|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
เวียดนาม, โบอี, ไส, ลาว,ลื้อ ,นุง, สานชาย,ไต, ไท |
Author |
บุญยงค์ เกศเทศ |
Title |
สืบสานวัฒนธรรม ชาติพันธุ์-ไท สายใยจิตวิญญาณ ลุ่มน้ำดำ-แดง |
Document Type |
หนังสือ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ไทใหญ่ ไต คนไต, ไทลื้อ ลื้อ ไตลื้อ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน) |
Total Pages |
144 หน้า |
Year |
2546 |
Source |
บุญยงค์ เกศเทศ. สืบสานวัฒนธรรม ชาติพันธุ์-ไท สายใยจิตวิญญาณ ลุ่มน้ำดำ-แดง, หลักพิมพ์,กรุงเทพฯ,144 หน้า |
Abstract |
หนังสือเล่มนี้ได้นำเสนอเรื่องราวของกลุ่มชาติพันธุ์ไท-ไต ทางด้านภาษา วิถีชีวิตความเป็นอยู่ ความเชื่อ ประเพณีพิธีกรรมและศาสนาของกลุ่มชาติพันธุ์ไท-ไต จากประสบการณ์การทำงานร่วมกับกลุ่มชาติพันธุ์ไต-ไทดังกล่าวโดยตรง และหนังสือเล่มนี้ยังเป็นประโยชน์อย่างมากแก่ผู้ที่มีความสนใจเรื่องราว วิถีการดำรงชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ อีกทั้งยังสามารถนำความรู้จากการศึกษามาประยุกต์ใช้ในการศึกษาต่อยอดกลุ่มชาติพันธุ์ดังกล่าวได้เป็นอย่างดี |
|
Focus |
ศึกษาในเชิงสืบค้นเรื่องราวของกลุ่มชาติพันธุ์ไท-ไต ทางด้านภาษา วิถีชีวิตความเป็นอยู่ ความเชื่อ ประเพณีพิธีกรรมและศาสนาของกลุ่มชาติพันธุ์ไท-ไต จากประสบการณ์ตรงที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับชุมชนไทเหล่านั้น (คำนิยม) |
|
Theoretical Issues |
ผู้เขียนใช้ประสบการณ์จากที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับกลุ่มชาติพันธุ์ไท-ไต กลุ่มต่างๆ และถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ประเพณีพิธีกรรมและศาสนา ความเชื่อ รวมถึงภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์ไท-ไต |
|
Ethnic Group in the Focus |
กลุ่มชาติพันธุ์ในอาณาเขตปกครองของประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม 8 กลุ่มใหญ่ที่ใช้ภาษาตระกูลไต-ไท ได้แก่ โบอี ไส ลาว ลื้อ นุง สานชาย ไต และไท |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาที่ใช้ในการสื่อสาร คือ ภาษาตระกูลไท-ไต ในการสื่อสารระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
กลุ่มชาติพันธุ์ไท จากการศึกษาหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของกลุ่มชาติพันธุ์ไทขาว ไทดำ และไทแดงในเวียดนาม พบว่า กลุ่มไททั้ง 3 กลุ่มนั้นอพยพมาจากทางตอนใต้ของจีน แล้วมาตั้งชุมชนอยู่ในแคว้นสิบสองจุไท
ต่อมาได้รวมตัวกันรบกับกองทัพกษัตริย์เวียดนามภายใต้อำนาจของจีน โดยการรบในครั้งนั้นกลุ่มไทเป็นฝ่ายแพ้สงคราม ต่อมาไทขาวได้ยึดครองเมืองไลโจวไว้ได้ เนื่องจากมีความสามารถด้านการสู้รบ และมีลักษณะเป็นผู้นำ และในที่สุดกลุ่มไทขาวได้ตั้งถิ่นฐานกระจายในหลายเมืองทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนาม ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากลุ่มไทขาวได้อพยพออกจากประเทศจีนก่อนกลุ่มอื่น คือต้นศตวรรษที่ 2 และสามารถขยายอาณาเขตที่ตั้งอย่างกว้างขวาง นอกจากนี้ในจดหมายเหตุและพงศาวดารจีนยังพบข้อสังเกตเกี่ยวกับกลุ่มชาติพันธุ์ไท-ไต ในบริเวณตอนใต้ของจีนในอดีตน่าจะเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ของคนไทมาก่อนและสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน โดยอาจจะมีชื่อเรียกแตกต่างกันไป (หน้า 106-107) |
|
Settlement Pattern |
การตั้งบ้านเรือนของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆที่ได้ศึกษาในอาณาเขตปกครองของประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามสามารถสรุปได้ดังนี้
-ชาวโบอี มีหลักการตั้งบ้านเรือนที่อยู่อาศัยที่เอื้อต่อการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์
-ชาวไส ไทไส หยัง หรือเกียง นิยมสร้างบ้านชั้นเดียวโดยใช้ไม้เนื้อแข็งหรือไม้ไผ่ตั้งเป็นเสา จากนั้นใช้ไม้ไผ่ทุบตั้งเป็นฝาทั้งสี่ด้าน และใช้ดินเหนียวผสมแกลบทาบนพื้นไม่ไผ่ทุบเพื่ออุดรอยรู และภายในบ้านมีการจัดแบ่งสัดส่วนไว้อย่างชัดเจน
-ชาวลาว นิยมปลูกบ้านที่มีใต้ถุนสูง เพื่อใช้เป็นที่สำหรับเลี้ยงสัตว์
-ชาวนุง อาศัยอยู่ตามพื้นที่ราบลุ่มเชิงเขาทั้งนี้เพื่อความสะดวกในการทำการเกษตร ชาวไทนุงนั้นจะสร้างบ้านเรือนแตกต่างกันไปตามสภาพพื้นที่ เช่นหากอยู่ในที่ลุ่มจะปลูกบ้านใต้ถุนสูง หรือปลูกบ้านในที่ราบก็ไม่ต้องมีใต้ถุน(หน้า 141)โดยบริเวณด้านหน้าจะเป็นทุ่งนา หลังหมู่บ้านจะเป็นไร่ ทางทิศเหนือของหมู่บ้านจะสร้างศาลให้ผีบรรพชนอยู่อาศัย เป็นต้น
-ชาวไต มักเลือกที่ตั้งอยู่ตีนเขาใกล้ทุ่งนา และแหล่งน้ำ ผู้คนที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกันจะคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
-ชาวไท นิยมปลูกบ้านใต้ถุนสูงเช่นกันกับกลุ่มชาติพันธุ์ไทกลุ่มอื่นๆ ใช้ใต้ถุนบ้านเป็นที่เลี้ยวสัตว์และเก็บเครื่องมือเครื่องใช้ในการเกษตร เรือนไทดำจะมุงหลังคาด้วยหญ้าคา ดินขอ ดินเผา สังกะสีหรือกระเบื้อง และนิยมทำบันไดขึ้นบ้านสองทาง กั้นฝาบ้านด้วยไม้ไผ่สาน ส่วนชาวไทขาวนิยมสร้างบ้านเรือนอยู่บริเวณพื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำ |
|
Economy |
กลุ่มชาติพันธุ์ไท-ไต นิยมประกอบอาชีพเกษตรกรรมโดยการทำนาและทำไร่เป็นหลัก อีกทั้งยังเลี้ยงสัตว์ทั้งที่เลี้ยงไว้เพื่อใช้งานและใช้ในการบริโภคต่างๆ รวมถึงบางกลุ่มมีการนำผลผลิตที่ได้ไปขายเพื่อเป็นการสร้างรายได้ให้กับครอบครัว สามารถอธิบายได้ดังนี้
-ชาวโบอี นิยมปลูกพืชไร่และข้าวไร่เป็นสำคัญ โดยจะทำเป็นขั้นบันไดตามไหล่เขา และยังมีการเลี้ยงสัตว์เศรษฐกิจ ส่วนในช่วงที่ว่างเว้นจากการเก็บเกี่ยวผลผลิตหญิงสาวชาวโบอีจะทอผ้าไว้ใช้เอง(หน้า 18-19)
-ชาวไส หรือหยัง นิยมปลูกข้าวดำนาเป็นหลัก มีการเพาะปลูกพืชไร่ เช่น ข้าวโพด มัน และพืชผักต่างๆ นิยมเลี้ยงสัตว์เศรษฐกิจ นอกจากนี้ชาวไสยังนิยมปลูกกระท่อมไว้เพื่อเลี้ยงสัตว์และไร่นาอีกด้วย(หน้า 20-22)
-ชาวลาว ดำรงชีวิตด้วยอาชีพเกษตรกรรม โดยทำนาข้าวเป็นอาชีพหลัก ซึ่งมีการพัฒนาโดยระบบชลประทานและมีการพัฒนาเครื่องมือเครื่องใช้ในการผลิตอย่างเด่นชัด ชาวลาวนิยมเลี้ยงสัตว์ไว้ใต้ถุนบ้าน และหญิงสาวชาวลาวเป็นบุคคลที่มีฝีมือในการทอผ้า ตีเหล็ก ช่างไม้ อีกทั้งยังมีการทำดินเผาที่มีคุณภาพอีกด้วย(หน้า 23 )
-ชาวลื้อ ทำนาเป็นอาชีพหลัก โดยจะมีการขุดคลองรอบๆแปลงนาเพื่อป้องกันสัตว์เลียงเข้ามาทำลายพืชผลที่เพาะปลูกไว้ อีกทั้งยังมีการถมคันดินให้สูงขึ้นเพื่อเป็นการกักเก็บน้ำในทุ่งนา นอกจากนี้ยังทำพืชไร่ เช่น ข้าวโพดซึ่งมีความสำคัญรองจากข้าว ปลูกมันและถั่วลิสง และบริเวณรอบๆบ้านก็นิยมปลูกไม้ผล และผักสวนครัว ส่วนหน้าที่หลักของผู้ชายชาวลื้อ คือ ล่าสัตว์ อีกทั้งชาวลื้อยังนิยมบริโภคปลา และมีกลวิธีในการถนอมอาหารประเภทปลาเพื่อนำมาบริโภคในช่วงที่หาปลาได้ยากอีกด้วย(หน้า 25)
-ชาวนุง ปลูกข้าวและพืชไร่เป็นหลักโดยมีแนวนิยมในการทำนาแบบขั้นบันได ได้แก่มัน ข้าวโพด และฝ้าย ชาวนุงนิยมเลี้ยงไก่ หมู และเป็ดไว้บริโภคและประกอบพิธีกรรมการบูชา นอกจากนี้ยังมีการประดิษฐ์เครื่องมือเครื่องใช้ในครัวเรือนไว้ใช้เองอีกด้วย(หน้า 27)
-ชาวสานชาย ทำนาเป็นหลัก เป็นกลุ่มที่ผลิตผลผลิตเพื่อขายเป็นส่วนใหญ่ ชาวสานชายยังเพาะเลี้ยงสัตว์ประเภทวัว ควาย เพื่อใช้ในการเกษตร ส่วนหมู ไก่ เป็ด เลี้ยงเพื่อใช้ในการประกอบพิธีกรรมและขายในชุมชน(หน้า 29-30)
-ชาวไต เป็นกลุ่มชนที่ถือได้ว่ามีประสบการณ์ในด้านการเกษตรอย่างมาก ทั้งการทำไร่ทำนา และระบบชลประทาน นอกจากพืชไร่แล้วยังมีการปลูกพันธุ์ไม้กินผลอีกด้วย ชาวไตนิยมเลี้ยงสัตว์ไว้ใช้งาน ประกอบพิธีกรรมและบริโภค โดยจะนิยมเลี้ยงสัตว์ไว้ใต้ถุนบ้าน เพื่อสามารถเก็บมูลสัตว์ไปทำปุ๋ยใช้ทางการเกษตรต่อไป นอกจากนี้ชาวไตยังมีการผลิตข้าวของเครื่องใช้ในชุมชน เช่น การทอผ้า ทำอิฐ กระเบื้อง ปูนขาว น้ำตาล (หน้า 31-32)
-ชาวไท นิยมปลูกข้าวดำนา มีการทำเหมือง ฝาย ซึ่งเป็นการแสดงถึงความเชี่ยวชาญรวมถึงประสบการณ์ด้านการทำไร่ทำสวนโดยจะนิยมปลูกไม้ผล พืชผักชนิดต่างๆ และสมุนไพร มีการเลี้ยงสัตว์เพื่อใช้งาน บริโภคและประกอบพิธีกรรมต่างๆ และยังมีการเลี้ยงหม่อนเพื่อใช้ทอผ้าอีกด้วยนอกจากนี้ชาวไทยังสามารถประดิษฐ์เครื่องมือเครื่องใช้ในครัวเรือนอีกด้วย และยังมีการถ่ายทอดวัฒนธรรมโดยการปลูกฝังจิตสำนึกให้เด็กตั้งแต่อายุ 10 ปี ต้องทอผ้าใส่เอง เป็นต้น ส่วนไทดำนั้นจะปลูกทั้งข้าวเจ้าและข้าวเหนียว ชาวไทดำนิยมดื่มเหล้าที่ทำจากกล้วยหอม(หน้า 38) |
|
Social Organization |
โบอี ยึดถือธรรมเนียมผัวเดียวเมียเดียว แต่ถ้าแต่งงานนานแล้วและยังไม่มีบุตร สามีสามารถมีภรรยาเพิ่มได้ โดยภรรยาหลวงเป็นผู้หาให้ ส่วนพิธีการแต่งงานของชาวโบอีนั้นถือเป็นการสิ้นเปลืองและมีจารีตที่ซับซ้อนมาก นิยมอยู่แบบครอบครัวขยาย ถือสามีเป็นใหญ่ นอกจากนี้หากคนในครอบครัวอายุครบ 40 ปีก็จะมีการจัดงานเนื่องในวันคล้ายวันเกิด(หน้า 19)
-ไส หรือหยัง ยึดจารีตผัวเดียวเมียเดียว สามีเป็นใหญ่ เป็นครอบครัวเดี่ยว โดยให้ลูกชายเป็นผู้สืบทอดมรดกโดยหลังจากที่แต่งงานฝ่ายหญิงจะต้องไปอยู่ที่บ้านของฝ่ายชาย ซึ่งมีการเปลี่ยนรูปแบบไปจากเดินคือ ในอดีตฝ่ายชายจะต้องจะต้องมอบค่าเลี้ยงดูให้กับครอบครัวของฝ่ายหญิง โดยให้เจ้าบ่าวมารับใช้ที่บ้านของเจ้าสาว แต่ปัจจุบันเปลี่ยนมาใช้เงินสดที่มีมูลค่าเทียบเท่ากับค่าเลี้ยงดูฝ่ายหญิงในช่วงที่ต้องฝากเขย พร้อมกับค่าซื้อโลงศพ และยังมีธรรมเนียมการไปเยี่ยมศพในวัน 3 ค่ำ เดือน 3 เพื่อไปรบกวนวิญญาณของบรรพชน (หน้า 23-24)
-ไท-ลาว ยึดหลักผัวเดียวเมียเดียว สามีเป็นใหญ่ โดยจะมีประเพณีฝากเขย 2-3 ปี เมื่อแยกไปอยู่ต่างหาก พ่อแม่ฝ่ายเจ้าสาวจะมอบสิ่งของจำเป็นให้ด้วย เพื่อนำไปสร้างครอบครัวใหม่ และชาวลาวจะบูชาบรรพบุรุษเจ้ามอน และมีบทบาทสำคัญในอย่างมากต่อการดำรงชีวิตของชาวลาว(หน้า 23-24)
-ชาวลื้อจะยึดหลักผัวเดียวเมียเดียวอย่างถาวร โดยการแต่งงานจะจัดขึ้นในช่วงหลังฤดูการผลิต ส่วนการฝากเขยจะใช้เวลาประมาณ 3-4 ปี หลังมีบุตรแล้วจึงจะแยกครอบครัวได้ แต่หากไม่มีบุตรเวลาฝากเขยจะยืดออกไป ชาวลื้อเชื่อเรื่องวิญญาณจะอยู่ในส่วนต่างๆของร่างกายเรา(หน้า 25-26) นอกจากนี้ชาวลื้อยังนิยมสักลายตามธรรมเนียมบรรพชนของตน โดยมีข้อห้ามคือหามแขกที่มาบ้านเข้าไปในบริเวณห้องนอนของเจ้าของบ้าน(หน้า 124)
-นุง สามีเป็นเจ้าของบ้าน ลูกชายเป็นผู้สืบทอดมรดกของพ่อแม่และเป็นผู้ที่รับผิดชอบในการบูชาเรื่องงานไหว้ผี ชาวนุงบูชาบรรพบุรุษเป็นหลัก รวมถึงการบูชาขงจื้อ และเจ้าแม่กวนอิม และเชื่อเรื่องผีดีผีร้าย เป็นต้น (หน้า 28-29)
-สานชาย หมอผีถือได้ว่าเป็นบุคคลที่มีความสำคัญอย่างมาก ส่วนธรรมเนียมการแต่งงานนั้นป้าจีบ หรือ ป้าแม่ จะเป็นผู้ต้อนรับเจ้าสาวและมีบทบาทในงานแต่งไม่ต่างกับหมอผีมากนัก ซึ่งชาวสานชายจะถือหลักผัวเดียวเมียเดียว สามีเป็นใหญ่ มีการบูชาเซ่นสรวงบรรพบุรุษ และมีสถานที่สำหรับบูชาซึ่งถือเป็นบริเวณที่ศักดิ์สิทธิ์(หน้า 30-31)
-ไต ยึดหลักผัวเดียวเมียเดียวอย่างเคร่งครัด ครอบครัวที่แต่งงานใหม่จะอยู่บ้านของฝ่ายชาย ฝ่ายชายเป็นฝ่ายไปสู่ขอและรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในงานแต่งงานทั้งหมด สามีเป็นใหญ่และมีอำนาจสูงสุด ชาวไทบูชาบรรพบุรุษโดยในหมู่บ้านจะสร้างศาลผีบรรพชนเพื่อให้ทุกคนบูชาเซ่นสรวง และในชุมชนชาวไตจะมีผี 2 ประเภท คือผีดีและผีร้าย(หน้า 32-37)
-ไท ชาวไทนับถือและศรัทธาผีแถนหลวง ผีเฮือน ผีด้ำ ซึ่งถือว่าเป็นผีดี และช่วยป้องกันผีร้าย ส่วนสถานภาพทางครอบครัวนั้นพ่อมีอำนาจชี้ขาด มีการสืบทอดวงศ์ตระกูล มีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน สำหรับการแต่งงานนั้นหลังจากแต่งงานแล้วจะต้องไปอยู่บ้านเจ้าสาว หลังจากที่มีผู้สืบสกุลแล้วสามารถย้ายไปอยู่บ้านเจ้าบ่าวได้(หน้า 38-39) |
|
Belief System |
-ชาวโบอี ยึดธรรมเนียมผัวเดียวเมียเดียวหากไม่มีบุตรภรรยาหลวงจะเป็นผู้หาเด็กสาวให้กบสามีเอง ถือสามีเป็นใหญ่ และยังเชื่อว่าคนมีดวงวิญญาณ 36 ดวงและกระจายอยู่ในโลกนี้ไม่มีที่สิ้นสุด (หน้า 18-19)
-ชาวไส คติความเชื่อของชาวไสนั้นเชื่อว่า โลกมี 3 ชั้น และมีความเชื่อเกี่ยวกับพิธีกรรมการจัดงานศพยึดถือจารีตผัวเดียวเมียเดียวเช่นเดียวกับชาวโบอี ผู้เป็นสามีจะเป็นหัวหน้าครอบครัว มีการสืบทอดมรดกของพ่อแม่โดยให้ลูกชายเป็นผู้สืบทอด (หน้า 20-22)
-ชนเผ่าไท-ลาว จะมีพิธีบูชาบรรพบุรุษเจ้ามอน ซึ่งเป็นหมอผีที่รักษาโรคด้วยการใช้มนต์คาถา อีกทั้งยังเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการดำรงชีวิตของชาวบ้าน (หน้า 22-24)
-ไทลื้อ นับถือศาสนาพุทธประกอบกับพิธีกรรมบางอย่าง มีความเชื่อที่ผูกพันกับผี พระ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทั้งที่มีอยู่ตามธรรมชาติและเหนือธรรมชาติ ซึ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นความเชื่อที่นำมาซึ่งความสมดุลระหว่างผี วัดและวิถีชุมชน โดยจะเน้นที่ความเรียบง่าย พึ่งพาธรรมชาติและสิ่งเหนือธรรมชาติอย่างลงตัว(หน้า 24-26) นอกจากนี้ชาวลื้อยังสร้างเสื้อบ้านไว้กลางหมู่บ้านเพื่อให้ผีบ้านอยู่อาศัยและคุ้มครองสมาชิกในหมู่บ้าน และชาวลื้อยังนับถือผีปู่ตา หรือเรียกว่าผีย่ายาย โดยจะมีพิธีบูชาเซ่นสรวงทุกปี (หน้า 120)
-ชาวนุง ชาวนุงจะบูชาบรรพบุรุษเป็นหลัก นอกจากนี้ยังบูชาขงจื้อ พระแม่กวนอิม โดยให้สามีเป็นเจ้าของบ้าน ลูกชายเป็นผู้สืบทอดมรดกและเป็นคนรับผิดชอบในการบูชา ดูแลเรื่องการไหว้ผี พิธีกรรมในการบูชาต่างๆ (หน้า 26-29)
-ชาวสานชาย คติความเชื่อของชาวสานชายนั้นจะบูชาบรรพบุรุษ และสิ่งศักดิ์สิทธ์ ส่วนพิธีการแต่งงานของชาวสานชายนั้นในแต่ละขั้นตอนหมอผีจะมีบทบาทสำคัญมากในการประกอบพิธีกรรม ยึดถือธรรมเนียมผัวเดียวเมียเดียว เน้นสามีเป็นใหญ่ (หน้า 29-31)
-ชาวไท คติความเชื่อของชาวไทนั้นเชื่อและศรัทธาผีแถนหลวง ผีเฮือน ผีด้ำ ซึ่งผีเหล่านี้จะคอยดูแลช่วยเหลือคนในสังคมซึ่งถือเป็นผีดี และช่วยป้องกันผีร้ายที่จะเข้ามาทำลายสมาชิกในชุมชน สำหรับพิธีการแต่งงานนั้นหลังจากแต่งงานแล้วเจ้าบ่าวจะต้องไปอยู่ที่บ้านของเจ้าสาว แต่หลังจากที่ให้กำเนิดผู้สืบสกุลจึงพากันกลับไปอยู่ที่บ้านเจ้าบ่าว โดยจะกำหนดช่วงเวลาที่ฝากเขยประมาณ 1-3 ปี (หน้า 37-39) |
|
Education and Socialization |
-ชาวไสมีตัวอักษรเป็นของตนเอง โดยอาศัยพื้นฐานตัวอักษรของชาวจีน แต่ในปัจจุบันนั้นมีเพียงผู้ที่ต้องการเป็นหมอผีเท่านั้นที่เรียน ทำให้ภาษาเขียนนั้นไม่มีการเผยแพร่อย่างกว้างขวาง ส่วนภาษาพูดนั้นยังคงใช้ภาษาต้นตระกูลไทอยู่ (หน้า 20-22)
-ชาวลาวกับชาวไทนั้นไม่จำเป็นต้องมีภาษากลางในการติดต่อสื่อสาร เนื่องจากมีการผสมผสานระหว่างชนเผ่าไทและลาวที่อยู่ในเขตตะวันออกเฉียงเหนือของเวียดนามนั่นเอง ส่วนการศึกษานั้นทั้งชายและหญิงจะได้รับการศึกษาที่เท่าเทียมกัน อีกทั้งยังพบว่ามีความหลากหลายโดยจะมีหมอลำที่เป็นผู้ที่มีความรู้ทางด้านการศึกษาและวรรณกรรมต่างๆ นอกจากนี้ชาวลาวยังมีการเก็บรักษาตัวอักษรโดยเขียนไว้บนใบลานอีกด้วย(หน้า 23-24)
-ชาวนุง มีอักษรเป็นของตนเอง ชื่อว่า โนมนุง โดยจะพบจากวรรณกรรมหลายเรื่องที่บันทึกโดยอักษรโนมนุง (หน้า 27)
-ชาวสานชายใช้ตัวอักษรเวียดนามโบราณในการบันทึกพิธีกรรมต่างๆ และผู้ที่ต้องการเป็นหมอผีจะต้องเรียนภาษาเวียดนามและเขียนอักษรเวียดนาม(หน้า 30)
-ชาวไต ใช้ตัวอักษร NOM TAY ในการบันทึกวรรณคดีหลายเรื่อง รวมถึงประวัติศาสตร์ด้วยเช่นกัน(หน้า 32)
-ชาวไท มีอักษรเป็นของตนเองตั้งแต่โบราณ เรียกว่า อักษรหางหนู (หน้า 38-39) |
|
Health and Medicine |
-ชนเผ่าไท-ลาว จะมีพิธีบูชาบรรพบุรุษเจ้ามอน ซึ่งเป็นหมอผีที่รักษาโรคด้วยการใช้มนต์คาถา อีกทั้งยังเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการดำรงชีวิตของชาวบ้าน(หน้า 24) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
-ชาวโบอี มีเครื่องดนตรีประเภท แคน พิณ กลอง ไว้ใช้สำหรับงานรื่นเริงและงานเกี่ยวกับพิธีกรรมต่างๆ (หน้า 18-19)
-ชาวไส มีนิทาน กลอนร้อง มีการแต่งบทกลอนเพื่อใช้ในการประกอบกิจกรรมต่างๆในสังคม เช่นการร้องเพลงในการเก็บเกี่ยวข้าว,การเกี้ยวพาราสีสำหรับหนุ่มสาว เป็นต้นนอกจากนี้หญิงสาวยังเคร่งครัดเรื่องการแต่งกายอย่างมากเนื่องจากเป็นการแสดงถึงเอกลักษณ์เฉพาะกลุ่ม(หน้า 20-22)
-ลาว มีการร้องหมอลำ ส่วนหญิงสาวลาวร้องเพลงและฟ้อนลำเก่ง ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ของชาวลาว(หน้า 22-24)
-ชาวลื้อ มีศิลปกรรมพื้นบ้านที่มีความหลากหลาย นิยมฟ้อน ร้องเพลงในงานเทศกาลและพิธีกรรมต่างๆ เครื่องดนตรี ได้แก่ ซอ ขลุ่ย และกลอง ชาวลื้อจะนิยมทอผ้าในช่วงที่ว่างเว้นจากการทำงาน โดยจะทอไว้ใช้เอง(หน้า 25-26)
-ชาวนุง ศิลปกรรมของชาวนุงได้แก่ การขับร้องโต้ตอบกันระหว่างหนุ่มสาว การขับร้องในงานสมรส และแถน ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างการร้องเพลงประกอบดนตรี การตกแต่งเวที และการแสดงออก ส่วนเครื่องดนตรี ได้แก่ กลองและเครื่องเคาะต่างๆ นอกจากนี้ยังมีการรำสิงโตเพื่อใช้แสดงในงานเทศกาลต่างๆ(หน้า 27-29)
-สานชาย จะมีวรรณกรรมที่แสดงให้เห็นถึงวิถีการดำรงชีวิต การคบค้าสมาคมระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์(หน้า 30)
-ชาวไต ด้านวรรณกรรมมีบทกลอนพื้นบ้านสำหรับใช้ร้องในงานเทศกาล มีเครื่องดนตรี ได้แก่ ชันติง ชุดเขย่า กลอง ฆ้อง เป็นต้น(หน้า 32) |
|
Folklore |
-ชาวโบอี มีการผสมผสานกับชนเผ่าต่างๆที่อยู่ใกล้เคียง(หน้า 18-19)
-ชาวไท ประวัติเมืองแถงที่ถือได้ว่าเป็นเมืองที่มีประวัติความเป็นมาตั้งแต่ในสมัยโบราณกาล โดยได้มีการกล่าวถึงตำนานบ้านเมืองแถงกับตำนานเมืองนาน้อย อ้อยหนู ซึ่งจารึกด้วยอักษรไทดำลงในสาสน์ปั๊บสา จารึกด้วยอักษรหนูมีความยาว 90 หน้าปั๊บสา (หน้า 38-39) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ไท-ไต จากการศึกษาพบว่า ในแต่ละกลุ่มชนล้วนมีความแตกต่างกันไป แม้ว่าจะมีแนวทางปฏิบัติบางอย่างที่คล้ายกันแต่ก็ไม่สามารถตัดสินได้เสียทีเดียวว่าเป็นกลุ่มใด โดยในเบื้องต้นนั้นอัตลักษณ์ของแต่ละกลุ่มนั้นสามารถสังเกตได้จาก การแต่งกาย ภาษา ประเพณี พิธีกรรม ความเชื่อถือศรัทธาของแต่ละกลุ่ม ระเบียบข้อบังคับ ข้อห้าม รวมถึงประวัติความเป็นมาของแต่ละกลุ่มว่าเป็นเช่นไร เพื่อให้สามารถสรุปว่ากลุ่มชนดังกล่าวเป็นใคร |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Map/Illustration |
1. รูปแผนที่ทวีปเอเชียในส่วนที่มีการตั้งถิ่นฐานของกลุ่มชาติพันธุ์ไท (หน้า 10-11)
2. รูปภาพที่ 2 กรใช้ควายไถนาไร่ ยังเป็นที่นิยมกันโดยทั่วไป (หน้า 34)
3. รูปภาพที่ 7 และ 11 แสดงการซื้อขายแลกเปลี่ยนผลผลิตก็กระทำกัน ไม่ว่าจะเป็นกรุ่มชาติพันธุ์ไท-ไต หรือ ม้ง-เย้า ตลอดจนชาวเข้ากลุ่มอื่น รวมทั้งชาวเวียดนาม (หน้า 35)
4. รูปภาพที่ 1 บ้านเรือนที่ตั้งเป็นชุมชนของไทดำก็จะอยู่ไม่ห่างไกลพื้นที่ราบลุ่มที่ใช้เพาะปลูกข้าวเป็นหลัก (หน้า53)
5. รูปภาพที่ 4 หญิงสาวชาวไทดำบ้านหนองแฮดในชุดประจำของพื้นบ้าน (หน้า 53)
6. รูปภาพที่ 3 หญิงชาวบ้านนาฮีกำลังนำฟืนไปขายยังตลาดเดียนเบียนฟู (หน้า 54)
7. รูปภาพที่ 7 อุโมงค์หลบภัยที่ชาวไทยดำร่วมรบกับท่านโฮจิมินห์ต่อสู่กับฝรั่งเศสและอเมริกา (หน้า 56)
8. รูปภาพที่ 6 ทุ่งนาของไทไสและชุมชนที่ตั้งภูมิลำเนาถัดออกไปถึงเชิงเข้าและหุบเขา (หน้า 74)
9. รูปภาพที่ 3 หญิงชาวไทไสกระเตงลูกน้อยไว้เบื้องหลังยามเดินทางไปทำธุรกิจ (หน้า 76)
10. รูปภาพที่ 1 สะพานที่เชื่อมสองฟากฝั่งแม่น้ำจากด้านหนึ่งซึ่งเป็นถนนไปสู่ตัวเมืองและอีกด้านหนึ่งมีขุนเข้าโอบอุ้มวิถีชีวิตของชาวไทขาว
(หน้า 85)
11. รูปที่ 5,6 และ 9 สภาพบ้านเรือนของชาวไทขาวที่กระจายกันอยู่เป็นหย่อมๆตามแนวเทือกเขา ลักษณะบ้านเรือนและบริเวณโดยรอบที่ชาวไทขาวใช้เป็นบริบทในการดำรงชีวิต (หน้า 87)
12. รูปภาพที่ 8พื้นเรือนครัว ยังคงทำเป็นคอกเพื่อตั้งก้อนเสาสำหรับวางภาชนะหุงต้ม และเบื้องบนก็มีแผงไม้ไผ่สำหรับวางปลาและสิ่งของอย่างอื่น เพื่อลมควันไฟจากด้านล่าง (หน้า 87)
13. รูปภาพที่ 2,3 และ 4ในพิธีกรรมวันสงกรานต์ของชาวจ้วง ซึ่งมาร่วมกระทำพิธีและเล่นสงกรานต์กันอย่างสนุกสนาน (หน้า 97)
14. รูปภาพที่ 2 และ 3 ผู้หญิงในชุดแต่งกายประจำถิ่นในเมืองหนานหนิง มณฑลกวางสี (หน้า 98)
15. แผนที่แสดงที่ตั้งชุมชนไทลื้อในสิบสองปันนา (หน้า 108)
16. ลักษณะตลาดและวิถีการจับจ่ายซื้อขายข้าวของ ของคนไทลื้อ ในเขตสิบสองปันนา (หน้า 113)
17. รูปภาพที่ 6 แม่น้ำหันซาง(แม่น้ำโขง)สายน้ำ สายเลือดของชาวไทลื้อ (หน้า 118)
18. รูปภาพที่ 7 ลักษณะตลาดและวิถีการจับจ่ายซื้อขายข้าวของ ของชาวไทลื้อในเขตสิบสองปันนา (หน้า 119)
19. รูปภาพที่ 10 และ 11 ชาวไทลื้อนับถือผีปู่ย่า แต่เรียกว่า ผีย่ายาย ซึ่งเป็นผีบรรพชนของชาวไทลื้อที่ได้ร่วมกันสร้างศาล หรือหอให้อยู่ในบริเวณป่าชุมชน โดยจะมีพิธีกรรมบูชาเซ่นสรวงทุกปี (หน้า 120)
20. รูปภาพที่ 8 การตั้งบ้านเรือนเป็นกลุ่มๆของชาวไทนุงนิยมหันหลังให้ภูเขาและหันหน้าเข้าสู่ที่ราบลุ่ม (หน้า 139)
21. รูปภาพที่ 1,2 และ 4 ลักษณะสภาพศาลหรือหอผีบรรพชนที่ชาวไทนุงจะบูชาเซ่นสรวงทุกปี ด้วยเหล้าพื้นบ้าน ไก่ และหมู (หน้า 140)
22. รูปภาพที่ 3 โลงไม้ที่ชาวไทนุงจะต้องจัดทำเตรียมไว้ก่อนตาย
(หน้า 140) |
|
|