|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ชนกลุ่มน้อย, ม้ง, ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง), ลาหู่, ภาคเหนือ |
Author |
ไพฑูรย์ ธรรมแสง |
Title |
ชนกลุ่มน้อยชาวเขาภาคเหนือ : ข้อศึกษาพิจารณาเบื้องต้นในการปฏิบัติการจิตวิทยาชนกลุ่มน้อยชาวเขาทางภาคเหนือ |
Document Type |
หนังสือ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ลาหู่ ลาหู่ ละหู่ ลาฮู, ม้ง, ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
- |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุายวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน) |
Total Pages |
124 |
Year |
2536 |
Source |
สถาบันจิตวิทยาความมั่นคง สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ กองบัญชาการทหารสูงสุด |
Abstract |
ชาวเขาที่อาศัยอยู่บนพื้นที่สูงในภาคเหนือของประเทศไทยมีสภาพเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และวิถีชีวิต แตกต่างจากคนส่วนใหญ่บนพื้นราบ ประกอบกับอยู่กันอย่างกระจัดกระจายห่างไกล และทุรกันดาร ทำให้ขาดความรู้สึกเป็นพลเมืองไทย ยากต่อการจัดระเบียบการปกครอง และเป็นจุดอ่อนต่อการแทรกแซงจากฝ่ายตรงข้าม (ผกค.) ตลอดจนการทำไร่เลื่อนลอยและปลูกฝิ่น ก่อให้เกิดปัญหาด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และปัญหายาเสพติด ซึ่งสภาพปัญหาดังกล่าวส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ
งานวิจัยนี้ มุ่งศึกษาหาความรู้ทางชาติพันธุ์ของชาวเขาบนพื้นที่สูง โดยเฉพาะกะเหรี่ยง แม้ว(ผู้วิจัยเรียก) และมูเซอ ซึ่งเป็นสามชาติพันธุ์ที่มีจำนวนประชากรอยู่ในประเทศไทยมากกว่าชาติพันธุ์อื่นๆ (สำรวจปี 2528-2531, หน้า 7) นอกจากนี้ ยังได้ศึกษาปัญหาชุมชนชาวเขาที่กระทบต่อความมั่นคงของชาติ ตลอดจนนโยบาย มาตราการ แผนงาน และโครงการต่างๆ ในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาพื้นที่สูง ที่รัฐบาลได้ดำเนินการไป เพื่อให้เกิดความรู้ที่ชัดเจน และแสวงหาแนวทางที่เหมาะสมอันอาจนำไปใช้แก้ไขปัญหาต่อไป |
|
Ethnic Group in the Focus |
กลุ่มชาติพันธุ์ แม้ว, กะเหรี่ยง , มูเซอ ในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย
แม้วคำว่า “แม้ว” เป็นชื่อที่คนไทยเรียก แม้วเรียกตัวเองว่า “ฮ-โม้ง” (H,Moong) หรือ “ฮมงู” หรือ “ฮมึง” หรือ “ฮะโมง” (H,moong) ส่วนมากจะเรียกชื่อตนเองตามเผ่าย่อยของตน เช่น แม้วน้ำเงินเรียกตัวเองว่า “ฮมูงจั๊ว” (H,moong nJua) แม้วขาวเรียกตัวเองว่า “ฮมูงต๊ว” (H,moong deaw) แม้วกัวมะบาเรียกตัวเองว่า “ฮมูงกัวมะบา” (H,moong Gua M,ba) เป็นต้น แม้วในประเทศไทยแบ่งเป็น 3 เผ่า ตามชื่อที่เขาเรียกตัวเอง ความแตกต่างทางภาษา และเครื่องแต่งกาย ได้แก่ แม้วดำ (หรือแม้วน้ำเงิน) ซึ่งมีสาขาย่อยคือ แม้วตอก แม้วลาย และแม้วดำ อีก 2 เผ่า คือ แม้วขาว และแม้วกัวมะบา (หน้า 19, 28)
กะเหรี่ยงคนไทยภาคกลางเรียก “กะเหรี่ยง” พม่าเรียก “กะยิน” (Kayin) คนไทยภาคเหนือและไทยใหญ่เรียก “ยาง” ชาวยุโรปเรียก “Karen” แบ่งออกเป็น 4 กลุ่มที่สำคัญ ดังนี้ (หน้า 30)
1. กะเหรี่ยงสะกอ (S’Kaw Karen) เรียกตัวเองว่า “คานยอ” (Kanyaw) คนไทยเรียก “ยางขาว” กะเหรี่ยงสะกอในแถบตะวันตกของเชียงใหม่เรียกตัวเองว่า “บูคันโย” (Bu’Kun Yo)
2.กะเหรี่ยงโปว์ (Pwo Karen) คนไทยเรียก “ยางโปว์” พม่าเรียกว่า “ตาเหลียง กะยิน” (Taliang Kayin)
3. กะเหรี่ยงบเว (B’ghwe Karen) เรียกตัวเองว่า “กะยา” (Ka-Ya) คนไทยเรียกว่า “ยางแดง” คำเดิมคนพม่าเรียกว่า “คายินนี” (Kayin-ni) แต่สมัยใหม่เรียกว่า “คะยา” (Kayah) คนอังกฤษเรียก “คาเรนนี” (Karen-ni)
4. กะเหรี่ยงตองสู หรือปะโอ (Pa-O) คนไทยและพม่าเรียกว่า “ตองตู” หรือ “ตองสู” (Taung thu) คนไทยใหญ่เรียกว่า “ตองซู” (Tong-SU)
มูเซอเป็นชื่อที่คนพม่าและคนไทในรัฐฉานเรียก คำว่า “มูเซอ” ในภาษาพม่ามีความหมายว่า “นายพราน” คนจีนเรียก “หล่อเหย” (Lo-hei) (หน้า 34) มูเซอมีกลุ่มย่อยจำนวนมาก และเรียกชื่อกลุ่มของตัวเองแตกต่างกันไปอย่างหลากหลาย โดยไม่สามารถระบุลักษณะร่วมได้ เช่นชื่อ ลาฮูนะ ลาฮูญี ลาฮูฟู ลาฮูเชเล ลาฮูบาเกียว ลาฮูบาลา ฯลฯ แต่ก็มีชื่อที่ถูกเรียกตามสีเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย เช่น ลาฮูนะ (นะ-ดำ) แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีดำ ลาฮูญี (ญี-แดง) มีริ้วสีแดงที่แขนเสื้อของผู้หญิง ลาฮูฟู (ฟู-ขาว) ผู้หญิงต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีขาว หรือมีชื่อเรียกตามถิ่นฐาน เช่น ลาฮูเมอเน๊อ เป็นชื่อที่มูเซอทางภาคเหนือของไทยใช้เรียกมูเซอที่อยู่ทางเหนือในรัฐฉานของพม่า “เมอเน๊อ” เป็นคำที่ยืมมาจากภาษาตระกูลไทว่า “เมิงเหนอ” หรือ “เมืองเหนือ” ชื่อเรียกตนเองของกลุ่มย่อยต่างๆ ของมูเซอ ยืนยันได้เพียงว่าไม่ได้แสดงในเรื่องของแซ่สกุลเพราะมูเซอไม่มีประเพณีนับถือแซ่สกุล (หน้า 47-48) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษา แม้ว มีความคล้ายคลึงกับ ภาษา กวางหัว ของจีน หรือ แมนดาริน (หน้า 18) สำหรับ ภาษา กะเหรี่ยง สันนิษฐานว่าใกล้เคียงกับแขนงภาษาของธิเบต-พม่า และเป็นภาษาหนึ่งที่ได้รับอิทธิพลของภาษาตระกูลมอญ-เขมร (หน้า 30) ในส่วนของภาษา มูเซอ นักภาษาศาสตร์ จัด มูเซอให้ อยู่ในกลุ่มภาษาโลโล ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มตระกูลภาษาธิเบต-พม่า (Tibeto-Burman)(หน้า 34) ในประเทศไทยภาษามูเซอเป็นภาษากลาง (Linga Franca) ที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารกันระหว่างชาวเขาชาติพันธุ์ต่างๆ ด้วย (หน้า 49) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
จากบันทึกของจีน เมื่อประมาณ 3,000 ปีก่อน บรรพบุรุษของแม้ว อาศัยอยู่แนวฝั่งม่น้ำเหลือง แล้วต่อมาจึงถูกขับไล่ให้ถอยร่นลงมาทางใต้ของจีน (หน้า 8) นักประวัติศาสตร์ จัดให้ แม้ว ไว้ในพวกจีน –ธิเบต ( Sino-Tibete) บ้างก็สันนิษฐานว่า แม้ว เป็นพวกมองโกลแท้ (Pure Mongol) ด้วยเหตุที่ภาษาแม้ว มีความใกล้เคียงกับ ภาษาหลักของจีน (แมนดาริน) (หน้า 18) สันนิฐานว่า ราว พ.ศ. 300 มีไทยกลุ่มหนึ่ง ถูกรุกรานจากจีน ไม่พอใจต่อการอยู่ใต้การปกครองของจีน จึงละทิ้งถิ่นฐานเดิม อพยพมาอาศัยตามป่าเขา ในเขตเมืองยูนาน กวางสี กวางตุ้ง อีกบางส่วน อพยพเข้าไปตั้งถิ่นฐาน ในเขตแคว้นอัสสัม ต่อมาราว 1,000 กว่าปีมาแล้ว กลุ่มที่อยู่บนเขา บริเวณ ยูนาน และ กวางสี ได้อพยพเข้ามาในเขตพื้นที่สูงของไทย เรียกตัวเองว่า “ฮ-โม้ง” น่าจะมีเชื้อสายเดียวกับคนพื้นราบ ที่เรียกว่า คนเมือง เพราะ การออกเสียง คำว่า “ฮ-โม้ง” และ “มู-เอื้อง” (มาจากคำว่า “เมือง”) มีความคล้ายกันมาก และหลังสงครามโลกครั้งที่1 แม้วก็อพยพเข้ามาอาศัยทางตอนเหนือในประเทศไทยมากขึ้น บางส่วนกระจายตัวไปอาศัยแถบพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (หน้า 20) แม้ว นั้นจัดอยู่ในพวกจีนเดิม ( Main Chinese ) ซึ่งมีความใกล้ชิดกับชนชาติจีน มาก เช่นเดียวกับ เย้า และจีนฮ่อ แม้วมีอยู่ด้วยกัน 3 พวก คือ แม้วดำ แม้วขาว และแม้วกวมป่า (หน้า 4-5)
กะเหรี่ยง ถูกจัดอยู่ในตระกูล ธิเบต-พม่า (Tibeto-Burmese stock) (หน้า 30) สันนิษฐาน ว่า ถิ่นฐานเดิม อยู่ในดินแดนตะวันออกของธิเบต ประมาณ 733 ปีก่อนพุทธกาล ซึ่งชาวจีน เรียก กะเหรี่ยงว่า ชาติโจว ภายหลัง (ราว พ.ศ. 207) ถูกรุกราน จึงอพยพลงมาอยู่แถบลุ่มน้ำแยงซี เมื่อปะทะกับชนชาติไทย ได้ถอยร่นลงมา ตามลำน้ำโขง และ แม่น้ำสาละวิน ในเขตพม่า กะเหรี่ยงเคลื่อนย้ายลงมาอยู่ตอนใต้ก่อนชนชาติไทย แต่ภายหลังจากการตั้งถิ่นฐานของกลุ่มชาติพันธุ์ มอญ-เขมร ส่วนใหญ่ กะเหรี่ยงจะอาศัยอยู่ในดินแดนพม่า ในพื้นที่ ดังกล่าว เกิดรัฐกะเหรี่ยง ถึง 2 รัฐ ( รัฐกะยาเป็นดินแดนของกะเหรี่ยงแดง และรัฐก่อตูเลเป็นถิ่นที่อยู่ของกะเหรี่ยงขาว) หลังจากนั้นเมื่อมีสงครามในพม่า ในสมัยพระเจ้าอลองพญา และต่อมาเมื่ออังกฤษเข้ายึดครองพม่า กะเหรี่ยง ได้อพยพหนีภัยมาอาศัยในประเทศไทยมากขึ้น นอกจากนั้นยังมีเหตุผลที่แสวงหาที่ทำมาหากินที่ดีกว่าอีกด้วย (หน้า 29)
มูเซอ ตามข้อสันนิษฐาน มูเซอ สืบเชื้อสายมาจากพวก โลโลโนสุ (Lolo-Nosu) (หน้า 5) มีหลักฐานโบราณ ก่อน ค.ศ. ที่10 ว่า ถิ่นฐานของมูเซอ อยู่ในที่ราบสูง ธิเบต-ชิงไห่ แล้วอพยพเร่ร่อนไปเรื่อยตามการเลี้ยงสัตว์ (หน้า 33) นักวิชาการจีน ต้วน ลี เซิง สันนิษฐานว่า คำว่า “มูเซอ” อาจมาจากคำว่า “โมซี” ในเอกสารจีน แปลว่า “คนเลี้ยงควาย” แต่ผู้วิจัยเห็นว่า คำว่า “มูเซอ” น่าจะมาจากภาษาพม่าตามที่คนพม่าและคนไทในรัฐฉานเรียกชนกลุ่มนี้ว่า “มูเซอ” มีความหมายว่า “นายพราน” อีกประการคนจีนมีคำเรียกชื่อชนชาตินี้อยู่แล้วคือ เรียกว่า “หล่อเหย” (Lo-hei)(หน้า 34) สำหรับการอพยพเข้ามาในประเทศไทยของมูเซอ มีมากว่าร้อยปี มูเซอเป็นชนชาติแรกในตระกูลภาษาธิเบต-พม่า แขนงโลโล ที่อพยพเข้าสู่ประเทศไทย เข้ามาตั้งชมรมอยู่ในเขตอำเภอเวียงป่าเป้าและอำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย ตั้งแต่ปี พ.ศ.2318 ภายหลังจึงกระจายไปตั้งถิ่นฐานในอำเภออื่นๆ ของจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ และแม่ฮ่องสอน เป็นต้น เนื่องจากปีที่อพยพเข้ามาเป็นช่วงเวลาก่อนการสู้รบระหว่างมูเซอกับพม่า ประกอบกับมูเซอดังกล่าวเป็นชมรมมูเซอเล็กๆ ที่มีอิสระในการโยกย้ายถิ่นฐานอยู่เสมอ เหตุผลของการอพยพเข้าสู่ไทย จึงไม่น่าเกิดจากการหลบภัยสงคราม น่าจะเป็นการเคลื่อนย้ายถิ่นฐาน เพื่อแสวงหาที่ทำกินที่อุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติมากกว่า และแม้สถานการณ์ในพม่าจะผ่อนคลายแล้ว แต่ยังมีมูเซออพยพเข้ามาตั้งรกรากในไทย เมื่อ 15 ปีที่ผ่านมามีมูเซอกลุ่มใหญ่อพยพเข้ามา มูเซอคนหนึ่งบอกว่าเข้ามาตามคำชักชวนของหมอสอนศาสนากลุ่มหนึ่งว่าประเทศไทยมีธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ ผู้วิจัยมีข้อสังเกตุว่ากลุ่มมูเซอดังกล่าวเป็นมูเซอดำที่เปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์แล้วตั้งแต่อยู่ในพม่า (หน้า 37) |
|
Settlement Pattern |
การตั้งบ้านเรือน ของแม้ว นิยมเลือกทำเลที่อยู่บนยอดเขาสูงสุดเพื่อป้องกันการรุกราน และทำเลดังกล่าวส่วนใหญ่มักใกล้เคียง กับถิ่นฐานเดิมของแม้วด้วย (หน้า 20)
มูเซอ นิยมตั้งบ้านเรือน หรือหมู่บ้าน ให้สอดคล้องกับลักษณะภูมิประเทศ (หน้า 41) มูเซอแดงที่ตั้งบ้านเรือนอยู่บนพื้นที่สูง เกินกว่า 1000 เมตรขึ้นไป มักเลือกภูเขา ที่มีสันเขาลาดลงข้างหนึ่ง โดยจุดสูงสุดของสันเขา จะเป็นที่ตั้ง ของ”วัด” ซึ่งเรียกว่า “หอเย่” (หอบ้าน) บริเวณนั้น จะปักธงหางว่าว สีเหลือง และ สีขาว เป็นสัญญาลักษณ์ของอาณาเขตวัด และเป็นเครื่องหมายอัญเชิญเทวราชลาจากฟ้ามาเยียนและอำนวยพรแก่คนในหมุ่บ้าน (หน้า 41-42) และตามลาดเขาต่ำลงมาจะเป็นบริเวณหมู่บ้าน โดยที่ต้องการป้องกันลมพายุ บนเขา บ้านจึงมักปลูกติดๆกัน ในแต่ละหลัง ห่างกันเพียง 2-5 เมตร ในเรื่องการถือครองที่ดินนั้น เป็นที่ยอมรับและถือปฏิบัติกันในหมู่ชาวเขา ซึ่งต่างกับ บ้านมูเซอดำเชเล และ มูเซอที่นับถือศาสนาคริตส์ ที่มักปลูกบ้านห่างๆกัน และมักไม่มีถนนในหมู่บ้าน ทุกเผ่าว่า ผู้ใดเป็นผู้หักร้างถางพงผู้นั้นถือว่าเป็นเจ้าของ ยิ่งกว่านั้นยังมีประเพณีว่า ที่ดินที่เพาะปลูกแล้วทิ้งร้างไว้ ผู้อื่นจะเข้าทำการเพาะปลูกพื้นดินผืนนั้นไม่ได้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากเจ้าของเดิมก่อน เมื่อที่ดินนั้นกลับมาทำการเพาะปลูกได้อีก จะเป็นในระยะ 10 ปี หรือนานกว่านั้น ครอบครัวเจ้าของสิทธิกลับไปทำการเพาะปลูกได้อีก แต่ถ้ามีการย้ายหมู่บ้านไปไกลกว่าที่เดิม และ เจ้าของคนก่อนได้ละทิ้งที่ดินนั้นไปแล้ว เพราะดินเสื่อมสภาพ สิทธิการถือครองจะหมดไป( หน้า 11)
หมู่บ้านกะเหรี่ยงในแต่ละแห่ง มีจำนวนหลังคาเรือน แตกต่างกันมาก โดยเฉลี่ย หมู่บ้านหนึ่ง มี 16-100 หลังคาเรือน หมู่บ้านมักตั้งอยู่ในพื้นที่แอ่งกระทะ ล้อมรอบด้วยเนินเขา ใกล้แหล่งน้ำ และด้วยความเชื่อทางศาสนา กะเหรี่ยงจะเดินไปตักน้ำจากแหล่งน้ำ จะไม่ต่อรางน้ำไม้ไผ่เข้าหมู่บ้าน (หน้า 32/2) ลักษณะบ้านกะเหรี่ยงจะปลูกยกพื้นสูงจากพื้นดินหลายฟุต ทำด้วนไม้ไผ่และแฝก หลังคาใหญ่คลุมบ้านไว้เกือบทั้งหมด บ้านมีเฉลียงรับแขก ไม่มีรั้ว มียุ้งข้าวต่างหากจากตัวบ้าน (หน้า 32/1) |
|
Demography |
ประชากรกะเหรี่ยง มีประมาณ 279000 คน กระจายอยู่ทั่วไป ในพื้นที่ภาคเหนือ และ ภาคตะวันตกของไทย ในปี 2529-2531 พบว่า จังหวัดเชียงใหม่มีประชากรกะเหรี่ยงมากที่สุด ประมาณ 88,000 คน 731 หมู่บ้าน รองลงมา เป็นจังหวัดแม่ฮ่องสอนประมาณ 70,000 คน นอกจากนี้ยังมีกะเหรี่ยงอาศัยอยู่ในจังหวัดตาก เชียงราย แพร่ ลำพูน ลำปาง อุทัยธานี สุโขทัย กำแพงเพชร สุพรรณบุรี กาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ (หน้า 31)
สำหรับมูเซอ จากการสำรวจในปีค.ศ.1988 (พ.ศ.2531) โดยกรมประชาสงเคราะห์ มีประชากรมูเซอประมาณ
60,321 คน มีชุมชนกระจายตัวในเขตจังหวัดภาคเหนือ โดยที่จังหวัดเชียงรายมีประชากรมูเซอมากที่สุด ประมาณ 20,832 คน 194 หมู่บ้าน และยังมีอาศัยในจังหวัด เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ลำปาง น่าน ตาก เพชรบูรณ์ กำแพงเพชร (หน้า 38-39)
จากการสำรวจในระหว่าง ปีพ.ศ. 2508- 2509 มีประชากรแม้ว 53,031 คน (หน้า 6-7) และเพิ่มขึ้น เป็น 82356 คน จาก การสำรวจ ระหว่างปี พ.ศ.2528-2531 (หน้า 7) |
|
Economy |
เศรษฐกิจที่สำคัญของแม้ว คือ การทำไร่ เลื่อนลอย ซึ่งมักโค่นถาง และ เผาป่า เพื่อเตรียมพื้นที่ นอกจากข้าวไร่ และ พืชผักสวนครัว แล้ว แม้วยังนิยมปลูกฝิ่น พืชเศรษฐกิจได้แก่ ข้าวโพด ข้าวฟ่าง มัน แตง ผักกาด ยาสูบ เป็นต้น เศรษฐกิจของชุมชนแม้วนับว่าดี แต่ก็ยังเป็นรอง เย้า และ ฮ่อ แม้วมีรายได้เฉลี่ยคนละ 3000-3500 บาท ต่อปี (หน้า 28)
กระเหรี่ยงปลูกข้าว เพื่อบริโภค มี การเพาะปลูก 2 ประเภท 1. ข้าวไร่ นิยมปลูกบนภูเขาโดยเฉพาะ พวกที่อาศัยอยู่บนที่สูง 2. ข้าวปลูกแบบขั้นบันได เป็นที่นิยมปลูกสำหรับกะเหรี่ยงที่อยู่อาศัยตามที่ราบหุบเขา นอกจากนี้ ยังปลูกพืชไร่อื่นๆ เช่นข้าวโพด ฟักทอง พริก เป็นต้น แต่นำมาใช้เฉพาะการบริโภคในครัวเรือน (หน้า 32/3) สัตว์ที่นิยมเลี้ยง ได้แก่ หมู และ ไก่ เพื่อใช้ในพิธีกรรม และยังมีสัตว์เลี้ยงอื่นๆ เช่น วัว ควาย และ ช้าง มักมีการซื้อขายสัตว์เลี้ยงกันในกลุ่มเท่านั้น รายได้ของกะเหรี่ยงยังมาจากการรับจ้างทำงานให้กับคนในเมืองกับชาวเขาเผ่าอื่น การขายของป่า อุตสาหกรรมในครัวเรือน เช่น การทอผ้า เป็นต้น อีกด้วย (หน้า 32/4)
มูเซอ เป็นชนเผ่าที่นิยมการค้าขายในระดับชนบท เน้นที่การค้าระหว่างบุคคล มีบ้างที่มีการใช้ระบบแลกเปลี่ยนสินค้า กับร้านค้าที่คุ้นเคย ในตลาด ระดับครัวเรือน มัก มีการแลกเปลี่ยน พืชผัก ที่ปลูกไว้บริโภค ถ้าครัวเรือนไหนไม่มี มัก จะหาซื้อจากตลาด ไม่นิยม การขอแบ่งหรือ ปันส่วน จากเพื่อนบ้าน เพราะถือว่าเป็นเรื่องน่าอาย นอกจากนี้ มูเซอนิยมค้าขายกับคนเมือง มากกว่า ชาวเขาเผ่าอื่นๆ เพราะคนเมืองติดต่อค้าขายกับมูเซออย่างสม่ำเสมอและนำสินค้าจำนวนมากไปถึงหมู่บ้านมูเซอจากนั้นก็นำสินค้าของมูเซอไปขายที่ตลาด สินค้าของมูเซอได้แก่ พริกแห้ง พริกสด ผัก งา ฝิ่น และ หนังสัตว์ มูเซอยัง นิยมการค้าฝิ่นมาก โดยมีการลำเลียงฝิ่นจากพม่า เข้ามาค้าขายในประเทศไทย หรือ อาจเป็นพ่อค้าคนกลางซื้อขายฝิ่นกับทั้งยังรับจ้างขนลำเลียงฝิ่น ด้วย (หน้า 43-44) |
|
Social Organization |
โดยทั่วไปครอบครัวของชาวเขามีอยู่ 2 แบบคือ แบบครอบครัวเดียว(Nucleus Family) ครอบครัวผสม (Extended Family)ทั้งสองแบบนี้อาจจะเป็นในรูปผัวเดียวเมียเดียว(Monogamy) หรือผัวเดียวเมียหลายคน(Polygamy)(หน้า 10) ก็สามารถประกอบเป็นครอบครัวเดี่ยวได้ ประกอบด้วยสามี ภรรยา และบุตร หรือมีภรรยามากกว่าหนึ่งคนขึ้นไป ครอบครัวแบบผัวเดียว เมียเดียวนิยมปฏิบัติในพวก มูเซอ ส่วนพวกแม้ว เย้า และสีซอ (หน้า 11)มีจำนวนไม่น้อยที่ผู้ชายมีภรรยามากกว่าหนึ่งคน ส่วนครอบครัวผสมนั้นเป็นแบบหลายครอบครัวอยู่รวมกัน โดยประกอบด้วยครอบครัวของพ่อแม่และบุตรที่ยังไม่ได้แต่งงาน กับครอบครัวของบุตรที่แต่งงานแล้ว หัวหน้าครอบครัวผสมมีอำนาจสูงสุดในการตัดสินใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง อาจจะมีการปรึกษาหารือกับบุตรชายที่โตๆ เมื่อหัวหน้าครอบครัวตายลงบุตรชายคนโตจะเป็นผู้รับหน้าที่สืบต่อ การแต่งงานของชาวเขานั้นส่วนใหญ่จะไม่แต่งงานข้ามเผ่ากัน แต่บางที่ก็สามารถทำได้หากอยู่ในตระกูลเดียวกัน (หน้า 25)
ในสังคมแม้ว ผู้ชายเท่านั้นที่มีสิทธิในการปกครอง ผู้หญิง และเด็กจะไม่มีสิทธิเหล่านี้ (หน้า 24) ครอบครัวแม้ว จะนับถือ ผู้ชายที่มีอาวุโสสูงสุด เป็นหัวหน้าครอบครัว โดยที่ฝ่ายชายเป็นบุคคลสำคัญใน แช่ สกุล ซึ่งแสดงถึงการปกครองแบบ Patriarehy (หน้า 27) ลูกชายที่มีภรรยา จะต้องนำหญิงภรรยามาอยู่ในครอบครัวเดิม อาศัยกับพ่อแม่ฝ่ายชาย หากเป็นหญิง เมื่อแต่งงานต้องไปอยู่กับครอบครัวฝ่ายสามี ซึ่งเป็นลักษณะของครอบครัวขยาย เมื่อ พ่อ แม่ เสียชีวิตแล้ว ลูกๆ ที่มีครอบครัวถึงจะแยกเรือน ออกไปได้ โดยที่ลูกชายหัวปี จะได้สิทธิในการครอบครองเรือนของพ่อและแม่ (หน้า 25) การนับญาตินั้นแม้วจะถือเฉพาะญาติฝ่ายพ่อ (ถือตี้) เท่านั้น ญาติฝ่ายแม่ (เหน้งจัง) แม้ยังเรียกว่า ป้า น้า อยู่ ก็ไม่ถือเป็นเครือญาติกัน (หน้า 26) และผู้หญิงในครอบครัวถ้าแต่งงานแล้วต้องไปอยู่บ้านสามี ความสัมพันธ์ในฐานะญาติก็สิ้นสุดลงด้วย โดยยังคงเรียกป้า อา (ผู้หญิง) พี่สาว น้องสาว หลานสาว แต่ไม่ได้แสดงถึงความเป็นญาติ (หน้า 25) ประเพณีการนับถือญาติของแม้ถือว่า คนที่นับถือผีเรือนร่วมกันและอยู่ในแสนเดียวกันเท่านั้นเป็นญาติกัน คนแสนเดียวกันเท่านั้นจึงจะถือผีเรือนร่วมกันได้ การถือแสนถือตามแสนของบิดา ถ้าเป็นแสนเดียวกันก็เป็นญาติเดียวกันทั้งหมด แม้จะอยู่ต่างถิ่นห่างไกลก็ตาม แสนหนึ่งๆ จึงมีสมาชิกจำนวนมาก มีอยู่ทุกหมู่บ้าน (หน้า 25-26)
ส่วนกะเหรี่ยง ลักษณะครอบครัวกะเหรี่ยงส่วนใหญ่เป็นครอบครัวเดี่ยว (Nuckus family)สืบสายทางฝ่ายมารดา เมื่องแต่งงานแล้วฝ่ายชายจะย้ายเข้าไปอยู่ในครอบครัวของฝ่ายหญิง การแต่งงานแบบผัวเดียวเมียเดียวเป็นกฏที่เคร่งครัด การอย่าร้างมีน้อย การแต่งงานใหม่ไม่ค่อยปรากฏ การแต่งงานเป็นการผูกพันกันระหว่างสองคน ไม่ใช่การสร้างพันธมิตรระหว่างครอบครัวหรือระหว่างหมู่บ้าน เมื่อสามีภรรยามีลูกแล้ว จะสร้างบ้านหลังใหม่ที่ใหญ่ขึ้นแล้วทำพิธี “เตอะมึงเซี่ย” (ผู้พิทักษ์การสืบสายฝ่ายมารดา) เพื่อแจ้งให้ผีสายมารดาทราบถึงการแต่งงาน เนื่องจากกะเหรี่ยงถือว่าบ้านเป็นสถานที่ทางวิญญาณของภรรยา และหลังทำพิธีแล้ว ภรรยาจะมีอำนาจตัดสินใจอนุญาตให้หรือไม่ให้ใครมาอยู่ในบ้าน
และด้วยความเชื่อที่ว่าบ้านเป็นอาณาจักรของภรรยา กะเหรี่ยงถือว่าไม่สมควรที่ผู้หญิงจะอาศัยในบ้านของลูกชายที่แต่งงานแล้ว เพราะวิญญาณของผู้หญิงสองคนจะพัวพันกัน ซึ่งจะส่งผลร้ายต่อภรรยา ฉะนั้นหญิงม่ายชราที่มีแต่ลูกชายไม่มีลูกสาวจะอาศัยอยู่กับลูกชายได้โดยการแยกไปอยู่ในบ้านหลังเล็กจนกว่าจะเสียชีวิต อีกกรณีคือผู้ชายที่เป็นม่ายภรรยาเสียชีวิตในขณะที่ลูกๆ ยังไม่แต่งงาน เชื่อกันว่าการมีภรรยาใหม่จะส่งผลร้ายต่อลูกๆ เพราะผู้หญิงคนใหม่จะขัดแย้งกับวิญญาณของภรรยาที่เสียชีวิต กะเหรี่ยงจึงไม่ค่อยแต่งงานใหม่หลังภรรยาเสียชีวิต
การสืบมรดก กะเหรี่ยงจะแบ่งมรดกให้แก่ลูกทุกคนเท่าๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง จะเป็นลูกคนโตหรือลูกคนสุดท้องก็ตาม และหากมีข้อพิพาทเรื่องมรดก “เซี่ยงเก็งตู” หรือหัวหน้าหมู่บ้านจะเป็นผู้ชี้ขาด โดยปรึกษากับสภาหมู่บ้าน ซึ่งประกอบด้วยผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้าน กะเหรี่ยงมีค่านิยมทางสังคมถือว่าความั่นคงและวัยอาวุโส เป็นสิ่งแสดงสถานภาพอันสูงส่งในสังคม ไม่ใช่ความมั่งคั่ง และความรักใคร่สัมพันธ์กันภายในเผ่าสำคัญกว่าความสัมพันธ์ในครอบครัว (หน้า 32/4-6)
มูเซอ ชอบที่จะสมาคม กับคนพื้นราบ ในการติดต่อค้าขาย มากกว่า ชนเผ่าอื่นๆ (หน้า 43-44) แต่อย่างไรก็ดี ความสัมพันธ์ระหว่างมูเซอ กับเผ่าอื่นๆ ก็เป็นไปด้วยดี จึงทำให้มีการนำภาษามูเซอไปใช้ติดต่อสื่อสารกันในกลุ่มชาวเขาเผ่าอื่นๆ ด้วย (หน้า 52) มูเซอนิยมครอบครัวขยาย สมาชิกในหมู่บ้านมีความผูกพันเป็นเครือญาติกัน และพ่อแม่ของภรรยาจะเป็นฝ่ายกำหนดแหล่งที่อยู่อาศัย (หน้า 58) |
|
Political Organization |
ระบบการปกครองหมู่บ้านชาวเขา แต่ละหมู่บ้านจะมีหัวหน้าหมู่บ้าน 1 คน อาจมีผู้ช่วย 1-2 คน และมีคณะที่ปรึกษาหรือสภาหมู่บ้านที่ประกอบด้วยผู้สูงอายุชาย ผู้ที่สำคัญอีกคนหนึ่ง คือ “หมอผี” บางหมู่บ้านหมอผีอาจมีอิทธิพลสูงกว่าหัวหน้าหมู่บ้าน และอาจได้รับเลือกเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน การเลือกหัวหน้าหมู่บ้านถือเสียงข้างมาก การมีพี่น้องมากๆ ก็มีส่วนให้ได้รับเลือกตั้ง และหัวหน้าหมู่บ้านที่เลือกมานี้ มีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่กฎหมายลักษณะปกครองท้องถิ่น พ.ศ.2457 กำหนด ทางราชการจะแต่งตั้งให้เป็น “ผู้ใหญ่บ้าน” (หน้า 12-13, 21)
การปกครองในหมู่บ้านแม้ว อำนาจปกครองมาจาก 4 ทาง ได้แก่ อำนาจตามกฎหมาย อำนาจมาจากจารีต มาจากการประชุมหมู่บ้าน และจากความคิดเห็นของผู้อาวุโสในแสนของหัวหน้าหมู่บ้าน หัวหน้าหมู่บ้านแม้ว เรียกว่า “โหล่วยาว” เลือกจากการประชุมร่วมกันในหมู่บ้าน (จือเป๊เส่าชั่วเต่อ) ถ้าโหล่วยาวมีคุณสมบัติตามที่กฎหมายกำหนด ราชการจะแต่งตั้งให้เป็นผู้ใหญ่บ้านเรียกว่า “ตุ๊เฮ่าเหย่ว” แต่จะไม่ตั้งตุ๊เฮ่าเหย่วขึ้นมาซ้อนกับโหล่วยาว เพราะอาจทำให้เกิดความขัดแย้งและความไม่สงบขึ้นในหมู่บ้านได้ โหล่วยาวแม้มีอิสระในการทำงาน แต่ไม่มีอำนาจเด็ดขาด การดำเนินงานเป็นไปตามมติของที่ประชุมหมู่บ้าน และตามกรอบของจารีตประเพณีที่เรียกว่า “โม้งกี่” ซึ่งเชื่อกันว่า “ครั้งคู้” หรือ “ผีฟ้า” เป็นผู้บัญญัติขึ้น หัวหน้าหมู่บ้าน(โหล่วยาว) สิ้นสุดสภาพเมื่อ 1)ตาย 2)ลาออก 3)ที่ประชุมหมู่บ้านมีมติให้ออก 4)ผู้ว่าราชการมีคำสั่งให้ออก(เฉพาะตำแหน่ง “ผู้ใหญ่บ้าน” เท่านั้น เมื่อตำแหน่งหัวหน้าหมู่บ้านสิ้นสุดลง กลุ่มผู้อาวุโสในแสน(น่าจือเหว่าฮูเจ) จะเลือกคนที่เหมาะสมในตระกูลของตน ส่งเข้ารับสมัครรับเลือกตั้งในที่ประชุมหมู่บ้าน การประชุมหมู่บ้าน(จือเป๊เส่าชั่วเต่อ) มีหน้าที่กำหนดนโยบาย ออกข้อกำหนดให้ลูกบ้านปฏิบัติ และควบคุมการทำงานของหัวหน้าหมู่บ้าน การประชุมหมู่บ้านประกอบด้วยผู้ชายทั้งหมด ผู้หญิงเข้าฟังการประชุมได้แต่ไม่มีสิทธิออกเสียงลงมติ ในสังคมแม้วผู้ชาย(ตู๊) เท่านั้นที่มีสิทธิปกครอง (หน้า 20-25)
การปกครองในหมู่บ้านกะเหรี่ยง หัวหน้าหมู่บ้านเรียกว่า “เซี่ยงเก็งคู” ได้มาโดยการสืบช่วงตามสายฝ่ายบิดา เซี่ยงเก็งคูมีหน้าที่ตัดสินกรณีพิพาทต่างๆ และเป็นหัวหน้าทำพิธีฝ่ายชายในหมู่บ้าน การตัดสินข้อพิพาทและกิจกรรมสำคัญๆ ที่เกี่บวกับหมู่บ้าน จะมีการอภิปรายในกลุ่มผู้เฒ่าผู้แก่ของหมู่บ้าน แต่ในทางปฏิบัติความอาวุโสไม่ใช่สิ่งจำเป็น ผู้ชายที่แต่งงานแล้วและสามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างหนักแน่น ก็มีอิทธอพลต่อที่ประชุมได้ สำหรับการตัดสินลงโทษกรณีพิพาท เรื่องทั่วๆ ไปส่วนมากเป็นการปรับไหม บางคดีก็อาจลงโทษให้ไล่ออกจากหมู่บ้าน ส่วนคดีฆ่ากันตาย สมัยก่อนให้ประหารชีวิต แต่ปัจจุบันให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองจัดการ ปกติทางราชการมักแต่งตั้งให้เซี่ยงเก็งคูเป็นผู้ใหญ่บ้าน อย่างไรก็ตาม กะเหรี่ยงไม่ได้สนใจกับตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านนัก เพราะรู้สึกว่าตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านไม่มีอำนาจและเกียรติภูมิ งานที่รับผิดชอบมีน้อย และไม่สามารถทำให้ผลประโยชน์ของชุมชนที่ตัวเองเป็นตัวแทนอยู่สำเร็จลุล่วงได้ (หน้า 32/2-3)
การปกครองของหมู่บ้านมูเซอ ในงานวิจัยระบุว่า ธรรมชาติของชาติพันธุ์มูเซอในด้านการปกครอง อยู่ในระดับหมู่บ้าน ไม่มีผู้นำทางการเมืองสูงสุด มีความมั่นคงและความปลอดภัยของชีวิตจากการปกป้องคุ้มครองของกลุ่มญาติพี่น้อง (หน้า 57) อย่างไรก็ตาม โครงสร้างการปกครองในหมู่บ้านมูเซอ น่าจะมีหัวหน้าหมู่บ้านและคณะกรรมหมู่บ้าน เนื่องจากในงายวิจัยมีกล่าวถึงหัวหน้าหมู่บ้านและคณะกรรมการหมู่บ้านมูเซอจะหยีร่วมกับอีกสองหมู่บ้านจัดการกับโจรมูเซอกลุ่มเอบิที่จับได้ (หน้า 46) |
|
Belief System |
ความเชื่อในเรื่องผีบรรพบุรุษ ยังคงอิทธิพลอยู่ในหลายกลุ่มชาติพันธุ์ ชาวเขาทุกเผ่าจะมีหมอผีอาศัยอยู่ทุกหมู่บ้าน หมู่บ้านใหญ่ๆ บางหมู่บ้าน มีหลายคนได้ โดยมีความสามารถและขอบเขตบทบาททางสังคมแตกต่างกันไปตามสภาพสังคมของเผ่านั้นๆ
ของแม้วถือว่าหมอผี คือผู้ร่ำเรียนคาถาอาคมสามารถปราบวิญญาณและผีต่างๆ ได้สำหรับพวกเย้านั้นได้รับอิทธิพลจากประเทศจีนได้รับขนบธรรมเนียมประเพณีทางศาสนาของจีนมาใช้ก่อนอพยพเข้าสู่ประเทศไทย ผู้นำทางศาสนาของเย้าต้องรู้ภาษาจีน และต้องเก็บรักษาคัมภีร์ไว้ ต้องผ่านการอบรมจากผู้นำศาสนาอาวุโสก่อนจึงจะสามารถประกอบพิธีกรรมต่างๆ ได้หน้าที่ของหมอผี เช่น การใช้เวทย์มนต์ขับไล่ภูตผีปีศาจ รู้จักประกอบยาสมุนไพรรักษาโรคได้ (หน้า 12)
กะเหรี่ยงทั้งหมดซึ่งรวมถึงผู้นับถือทั้งศาสนาพุทธและคริสต์นับถือผีเหมือนเผ่าอื่นๆ พวกเขามีความเชื่อว่า ทุกที่จะมีผีสิงสถิตอยู่ เช่น ในป่า ในไร่ หรือในหมู่บ้าน กะเหรี่ยงนับถือผีเรือนและผีบ้าน ผีบ้านเป็นผีเทพารักษ์รักษาหมู่บ้าน หรือผีประจำหมู่บ้าน บางทีเรียกผีเจ้าเมือง หรือผีเจ้าที่ มีความสำคัญเกี่ยวกับเกษตรกรรม และพิธีกรรมอยู่ดีมีสุขของคนทั้งหมู่บ้าน ปีหนึ่งจะทำพิธีเลี้ยงผีเจ้าที่ 2 ครั้งโดยคนทั้งหมู่บ้าน ครั้งแรกจัดเมื่อเข้าฤดูฝน ครั้งที่สองจัดเมื่อสิ้นสุดการเกษตร ส่วนผีเรือนเป็นผีประจำบ้านเรือน มีความเชื่อว่า บรรพบุรุษที่ตายไปแล้วยังเป็นห่วงลูกหลานจะคอยคุ้มครองรักษาให้อยู่ด้วยความสงบสุข กะเหรี่ยงเชื่อว่าการเจ็บไข้ได้ป่วยเกิดจากการกระทำของผีร้าย ที่สิงสถิตอยู่ตามป่าเขาแม่น้ำ ลำธาร เมื่อผู้ใดไม่สบายเกิดขึ้นก็จะทำการทำพิธีเลี้ยงผี โดยหมอผีของหมู่บ้านเป็นผู้ดำเนินการ ชีวิตของกะเหรี่ยง ผูกพันกับพิธีกรรมต่างๆ ตั้งแต่เกิดจนตาย (หน้า 32/6-7) ส่วนลัทธิที่กะเหรี่ยงบางพวกนับถือกัน ได้แก่ ลัทธิฤาษี หรือลัทธิ อาริยะ เป็นลัทธิที่เกี่ยวกับความเชื่อทางศาสนา กะเหรี่ยงที่นับถือลัทธินี้จะแต่งกายผิดไปจากกะเหรี่ยงทั่วไป ไว้ผมยาวเกล้ามวยเป็นจุกไว้ด้านหน้า และจะไม่กินเนื้อสัตว์เลี้ยงประเภท หมู เป็ด ไก่ จะกินเนื้อสัตว์ที่ล่ามาได้เท่านั้น ส่วนสัตว์เลี้ยงที่เลี้ยงไว้ใช้งาน ถ้าตายลงก็จะไม่นำสัตว์เหล่านี้มากิน เพราะถือว่าสัตว์พวกนี้มีบุญคุณ ไม่ดื่มของมึนเมา ไม่เสพยา ไม่เล่นการพนัน มีข้อห้ามไม่ให้ทำผิดประเวณี ในทุกวันพระจะมีการทำบุญไหว้พระ ในการทำบุญแต่ละครั้ง กะเหรี่ยงจะไปทำบุญกันที่สำนักฤาษี จะมี “พือแจะ”ซึ่งคล้ายตำแหน่งของเจ้าอาสของสำนักฤาษี เป็นผู้นำทางศาสนาของลัทธินี้ พือแจะจะต้องเป็นผู้รักษาศีล 5 ซึ่งก็ตรงกับศีล 5 ในหลักพระพุทธศาสนา มีการสวดมนต์ เหมือนบทสวดมนต์ในพุทธศาสนา มีการกราบไหว้พระพุทธรูป แท้จริงแล้วลัทธินี้คือ ลัทธิตะละกุงหรือตะละกู ในพระพุทธศาสนานั้นเอง มีความเชื่อว่าพระศรีอาริยะจะมาตรัสรู้หลังพระพุทธเจ้าล่วงไปแล้ว 5,000 ปี (หน้า 32 / 8) กะเหรี่ยงเชื่อว่าคนเรามี 33 ขวัญ ประจำตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย สาเหตุของความเจ็บป่วยโดยมาก เชื่อกันว่าเกิดจากการที่ขวัญใดขวัญหนึ่งท่องเที่ยวพเนจรไปข้างนอก ทำให้บุคคลนั้นไม่มีขวัญคอยปกป้อง วิธีการรักษาพยาบาลจึงเกี่ยวกับการทำพิธีล่อขวัญให้กลับมาสถิตในร่างกายของผู้ป่วยตามเดิม ในกรณีของการตายก็เกี่ยวเนื่องกับขวัญเช่นกัน กะเหรี่ยงเชื่อว่าการตายคือการที่ขวัญสำคัญๆ ละทิ้งบุคคลนั้นท่องเที่ยวไปในโลกของคนตาย กายเป็นวิญาณซึ่งมีกิจกรรมทำนองเดียวกับตอนอยู่ในโลกมนุษย์ เช่น สร้างบ้าน ทำไร่ มีลูก เป็นต้น และอาจตายได้อีก ตายแล้วไปอยู่ในโลกของวิญญาณอีกแห่งหนึ่ง และจากโลกวิญญาณทั้งสองแห่งนี้ อาจกลับมาเกิดใหม่ในโลกมนุษย์ได้อีก กะเหรี่ยงเชื่อว่ามนุษย์นั้นก็คือการกลับมาเกิดใหม่ของวิญญาณนั้รนเอง (หน้า 32/7)
มูเซอ การร่วมกิจกรรมทางศาสนานั้นเป็นหลักสำคัญที่จะต้องยึดและปฏิบัติอย่างพร้อมเพรียง มีความเชื่อเรื่องผีและวิญญาณเหมือนกับเผ่าอื่นๆ ว่าผีจะให้ความคุ้มครองป้องกันภัยพิบัติ และทำอันตรายกับผู้คนได้ การทำบุญ การบรวงสรวงผีเจ้าที่เป็นส่วนสำคัญในการทำไร่ทำนา และในการดำรงชีวิต (หน้า 58) หมอผี หรือ ผู้นำทางศาสนาของมูเซอ มีฐานะทางสังคมสูง มีอำนาจอย่างแท้จริงในหมู่บ้าน และมีอำนาจมากกว่าหัวหน้าหมู่บ้านในการพิจารณาข้อพิพาทต่างๆ บางหมู่บ้านหมอผีและหัวหน้าหมู่บ้าน อาจเป็นคนเดียวกันก็ได้ (หน้า 12) การนับถือศาสนาพุทธของมูเซอ ยกตัอย่างมูเซอที่บ้านแม่ปูนหลวง นิยมเรียกตัวเองว่าเป็นชาวพุทธ และระบุในทะเบียนบ้านว่านับถือศาสนาพุทธ เพื่อให้ได้รับการยอมรับจากคนพื้นราบว่าเป็นคนไทย แต่เป็นการนับถือพุทธแบบมูเซอ คือนำคติทางพุทธศาสนามาผสมผสานให้สอดคล้องกับพิธีกรรมความเชื่อเรื่องผี ที่เกี่ยวกับความอุดมสมบูรณ์และความเจริญงอกงามของพืชผล (หน้า 54-55)การนับถือศาสนาคริสต์ของมูเซอ เกิดจากมีกลุ่มผู้สอนศาสนาคริสต์เข้าไปเผยแพร่ศาสนา เริ่มต้นด้วยการเข้าหาผู้นำการปกครองที่ได้รับการยอมรับจากชาวบ้านก่อน โดยดำเนินการอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ และทำสำเร็จที่บ้านแม่ปูหลวง มีมูเซอเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ประมาณร้อยละ 80 ของประชากรทั้งหมด 414 คน ผ่านทาง “จะนุพญา” ที่เป็นทั้งผู้นำศาสนาและผู้นำการปกครองของบ้านแม่ปูหลวง เกิดความศรัทธาและเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ (หน้า 55-57) |
|
Education and Socialization |
ในสังคมแม้ว จะยึดถือ จารีตประเพณี (โม้งกี่) ที่ถือกันว่า “ครั้งคู้” หรือ ผีฟ้า เป็นผู้บัญญัติขึ้น เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติให้อยู่ร่วมกันในชุมชนด้วยความสันติสุข โดยที่ผู้เฒ่าผู้แก่ จะเป็นกลุ่มที่ได้สืบทอดจดจำมาสั่งสอนลูกหลาน ให้ปฏิบัติ (หน้า 23) การศึกษาของชนกลุ่มน้อยทุกเผ่านั้น ส่วนใหญ่การศึกษาทั้งในและนอกระบบ การเรียนการสอนของระบบโรงเรียน ตำรวจตระเวนชายแดนจะเข้าไปรับผิดชอบในการจัดการเรียนการสอน การแนะนำส่งเสริมสิ่งใหม่นั้นเป็นเรื่องยาก การศึกษาของชาวเขาจะเป็นไปในลักษณะการศึกษาจากคนภายในครอบครัวมากกว่า หรือจากผู้อาวุโสในหมู่บ้าน ในเรื่องจารีตประเพณีและวัฒนธรรม ส่วนเรื่องอื่นก็จะเป็นเรื่องการเรียนรู้ในการดำรงค์ชีวิต การทำการเกษตรกรรม การเลี้ยงสัตว์ ( หน้า 27 )
นอกจากนี้ในกรณีของมูเซอ ผู้สอนศาสนาคริสต์ได้แปลคัมภีร์ไบเบิลเป็นภาษามูเซอ แต่เขียนด้วยตัวอักษรโรมัน และนำภาษามูเซออักษรโรมันนี้ไปสอนชาวบ้าน โดยเชิญชวนชาวบ้านว่า “ไปเรียนหนังสือมูเซอ” เนื้อหามีทั้งที่เป็นความรู้ทั่วไปและคำสอนของศาสนาคริสต์ การเรียนการสอนทำในเวลากลางคืน นักเรียนส่วนใหญ่เป็นเด็กจนถึงวัยรุ่น ผู้ใหญ่ก็มี ทำให้ชาวบ้านที่สนใจสามารถอ่านและเขียนภาษา(มูเซอ)ของตนเองได้ด้วยอักษรโรมัน (หน้า 56-57) |
|
Health and Medicine |
ในหมู่บ้านชาวเขา หมอผีจะมีความสามารถประกอบยารักษาโรคในการรักษาผู้ที่ด้วยการใช้สมุนไพรที่หาได้ในหมู่บ้าน และสามารถใช้เวทย์มนต์และคาถาปัดเป่าขับไล่ภูผีปีศาจ โดยความรู้เหล่านี้ทำให้หมอผีเป็นที่เคารพนับถือและมีสถานะทางสังคมสูง (หน้า 12) การเยียวยาการเจ็บไข้ได้ป่วยของกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูง นั้นยังพึ่งพาความเชื่อดั้งเดิมอยู่มาก (หน้า 67) กะเหรี่ยง เชื่อว่าการเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นการกระทำของผีร้ายต่างๆ เมื่อผู้ใดที่เกิดไม่สบายขึ้นจะต้องจัดพิธีเลี้ยงผี โดยหมอผีในหมู่บ้านจะเป็นผู้ประกอบพิธีเพื่อขอขมา ผีจะได้เลิกโกรธแค้นผู้ที่ไปลบหลู่โดยความรู้เท่าไม่ถึงการ และกะเหรี่ยงเชื่อว่าทุกคนที่เกิดมามีขวัญอยู่ 33 ขวัญ หากขวัญใดขวัญหนึ่งท่องเที่ยวออดไปก็อาจทำให้ป่วยได้เพราะไม่มีขวัญคอยปกป้องบุคคลนั้น วิธีรักษาคือต้องทำพิธีล่อให้ขวัญกลับเข้าร่างของผู้ป่วย (หน้า 32 / 7) สถานภาพด้านสุขอนามัย ของกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูง ยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำ มีอัตราการตายของทารกสูง ชาวเขาส่วนมากมักเจ็บป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจ โรคระบบทางเดินอาหาร และมาเลเรีย และมีปัญหาการติดฝิ่นในหมู่ชาวเขา ซึ่งมีสาเหตุ 3 ประการคือ ใช้ฝิ่นเพื่อรักษาโรคหรืออาการเจ็บป่วย ใช้เพื่อผ่อนคลายอารมณ์ และใช้เพื่อเป็นประเพณีสืบต่อกันมา (หน้า 65-66) นอกจากนี้ยังพบว่า ในกลุ่มมูเซอมีการติดฝิ่นในอัตราที่สูง (หน้า 40) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
บ้านกะเหรี่ยงใช้ไม้ไผ่เป็นส่วนประกอบ หลังคาใหญ่กว้างคลุมตัวเรือนทั้งหมด มุงด้วยหญ้าแฝก พื้นบ้านยกสูง เฉลียงบ้านมักใช้สำหรับต้อนรับแขก ใต้ถุนบ้านใช้สำหรับสัตว์เลี้ยง อาศัย มักทำยุ้งข้าวไว้จากเรือนอาศัยต่างหาก ไม่นิยมกั้นรั้วบริเวณบ้าน (หน้า 32/1)
กะเหรี่ยง หญิงกะเหรี่ยงสะกอว์ สวมชุดกระโปรงยาวสีขาวจนถึงข้อเท้า บางคนมีการทอเส้นสีแดงเล็กๆ รอบสะโพก และตะเข็บด้านในชุด ไว้มวยผม พันด้วยด้ายถักสีแดงหลายรอบ หรือผ้าโพกศรีษะด้วยผ้าสีขาวอย่างสั้นๆ เจาะรูหูใส่ต่างหูกลมและห้อยปุยเส้นฝ้ายสีต่างๆ เป็นภู่ลงมา นิยมทำสร้อยลูกเดือยหรือลูกปัดสวมประดับด้วย เด็กหญิงใส่ชุดขาวยาวแบบเดียวกับหญิงสาว ชุดสีขาวถือว่าเป็นชุดของหญิงพรหมจารีย์ ส่วนหญิงที่แต่งงานแล้วจะสวมเสื้อสั้นแค่ใต้เอว ใช้สีดำเป็นพื้น ตรงกลางอกปักด้วยเส้นด้ายกับลูกเดือย หินสีขาว เป็นลายตารางหมากรุก หรือแต่งเป็นจุดสีขาว เป็นเครื่องหมายว่าแต่งงานแล้ว ผ้านุ่งเป็นลายทั่วไป เสื้อผู้ชายเป็นเสื้อแขนสั้นสีแดง ยาวลงมาเพียงครึ่งขา มักทอยกดอกภู่เป็นตอนๆ ใช้ผ้าแพรสีชมพูเป็นผ้าโพกศรีษะ หรือสีต่างๆ ยกเว้นสีดำ กางเกงเป็นทรงกางเกงจีน มักใช้สีดำหรือสีขาว (หน้า 32) กะเหรี่ยงโปว์ ผู้หญิงใส่ชุดกระโปรงยาวสีขาว แขนสั้น มีผ้าสีแดงกว้างประมาณหนึ่งคืบคาดรอบลำตัว ชายผ้าปักลวดลายสีแดง นิยมเกล้ามวยผมสูงเป็นกระพุ่มกลม แผ่บานและขมวดจุกไว้ มีแถบผ้าสีขาวหรือสีชมพูเล็กๆ ปิดผมเหนือหน้าผากโดยรอบ มีผ้าสีดำหรือสีน้ำเงินเป็นปลอกแขนยาวถึงข้อมือ คาดด้วยหวายกลมๆ เป็นตอนๆ และมีปลอกโลหะซ้อนกันหลายชั้นจากข้อมือถึงข้อศอก สวมสร้อยลูกปัด มีลูกเดือยหินร้อยเป็นพวงพันคอหลายรอบ สะพายพวงสตางค์แดงแบบเก่าคล้ายสายสะพาย ร้อยลูกกระพวนหรือกระดิ่งเล็กๆ พันรอบข้อมือข้อเท้า ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วสวมเสื้อทรงกระสอบคอวีสั้นแค่เอว ตอนบนมีพื้นสีดำ ใต้อกลงมาเป็นสีแดง เย็บปักลวดลายหรือติดลูกปัด ลูกเดือยหินหรือหลอดไม้สีขาวไขว้กันเป็นลายตารางหรือลายตั้ง ใส่ผ้านุ่งสีแดง มีลายสีขาว ส่วนผู้ชาย ปกติใส่เสื้อสีดำ ถ้ามีงานพิธีจะใส่เสื้อสีแดงตัดด้วยเส้นด้ายสีขาว บางคนใส่เสื้อสีขาวมีลายสีแดงเล็กๆ ยาวลงไปครึ่งขา ใส่กางเกงสีดำแบบกางเกงจีนแต่กว้าง และก้นหย่อนกว่า (หน้า 32/1) สำหรับหญิงกะเหรี่ยงบะเวที่แต่งงานแล้ว จะสวมชุดสีดำและสีแดง มีผ้าขาวพันรอบเอว แล้วปล่อยชายลงมาด้านหน้าเป็นสองแฉก มีผ้าคลุมไหล่ บางครั้งมีผ้าสีแดงโพกศรีษะ ส่วนผู้ชาย เสื้อนิยมใส่สีดำและสีแดง และยังนิยมใส่เสื้อ-กางเกงลายแดงสลับขาวเป็นเส้นตรงลงมาจากบนลงล่างด้วย (หน้า 32/1)
มูเซอแดงผู้ชายมักใช้เสื้อเชิ้ตสีน้ำเงิน มีกระเป๋าพร้อมฝาปิดที่หน้าอกเสื้อทั้งสองข้าง ใช้ผ้าพันน่องสีน้ำเงิน กางเกงเป็นทรงขาก๊วย มีเข็มขัดคาด เสื้อผู้หญิง เป็นเสื้อสีดำทรงรัดรูป แขนกระบอกคอกลมผ่าอก ยาวแค่เอว ที่แขนเสื้อมักเป็นลายทางสีแดงคาดทั้งด้านบนและด้านล่าง นุ่งผ้าซิ่นสีแดง และขลิบปลายซิ่นด้วยผ้าสีแดง เครื่องประดับนั้นมีทั้ง ห่วงคอ ห่วงแขน ตุ้มหู และนิยมนำเหรียญเงินรูปีอินเดียมาเชื่อมกันทำเข็มขัด (หน้า 39-40) มูเซอเชเล ผู้หญิงสวมเสื้อแขนยาวสีดำกับผ้าถุงที่เย็บติดกันยาวถึงหน้าแข้ง แขนเสื้อขลิบด้ายผ้าขาวสามขลิบ ใส่ตุ้มหู ห่วงคูและห่วงแขนทำด้วยเงิน ไม่ใช้เข็มขัด นิยมโพกผ้าดำ ส่วนผู้ชายแต่งกายคล้ายมูเซอแดง (หน้า 40) มูเซอที่นับถือคริสต์ศาสนาจะแต่งกายแบบคนในเมือง มีสัญลักษณ์ประจำเผ่าคือ ย่ามที่สะพาย มีลวดลายสีสันทำด้วยด้ายเส้นโตๆ (หน้า 40)
ชุมชนชาวเขาพึ่งพาตนเองโดยเฉพาะเรื่องเครื่องนุ่งห่ม ผู้หญิงชาวเขาทุกเผ่ามีความชำนาญในการปั่นด้าย ทอผ้า ย้อมผ้าด้วยเปลือกไม้ การปักลวดลายต่างๆ นำมาตัดเย็บเป็นเครื่องนุ่งห่ม ย่ามใส่ของ ผ้าพันหัว โดยเฉพาะผู้หญิงเผ่าเย้าจะมีความสามารถในการปักลวดลายเป็นพิเศษ หัตถกรรมเหล่านี้ส่วนใหญ่ทำไว้ใช้เองเท่านั้น มีบางส่วนที่ขาย ช่างตีเหล็กและช่างทำเครื่องเงินเป็นช่างฝีมือที่สำคัญที่สุดในสังคมชาวเขา ส่วนวัตถุดิบจะหาซื้อมาจากแหล่งอื่นๆ (หน้า 15-16) |
|
Folklore |
ความเชื่อในเรื่องตำนานพื้นบ้านของชนกลุ่มน้อยแต่ละเผ่านั้นส่วนมากจะมีความเชื่อคล้ายๆ กัน ในสังคมของเผ่าแม้ว ใช้ตำนานเป็นเรื่องเล่านำมาตั้งกฏเกณฑ์เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติของแม้วให้อยู่ร่วมกันในชุมชนด้วยความสันติสุข ผู้ที่บัญญัติขึ้นคือชนชั้นปกครองของแม้วสมัยโบราณ แต่เพื่อให้เกิดความเกรงขามและสะดวกในการปกครอง จึงสมมุติข้อบัญญัติของ “ผีฟ้า”เบื้องบน ถ้าใครทำผิดจารีตประเพณี (สู่ตรั้ง) ถือว่าทำผิดต่อผีฟ้า ผีฟ้าจะลงโทษอย่างรุนแรง (หน้า 27) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ในงานวิจัยนี้ ไม่ได้ระบุชัดเจนในเรื่องชื่อเรียกตัวเอง หรืออัตลักษณ์ของชาติพันธุ์ที่ศึกษา อย่างไรก็ตามจากข้อมูลบางส่วนที่ปรากฏในงานวิจัยนี้ ชาติพันธุ์ “แม้ว” ที่ผู้วิจัยเรียก เขาเรียกตัวเองว่า “ม้ง” (Hmong) หรือที่ในงานวิจัยนี้ใช้คำว่า “ฮ-โม้ง” (H,Mong) (หน้า 19)
ส่วนกะเหรี่ยง คำว่า “กะเหรี่ยง” “กะเหรี่ยงสะกอ” “กะเหรี่ยงโปว์” หรือ “กะเหรี่ยงบเว” เป็นต้น เป็นชื่อที่คนอื่นเรียก ในงานวิจัยนี้ไม่ได้ระบุชัดเจนถึงชื่อเรียกตัวเองของกะเหรี่ยง หรือกะเหรี่ยงกลุ่มต่างๆ แต่มีระบุไว้ว่า “สะกอ” เรียกตัวเองว่า “คานยอ” (Kanyaw) หรือสะกอในแถบตะวันตกของเชียงใหม่เรียกตัวเองว่า “บูคันโย” (Bu’Kan Yo) “บเว” เรียกตัวเองว่า “กะยา” (Ka-Ya) (หน้า 30)
สำหรับ “มูเซอ” คำว่า “มูเซอ” เป็นชื่อที่คนอื่นเรียก ชาติพันธุ์นี้เรียกตัวเองว่า “ลาฮู) (Lahu) (ดูตัวอย่างในงานวิจัยนี้ หน้า 47 ชื่อเรียกตัวเองของกลุ่มยิ่ยมูเซอที่กล่าวถึงล้สนขึ้นต้นด้วยคำว่า “ลาฮู” ทั้งสิ้น) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ค่านิยมทางสังคมและวัฒนธรรมของชนกุล่มน้อยชาวเขาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน บางอย่างก็ยังคงรักษาไว้ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะเรื่องความเชื่อในเรื่องศาสนา ขนบธรรมเนียมประเพณี การตั้งถิ่นฐาน และการประกอบการเกษตร แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความเจริญในการคมนาคมเข้ามามีบทบาทสำคัญที่ทำให้ ค่านิยมในการดำรงชีวิตต้องเปลี่ยนแปลงไปประกอบกับสภาพแวดล้อม สภาพภูมิอากาศ ไม่คงที่จึงทำให้วิถีชีวิตความเป็นอยู่ต้องปรับตัวตาม ในปัจจุบันการใช้ชีวิตแบบคนพื้นราบเข้าไปมีอิทธิพลอย่างมากและเป็นที่ต้องการของชาวเขาแทบทุกเผ่า ความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตที่ต้องการเครื่องอำนวยความสะดวก เช่น เมื่อมีไฟฟ้า เข้ามาถึง ภายในหมู่บ้าน ความต้องการอุปกรณ์ไฟฟ้าก็ตามมา รัฐบาลได้สร้างเส้นทางคมนาคมเพื่อติดต่อกับทางหน่วยงานราชการได้ ยานพาหนะจึงจำเป็น ส่วนที่เห็นได้ชัดเจนอย่างหนึ่งคือ การใช้ภาษา ในปัจจุบันภาษาพูดของคนเมืองนั้นชาวเขาแทบทุกเผ่าสามารถเรียนรู้และเข้าใจได้ ชาวเขาส่วนมากต้องการรายได้ที่มากกว่าทำการเกษตร จึงต้องลงมาหาอาชีพจากคนพื้นราบและคนเมือง ส่วนวัฒนธรรมการแต่งกายนั้นก็ไม่ได้ยึดถืออย่างยึดมั่นเหมือนสมัยโบราณ การแต่งกายของคนพื้นราบและคนเมืองมีความสะดวกสบายมากกว่าไม่ต้องตัดเย็บเองสามารถหาซื้อง่าย ส่วนเครื่องแต่งกายแบบดั้งเดิมนั้นกลายเป็นสินค้าสำคัญที่สร้างรายได้ซึ่งเป็นที่ต้องการของคนพื้นราบและนักท่องเที่ยว ชาวเขาบางกลุ่มมีการย้ายที่อยู่อาศัยจากพื้นที่ราบสูงมาอยู่ในเมืองเพื่อความสะดวกสบายในการสนองความต้องการของตนเองมากกว่า และเพื่อยกระดับความมีหน้าตาของตนเองกับสมาชิกในเผ่าอีกด้วย (หน้า 16-17) |
|
Other Issues |
ชุมชนชาวเขากับความมั่นคงของรัฐ
สภาพปัญหาที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ 1)การขยายตัวของประชากรที่มีมากกว่า 500,000 คน 2)อาศัยอยู่ห่างไกล ทุรกันดาร และอพยพย้ายถิ่นอยู่เสมอ ยากต่อการจัดการปกครองของรัฐ และเป็นจุดอ่อนต่อการแทรกแซงจากฝ่ายตรงข้าม (ผกค.) 3)วัฒนะรรม ความเชื่อ และวิถีชีวิตแตกต่างจากชนส่วนใหญ่ของรัฐ ประกอบกับอยู่กันอย่างกระจัดกระจายห่างไกล ทำให้ขาดความรู้สึกเป็นพลเมืองไทย กระทบต่อความเป็นอีนหนึ่งอันเดียวของชาติ 4)การทำไร่เลื่อนลอยและปลูกฝิ่น กระทบต่อต้นน้ำลำธาร ทรัพยากรธรรมชาติถูกทำลาย การปลูกฝิ่นยังกระทบต่อภาพพจน์ของไทย (หน้า 60-61, 72)
รัฐบาลได้ดำเนินการแก้ปัญหา และพัฒนาชุมชนบนพื้นที่สูงมาตลอด 30 ปี ได้ไช้มาตราการและแนวทางต่างๆ มีหน่วยปฏิบัติภาครัฐและองค์กรเอกชนที่เกี่ยวข้องมากกว่า 90 หน่วย ใช้ทรัพยากรและงบประมาณเงินกู้ ตลอดจนเงินช่วยเหลือจากต่างประเทศไปเป็นอันมาก แม้การแก้ปัญหาจะสำเร็จไปได้ระดับหนึ่ง แต่หลายปัญหายังคงดำรงอยู่ และมีแนวโน้มจะรุนแรงจนส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติมากขึ้น (หน้า 61, 74) ปัญหาสำคัญบนพื้นที่สูงแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มคือ
1.ด้านการเมืองการปกครอง มีปัญหาการพัฒนา การสงเคราะห์ การทำบัตรประจำตัว และการลงสัญชาติยังไม่ทั่วถึง การสร้างจิตสำนึกความเป็นไทย และการบังคับใช้กฎหมายมีปัญหา การจัดตั้งถิ่นฐานถาวรให้ถูกต้องตามกฎหมายยังทำได้อย่างจำกัด การอพยพย้ายถิ่นเข้ามาจากทั้งภายในและภายนอกประเทศ ทำให้เกิดการทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (หน้า 621-64)
2.ด้านเศรษฐกิจสังคม มีปัญหาความยากจน ภาวะทุพโภชนา การติดฝิ่น การเข้าถึงบริการสาธารณสุขไม่ทั่วถึง มักซื้อยากินเอง หรือรักษากับหมอผี การคุมกำเนิดน้อยมาก การเพิ่มขึ้นของประชากรมีเกณฑ์สูง ปละยังมีชาวเขาอพยพเข้ามาจากนอกประเทศอยู่เสมอ (หน้า 65-69)
3.ด้านพืชเสพติด การปลูกและการเสพไม่น้อยลง และมีแนวโน้มเสพสิ่งเสพติดนอกเหนือจากฝิ่นเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเฮโรอีน นอกจากนี้ประเทศไทยยังมีปัญหาเป็นทางผ่านของฝิ่นและส่วนที่แปรรูปเป็นยาเสพติดไปยังพื้นที่อื่นๆ ของโลก (หน้า 69-70)
4.ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีอัตาการบุกรุกทำลาบป่าสูง โดยเฉพาะต้นน้ำลำธาร ส่งผลกระทบต่อแหล่งน้ำและดิน หากไม่สามารถแก้ไขได้ ประเทศไทยจะประสยวิกฤตด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (หน้า 71)
เพื่อให้การแก้ปัญหาชุมชนพื้นที่สูงมีประสิทธิภาพและสัมฤทธิ์ผล ในปีพ.ศ.2532 รัฐบาลได้กำหนดนโยบายความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับชาวเขาและการปลูกพืชเสพติด และได้จัดทำแผนแม่บทเพื่อการพัฒนาชุมชน สิ่งแวดล้อม และการควบคุมพืชเสพติดบนพื้นที่สูง พ.ศ.2535-2539 ขึ้น มีหลักการและวัตถุประสงค์เพื่อให้ชุมชนบนพื้นที่สูงอยู่อย่างเป็นระเบียบถูกต้องตามกฎหมาย สอดคล้องกับการกนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เลิกปลูกฝิ่นและเลิกใช้ยาเสพติด โดยได้รับการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ สังคมตามความจำเป็นขั้นพื้นฐาน ด้านการศึกษา สาธารณสุข และสวัสดิการสังคมอย่างเหมาะสมเป็นธรรม ตลอดจนได้รับการเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่การปกครองและการพัฒนาในระบบต่อไป (หน้า 61-62, 75, 78-79)
ตัวอย่าง การพัฒนาพื้นที่สูง และปฏิบัติการจิตวิทยา : การให้ชาวเขาสนับสนุนภารกิจของตำรวจตระเวนชายแดน
ตำรวจตระเวนชายแดนส่งเจ้าหน้าที่ ซึ่งฝ่านการฝึกอบรมเข้าไปในพื้นที่ แล้วชักชวนชาวเขาให้ช่วยสร้างสนามบินเล็ก จากนั้นให้รางวัลเป็นเครื่องมือทำการเกษตร อาหาร ยารักษาโรค และการรักษาพยาบาล เมื่อมีสนามบินแล้ว ก็ส่งเจ้าหน้าที่ด้านเทคนิคเกษตร เข้าไปให้คำแนะนำด้านการเกษตร และสร้างโรงเรียนให้เรียนภาษาไทย ให้ความรู้เรื่องประเทศไทย โดยตำรวจตระเวนชายแดนสนับสนุนอุปกรณ์การเรียนทั้งหมด และเป็นครูสอนชั้นประถม 1-4 นอกจากนี้ได้ฝึกอบรมชาวเขาให้ทำหน้าที่ตำรวจ เพื่อช่วยเหลือการรบแบบกองโจร ใช้ในด้านการข่าว การลาดตระเวน เป็นต้น และจัดตั้งอาสาสมัครชาวเขาเพื่อป้องกันหมู่บ้าน ป้องกันและปราบปรามผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ พัฒนาท้องถิ่น เป็นต้น (หน้า 97-99) |
|
Map/Illustration |
ตาราง
1.ตารางแสดงจำนวนประชากรชาวเขาเผ่าต่างๆในประเทศไทย(หน้า 7)
2.ตารางแสดงจำนวนหมู่บ้าน หลังคาเรือน และประชากร ชาวเขา ((หน้า 7)
3.ตารางการปลูกพืชเศรษฐกิจ ของแม้ว (หน้า 28)
4.ตารางแสดงตัวเลขเกี่ยวกับชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงในประเทศไทย(หน้า 31)
5.ตารางแสดงการเพิ่มจำนวนของประชากรชาวเขาเผ่ามูเซอในประเทศไทย (หน้า 38)
6.ตารางการกระจายจำนวนประชากรชาวเขาเผ่ามูเซอ ในจังหวัดต่างๆของประเทศ (หน้า 39)
7.ตารางอัตราการเกิดการตายของประชากรชาวเขา (หน้า 65)
8.ตารางการได้รับบริการสาธารณสุขของชาวเขาเปรียบเทียบกับพื้นราบ (หน้า 66)
9.ตารางอัตราส่วนร้อยละของประชากรชาวเขาอายุ 5 ปีขึ้นไป จำแนกตามการศึกษาที่สำเร็จเป็นรายเผ่า (หน้า 67)
10.ตารางร้อยละของประชากรชาวเขาอายุ 5 ปีขึ้นไป จำแนกตามความสามรถในการใช้ภาษาไทยเป็นรายเผ่า (หน้า 68)
11.ตารางพื้นที่ และปริมาณผลผลิตฝิ่น ปี พ.ศ. 2522-2534 ( หน้า 70 )
แผนภูมิ
1.แผนภูมิแสดงความสัมพันธ์ของภาษาตระกูลธิเบต-พม่า ซึ่งซ้อนอยู่ในตระกูลภาษาจีน-ธิเบต (หน้า 34)
2.แผนภูมิแสดงความสัมพันธ์ของภาษาในตระกูลจีน-ธิเบต สายสกุลต่างๆ (หน้า 35) |
|
|