย และการพักฟื้นดินบริเวณที่ทำไร่แล้ว (หน้า 42) การอนุรักษ์น้ำโดยไม่ตัดไม้ในเขตป่าต้นน้ำ (หน้า 43) เป็นต้น

หญิงลีซูเป็นผู้มีความรู้เรื่องการคัดและเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้บนชั้นก่อไฟเพื่อกันแมลง อีกทั้งเมล็ดพันธุ์ขนาดเล็กจะห่อด้วยใบฝักข้าวโพดเพื่อให้ยืนระยะเวลาการเก็บ โดยเมล็ดพันธุ์นี้ใช้สำหรับเพาะปลูกในปีถัดไป (หน้า 43)  

การแบ่งพื้นที่ป่าและพื้นที่เพาะปลูก ลีซูมีการจำแนกพื้นที่โดยอาศัยสภาพภูมิอากาศ ดังนี้ เขตป่าดิบชื้น (อาจญาหมู่ย) เป็นเขตที่อุดมสมบูรณ์และเป็นต้นน้ำ มีสิ่งมีชีวิตหลากหลายรวมถึงพันธุ์ไม้และสมุนไพร ลีซูไม่ทำการเกษตรบริเวณนี้ แต่สามารถหาของป่าและสมุนไพรได้ ในอดีตมีการทำไร่ฝิ่นและปลูกพืชผสมผสาน เขตป่าร้อน (ลยูมยู่) เป็นเขตปลูกพืชไร่และข้าว อีกทั้งเป็นพื้นที่หาไม้สร้างบ้านเรือน เขตป่ากึ่งร้อนกึ่งเย็น (หม่าลูย์หม่าจา) เป็นเขตพื้นที่ตั้งบ้านเรือน และยังเป็นบริเวณที่ลีซูทำการเกษตร ปลูกข้าว และพืชไร่อื่นๆ รวมไปถึงการตัดไม้สร้างบ้านเรือน (หน้า 45) โดยข้าวและพริกจะนิยมปลูกบริเวณป่าไผ่เพราะจะต้องเผาป่าเพื่อเป็นปุ๋ย (หน้า 44)

หน้าที่การหาอาหารและยาสมุนไพรนั้น กลุ่มผู้หญิงจะมีหน้าที่หลักนี้ อาหารที่ผู้หญิงหาจะเป็น พืชผัก ปลา เห็ดและผลไม้ ส่วนผู้ชายจะมีหน้าที่หาเนื้อสัตว์และพืชหายาก (หน้า 44)

Social Organization

เมื่อศึกษาความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างหญิงชายผ่านโครงสร้างสังคมด้านความเชื่อพบความไม่เท่าเทียมกัน พิจารณาจากเทพที่ลีซูนับถือล้วนเป็นชาย (หน้า 34)

เมื่อศึกษาความสัมพันธ์เชิงอำนาจผ่านโครงสร้างสังคมด้านการเป็นผู้นำพบว่าชายเป็นใหญ่ เรียกว่าระบบปิตาธิปไตย (หน้า 35)

ลีซูสืบเชื้อสายทางฝ่ายชาย โดยบุตรชายเป็นผู้สืบแซ่ (หน้า 36)
ลักษณะครอบครัวลีซูนั้นเป็นครอบครัวขยายอาศัยอยู่ด้วยกันประมาณ 3 รุ่น ได้แก่ พ่อแม่ ลูกและปู่ย่า โดยพ่อเป็นหัวหน้าครอบครัว เมื่อแต่งงานฝ่ายชายจะนำภรรยาเข้าบ้านมีการแบ่งพื้นที่ภายในครอบครัวตามลำดับชั้น เช่น ลูกสะใภ้ไม่สามารถรับประทานอาหารร่วมกับพ่อสามี พี่ชายสามี และลุงได้ เป็นต้น โดยการนับญาติจะถือตามศักดิ์และอายุเป็นสำคัญ ลูกชายคนสุดท้องเป็นผู้เลี้ยงดูพ่อแม่จนกว่าจะเสียชีวิต และมรดกจะเป็นของลูกสุดท้องที่เลี้ยงดูพ่อแม่ (หน้า 36)

การเลือกคู่ครอง เมื่อลูกชาย 15 ปีขึ้นไป พ่อแม่ฝ่ายชายจะเป็นผู้จัดหาภรรยา การแต่งงานมักไม่ได้เกิดจากความรัก แต่เป็นการแต่งแบบแรงงานและเป็นแม่ของลูก ซึ่งอาจเกิดปัญหาครอบครัวภายหลังได้ (หน้า 59-60)
การเลี้ยงบุตรเป็นหน้าที่ของผู้หญิง รวมถึงการจัดหาและปรุงอาหาร การรักษาสมาชิกในครอบครัวเมื่อเจ็บป่วย งานเย็บปักเครื่องแต่งกาย ทอผ้า เครื่องใช้ต่างๆ รวมไปถึงงานนอกบ้านที่ทำร่วมกับผู้ชาย เช่น หาฝืน เลี้ยงสัตว์ ทำไร่ เป็นต้น (หน้า 61)

การตั้งชื่อเด็กเกิดใหม่นั้น จะตั้งตามลำดับโครงสร้างชื่อ ซึ่งจะมีความแตกต่างกันระหว่างชายหญิง หากมีเด็กเกิดใหม่ในครอบครัวเดิมที่มีเด็กเสียชีวิตก่อนหน้านี้ จะต้องตั้งชื่อพิเศษที่นอกเหนือจากชื่อตามลำดับโครงสร้างเพื่อแก้เคล็ด (หน้า 86) 

Political Organization

สำหรับลีซูนั้นเพศชายมีบทบาทเป็นผู้นำ ทั้งผู้นำหมู่บ้าน และผู้ประกอบพิธีกรรม (หน้า 34) บุคคลต่างๆที่มีบทบาทเป็นผู้นำของลีซูได้แก่

1) ฆว่าทูว์ คือผู้นำชุมชน แต่เดิมจะเป็นผู้อาวุโสที่เคารพนับถือ ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นผู้ใหญ่บ้านที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นทางการ มีหน้าที่ปกครอง และไกล่เกลี่ยข้อพิพาทต่างๆ (หน้า 35)

2) มือหมือผะ คือชายที่เป็นผู้นำด้านความเชื่อ ดูแลอาปาโหม่ และประกอบพิธีกรรมต่างๆ แต่งตั้งจากการเสี่ยงทาย และในแต่ละชุมชนจะมีมือหมือผะได้เพียงคนเดียว (หน้า 35)

3) หนี่ผะ เป็นหมอด้านสุขภาพผู้ติดต่อกับเทพ ทำการรักษาด้านจิตวิญญาณ เช่น เรียกขวัญ เป็นต้น (หน้า 35) 4) โชโหม่วโชตี คือผู้อาวุโสทั้งชายหญิง เป็นผู้มีองค์ความรู้ด้านภูมิปัญญา การดำรงชีวิต (หน้า 35)

Belief System

ลีซูนับถือเทพ 3 องค์ ได้แก่ หวูซาผะโหม่ เชื่อว่าเป็นผู้สร้างมนุษย์ อยู่บนสวรรค์กับบรรพชนที่ล่วงลับไปแล้ว อิ๊ดามา เป็นเทพที่ดูแลธรรมชาติให้มีความอุดมสมบูรณ์ ทุกๆปีในวันที่สามของเทศกาลปีใหม่ลีซูจะทำพิธี อี๊ดามาหลัวะ เพื่อขอบคุณเทพอิ๊ดามาที่ดูแลแหล่งทรัพยากรสำหรับทำกิน และเมื่อจะทำการเพาะปลูก ลีซูต้องประกอบพิธีขออนุญาตเทพอิ๊ดามาเสียก่อน อาปาโหม่ เป็นเทพดูแลความสงบสุข เมื่อมีคนเกิด คนตาย หรือมีสัตว์เลี้ยงคลอดลูก (สมัยก่อน) จะต้องแจ้งให้อาปาโหม่ทราบ (หน้า 33-34)

ลีซูนับถือสายบรรพชนตามสายตระกูลพ่อ มีการตั้งหิ้งบูชาบริเวณกลางบ้านด้านในสุด โดยเชื่อว่าบรรพชนจะทำให้ลูกหลานเจริญก้าวหน้า (หน้า 34, 37)

ลีซูเชื่อว่า หวุ่ซาเป็นผู้สร้างและส่งเด็กมาเกิด และจะจัดพิธีฉาจัวเดื๋อ แจ้งทะเบียนคนเกิดแก่อาปาโหม่ เพื่อให้ช่วยคุ้มครอง (หน้า 86)เมื่อแรกคลอด ถ้าเด็กเป็นผู้หญิงจะใช้ตะกร้าครอบ หากเป็นผู้ชายจะใช้ไหนึ่งครอบเพื่อบ่งบอกว่าเป็นลูกของมนุษย์ ป้องกันสิ่งศักดิ์สิทธิ์นำเด็กไป (หน้า 86-87)

การเข้ามาของศาสนาคริสต์ในด้านการสนับสนุนการศึกษานั้นส่งผลให้มีนับถือศาสนาคริสต์ในชุมชน (หน้า 97)
เนื่องจากลีซูมีความเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในป่า ดังนั้นเวลาเข้าป่าจึงมีกฎเกณฑ์ข้อห้าม เช่น ห้ามตะโกน ห้ามทำหรือเก็บของสองอย่างในเวลาเดียวกัน ห้ามตักน้ำโดยใช้หม้อ เป็นต้น (หน้า 44)

ลีซูแบ่งเขตป่าตามความเชื่อและพิธีกรรมออกเป็น 3 บริเวณ ได้แก่

1)ป่าอิ๊ดด่าม่า เป็นป่าภูเขาสูงตั้งอยู่เหนือหมู่บ้าน ห่างชุมชนอย่างน้อย 2 กม. จะทำพิธีกรรมอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ป่าบริเวณนี้ห้ามใครเข้าไปทำลายต้นไม้และล่าสัตว์ จะมีคนคอยดูแลไม่ให้คนในชุมชนละเมิดกฏ

2)ป่าอาปาโหม่ฮี ในบริเวณที่อยู่ของเทพ ห้ามตัดหรือทำลายต้นไม้

3)ป่าบริเวณฝังศพ คนลีซูไม่มีป่าช้า ส่วนใหญ่จะฝังที่ไร่ของตนหรือในป่า โดยเสี่ยงทายด้วยไข่ว่าผู้ตายพอใจให้ฝังตรงไหน คนลีซูไม่นิยมรบกวนป่าที่มีการฝังศพ 3 ศพขึ้นไป จึงทำให้ป่าบริเวณนั้นมีความอุดมสมบูรณ์ (หน้า 40)

ในกรณีของดิน ลีซูเชื่อว่า ดินคือแม่ของสรรพสิ่ง ห้ามลบหลู่ จะมีการขอขมาและขอพรเทพแห่งดินทุกครั้งที่มีการใช้ประโยชน์ เช่น สร้างบ้าน เลือกที่ฝังศพ หรือเพาะปลูก เป็นต้น ลีซูทำพิธีขอพรเทพแห่งดินในไร่ทุกปี นิยมทำเดือนพฤศจิกายน และทำพิธีที่บ้านทุกสิ้นปีหรือสิ้นฤดูเก็บเกี่ยว (หน้า 42)

สำหรับน้ำ ลีซุเชื่อว่า มีเทพ “จือดู่สื่อผ่า จือดู่สื่อมา” ปกป้องคุ้มครองน้ำ จึงมีการทำพิธีเกี่ยวกับน้ำอย่างน้อยปีละครั้ง นิยมทำพิธีเวลาเช้ามืดของวันปีใหม่ในขณะตักน้ำครั้งแรกของปี เชื่อว่าถ้าใครตักน้ำเป็นคนแรกจะได้รับพรจากเทพน้ำ (หน้า 42)

Education and Socialization

ลีซูมีการสอนให้เด็กในวัยต่างๆได้เรียนรู้กิจวัตรประจำวันของตนเอง เช่น วัยเด็กจะฝึกการขับถ่าย และการนอนให้เป็นเวลา เมื่อโตขึ้นสามารถสื่อสารกับผู้อื่นได้จะสอนเรื่องสุขลักษณะต่างๆ และเมื่อมีวุฒิภาวะเพียงพอ แม่จะสอนลูกผู้หญิงการเย็บปักและงานบ้าน ส่วนผู้ชายจะเรียนรู้การทำมาหากิน (หน้า 65) นอกจากนี้เด็กๆจะถูกสอนมารยาททางสังคมเพื่อจะได้ปฏิบัติอย่างถูกต้องเมื่อโตขึ้น (หน้า 67)

สำหรับกระบวนการกล่อมเกลาทางสังคมของลีซูในด้านความเป็นผู้หญิงนั้น มีแนวทางแตกต่างตามช่วงวัย กล่าวคือ วัยเด็กเป็นการอบรมสั่งสอนโดยตรงจากแม่และย่า ทั้งทางด้านบทบาทและการปฏิบัติตนที่เหมาะสม วัยรุ่น เป็นวัยที่ได้รับการถ่ายทอดผ่านประสบการณ์ร่วมของชุมชน ซึ่งเป็นประสบการณ์ตรง เช่น การปักผ้าในช่วงเทศกาลปีใหม่ การช่วยจัดเตรียมอาหารในงานแต่งงาน เป็นต้น และวัยผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นวัยที่มีการถ่ายทอดผ่านประสบการณ์และการปฏิบัติจริง (หน้า 90-91) ส่วนกระบวนการขัดเกลาทางสังคมด้านความเป็นผู้ชายนั้น เกิดขึ้นผ่านการเรียนรู้การประกอบพิธีกรรมในพื้นที่สาธารณะ (หน้า 92)

ปีพ.ศ. 2508 ตำรวจตะเวนชายแดนได้สร้างโรงเรียนบ้านดอยช้างขึ้น เป็นโรงเรียน 4 ห้องเรียน สอนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-4 (ซึ่งในระยะแรกเมื่อจบชั้นสูงสุดแล้วผู้เรียนไม่มีโอกาสได้ศึกษาต่อ) และการศึกษาภาคค่ำสำหรับผู้ใหญ่ (ซึ่งโดยส่วนมากผู้เรียนจะเป็นผู้ชาย จนกระทั่งปี พ.ศ.2515 ผู้หญิงในหมู่บ้านเริ่มเรียนหนังสือมากขึ้น) (หน้า 93-94)

Health and Medicine

ไม่มีข้อมูล แต่ได้กล่าวถึงมีการเข้าป่าหายาสมุนไพร (หน้า 44) และมีการทำพิธีบูชาเทพแห่งดินและน้ำเพื่อรักษาโรคบางอย่าง โดยเฉพาะการขอขมาเทพแห่งน้ำเพื่อช่วยรักษาโรคผิวหนังลักษณะเป็นตุ่มใสๆ เป็นผื่นคัน ซึ่งเชื่อว่าเกิดจากการละเมิดเทพแห่งน้ำ เช่น ทิ้งสิ่งสกปรกลงในน้ำ เป็นต้น (หน้า 42-43 )

Art and Crafts (including Clothing Costume)

เครื่องแต่งกายของลีซูมีสีสันสดใส ผู้ชายสวมกางเกงคล้ายกางเกงขาก๊วยสีโทนเย็น ส่วนผู้สูงอายุนิยมสีดำหรือม่วงเข้ม เสื้อคล้ายแจ๊คเก็ตสีดำทำจากผ้ากำมะหยี่เย็บติดด้วยโลหะเงินทรงครึ่งวงกลมเรียงเป็นแถวทั้งด้านหน้าและหลัง และสวมถุงน่องสีดำติดด้วยแถบสีสดใส (หน้า 37)

เครื่องแต่งกายหญิงจะเหมือนๆกันในทุกวัย กล่าวคือ สวมกางเกงสีดำยาวเลยเข่า สวมเสื้อคลุมสีโทนเย็นสดใส ตัวเสื้อผ่าเป็นสองข้างตั้งแต่ช่วงเอวลงมา แขนยาว ปกเสื้อติดแถบสีดำ บริเวณต้นแขนและหน้าอกของเสื้อตกแต่งด้วยผ้าหลากสีสัน เอวคาดด้วยผ้าสีดำ ในงานสำคัญๆนิยมโพกศีรษะและพันแข้งด้วยผ้าสีโทนร้อน ซึ่งมีผ้าหลากสีและลายปักบริเวณขอบล่าง สวมผ้ากำมะหยี่แต่งด้วยโลหะเงินครึ่งวงกลมและเหรียญรูปีเมื่อประกอบพิธีกรรมหรืองานฉลอง (หน้า 38)

หางประดับเป็นเครื่องประดับสำหรับหญิงชาย ยกเว้นคนชรา ใช้ประดับไว้บริเวณด้านหน้าสำหรับชายและด้านหลังสำหรับหญิงใช้เฉพาะงานสำคัญต่างๆ ทำจากผ้าหลากสีเย็บเป็นเส้นยาวประดับไหมพรมทรงกลมบริเวณส่วนปลาย (หน้า 38)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ผู้วิจัยได้ศึกษากระบวนการสร้างตลอดจนการเปลี่ยนแปลงของอัตลักษณ์และตัวตนผู้หญิงลีซู 3 รุ่น  พบว่า ประกอบด้วยอัตลักษณ์ทางสังคม อัตลักษณ์ส่วนร่วม และอัตลักษณ์ส่วนตัว (หน้า 108) เนื่องด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพสังคม วัฒนธรรม การเมือง และเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นแตกต่างกันในแต่ละรุ่น ก่อให้เกิดอัตลักษณ์ที่ต่างออกไประหว่างหญิงลีซู 3 รุ่น กล่าวคือ
1) รุ่นย่า เป็นรุ่นแรกๆที่อพยพเข้ามา ด้วยความห่างไกลจากศูนย์กลางอำนาจ วิถีชีวิตส่วนใหญ่จึงพึงพาทรัพยากรธรรมชาติเป็นหลัก มีอิสระในการจัดสรรทรัพยากรและการปกครองมากที่สุด อัตลักษณ์ของผู้หญิงรุ่นนี้จึงแสดงออกมาภายใต้บริบททางสังคมลีซู (หน้า 108-109)

2) รุ่นแม่ เริ่มมีปฏิสัมพันธ์กับภายนอก มีการเข้ามาจัดการศูนย์กลางอำนาจ มีการเปลี่ยนแปลงอัตลักษณ์ของผู้หญิงจากงานบ้านและไร่นา เป็นการต้อนรับดูแลผู้มาเยือน และการผลิตเพื่อการค้า (หน้า 110)

3) ลูกสาว จากนโยบายการศึกษา ส่งผลให้เด็กแยกตัวออกจากสังคมลีซู ขาดการเรียนรู้วิถีชีวิตแบบดั้งเดิม เกิดอัตลักษณ์ใหม่ขึ้น มีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีต่างๆ (หน้า 110-111)

ผู้วิจัยกล่าวว่า นโยบายการพัฒนามักละเลยการมีส่วนร่วมของชุมชน ซึ่งทำให้ชุมชนต้องปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และเกิดปัญหาต่างๆตามมา โดยอาจสรุปได้ว่าการปรับตัวดิ้นรนต่อความเปลี่ยนแปลงทำให้เกิดการสร้างอัตลักษณ์ใหม่ (หน้า 111)

ทั้งนี้ปัจจัยทางสังคมที่ส่งผลต่ออัตลักษณ์ของหญิงลีซูนั้น ได้แก่ สถาบันครอบครัว ซึ่งมีส่วนกล่อมเกลาและสร้างอัตลักษณ์ความเป็นหญิงชายตั้งแต่วัยเด็ก (หน้า 113) และชุมชน ซึ่งมีโครงสร้างอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ความเชื่อ เป็นตัวกำหนดบริบทสังคมอันเป็นกลไกควบคุมอัตลักษณ์ความเป็นหญิง (หน้า 114)

Social Cultural and Identity Change

นโยบายการพัฒนาบนพื้นที่สูงและนโยบายเน้นปัญหาความมั่นคงและยาเสพติด (ฝิ่น) ก่อให้เกิดปัญหาความยากจนและการแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติ การพัฒนาที่ปราศจากส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่นส่งผลให้ชุมชนชาวเขาอยู่ภายใต้การผลิตที่พึ่งพิงเทคโนโลยีและกลไกตลาดมากขึ้น ร่วมด้วยการลดพื้นที่การเพาะปลูกเนื่องจากนโยบายอนุรักษ์ป่าของรัฐ ก่อให้เกิดปัญหาความยากจนโดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่สามารถปรับรับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ (หน้า 51-52) อีกทั้งยังส่งผลต่อภาพลักษณ์ที่ปรากฏต่อภายนอกทั้งมุมมองการเป็นผู้ทำลายทรัพยากรธรรมชาติและการปลูกฝิ่น (หน้า 52)

ระบบการศึกษาสมัยใหม่จากภาครัฐส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอัตลักษณ์ทั้งทางด้านภาษาที่ใช้ มีการพูดภาษาไทยผสมภาษาตนเองมากขึ้นเมื่ออยู่ในชุมชน ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการแต่งกายตามสมัยนิยม (หน้า 93)การศึกษาที่สูงขึ้นเปิดโอกาสทางอาชีพตามที่ได้ผู้ศึกษามา หน้าที่การงานที่เปลี่ยนไปส่งผลต่อเปลี่ยนแปลงอัตลักษณ์และตัวตน เช่น ด้านการแต่งกาย บุคลิกภาพ เป็นต้น (หน้า 102)

การได้รับการศึกษาในระดับสูงขึ้นส่งผลกระทบต่อผู้เรียน เกิดความขัดแย้งภายในตัวเองจากสิ่งที่เรียนรู้ที่โรงเรียน เกิดข้อคำถามถึงความวัฒนธรรม ความเชื่อดั้งเดิม และเกิดการเปลี่ยนแปลงไปจากลักษณะที่พึงประสงค์ของหญิงลีซู (หน้า 98) อันส่งผลกระทบต่อการเลือกคู่ครองกับคนในเผ่า (หน้า 103) เกิดการแต่งงานระหว่างกลุ่มชาติพันธือื่นมากขึ้น (หน้า 104) 

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ลีซูให้ความสำคัญกับอาหารมื้อเช้าและมื้อเย็น มื้อกลางวันจะไม่นิยมทำอาหาร มักจะรับประทานอาหารที่เหลือจากมื้อเช้าหรือรับประทานอาหารประเภทสดๆ (หน้า 79)

โดยอาหารในแต่ละมื้อจะประกอบไปด้วยอาหารประเภทน้ำ 1 อาหารประเภทผัด และน้ำพริกซึ่งเป็นอาหารที่สำคัญสำหรับลีซู โดยจะไม่ใส่พริกลงในอาหารประเภทต้ม สำหรับประเภทผัดจะพิจารณาถึงสมาชิกในครอบครัวว่าสามารถกินอาหารรสเผ็ดได้หรือไม่ (หน้า 79) สำหรับงานเลี้ยงจะมีอาหารสำคัญคือลายหมู ซึ่งผู้ชายจะกินดิบ ส่วนผู้หญิงและเด็กจะกินสุก สำหรับผักหากอยู่ในฤดูกาลเพาะปลูกจะเป็นผักสดที่มีความหลากหลาย หากอยู่นอกฤดูกาลจะเป็นหน่อไม้ดอง (หน้า 79-80)

สำหรับการถนอมอาหารนั้นนอกจากหน่อไม้ดองแล้วยังมีการถนอมอาหารจากเนื้อหมู เช่น ใส้อั่ว หมูหมากส้ม หมูส้ม ใส้หมูส้ม และเนื้อหมูดิบเก็บแห้ง เป็นต้น (หน้า 80-81) การถนอมอาหารประเภทผักกาดนั้น จะมีการเลือกเก็บผลที่มีความสมบูรณ์มาถนอมอาหารไว้สำรองยามขาดแคลน เช่น ใบผักกาดแห้ง ต้นผักกาดแห้ง ยอดผักกาดดอง ผักกาดดองทรงเครื่อง เป็นต้น (หน้า 81-82)

Map/Illustration

ผังบ้านลีซู (หน้า 37)
ชุดแต่งงานของผู้หญิงผู้ชายสังคมลีซู (หน้า 38)
ชุดแต่งกายของหญิงสาวในเทศกาลวันขึ้นปีใหม่ (หน้า 39)

Text Analyst อภิรัตน์ ศุภธนาทรัพย์ Date of Report 23 ก.พ. 2558
TAG ลีซู, ผู้หญิง, อัตลักษณ์, การปรับตัว, ปิตาธิปไตย, เชียงราย, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง