|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ไร่หมุนเวียน, ปกาเกอะญอ,องค์ความรู้, ภูมิปัญญา |
Author |
ประเสริฐ ตระการศุภกร และคณะ |
Title |
การเกษตรแบบไร่หมุนเวียน : องค์ความรู้และปฏิบัติการของกลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอในภาคเหนือของประเทศไทย |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน) |
Total Pages |
174 |
Year |
2548 |
Source |
เครือข่ายภูมิปัญญาชนเผ่าพื้นเมืองบนที่สูงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (IKAP) |
Abstract |
หนังสือเล่มนี้เป็นการนำเสนอองค์ความรู้และการจัดการพื้นที่ในการทำไร่หมุนเวียนของชาวปกาเกอะญอในภาคเหนือ โดยกำหนดกลุ่มตัวอย่างเป็นหมู่บ้านชาวปกาเกอะญอ 3 หมู่บ้าน คือ
1.บ้านแม่อุมพาย หมู่ที่ 5 ตำบลแม่โถ อำเภอแม่ลาน้อย จังหวัดแม่ฮ่องสอน 58120
2.บ้านป่าคานอก หมู่ที่ 11 ตำบลสะเมิงใต้ อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ 50250
3.บ้านหินลาดใน หมู่ที่ 7 ตำบลบ้านโป่ง อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย 57170
โดยทั้ง 3 หมู่บ้านมีองค์ความรู้ในการทำไร่หมุนเวียนที่คล้ายกันเพราะมีความเชื่อ จารีตประเพณีที่ค่อนข้างเหมือนกัน รวมทั้งมีชุดความรู้และกระบวนการจัดการพื้นที่ในการทำไร่หมุนเวียนอย่างยั่งยืนที่มีแนวคิดการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติที่ตกผลึกออกความรู้ที่ถ่ายทอดออกมาจากรุ่นสู่รุ่นเพื่อเป็นการสืบทอดให้ลูกหลานรักษาทรัพยากรธรรมชาติเพื่อให้คงอยู่ต่อไป
นอกจากนี้ยังนำเสนอพลังชุมชนของชาวปกาเกอะญอที่สร้างพลังอำนาจในการต่อรองกับรัฐเพื่อจัดการพื้นที่ด้วยตนเองและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติเพื่อให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตความและทำให้เกิดการจัดการทรัพยากรที่ยั่งยืนได้ |
|
Focus |
นำเสนอความรู้และปฏิบัติการการทำการเกษตรแบบไร่หมุนเวียนของชนเผ่าพื้นเมืองปกาเกอะญอทางภาคเหนือของประเทศไทย |
|
Theoretical Issues |
คณะวิจัยใช้ประสบการณ์จากการลงพื้นที่หมู่บ้านชาวปกาเกอะญอทั้ง 3 หมู่บ้านถ่ายทอดองค์ความรู้การทำไร่เกษตรแบบหมุนเวียน |
|
Ethnic Group in the Focus |
ปกาเกอะญอในภาคเหนือของประเทศไทย |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
บรรพบุรุษของบ้านแม่อุมพายเข้ามาตั้งถิ่นฐานเมื่อ 250-300 ปีที่ผ่านมา โดยกลุ่มที่เข้ามาเป็นกลุ่มแรกมาจากหมู่บ้านแม่ลาก๊ะ อ.ขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน (หน้า 15)
เดิมชาวบ้านหินลาดในอพยพมาจาก อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ โดยเข้ามาตั้งถิ่นฐานมากกว่า 100 ปี (หน้า 22)
ชุมชนป่าคานอก มีการอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานราวประมาณ 300-500 ปี โดยกลุ่มแรกอพยพมาจาก จ.แม่ฮ่องสอน และกลุ่มที่สองอพยพมาจาก จ.เชียงใหม่ (หน้า 25) |
|
Demography |
จำนวนประชากรของหมู่บ้านแม่อุมพายแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่
1)บ้านแม่อุมพายเหนือ มีประชากร 328 คน 46 หลังคาเรือน
2)บ้านแม่อุมพายใต้มีประชากรทั้งหมด 220 คน มีครัวเรือน 34 หลังคาเรือน (หน้า 17)
หมู่บ้านลาดหินในมีประชากรทั้งหมด 105 คน มีครัวเรือน 24 หลังคาเรือน แบ่งเป็นชาย 51 คน และหญิง 54 คน (หน้า 22)
ประชากรของหมู่บ้านป่าคานอกมีทั้งหมด 213 คน มีครัวเรือน 46 หลังคาเรือน แบ่งเป็นชาย 104 คนและหญิง 109 คน (หน้า 27) |
|
Economy |
ชาวบ้านแม่อุมพายทำการเกษตรแบบไร่หมุนเวียนเป็นหลักและยึดการทำนาเป็นอาชีพรอง
นอกจากนี้ยังได้เลี้ยงสัตว์ต่างๆ เช่น หมู,ไก่,วัว,ควาย เพื่อช่วยเพิ่มรายได้อีกทางหนึ่ง และบางส่วนยังเปิดร้านค้าในชุมชน ทำหัตถกรรมต่างๆ เช่น จักสาน ทอผ้า รวมทั้งทำการเกษตรเชิงพาณิชย์ เป็นต้น (หน้า 145)
ชาวบ้านหินลาดในส่วนใหญ่จะทำสวนชา เพื่อขายเป็นรายได้หลักส่วนในช่วงฤดูฝนจะเก็บหน่อไม่ในป่าเพื่อเป็นรายได้เสริม (หน้า 146)
ชาวบ้านป่าคานอกส่วนใหญ่ทำการเกษตรเพื่อยังชีพ ทำไร่ ทำนา ทำสวน และเลี้ยงสัตว์ ซึ่งถ้ามีผลผลิตจากการบริโภคถึงจะนำไปขายเพื่อเป็นรายได้เสริม (หน้า 150) |
|
Social Organization |
หมู่บ้านแม่อุมพายได้มีการจัดตั้งองค์กรชุมชน เพื่อรักษาทรัพยากรธรรมชาติในหมู่บ้าน โดยชาวบ้านมีระบบการจัดการทรัพยากรอย่างเป็นระบบ เช่น การจำแนกพื้นที่ชุมชนตามลักษณะของการใช้สอย (หน้า127)
กลุ่มชาวบ้านลาดหินในได้สร้างกลุ่มพลังงานชุมชนขึ้นมาเพื่อต่อรองอำนาจรัฐในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ รวมทั้งการพัฒนารูปแบบการเกษตรภายในชุมชนจนสามารถได้รับรางวัลด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ (หน้า132)
ชาวบ้านป่าคานอกได้รวมตัวกันสร้างพลังต่อรองกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ในการช่วงชิงพื้นที่ทำกินได้สำเร็จ หลังจากที่รัฐบาลประกาศพื้นที่ป่าสงวนทับพื้นที่ทำกินของชาวบ้าน (หน้า134) |
|
Political Organization |
ปัจจุบันหมู่บ้านแม่อุมพายใช้รูปแบบการปกครองแบบราชการโดยผู้นำในชุมชนแม่อุมพายส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ได้รับเลือกให้เป็นผู้นำราชการท้องถิ่น (หน้า 128)
ชุมชนบ้านหินลาดใน ได้รวมตัวกันสร้างพลังชุมชน ด้วยการจัดการชุมชนด้วยตัวเองแบบเชิงรุก เพื่อรักษาทรัพยากรธรรมชาติและพัฒนาการเกษตรด้วยตัวเอง (หน้า 132)
บ้านป่าคานอกมีผู้นำจิตวิญญาณที่เรียกว่า “ฮี้โข่” ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าชุมชนและดูแลความเป็นอยู่ของชาวบ้าน (หน้า 27) |
|
Belief System |
ทุกหมู่บ้านของชาวปกาเกอะญอจะต้องมีพื้นที่ไว้สำหรับเป็นที่อยู่อาศัย มีขอบเขตมากน้อยขึ้นอยู่กับขนาดของหมู่บ้าน บริเวณภายในหมู่บ้านสามารถตัดต้นไม้เพื่อสร้างพื้นที่สำหรับปลูกบ้านและมีการปลูกต้นไม้ไว้เพื่อบริโภคหรือใช้สอย เพื่อรักษาบรรยากาศความชุ่มชื่นให้กับชุมชน เพราะเชื่อว่าหากไม่มีพื้นที่หมู่บ้านตามอุดมการณ์ดังกล่าว ผู้นำชุมชนก็จะไม่สามารถปกครองดูแลคนในชุมชนให้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขได้ (หน้า 51)
พื้นที่ป่ารอบหมู่บ้านของชาวปกาเกอะญอจะเป็นพื้นที่หวงห้าม เก็บไว้สำหรับทำพิธีกรรมต่างๆ เช่น การสะเดาะเคราะห์ การเรียกขวัญ การเอากระบอกสะดือเด็กไปแขวนไว้กับต้นไม้ เพราะเชื่อว่าถ้าตัดต้นไม้ ขวัญเด็กก็จะหนีทำให้เด็กไม่สบาย เจ็บไข้ได้ป่วย แต่ชาวบ้านก็มีการจัดการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ป่ารอบหมู่บ้านโดยให้ส่งผลกระทบน้อยที่สุด เช่น เก็บไม้มาทำฟืน,รั้ว เป็นต้น (หน้า 51)
พิธีกรรม ความเชื่อช่วงทำนา เช่น พิธีเลี้ยงฝาย ทำในช่วงทดน้ำเข้านา ,พิธีเลี้ยงนา ช่วงในช่วงที่ข้าวเจริญเติบโต ซึ่งเป็นความเชื่อที่มีนัยยะในการเคารพเจ้าของทรัพยากรและเป็นการทะนุถนอมทรัพยากรธรรมชาติอย่างรู้คุณค่า เพื่อใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด (หน้า 52)
พื้นที่ไร่หมุนเวียนจะต้องปล่อยให้พื้นที่นั้นได้พักฟื้น 4 ปีขึ้นไป เพื่อให้พักฟื้นและคืนความสมดุลทางธรรมชาติอย่างเหมาะสม โดยขึ้นอยู่กับสภาพของแต่ละพื้นที่ (หน้า 53)
ในเขตพื้นที่ป่าอนุรักษ์ห้ามสร้างที่อยู่อาศัยและทำมาหากินเพราะเชื่อว่าเป็นพื้นที่ที่มีความศักดิ์สิทธ์ ที่ใช้เป็นป่าต้นน้ำเพื่อให้ชาวบ้านได้ใช้น้ำเพื่อการเกษตรตลอดทั้งปี และสามารถเข้าไปใช้ประโยชน์ได้ เช่น เก็บของป่า เก็บสมุนไพร ล่าสัตว์ เป็นต้น
ความเชื่อเรื่องห้ามเผาถางไร่ บริเวณพื้นที่ป่าเนินเขาที่มีลำธารเพราะชาวปกาเกอะญอเชื่อว่าเป็นที่อยู่อาศัยของผีป่า ถ้ามีคนเผ่าป่าก็จะเจ็บไข้ได้ป่วย (หน้า56)
ความเชื่อห้ามลงเล่นตาน้ำ เพราะเชื่อว่าในตาน้ำเป็นที่อยู่ของผีน้ำ โดยมีข้อห้ามว่า “ห้ามเล่นน้ำ หากเล่นจะทำให้เป็นคอพอก” เนื่องจากพื้นที่ป่าที่มีตาน้ำพุดเป็นพื้นที่ต้นกำเนิดของแหล่งน้ำที่สำคัญ และน้ำจะไหลมารวมกันกันลำธารซึ่งชาวบ้านสามารถใช้ประโยชน์จากแหล่งน้ำได้ และถ้าหากปล่อยไว้โดยไม่มีข้อห้าม ตาน้ำนั้นอาจถูกทำลายและส่งผลให้สิ่งแวดล้อมบริเวณนั้นเสียสมดุลทางธรรมชาติ ดังนั้นจึงจะต้องรักษาสภาพแวดล้อมและแหล่งต้นกำเนิดของน้ำไว้ให้ดี เพื่อรักษาสมดุลทางธรรมชาติโดยนำเรื่องความเชื่อมาผูกโยงเพื่อให้เกิดความยำเกรงในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ (หน้า 57-58)
ชาวปกาเกอะญอมีความเชื่อเรื่องเรื่องห้ามเผาแผ้วถางไร่ในเขตภูเขาหลวง/ภูเขาใหญ่ ซึ่งในหมู่บ้านจะมีภูเขาใหญ่เพียงไม่กี่ลูกและส่วนใหญ่แล้ว ภูเขานั้นจะเป็นเขตกั้นแดนระหว่างหมู่บ้าน ชาวปกาเกอญอเชื่อกันว่าถ้าเผาแผ้วถางไร่บริเวณพื้นที่ภูเขาจะเกิดความเดือดร้อนกับชีวิตเพราะเชื่อว่ากิ่วภูเขาใหญ่เป็นทางเดินของภูตผีในตอนกลางคืน ซึ่งนัยยะของความเชื่อนี้ก็คือเป็นการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติเพราะกิ่วดอยจะเป็นป่าต้นน้ำและมีความชันมากถ้ามีการเผาป่าจะทำให้มีผลกระทบทางสภาพแวดล้อมมากกว่าพื้นที่อื่นๆและทำให้เป็นผลต่อการเจริญเติบโตของพืชไร่ที่ชาวบ้านปลูกไว้ นอกจากนี้ยังเป็นการป้องกันอันตรายให้กับคนในหมู่บ้านอีกด้วย เช่น ในช่วงฤดูฝนภูเขาสูงสามารถป้องกันความแรงของลมที่จะพัดเข้ามาในหมู่บ้านได้อีกด้วย
สายน้ำที่แยกออกไปคนละลุ่มน้ำหรือที่เรียกว่า หางตั๊กแตน ชาวปกาเกอะญอมีความเชื่อว่าห้ามทำเป็นที่ทำกิน,ห้ามทำไร่และห้ามทำเป็นที่อยู่อาศัยหรือ แม้แต่หาสัตว์ป่า สัตว์น้ำ เช่น ปลา ปู เพราะถือว่าสิ่งเหล่านั้นมีเจ้าของ และเป็นสถานที่ที่มีผีดุร้ายซึ่งนัยยะสำคัญของความเชื่อนี้คือ การจัดการทรัพยากรอย่างเท่าเทียมเนื่องจากพื้นที่หางตั๊กแตนเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ ถ้าหากชาวบ้านหมู่บ้านหนึ่งต้องการใช้น้ำในการเกษตรเพิ่มมากขึ้น จึงปิดกั้นแม่น้ำอีกสายหนึ่งไว้ ทำให้ไม่มีน้ำไหลไปอีกหมู่บ้านหนึ่ง ซึ่งจะทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างชาวบ้านด้วยกันเองและยังส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตและระบบนิเวศในแม่น้ำอีกสายหนึ่งได้
-ความเชื่อเกี่ยวกับลำห้วย 3 สายไหลมารวมกัน ชาวปกาเกอะญอเชื่อว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ผีป่าสร้างขึ้นและเชื่อว่าเป็นที่อยู่อาศัยของผีป่า ห้ามมีการใช้พื้นที่ดังกล่าวเป็นที่อยู่อาศัยและห้ามถางไร่ ถ้าฝ่าฝืนผีป่าจะลงโทษด้วยการทำให้เจ็บป่วย นัยยะสำคัญของความเชื่อนี้คือ เพื่ออนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติที่หายากเพราะโดยทั่วไปแล้วลำห้วย 3 สายที่ไหลมาบรรจบกันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้น้อย จึงจำเป็นต้องอนุรักษ์ไว้และอีกนัยยะหนึ่งคือการป้องกันชีวิตและทรัพย์สินของชาวบ้านในช่วงฤดูน้ำหลาก หากมีการตั้งถิ่นที่อยู่อาศัยบริเวณนั้นน้ำอาจท่วมบ้านเรือนได้
ชาวปกาเกอะญอเชื่อว่า บริเวณแหล่งน้ำกระจก เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของผีน้ำซึ่งแหล่งน้ำนี้จะมีลักษณะพิเศษคือเป็นแหล่งน้ำนิ่งอยู่กลางป่า ห้ามเข้าไปเล่นหรือทำการใดๆที่จะเป็นการทำลาย ถ้าใครฝ่าฝืนเชื่อว่าผีป่าจะทำให้เจ็บป่วย ซึ่งความเชื่อนี้แสดงให้เห็นถึงการให้ความเคารพและการอนุรักษ์ต้นน้ำลำธารรวมทั้งเป็นการรักษารักษาทรัพยากรธรรมชาติที่หายากอีกทางหนึ่งด้วย |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Folklore |
ชาวปกาเกอะญอมีการบอกเล่าถึงวิถีชีวิตการทำไร่หมุนเวียนที่บอกผ่าน “ธา” หรือ “ลำนำชีวิต” ที่พูดถึงเรื่องราวชีวิตคนปกาเกอะญอที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับการทำไร่หมุนเวียน ดังนี้
-ถึงฤดูลงกรีดท้ายไร่
สิงห์ร้องคำรามใต้ต้นไม้
ไปซื้อมีดที่อูตอลอ
ไปหมายไร่แดนไม้ซางอ่อน
น้องคอยตัดพี่ริดลงกอง
น้องคอยตัดพี่รานลงมา
เหลียวหลังล้มระเนระนาด
ตากไร่แห้งเจ็ดวันเจ็ดคืน
จุดท้ายไร่จุดไฟเผาฟืน
จุดไฟเผาไร่ผืนใหญ่นา
เสียงดั่งน้ำมันเดือดอย่างน้ำ
พี่โกยหัวน้องโกยท้ายไร่
พี่ปลูกฟักน้องปลูกแตงลาย
พี่โกยหัวน้องโกยตอนกลาง
โกยรวมเศษไม่กองรวมกัน
ด้ามเสียมล้มจากไผ่ไม้บง
น้องไม่หว่านไม่อยากปักลง
ล้มด้ามเสียมจากไผ่ไม้ซาง
พี่ปักลงน้องคอยหว่านตาม
ขึ้นดายหญ้าฟากฝั่งสองน้ำ
เกี้ยวน้องหวานซึ้งเหลือคณา
ขึ้นดายหญ้าฟากฝั่งสองเรา
แตกหัวขาวทั่วเมล็ดข้าว
ขึ้นดายหญ้าสองเราฝั่งฟาก
ลูกไม้สุกเหลืองโยนให้กัน
ไปหาซื้อเคียวด้ามทองแดง
น้องเกี่ยวพี่มัดให้น้องแน่น
ยามถึงฤดูหมดหน้าไร่
พี่จะไปค้าขายที่ใด
พี่ไปค้าขายขึ้นเครื่องบิน
น้องอยู่หลังคอยพี่หรือนี่
น้องอยู่หลังจะคอยพี่แล
เหล่าน้องพี่ร้องไห้งอแง
หากงอแงร้องไห้น้องๆ
หาเสื่อหาสาดให้เขานอน
แซงแซวร้องสว่างแล้วนา
ล้มไผ่เพื่อหุงข้าวหุงปลา
น้องบอกให้ตามสุนัขล่า
เขายิ่งสูงยิ่งชอบใจนัก
ตามถึงยอดซอศี่โข่ดอ
วางขันหมากขันพลูลงพร้อม
มองลงร่องน้ำสาละวิน
คงสาละวินขุ่นไหลริน
ดอกเหลืองห่อฉ่าหล่นไปทั่ว
กระแตกระรอกแย่งกินมั่ว
แม่ยวานั่งลงบนผิวน้ำ
โปรงเงินลงมาเหลืองระยับ
แม่ยวาโปรยเงินลงสีทอง
ฉันกับเธอเก็บมารวมกอง
เงินฉันเงินเธอเก็บมารวมกอง
ไปซื้อดอกไม้ที่กลอมอ
ปีนเขาม่อนสองม่อนบ่ายคล้อย
ท่ามกลางเต็งรังกลางดงดอย
เต็งรังดอกร่วงหล่นไปทั่ว
สองเราทัดเต็มหูเต็มตัว
ทัดดอกเต็มหัวกลับลำเนา
ใครคงไม่มาขวางรักเรา
หากถึงบ้านพ่อแม่กีดกัน
ก้มหน้าลงน้ำตานองหน้า (หน้า 30-33)
ตำนานเกี่ยวกับข้อห้ามในการตัดหวายดำอมเหลือง ชาวปกาเกอะญอเล่าว่า มีชาวม้งคนหนึ่งไปตัดหวายอมเหลืองบนยอดดอยที่เป็นพื้นที่ต้องห้าม เพื่อนบ้านได้ห้ามปรามแล้วเขาก็ไม่เชื่อ พอขาลงมาจากดอยชาวม้งคนนั้นก็เดินสะดุดทำให้มีดแทงท้องจนได้รับบาดเจ็บ แต่ไม่ถึงกับตาย จึงทำให้ไม่มีใครกล้าขึ้นไปตัดหวายดำอมเหลืองในเขตพื้นที่ดอยต้องห้ามอีกเลย เพราะเชื่อว่าเข้าไปตัดไม้ในพื้นที่ต้องห้ามและผีถูกผีป่าลงโทษ (หน้า 61)
เรื่องเล่าเกี่ยวกับกระต่ายกับพญานาค ตามความเชื่อของชาวปกาเกอะญอ เล่าว่า กระต่ายเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่บนยอดดอยและมีอาชีพตีเหล็ก จะต้องลงไปตีเหล็กที่แม่น้ำทุกๆวัน เพราะต้องใช้น้ำจี่เหล็กเพื่อให้เหล็กแข็งและคม จนวันหนึ่งไปพบกับพญานาคซึ่งเป็นสัตว์ที่อยู่ในแม่น้ำ กระต่ายได้บอกกับพญานาคว่าบนดอยมีแม่น้ำสายหนึ่งที่ใหญ่มาก และมีความอุดมสมบูรณ์กว่า ถ้าพญานาคไปอาศัยอยู่คงจะมีความสุขมากกว่านี้ ทีแรกพญานาคไม่เชื่อ กระต่ายจึงบอกให้พญานาคเงี่ยหูฟังเสียงขณะที่ลมพัด ซึ่งเป็นช่วงที่สายลมพัดผ่านใบสนทำให้เสียงคล้ายกับเสียงสายน้ำ พญานาคจึงเชื่อและตามกระต่ายขึ้นไปบนดอย เมื่อพญานาคไปถึงบนดอยไม่เห็นแม่น้ำอย่างที่กระต่ายบอก จึงโกรธมากและคิดอยากจะกินกระต่าย จึงเข้าไปหลบในรูของกระต่ายขณะที่กระต่ายออกไปหากินตอนกลางวันเพื่อดักรอกระต่าย เมื่อกระต่ายกลับมาก็รู้ทันว่าพญานาคต้องหลบอยู่ในรูของตน ก็ตะโกนว่า “รูของข้าเอ๋ย” ซึ่งก็ไม่มีเสียงตอบ กระต่ายก็ทำเป็นบ่นว่า “เอ ทุกวันเรียกหารู้ก็จะขานรับ แต่ทำไมวันนี้ไม่มีเสียงตอบ” เมื่อพญานาคได้ยินจึงตอบรับเสียงเรียกจากกระต่าย จึงทำให้กระต่ายรู้ทันและเดินหนีไป และพูดว่า “รูที่ไหนจะพูดได้” อีกไม่นานพญานาคก็เข้าไปดักในรูของกระต่ายอีก เมื่อกระต่ายเข้าไปในรูก็เจอพญานาคกิน กระต่ายก็บอกกับพญานาคอีกว่า “เวลาได้กินสัตว์ตัวเมีย ต้องร้องว่า “โฮ” เวลาจะกินสัตว์ตัวผู้ ต้องร้อง ว่า “ฮา” ซึ่งกระต่ายตัวนั้นเป็นตัวผู้ เมื่อพญานาคร้อง “ฮา” ออกมากระต่ายก็วิ่งหนีออกไปจากปากพญานาคและไม่กลับมาให้เห็นอีกเลย ทำให้พญานาคไม่สามารถแก้แค้นกระต่ายได้จึงตัดสินใจลงไปจากยอดดอยและคิดแค้นในใจ หากวันไหนกระต่ายลงมาที่ลำธารอีกจะกินให้ไม่เหลือซาก ซึ่งนับตั้งแต่วันนั้นมากระต่ายก็ไม่ลงไปตีเหล็กและดื่มน้ำที่ลำธารอีก และอาศัยน้ำค้างจากยอดดอยดื่มจนถึงทุกวันนี้ ทำให้กระต่ายเป็นสัตว์ที่ทนน้ำได้นานที่สุด และอยู่ได้ทุกแห่งหนแม้ไม่มีน้ำ (หน้า 45)
ตำนาน
ป่าหวงห้ามตามประเพณี ชาวปกาเกอะญอ เล่าว่า ในเขตป่าหวงห้ามไม่มีใครกล้าเข้าไปถางไร่ แค่มีชายเกเรคนหนึ่งฝ่าฝืน เพื่อนบ้านห้ามก็ไม่ฟัง จนวันหนึ่งผีป่าได้แปลงร่างเป็นเสือมาดูลาดเลา และได้บอกกับมีดที่ชายคนนั้นชายถางไร่ว่า “ข้าจะกินเจ้านายเจ้านะเพราะห้ามแล้วไม่ฟัง” มีดได้ตอบว่า “จะกินได้อย่างไร ถ้ากินข้าจะฟันเจ้านะ” จนวันหนึ่งผู้เกเรผู้นั้นใช้ปลายมีดเขี่ยอาหารที่หมกไฟไว้ ทำให้มีดโกรธมาก จนเสือมากินเจ้านายของมีดถามอีกครั้ง มีดได้ตอบว่า “กินไปเถิด เพราะเขาเอาหัวของข้าเขี่ยไฟเจ็บเหลือเกิน” เสือจึงเข้าไปกินชายผู้นั้นทันที สิ่งที่เตือนสติของชาวปกาเกอะญอ จากนิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า มีดมีเจ้าของ ขวานมีเจ้าของจะต้องเก็บรักษาไว้ให้ดี (หน้า 55) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
วิถีชีวิตของชาวปกาเกอะญอมีความผูกพันเกี่ยวข้องกับการทำไร่หมุนเวียนเป็นอย่างมากเพราะชาวปกาเกอะญอมีความรัก ความผูกพันกับธรรมชาติมากจนเกิดกระบวนการจัดการทรัพยากรด้วยตัวเขาเอง เห็นได้จากการชุดองค์ความรู้การทำไร่หมุนเวียนที่สืบทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษมาจนถึงปัจจุบัน (หน้า 20) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Map/Illustration |
1.ขั้นตอนการเผาไร่
2.ขั้นตอนการเก็บกวาดไร่
3.ขั้นตอนการปักไร่และหว่านไร่
4.ขั้นตอนการเก็บเกี่ยว
5.ดอกหงอนไก่บานสะพรั่งทั่วไร่หลังจากเก็บเกี่ยว
6.ในปีต่อไปจะห้ามถางไร่ด้านตรงข้าม
7.ในปีต่อไปห้ามถางไร่ตะวันออกของไร่
8.ในปีต่อไปห้ามถางไร่ด้านตะวันตกของไร่
9.เส้นกั้นเขตไร่จะถูกห้ามกั้นระหว่างพี่น้อง
10.ข้าวเป็นพืชอาหารหลักมี่ปลูกในไร่
11.ข้าวโพด
12.แตงกวา (ดีควา)
13.มะเขือ (เสอะกอข่าวีจือ)
14.เดือย (เบอะ) |
|
|