|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ขมุ,วิถีชีวิต,เศรษฐกิจ,การเปลี่ยนแปลง,น่าน |
Author |
พัฒน์รพ ขันธกาญจน์ |
Title |
การเปลี่ยนแปลงการผลิตจากเพื่อบริโภคไปสู่การผลิตเพื่อขาย ที่มีผลกระทบต่อวิถีชีวิตของชาวขมุ : ศึกษาเฉพาะกรณีบ้านภูคำ ตำบลงอบ อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่าน |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
กำมุ ตะมอย,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม) |
Total Pages |
151 |
Year |
2532 |
Source |
สาขาวิชามานุษยวิทยา ภาควิชามานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยศิลปากร |
Abstract |
การศึกษาเรื่องการเปลี่ยนแปลงการผลิตจากเพื่อบริโภคไปสู่การผลิตเพื่อขายของชุมชนขมุบ้านภูคำ ตำบลงอบ อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่าน พบว่า มีปัจจัยที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการผลิต ได้แก่ ปัจจัยภายนอก คือ อิทธิพลของระบบเศรษฐกิจการตลาดภายนอก และความก้าวหน้าทางคมนาคม ส่วนปัจจัยภายใน คือ ความกดดันทางด้านการใช้ประโยชน์ที่ดิน และสภาพนิเวศน์ที่เปลี่ยนแปลงไป ปัจจัยทั้งสองนี้มีส่วนผลักดันให้ขมุบ้านภูคำหาหนทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชน โดยการนำพืชเศรษฐกิจชนิดใหม่เข้ามาปลูกในชุมชน คือ ส้ม เนื่องจากรายได้จากการขายผลผลิตทำให้เกษตรกรสวนส้มมีฐานะทางเศรษฐกิจสูงขึ้น จึงมีแนวโน้มที่คนในชุมชนหันมาปลูกส้มเพิ่มขึ้น ผลการปลูกส้มนั้น ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการผลิตจากเดิมที่ผลิตเพื่อบริโภคไปสู่การผลิตเพื่อขาย ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับชุมชน คือ เกษตรกรจำเป็นต้องผูกพันและขึ้นอยู่กับระบบตลาดมากขึ้น ระบบการใช้แรงงานเริ่มเปลี่ยนแปลงไป จากการแลกเปลี่ยนแรงงานที่เรียกว่า "เอามื้อ " (เอาแรง) เริ่มลดลง เปลี่ยนมาเป็นระบบแรงงานแบบรับจ้าง มีการใช้เทคโนโลยีทางการเกษตรที่ทันสมัย มีการใช้ประโยชน์ที่ดินแบบถาวรควบคู่ไปกับการใช้ประโยชน์ที่ดินแบบหมุนเวียน ส่วนในด้านระบบความเชื่อ ไม่พบความเชื่อที่เกี่ยวเนื่องกับการผลิตอย่างในอดีต เพราะการผลิตที่เปลี่ยนไป นอกจากนั้น การผลิตเพื่อขายยังมีส่วนทำให้ผู้คนในชุมชนมีสัมพันธภาพที่ไม่ดีต่อกัน เนื่องจากไม่ค่อยมีเวลาเข้าร่วมในกิจกรรมชุมชน เกิดความไม่เข้าใจกันในหมู่สมาชิกของชุมชน อันมีแนวโน้มที่จะนำไปสู่ความขัดแย้งทางสังคมได้ในที่สุด (หน้า 143-144) |
|
Focus |
ศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและผลกระทบที่เกิดขึ้นกับวิถีชีวิตของชุมชนอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของชุมชนขมุบ้านภูคำ (บทคัดย่อ) |
|
Theoretical Issues |
ผู้เขียนแสดงให้เห็นว่าระบเศรษฐกิจของขมุบ้านภูคำได้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงด้านการผลิตเพื่อการบริโภคไปสู่ระบบการผลิตเพื่อขาย เช่น การปลูกส้มเพื่อการค้า (หน้า 115) ซึ่งผู้เขียนอธิบายว่า มีปัจจัยทั้งภายในและภายนอกชุมชน ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว คือ (หน้า 115-130) 1. อิทธิพลของตลาดที่เข้าไป เพราะชุมชนไม่สามารถพึ่งตนเองทางเศรษฐกิจได้ทั้งหมด 2. ความก้าวหน้าทางคมนาคมเริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2525 ทำให้ชาวบ้านติดต่อโลกภายนอกได้สะดวกขึ้น 3. ความกดดันทางประชากรซึ่งมีผลต่อการใช้ประโยชน์ที่ดิน 4. สภาพนิเวศที่เปลี่ยนแปลงไปโดยเฉพาะการสูญเสียป่า การปรับตัวดังกล่าวมีผลกระทบต่อส่วนอื่นๆ ของสังคมและวัฒนธรรมชุมชน ดังนี้ 1. ทำให้เกิดกลุ่มใหม่ ๆ ที่มีความสำคัญต่อชุมชน เช่น พ่อค้า เป็นต้น (หน้า 136) 2. ทำให้เกิดความแตกต่างมากขึ้นทางเศรษฐกิจของครัวเรือนต่าง ๆ ในชุมชน (ดูบทคัดย่อประกอบ) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ชุมชนขมุบ้านภูคำ ตำบลงอบ อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่าน (บทคัดย่อ) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาขมุเป็นภาษาในกลุ่มภาษาออสโตรเอเชียติค (Austro-Asiatic) สาขามอญ-เขมร (Mon-Khmer) ในกลุ่มย่อยที่เรียกว่า ขมุอิค (Khmuic) (หน้า 11,15) |
|
Study Period (Data Collection) |
ระหว่างเดือนมกราคม พ.ศ. 2530 - มิถุนายน พ.ศ. 2531 รวมเวลา 1 ปี 6 เดือน (บทคัดย่อ ) |
|
History of the Group and Community |
ขมุ เป็นข่าสาขาใหญ่ที่สุดสาขาหนึ่งที่อาศัยอยู่ในแถบทางเหนือของประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งปัจจุบันรู้จักกันในนาม "ลาวเทิง" หรือ "ผู้เทิง" ขมุ พบมากในจังหวัดหลวงพระบาง เชียงขวาง ไชยะบุรี น้ำทาพงสาลี แถบสองฝั่งแม่น้ำทา แม่น้ำแบ่ง แม่น้ำอู แม่น้ำเสือง แถบ Lai Chau ของเวียดนามตอนเหนือตอนบน และแถบจังหวัด Thanh Hao และในสิบสองปันนาภาคใต้ อาศัยตามเนินเขา หรือที่สูงตามซอกเขาใกล้ลำธาร บางหมู่บ้านอยู่ที่พื้นราบ ขมุ เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่อพยพมาจากดินแดนประเทศลาว และเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในแถบภาคเหนือของประเทศไทยไม่ต่ำกว่า 150 ปีมาแล้ว (หน้า 1) จากการศึกษาขมุในไทย ได้แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ ขมุฮอก ขมุลื้อ และขมุเลาะ ส่วนขมุที่บ้านภูคำ ได้จัดอยู่ในขมุลื้อ การเข้ามาของขมุในเขตเมืองน่าน ชาว "ข่า" หรือ "ขมุ" ถูกเกณฑ์มาใช้แรงงานและเป็นกำลังรบในระหว่างสงครามของอาณาจักรล้านนาไทยในสมัยรัชกาลที่ 2 และจากเอกสารในสมัยรัชกาลที่ 5 ขมุได้เข้ามาเป็นลูกจ้างทำป่าไม้ ซึ่งขมุบางส่วนก็ได้ตั้งหลักแหล่งตามภูเขาแถบชายแดนตอนเหนือของประเทศไทย จนกระทั่งมีการอพยพครั้งใหญ่เมื่อครั้งที่ประเทศสาธาราณรัฐประชาธิปไทยประชาชนลาวเปลี่ยนระบบการปกครองมาเป็นระบบสังคมนิยม (หน้า 12-15) สำหรับการตั้งถิ่นฐานของชุมชนบ้านภูคำ เมื่อระยะเวลากว่า 3 ชั่วคนได้มีชาวเขาเผ่าขมุจำหนวนหนึ่งได้อพยพมาจากบ้านห้วยตองในสาธารณรัฐประชาธิปไทยประชาชนลาว ได้เข้ามาตั้งรกรากที่หมู่บ้านภูคำ นอกจากนี้ยังมีชาวเขาเผ่าขมุจากหลายแห่งอพยพมารวมกันและร่วมกันตั้งหมู่บ้านภูคำขึ้น ในปี พ.ศ. 2525 น้ำป่าได้ท่วมหมู่บ้าน จึงต้องย้ายหมู่บ้านและโรงเรียนมาอยู่ทางทิศตะวันออกของหมู่บ้านเก่า ตรงบริเวณที่ราบที่ห้วยหลุน้อยกับห้วยหลุหลวงไหลมาบรรจบกัน (หน้า 18) |
|
Settlement Pattern |
หมู่บ้านขมุเป็นหมู่บ้านถาวร เนื่องจากขมุทำการเกษตรแบบไร่หมุนเวียน จึงไม่จำเป็นต้องโยกย้ายชุมชนทำกินเหมือนชนเผ่าที่มีรูปแบบการเกษตรแบบไร่เลื่อนลอย (หน้า 19) |
|
Demography |
ขมุในประเทศไทยอาศัยอยู่อย่างหนาแน่นในจังหวัดน่าน ได้แก่อำเภอทุ่งช้างมี 10 หมู่บ้าน อำเภอเชียงกลางมี 7 หมู่บ้าน อำเภอท่าวังผามี 4 หมู่บ้าน และ 1 หมู่บ้านในอำเภอสาและอำเภอเมือง รวม 941 ครัวเรือน ประชากร 5,135 คน นอกนั้นอยู่ประปรายในจังหวัดเชียงราย 8 หมู่บ้าน 277 ครัวเรือน ประชากร 1,691 คน ลำปาง 4 หมู่บ้าน 29 ครัวเรือน ประชากร 140 คน และอุทัยธานี 2 หมู่บ้าน 54 ครัวเรือน ประชากร 318 คน และมีขมุเพียงเล็กน้อยที่กาญจนบุรีและเชียงใหม่ (หน้า 13) ขมุที่บ้านภูคำต่างได้รับสัญชาติไทยเหมือนเช่นคนไทยทั่วไป มีจำนวน 150 คน เป็นชาย 67 คน หญิง 84 คน แยกเป็นเด็กชาย 20 คน เด็กหญิง 26 คน มีจำนวนครอบครัวทั้งสิ้น 37 ครอบครัว (หน้า 21) |
|
Economy |
ขมุทำการเกษตรแบบไร่หมุนเวียน ด้วยการตัดฟันโค่นเผาแล้วเพาะปลูก เป็นการใช้ที่ดินที่แตกต่างไปจากชาวเขากลุ่มอื่นที่ทำการเกษตรแบบไร่เลื่อนลอย การทำการเกษตรแบบไร่หมุนเวียน จะใช้ประโยชน์จากพื้นที่ 1 จนถึง 5 ปี แล้วจะพักให้พื้นที่ฟื้นตัว เพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ดิน ประมาณ 3-10 ปี จากนั้นจึงกลับมาใช้ประโยชน์อีก (หน้า 19) ขมุบ้านภูคำได้อาศัยลำน้ำจากห้วยหลุหลวง และห้วยหลุน้อยเพื่อการเพาะปลูกสืบต่อกันมาตั้งแต่อดีต จนถึงปี พ.ศ.2527 ได้มีการต่อประปาภูเขาใช้น้ำสายตรงโดยไม่มีท่อพักจากแอ่งน้ำ "อ่างคำ" ซึ่งอยู่บริเวณด้วยหลุน้อยที่อยู่ไกลจากหมู่บ้านออกไป 0.5 กิโลเมตร (หน้า 21) พืชหลักในไร่ของขมุบ้านภูคำ คือ ข้าว ปลูกไว้เพื่อบริโภคในครัวเรือน เป็นอาหารหลักของคนในชุมชน มีการปลูกแบบพืชผสม ปลูกข้าวเป็นพืชหลักหรือพืชประธาน และมีพืชรอง ปลูกผสมในพื้นที่เดียวกับพืชหลัก พืชรองได้แก่ พืชอาหารเสริมที่บริโภคในลักษณะผล เมล็ด ลำต้นและหัวพืชผักสวนครัว พืชทำเครื่องใช้ เช่น น้ำเต้า และยาสูบ แต่ส่วนใหญ่จะเน้นหนักไปที่ข้าวไร่ บางครอบครัวปลูกพืชเศรษฐกิจ เช่น ข้าวโพด ฝ้าย และส้ม (หน้า 70-71) การเพาะปลูกจะทำบริเวณไหล่เขา ไม่มีระบบชลประทาน ความสมบูรณ์ของผลผลิตจึงขึ้นอยู่กับธรรมชาติ การปลูกพืชที่ใช้เมล็ด ได้แก่ ข้าว ข้าวโพด ฝ้าย ใช้การหยอดลงหลุมแล้วกลบ (หน้า 75,82) แรงงานที่สำคัญสำหรับการเกษตรจะเป็นแรงงานจากกลุ่มเครือญาติ เนื่องจากครอบครัวขมุเป็นครอบครัวเดี่ยวมีแรงงานไม่เพียงพอ (หน้า 38) ขมุบ้านภูคำ มีอาชีพรองคือ การหาของป่า ได้แก่ การหาต๋าวหรือลูกชิด ขายโดยมีพ่อค้ามารับซื้อ และนำลงไปขายยังตลาดพื้นราบด้วยตนเอง รายได้จากการขายต๋าว ประมาณครัวเรือนละ 1,000-3,000 บาท การเก็บก๋งหรือดอกไม้กวาด โดยเก็บเอาช่อดอกมาตากแดดเพื่อให้ดอกร่วงเหลือแต่ก้านติดช่อนำมามัดเป็นกำเพื่อชั่งกิโลขาย การหาหวาย ซึ่งสามารถนำมาใช้ประกอบอาหารบริโภคในครัวเรือน หากมีปริมาณมากจะนำลงไปขายยังพื้นราบ และการหาน้ำผึ้งที่หาในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน นอกจากนี้ยังมีการเลี้ยงสัตว์ ได้แก่ ไก่ เป็ด สุกร โค กระบือ และม้า ใช้เป็นแรงงานในการบรรทุกของ อาชีพค้าขายและอาชีพรับจ้างแรงงาน (หน้า 105-110) |
|
Social Organization |
ครอบครัวขมุเป็นครอบครัวเดี่ยว หลังจากแต่งงานฝ่ายชายจะไปอยู่กับครอบครัวฝ่ายหญิงประมาณ 1-2 ปี เพื่อเป็นแรงงานให้กับฝ่ายหญิง หรือจนกว่าบ้านใหม่ของคู่สมรสจะเสร็จ ลักษณะการเลือกที่อยู่อาศัยภายหลังการแต่งงานของขมุบ้านภูคำ จึงเป็นการตั้งถิ่นฐานแบบมาตาลัย (Matrilocal Residence or Uxorical Residence) ในครอบครัวขมุบ้านภูคำ พ่อ (สามี) เป็นผู้ที่มีอำนาจในการตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ทั้งที่เกี่ยวข้องกับการประกอบอาชีพ และเรื่องทั่วไปในชีวิตประจำวัน ภรรยาไม่มีบทบาทในการตัดสินใจเท่ากับสามีของตน บทบาทของภรรยาในเรื่องอำนาจจำกัดเฉพาะกิจการที่เกี่ยวข้องกับครัวเรือนโดยตรง ขมุไม่นิยมมีบุตรมาก ต้องการมีบุตรเพียง 1-3 คน เพราะกลัวจะเลี้ยงไม่ไหว เพราะความยากจน (หน้า 24) เมื่อเกิดการหย่าร้าง ในอดีตไม่มีการจดทะเบียนสมรส ฝ่ายชายจะกลับไปบ้านเดิมของตน ส่วนเรือนนั้นยกให้ฝ่ายหญิง ปัจจุบันมีการจดทะเบียนสมรสและจดทะเบียนหย่าร้างที่อำเภอ ขมุไม่ตั้งข้อรังเกียจกับหญิงหม้าย ในการสืบทอดมรดก เมื่อบุตรเติบโตสามารถหาเลี้ยงชีพด้วยตนเอง หรือแต่งงาน บิดามารดาจะแบ่งพื้นที่ทำกินให้กับลูกของตนทุกคน โดยจะแบ่งที่ดินให้กับบุตรชายคนโตมากกว่าบุตรคนอื่นๆ ส่วนบุตรสาวหรือบุตรชายคนสุดท้อง จะได้ที่ทำกินและบ้านอยู่อาศัยและที่ดินของบิดามารดา เพราะต้องทำหน้าที่เลี้ยงดูบิดามารดาในยามแก่เฒ่าจนกว่าจะสิ้นชีพ (หน้า 31) การนับญาติมีทั้งทางสายเลือด การแต่งงาน นับญาติโดยการสมมุติ ทั้งที่เป็นญาติตามกฎหมาย ได้แก่ บุตรบุญธรรม และญาติร่วมน้ำสาบาน ที่เรียกว่า เสี่ยว ซึ่งทำให้ลูก หลาน เหลน มีความสัมพันธ์เช่นเดียวกับญาติ (หน้า 34) |
|
Political Organization |
ในอดีตขมุอยู่ภายใต้การปกครองของเจ้าผู้ครองนครน่าน ปัจจุบัน ขึ้นอยู่กับการปกครองของตำบลงอบ มีผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน และมีคณะกรรมการหมู่บ้านตามรูปแบบการปกครองสมัยใหม่ของไทย แต่ก็ยังคงนำรูปแบบการปกครองแบบดั้งเดิมเข้ามาผสมผสาน คือ มีระบบผู้อาวุโสเข้ามามีส่วนร่วมในการพิจารณาตัดสินคดีความในกรณีเกี่ยวเนื่องกับจารีตประเพณีของชุมชน (หน้า 62) |
|
Belief System |
ขมุให้ความสำคัญกับความเชื่อเรื่องผีและวิญญาน ซึ่งจะแทรกอยู่ในพิธีกรรมทั้งที่เกี่ยวข้องกับผีโดยตรง พิธีเกี่ยวกับชีวิต และพิธีกรรมที่เกี่ยวกับการผลิต เมื่อมีการแต่งงาน ถ้าครอบครัวฝ่ายหญิงนับถือผีบ้าน (ผีบรรพบุรุษ) ฝ่ายชายต้องนับถือผีตามสายตระกูลของฝ่ายหญิง หากฝ่ายชายนับถือผีฝ่ายตนอยู่ก่อนแล้วจะต้องทำพิธีไขว้ผี (ทั้ง 2 ตระกูลเข้าด้วยกัน) โดยหัวหน้าครอบครัวฝ่ายหญิงเป็นผู้ประกอบพิธีไขว้ผีในวันแต่งงานและเลี้ยงผีในวันเดียวกัน ขมุมีข้อห้ามไม่ให้ผู้ที่ถือผีสายตระกูลเดียวกันแต่งงานกัน (หน้า 28, 29) เมื่อเด็กคลอด พ่อจะเป็นผู้นำผิวไม้ไผ่บางคมตัดสายสะดือของลูก นำใส่กระบอกไม้ไผ่ไปมัดไว้กับต้นไม้ใหญ่ในระดับสายตา ถ้ามัดไว้สูงเชื่อว่าจะทำให้ลูกตาเหลือก ถ้ามัดต่ำกว่าระดับสายตาลูกจะมีสายตาต่ำ ระหว่างทางที่เดินไปห้ามเดินเลี้ยวลด และถ้าอยากให้ลูกร่าเริง พ่อก็จะเดินยิ้มและรำไป ถ้าอยากให้ลูกขยัน เมื่อมัดรกเสร็จ ขณะกลับบ้านให้หาฟืนและแบกฟืนกลับบ้าน เมื่อเด็กอายุครบ 7 วันมารดาจะทำพิธีสู่ขวัญให้กับเด็ก โดยมีหมอขวัญเป็นผู้ทำพิธี ส่วนหญิงเมื่อคลอดลูกแล้วต้องอยู่ไฟประมาณ 10 วัน (หน้า 41-42) เมื่อมีการตายเกิดขึ้น ระหว่างที่รอการฝัง จะมีพิธีสำคัญ คือ พิธีตัดพัด เป็นการตัดความสัมพันธ์ระหว่างคนเป็นและคนตาย จะมีการนำกรวยใบตองแห้งไปวางไว้ที่ศพ และกรวยใบตองดิบจะอยู่ที่คนเป็น นำด้ายขาวมาผูกที่กรวยทั้งสอง แล้วใช้มีดตัดให้ขาดออกจากกัน เมื่อตัดแล้วคนเป็นต้องเดินออกไปอย่าหันไปมองศพเด็ดขาด แล้วหามศพไปป่าช้าซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของหมู่บ้าน (หน้า 52-53) ระบบความเชื่อขมุเป็นการนับถือภูติผีและวิญญาณ เชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มีผี หรือวิญญาณที่เรียกว่า "โฮร่ย (Hrooy)" สถิตย์อยู่ ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ ลำธาร ป่าเขา พื้นดิน ทุ่งหญ้า ไร่ข้าว ฯลฯ ผีหลวง เป็นผีที่ขมุบ้านภูคำเคารพนับถือมากที่สุด มีอำนาจมากกว่าผีทั้งปวง และสร้างศาลให้เป็นที่สิงสถิตย์ของผีหลวงในบริเวณป่าใกล้หมู่บ้านไม่ไกลจากทางออกหมู่บ้าน ศาลผีหลวงจะได้รับการซ่อมแซมทุกปีก่อนจะทำพิธีเซ่นไหว้ประจำปี วันที่ 31 ธันวาคมของทุกปี - ผีประจำหมู่บ้าน (โฮร่ยกุ้ง) เป็นผีที่ทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองผู้คนในบ้านและให้คุณแก่มนุษย์มากกว่าให้โทษ - ผีบ้าน (โฮร่ยก่าง) เป็นผีที่ให้คุณแก่มนุษย์มากที่สุด ทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองผู้ที่อาศัยในบ้าน โดยจะแทรกตัวอยู่ในทุกส่วนของบ้าน ทำให้ผีบ้านขมุไม่มีหิ้งที่สิงสถิตย์ แต่จะทำพิธีเซ่นไว้ผีบ้านที่บริเวณเตาไฟ ซึ่งเป็นเตาไฟที่ไม่ใช้ประกอบอาหาร บุคคลภายนอกที่ไม่ได้นับถือผีบ้านเดียวกันจะแตะต้องเตาไฟผีดังกล่าวไม่ได้ เพราะถือว่าเป็นการผิดผีบ้าน ปัจจุบันมีผู้นับถือผีบ้านเพียงไม่กี่หลังคาเรือน เพราะการเลี้ยงผีบ้านต้องเซ่นด้วยสัตว์ใหญ่ เช่น วัว เป็นการสิ้นเปลืองจึงเลิกนับถือผีบ้านไป - ผีครู เป็นผีที่สิงสถิตย์อยู่ในบ้าน แต่มิได้มีทุกครอบครัว เฉพาะครอบครัวของหมอคาถา (หมอเมื่อ) หรือผู้ที่มีความรู้ทางเวทย์มนต์คาถาเท่านั้น มีการเซ่นไหว้ผีครู พร้อมกับผีหมู่บ้าน ในวันที่ 13 เมษายนของทุกปี ผีป่าหรือผีอื่นๆ เป็นผีที่ให้โทษแก่มนุษย์หากมนุษย์ได้กระทำสิ่งลวงเกิน นอกจากความเชื่อในเรื่องผีแล้วยังมีความเชื่ออำนาจเหนือธรรมชาติ เช่น อำนาจคุณ-ไสย เวทย์มนต์คาถา อาคม (หน้า 54-60) ความเชื่อและพิธีกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการผลิตปรากฏในแต่ละขั้นตอน ได้แก่ พิธีขอพื้นที่ทำกินจากผีไร่ (โฮร่ยเจ้าตี้) ก่อนการตัดฟัน พิธีบนขอให้ผีไร่ คุ้มครองผลผลิตที่ปลูก พิธีนวดข้าว และพิธีเลี้ยงผีไร่ (หน้า 87-88) |
|
Education and Socialization |
สำนักงานการประถมศึกษาได้จัดตั้งโรงเรียนบ้านภูคำขึ้นในปี พ.ศ. 2501 ต่อมาในปี พ.ศ. 2525 โรงเรียนหลังเก่าได้ถูกน้ำป่าพัดเสียหาย จึงย้ายโรงเรียนไปทางทิศตะวันออกของหมู่บ้านเก่า โรงเรียนบ้านภูคำเปิดสอนถึงระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ชาวบ้านส่วนใหญ่สำเร็จการศึกษาภาคบังคับ สามารถพูด เขียนและอ่านภาษาไทยได้ ส่วนเด็กวัยก่อนเรียนไม่สามารถพูดภาษาไทยได้ เพราะครอบครัวขมุใช้ภาษาขมุในการสื่อสารในชีวิตประจำวัน (หน้า 22) การอบรมเลี้ยงดูเด็ก เด็กที่อยู่ในวัยทารกจนถึงอายุ 6-7 ขวบ ทั้งหญิงและชายจะอยู่ในความดูแลและอบรมสั่งสอนของมารดา ให้รู้จักหน้าที่ของบุตร หรือหน้าที่ของผู้หญิงผู้ชาย เมื่อเด็กอายุประมาณ 7-8 ปีขึ้นไป มารดาจะสอนให้เด็กรู้จักการทำงานตามเพศ งานของผู้หญิงจะเป็นงานบ้าน ส่วนงานของผู้ชาย เช่น การล่าสัตว์ นอกจากบิดามารดาแล้ว ปู่ ย่า ตา ยาย จะทำหน้าที่สั่งสอนลูกหลานด้วย โดยเฉพาะเวลาที่บิดามารดาเด็กออกไปทำงานในไร่ (หน้า 43) |
|
Health and Medicine |
ขมุได้รับระบบแพทย์สมัยใหม่เข้ามาในชุมชน มีการอบรมด้านการใช้ยาและด้านสาธารณสุขให้กับผู้สนใจ ขมุนิยมคุมกำเนิดด้วยการใช้ยาคุมกำเนิด โดยไปขอคำแนะนำและใช้บริการจากสถานีอนามัยที่ตั้งอยู่บ้านงอบ ซึ่งเป็นหมู่บ้านของไทลื้อ ห่างจากบ้านภูคำออกไปประมาณ 5 กิโลเมตร และคลอดบุตรด้วยวิธีการแพทย์แผนใหม่ (หน้า 25, 42) นอกจากไปรับการรักษาที่สถานีอนามัยตำบลแล้ว บ้างก็ไปใช้บริการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลทุ่งช้าง อำเภอทุ่งช้าง นอกจากการรักษาด้วยการแพทย์สมัยใหม่แล้ว ขมุยังคงมีการรักษาที่เรียกการรักษาพยาบาลแบบจารีตประเพณี คือ การรักษากับ "หมอเมื่อ" (หมอพื้นบ้าน) ซึ่งเป็นผู้อาวุโสในชุมชน เป็นคนที่มีวิชา มีคาถาอาคมและที่เคารพศรัทธาของคนในชุมชน หมอเมื่อจะหาสาเหตุของความเจ็บไข้ด้วยวิธี "เซาะเมื่อ" ซึ่งมีทั้งการจับคู่ข้าวสาร หมอจะขานชื่อผี ถ้าเป็นผีตนนั้นผลการเสี่ยงทายข้าวสารจะเป็นคู่ 3 ครั้งติดกัน จากนั้นทำสะตวงขอขมาผีตนนั้น และส่งผีโดยนำสะตวงไปวางที่ทางสามแพร่ง การเซาะเมื่อด้วยการจับยามด้วยไข่ (ไข่ตั้ง) หมอจะถามว่าอาการเจ็บป่วยนั้นเกิดจากผีหรือไม่ ถ้าใช่ไข่ไก่จะตั้งขึ้นมา ถ้าไม่ใช่ก็จะล้ม และการเสาะเมื่อด้วยวิธีส่องเทียน หมอจะจุดเทียนส่องไปตามลำตัวคนไข้เพื่อหาสาเหตุ เมื่อหายจากอาการเจ็บป่วยจะต้องเลี้ยงผีและทำพิธีสู่ขวัญคนไข้ (หน้า 44-46) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ลักษณะบ้านเรือน ขมุสร้างบ้านเรือนด้วยไม้จริง และหลังคามุงด้วยสังกะสีเช่นเดียวกับบ้านชายไทยพื้นราบภาคเหนือ ส่วนผู้มีฐานะยากจนจะสร้างบ้านด้วยไม้ไผ่ หลังคามุงด้วยใบหญ้าคา บ้านยกพื้นสูงจากพื้นดินถึงพื้นเรือนประมาณ 1 เมตร รูปทรงบ้านเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ความกว้างและยาวของตัวบ้านขึ้นอยู่กับจำนวนสมาชิกในครัวเรือน พื้นที่ใช้สอยแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นห้องนอนและห้องครัวและส่วนที่เป็นสถานที่รับแขกหรือใช้พักผ่อน โดยมีฝาและประตูกั้นแยกจากกัน ภายในมีเตาไฟ 2 เตา เตาหนึ่งใช้ประกอบอาหาร อีกเตาหนึ่งอยู่ทางทิศเหนือ เป็นเตาไฟผีบ้าน (โฮร่ยก่าง) ใช้ให้ความอบอุ่นในฤดูหนาวและใช้เป็นสถานที่เซ่นไหว้ผีบ้าน พื้นบ้านทำเป็น 2 ระดับ ระดับห่างกันประมาณ 1 คืบ ส่วนล่างติดกับบันไดบ้าน ใช้สำหรับล้างถ้วยชาม และล้างวัตถุดิบที่นำมาประกอบอาหาร มีหิ้งเล็ก ๆ สูงไม่เกิน 1 เมตร ลักษณะคล้ายร้านน้ำสำหรับวางโอ่งน้ำดื่มและคว่ำถ้วยชาม การสร้างบ้านส่วนใหญ่จะมีห้องนอนเดี่ยว สอดคล้องกับโครงสร้างครอบครัวเดี่ยว บุตรนอนรวมกับพ่อแม่เมื่อยังเล็ก จนเติบโตจึงกั้นฝาแยกห้องนอน บริเวณบ้านมีพื้นที่ปลูกพืชสวนครัว บางครอบครัวมีครกกระเดื่องอยู่ใต้ถุนบ้าน มียุ้งข้าวแยกออกจากตัวบ้าน ครอบครัวที่เลี้ยงหมู วัว หรือควายจะสร้างคอกไว้ใกล้บ้าน (หน้า 20) |
|
Folklore |
ที่มาของชื่อหมู่บ้าน "ภูคำ" จากคำบอกเล่ากล่าวว่า เนื่องจากมีต้นพลูที่มีใบสีเหลืองคล้ายทองคำขึ้นอยู่ตรงกลางหมู่บ้าน ชาวบ้านจึงตั้งชื่อหมู่บ้านว่า "บ้านพลูคำ" ในเวลาต่อมา ชื่อ"พลูคำ" ได้กลายเป็น "ภูคำ" เนื่องจากการใช้ตัวอักษรโดยไม่คำนึงถึงความหมายที่เขียนหากยึดถือสำเนียงเสียงไว้เป็นสำคัญ (หน้า 18) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ถึงแม้รูปแบบการผลิตของขมุบ้านภูคำ จะเปลี่ยนแปลงไปจากเพื่อบริโภคไปสู่การผลิตเพื่อขาย ส่งผลถึงการเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตของชุมชนในหลายด้าน แต่สิ่งที่ยังคงอยู่อันเป็นการธำรงเอกลักษณ์ทางชาติพันธุ์ที่เห็นได้ชัด คือ ในเรื่องของภาษา ที่ขมุบ้านภูคำยังคงใช้ภาษาขมุสื่อสารในชีวิตประจำวัน ความเชื่อในเรื่องผีที่ยังคงมีความผูกพันอยู่กับความคิดและจิตใจของขมุบ้านภูคำ และปรากฏออกมาในพิธีกรรม ได้แก่ ความเคารพในผีหลวง ที่มีการสร้างศาล และต้องมีพิธีเซ่นไหว้ประจำปีทุกปี นอกจากนี้ยังมีความเชื่อในผีประจำหมู่บ้าน ผีบ้าน ผีครู และผีป่า (หน้า 55-59) รวมทั้งกฎ ระเบียบ จารีตประเพณี อันเป็นสิ่งที่ใช้ควบคุมสมาชิกในสังคม เป็นสิ่งที่ไม่ควรฝ่าฝืนหรือกระทำผิด ถ้ากระทำผิดจะต้องถูกปรับไหมตามลักษณะความผิดและความร้ายแรง ที่กระทำผิดในจารีต ระเบียบและประเพณี เป็นสิ่งที่ทำให้คนในชุมชนประพฤติปฏิบัติไปในทางที่ถูกต้องเหมาะสม และเป็นแบบแผนเฉพาะของขมุบ้านภูคำ (หน้า 62) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของขมุบ้านภูคำ มาจากอิทธิพลภายนอกที่คนในชุมชนต้องพึ่งต่อระบบเศรษฐกิจภายนอก ทำให้ระดับการพึ่งพาตนเองลดลงในระดับหนึ่ง เปลี่ยนจากการพึ่งทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ ไปเป็นการซื้อสินค้าเครื่องอุปโภค-บริโภคที่จำเป็น ต้องใช้เงินสดในการแลกเปลี่ยน ก่อให้เกิดความจำเป็นต้องผลิตเพื่อขาย ต้องปลูกพืชเศรษฐกิจที่เป็นพืชยืนต้น เช่น ส้ม และใช้เทคโนโลยีทางการเกษตรใหม่ ๆ การคมนาคมที่สะดวก ทำให้คนในชุมชนได้ติดต่อกับภายนอกมากขึ้น และเป็นช่องทางในการรับวิทยาการใหม่ๆ ส่วนปัจจัยภายใน เกิดภาวะกดดันในเรื่องของที่ดินที่มีจำกัด เนื่องจากประชากรที่สูงขึ้นและไม่สามารถขยายพื้นที่ทำการเกษตรได้ และจากสภาพนิเวศน์ที่เปลี่ยนไปมีผลกระทบต่ออาชีพหาของป่า จากปัจจัยผลักดันดังกล่าวทำให้มีความพยายามในการแก้ปัญหาด้วยการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ ปรับเปลี่ยนวิถีการผลิตแบบเดิมที่ผลิตเพื่อบริโภคไปสู่วิถีการผลิตแบบใหม่ คือ ผลิตเพื่อขายที่มีการใช้ประโยชน์ที่ดินแบบถาวร เมื่อการผลิตเปลี่ยนไปจากปลูกข้าวไร่ มาเป็นการปลูกส้ม ขั้นตอนการผลิตก็แตกต่างกัน ย่อมทำให้พิธีกรรมในแต่ละขั้นตอนนั้นหายไป แรงงานการผลิตเพื่อบริโภคที่ผูกพันอยู่กับเครือญาติ กลายเป็นแรงงานรับจ้างในการผลิตเพื่อขาย ทำให้ปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในการช่วยเหลือกันจางหายไป (หน้า 116-121,132) |
|
|