สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ไต, ลื้อ, ประวติศาสตร์, วัฒนธรรม
Author สมพงศ์ วิทยศักดิ์พันธุ์
Title ประวัติศาสตร์สังคมและวัฒนธรรมของชนชาติไท
Document Type หนังสือ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ไทลื้อ ลื้อ ไตลื้อ, ไทใหญ่ ไต คนไต, Language and Linguistic Affiliations ไท(Tai)
Location of
Documents
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน) Total Pages 246 Year 2542
Source ภาควิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
Abstract

เนื่องจากหนังสือเล่มนี้เป็นการรวบรวมบทความและรายวิชาการที่เกี่ยวกับกลุ่มคนไทในเชิงประวัติศาสตร์สังคมและวัฒนธรรม ผู้เขียนได้เรียบเรียงเนื้อหาซึ่งเริ่มจากการให้ภาพทั่วไปของกลุ่มชาติพันธุ์ไทซึ่งมีการตั้งอาณาจักรของกลุ่มชาติพันธุ์ไทขึ้นภายหลังคริสตวรรษที่ 10  ซึ่งมีกลุ่มคนไทอาศัยกระจายอยู่ในแถบทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และมีชื่อเรียกที่ไม่เหมือนกันตามแต่ละท้องถิ่น ต่อมาเป็นการศึกษาแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องคนไทมาจนถึงยุคล่าอาณานิคมซึ่งมีกลุ่มคนไทหลายกลุ่มตกยุคในอาณานิคมทางประเทศแถบตะวันตกซึ่งการเข้ามาชาติตะวันตกทำให้เกิดเส้นทางการค้าขายและการล่มสลายของผู้นำบางท้องถิ่นในกลุ่มคนไท
 
อย่างไรก็ตามการศึกษาเรื่องเกี่ยวกับคนไทในอนาคตผู้เขียนเผยให้เห็นว่าแนวทางการศึกษากลุ่มไทในเชิงวัฒนธรรมชุมชนดูเหมือนว่าจะช่วยให้เห็นความสัมพันธ์ การแลกเปลี่ยนและจะเข้าใจพัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงของกลุ่มคนไทได้ดีขึ้น

Focus

เป็นการรวบรวมบทความและรายงานการวิจัย ซึ่งเป็นการศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับกลุ่มชาติพันธุ์ไท ผ่านมุมมองเชิงประวัติศาสตร์สังคมและวัฒนธรรม

Theoretical Issues

ผู้ศึกษาอาศัยหลักฐานทางประวัติศาสตร์และข้อมูลภาคสนามจากการลงพื้นที่พร้อมทั้งเรียนรู้ภาษาไท เพื่อให้เข้าใจและรับรู้ถึงจิตสำนึกทางประวัติศาสตร์ของกลุ่มชาติพันธุ์ไทให้มากขึ้น

Ethnic Group in the Focus

ไต ลื้อ ไทอาหม

Language and Linguistic Affiliations

ชาวไทใหญ่ใช้ภาษาไทใหญ่เป็นภาษากลางที่ใช้สื่อสารกันและมีศัพท์ภาษาจีนปะปนกันบ้าง แต่ที่เมืองขอนและเมืองมาว ยังใช้ภาษาจีนท้องถิ่นยูนนานเป็นกลาง ดังนั้นชาวไทใหญ่จึงเติบโตมาเป็นคนพูดได้สองภาษา(หน้า187)
ชาวไทลาวหรือไทยอีสาน มีภาษาพูดและตัวอักษรในสมัยอาณาจักรโครตบูรณ์ แต่เพราะการถูกผนวกเป็นรัฐกับสยามจึงทำให้ตัวอักษรเหล่านั้นหายสาบสูญไป(หน้า11)

ชาวไทลื้อมีภาษาและตัวอักษรคล้ายคลึงกับอักษรล้านนาซึ่งได้รับอิทธิพลการเขียนมากจากพม่าทั้งยังมีภาษาจีนปะปนเข้าไปด้วย

ชาวไทอาหม ในระยะแรกใช้ภาษาไทใหญ่ต่อมาจึงเปลี่ยนเป็นอักษรภาษาอัสสัมคล้ายกับอักษรฮินดูแต่อย่างไรก็ตามภาษาไทอาหมก็หายหลังจากที่อังกฤษเข้ามาล่าอาณานิคม
ชาวไทโนรา ใช้ภาษาคะฉิ่นและภาษาอัสสัม

Study Period (Data Collection)

ไม่พบข้อมูล

History of the Group and Community

จากประวัติศาสตร์อาณาจักรของกลุ่มชาติพันธุ์ไท เกิดขึ้นภายหลังการสิ้นสุดลงของอาณาจักรน่านเจ้า อาณาจักรมอญ อาณาจักรศรีเกษตร อาณาจักรเวียดนาม อาณาจักรจัมปาและอาณาจักรขอมเมื่อประมาณศตวรรษที่ 11 อาศัยอยู่ในทวีปเอเชียเป็นส่วนใหญ่ นับตั้งแต่ตอนเหนือของประเทศเวียดนาม ตลอดจนตอนใต้ของประเทศจีน ประเทศลาวและประเทศไทย ทางตอนเหนือของประเทศพม่าจนไปถึงแคว้นอัสสัมทางประเทศอินเดียจึงทำให้กลุ่มชาติพันธุ์ไท มีชื่อเรียกมากมาย ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามที่อยู่อาศัยในแต่ละชุมชนหรือในแต่ละประเทศ(หน้า2) 

Settlement Pattern

รูปแบบการตั้งถิ่นฐานของชาวไทใหญ่อยู่ในที่ราบลุ่มในหุบเขาที่เป็นบริเวณกว้าง ซึ่งร้อยละ30ในเขตพื้นที่ราบกลายเป็นที่อยู่อาศัยของกลุ่มไทใหญ่(หน้า180)
 
ลักษณะของบ้านเรือนของชาวไทใหญ่เป็นเรือนใต้ถุนสูง ใช้ไม่ไผ่เป็นส่วนประกอบหลัก ซึ่งภายใต้ถุนบ้านนิยมเลี้ยงสัตว์เลี้ยงไว้ เช่น วัว ควาย
 
นอกจากนั้นยังมีการสร้างเรือนเล็กไว้เป็นที่สำหรับเก็บข้าวซึ่งชาวไทใหญ่เรียกว่า ชานบ้าน   เยข้าว มีลักษณะคล้ายกับกับเรือนในล้านนาหากเป็นเรือนไทใหญ่ในลักษณะสมัยใหม่จะไม่มีการเลี้ยงสัตว์และมีลักษณะเป็นเรือนสองชั้น เป็นเรือนไม่มีใต้ถุน
 
อย่างไรก็ตามวิถีชีวิตเป็นตัวกำหนดแบบบ้านเรือนของชาวไทใหญ่ ในขณะเดียวกันลักษณะบ้านเรือนก็เป็นตัวกำหนดให้ชาวไทใหญ่มีลักษณะวิถีชีวิตที่แตกต่างจากลุ่มชาติพันธุ์อื่นเช่นเดียวกัน(หน้า183)

Demography

ปัจจุบัน(พ.ศ. 2542)มีชาวไทใหญ่ที่อาศัยอยู่ในเขตใต้หรือมณฑลยูนนานประมาณ300,000คน และชาวไทใหญ่ในประเทศพม่าเมื่อปี ค.ศ.1965 ประมาณ 2ล้านคน ส่วนตัวเลขชาวไทใหญ่ในรัฐอัสสัม     ยังไม่พบ

Economy

ชาวไทใหญ่ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเป็นเกษตรกรหลักโดยการทำไร่ทำนาด้วยลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่เอื้อแก่การทำเกษตรกรรมเพราะอาศัยอยู่ในพื้นราบลุ่ม ซึ่งจะมีการปลูกข้าวหนึ่งครั้งต่อปี แต่ก็มีผลผลิตที่สามารถมีกินได้ตลอดถึงสองถึงสามปี และเพราะเป็นการอยู่อาศัยในพื้นที่ราบทำให้การรวมกลุ่มง่ายต่อการสร้างวัฒนธรรมช่วยเหลือกันซึ่งทำให้เกิดการสร้างกิจกรรมการค้าขาย ซื้อของต่างแดนในช่วงนอกฤดูทำนา สิ่งเหล่านี้กลายเป็นวิถีชีวิตของชาวไทใหญ่ซึ่งสั่งสมจนกลายเป็นภูมิปัญญาไม่ว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการทำนา ปั่นฝ้าย ปลูกฝ้าย ทอผ้าและอื่นๆ นอกจากนั้นชาวเขาที่อาศัยอยู่ในบริเวณที่ราบลุ่มหุบเขา มีการหาสินค้าค้าขายนำมาแลกเปลี่ยนกับชาวบ้านที่อยู่ในบริเวณที่ราบลุ่ม เช่น ของป่า เครื่องจักสานเพื่อแลกกับข้าว เสื้อผ้า และสิ่งของจำเป็นในชีวิตประจำวัน (หน้า181)

Social Organization

ไม่พบข้อมูล

Political Organization

ระบบการปกครองของไทใหญ่สามารถแบ่งออกเป็นสองระบบใหญ่คือระบบการปกครองแบบไทใหญ่และระบบการปกครองตามแบบจีน
 
ระบบการปกครองแบบไทใหญ่ยังแบ่งออกเป็น 2 ระบบ คือ
ระบบการปกครองในหอคำและระบบการปกครองในรูปแบบของท้องถิ่นหรือหมู่บ้าน ซึ่งการปกครองในหอคำผู้ที่มีอำนาจสูงสุดคือเจ้าฟ้า จะพำนักอยู่ในหอคำโดยหอคำกลายเป็นที่ทำงานเกี่ยวกับราชการหลายอย่าง ผู้ประทับตราออกหนังสือคำสั่งต่างๆนั้นเป็นหน้าที่ของนางจุ้มซึ่งเป็นเมียหลวงของเจ้าฟ้า อีกระบบหนึ่งคือการปกครองในรูปแบบการปกครองท้องถิ่น ซึ่งเจ้าฟ้าเองได้แบ่งอาณาเขตและให้เฒ่าเมืองซึ่งเป็นผู้ที่มีอายุ40ปีขึ้นไป และได้รับความไว้วางใจให้ช่วยเหลืองานราชการได้ ในแต่ละเมืองนั้นจะมีกั้งหรือปู่กั้งเป็นผู้ดูแลอีกที และในแต่ละหมู่บ้านเล็กๆก็จะมีปู่กาบหรือปู่สินซึ่งทำหน้าทีคล้ายกับตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน
 
อย่างไรก็ตามผู้ที่ได้ตำแหน่งเหล่านี้ย่อมต้องผ่านการแต่งตั้งจากเจ้าฟ้าแล้วทั้งสิ้น (หน้า203-205) ระบบการปกครองตามแบบจีนยังมีการใช้หอคำในลักษณะเดียวกันกับการปกครองแบบไทใหญ่ แต่ในรูปแบบของจีนมีการแบ่งการทำงานออกเป็น 3คณะ 6 แผนก คณะทำงานได้แก่ 
1.คณะทำงานของกลุ่มเจ้าฟ้า
2.คณะศาลพิพากษาคดี
3.คณะทหาร
 
ส่วนแผนกนั้นได้แก่ 1.แผนกหนังสือหรือห้องสมุด
2.แผนกเลขานุการ
3.แผนกส่งข่าว
4.แผนกคลังสิ่งของ
5.แผนกน้ำชา
6.แผนกครัว
ส่วนการปกครองในภายนอกยังคงใช้ระบบกั้งและบ้าน

Belief System

ไทใหญ่ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ โดยรับเอานิกายหินยานซึ่งได้รับอิทธิพลจากพม่าและล้านนา แต่ในเขตใต้มีนิกายศาสนาพุทธมากถึง 4นิกาย ได้แก่ กึงโยน ปอยจอง โตเหล่ และโตตี(โจตีหรือชุติ)
 
อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะต่างนิกายแต่ชาวไทใหญ่ทุกคนล้วนมีความเชื่อทางพุทธศาสนาไปในทิศทางเดียวกัน มีกิจกรรมทางศาสนาอย่างเคร่งครัด เช่น การทำบุญ เข้าวัด โดยมีปู่จอง ซึ่งเป็นหัวหน้าประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ดังนั้นเห็นได้ว่าวัดมีความสำคัญและเป็นศูนย์กลางของชาวไทใหญ่ เป็นที่พึ่ง และความหวังทางใจอย่างดี

Education and Socialization

เจ้าฟ้าไทใหญ่มีการจัดตั้งและสนับสนุนเรื่องการศึกษาในชุมชนที่ห่างไกล โดยจัดตั้งโรงเรียนเพื่อสอนภาษาจีน ซึ่งในช่วงแรกมีการบังคับให้ชาวบ้านพากันส่งลูกหลานเข้าเรียนและบังคับให้ส่งส่วยไปในตัวเพื่อเพื่อแลกกับการศึกษาของลูกหลาน หากไม่ยอมส่งลูกหลายเข้าเรียนจะต้องจ้างคนอื่นมาเรียนแทน ในปัจจุบันระดับการศึกษาของชาวไทใหญ่จบการศึกษาระดับพื้นฐาน หนุ่มสาวส่วนใหญ่เมื่อเรียนจบก็ช่วยพ่อแม่ทำไร่ทำนาและแต่งงานกันในอายุยังน้อย ฝ่ายหญิงอายุประมาณ16-18ปีส่วนฝ่ายชายอายุ20-22ปี (หน้า187)

Health and Medicine

ไม่พบข้อมูล

Art and Crafts (including Clothing Costume)

เนื่องจากสภาพภูมิอากาศที่ค่อนข้างหนาวทำให้ชาวไทยใหญ่ผู้สูงวัยมักแต่งตัวโดยสวมผ้าโพกหัวหรือหมวก ใส่เสื้อหนาวและพันหน้าแข้งเพื่อกันหนาว หากเป็นพื้นที่ในเขตเมืองบริเวณตลาดเช้าจะพบเจอหญิงไทใหญ่ที่เป็นแม่ค้าขายของซึ่งเป็นเขตทางใต้แม่ค้าที่นี้แต่งกายด้วยผ้าซิ่นดำหรือลายดอกสีทึบ ใส่เสื้อแขนยาวสีอ่อน ผ้าเนื้อบางและโพก แซ้วโห หรือผ้าโพกหัวที่ทำด้วยผ้าขนหนูสีอ่อนๆ

Folklore

ตำนานการกำเนิดของชาวไทใหญ่มีความเกี่ยวข้องกับพุทธศาสนากล่าวคือเรื่องไฟไหม้กำผ่า(โลก)ไฟไหม้ลุกลามไปถึงสวรรค์ซึ่งไหม้เป็นเวลาติดต่อกันหลายปีจนกระทั่งไฟค่อยๆดับไป จนมีฝนตกลงจากเม็ดเล็กปรอยๆกลายเป็นเม็ดใหญ่เท่าลูกมะขามจนน้ำท่วมโลกเลยไปถึงสวรรค์ชั้นบนสุด จนมีดอกบัวคำผุดขึ้นซึ่งขึ้นอยู่ระหว่างโลกกับสวรรค์มีความเชื่อว่าดอกบัวคำเป็นสิ่งของเครื่องใช้ประจำวันของพระพุทธเจ้า ขุนสางซึ่งเป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์ได้ชื่นชมถึงความงามของดอกบัวคำจึงเก็บมาเพื่อบูชาที่สวรรค์ ไม่นานนัก  น้ำที่เคยท่วมก็ลดลง ดอกบัวก็ค่อยๆแห้งเหี่ยวตายกัน โลกมนุษย์เมื่อไฟมอดหมดแล้วดินในโลกมนุษย์ก็ส่งกลิ่นหอมจนบรรดาเทวดาบนสวรรค์พากันลงมาชิมดินในโลกมนุษย์ แต่เมื่อได้กินดินแล้วก็ไม่สามารถกลับสวรรค์ได้จึงต้องอาศัยอยู่บนโลกมนุษย์และเกิดรักใคร่กันจนมีลูกหลานสืบต่อมา นอกจากนั้นยังมีตำนานที่กล่าวถึงการเกิดของคนไทใหญ่อีกว่ามีชายอายุ 5,000ปีเดินมายังทางตะวันออกเพื่อหาเมียในขณะเดียวหญิงที่มีอายุเท่ากันกับชายผู้นั้นก็เดินทางมายังตะวันตกเพื่อหาสามี ทั้งสองบังเอิญเจอกันและพบรักทำให้กำเนิดลูกชาย 8 คน ลูกสาว 8คน ซึ่งต่อมาก็ได้แต่งงานแยกย้ายเป็นคนไทใหญ่ตามที่ต่างๆ แต่มีพี่ชายใหญ่ 2คนไม่ลงรอยกันทะเลาะกันตลอด จึงได้เชิญกษัตริย์ ซึ่งเป็นโอรสของขุนแสงให้ลงมาปกครองพร้อมกับมีผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญติดตามมาด้วย(หน้า190-191)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่พบข้อมูล

Social Cultural and Identity Change

ไม่พบข้อมูล

Critic Issues

-

Other Issues

การปรับของคนไทในสถานการณ์ต่างๆ ที่แตกต่างกัน หรือการเปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรมไทเมื่อเกิดการผสมผสานกับวัฒนธรรมของชนเผ่าอื่นๆ

Text Analyst สุนิษา ฝึกฝน Date of Report 04 เม.ย 2556
TAG ไต, ลื้อ, ประวติศาสตร์, วัฒนธรรม, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง