|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ไต, ลื้อ, ประวติศาสตร์, วัฒนธรรม |
Author |
สมพงศ์ วิทยศักดิ์พันธุ์ |
Title |
ประวัติศาสตร์สังคมและวัฒนธรรมของชนชาติไท |
Document Type |
หนังสือ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ไทลื้อ ลื้อ ไตลื้อ, ไทใหญ่ ไต คนไต,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน) |
Total Pages |
246 |
Year |
2542 |
Source |
ภาควิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
เนื่องจากหนังสือเล่มนี้เป็นการรวบรวมบทความและรายวิชาการที่เกี่ยวกับกลุ่มคนไทในเชิงประวัติศาสตร์สังคมและวัฒนธรรม ผู้เขียนได้เรียบเรียงเนื้อหาซึ่งเริ่มจากการให้ภาพทั่วไปของกลุ่มชาติพันธุ์ไทซึ่งมีการตั้งอาณาจักรของกลุ่มชาติพันธุ์ไทขึ้นภายหลังคริสตวรรษที่ 10 ซึ่งมีกลุ่มคนไทอาศัยกระจายอยู่ในแถบทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และมีชื่อเรียกที่ไม่เหมือนกันตามแต่ละท้องถิ่น ต่อมาเป็นการศึกษาแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องคนไทมาจนถึงยุคล่าอาณานิคมซึ่งมีกลุ่มคนไทหลายกลุ่มตกยุคในอาณานิคมทางประเทศแถบตะวันตกซึ่งการเข้ามาชาติตะวันตกทำให้เกิดเส้นทางการค้าขายและการล่มสลายของผู้นำบางท้องถิ่นในกลุ่มคนไท
อย่างไรก็ตามการศึกษาเรื่องเกี่ยวกับคนไทในอนาคตผู้เขียนเผยให้เห็นว่าแนวทางการศึกษากลุ่มไทในเชิงวัฒนธรรมชุมชนดูเหมือนว่าจะช่วยให้เห็นความสัมพันธ์ การแลกเปลี่ยนและจะเข้าใจพัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงของกลุ่มคนไทได้ดีขึ้น |
|
Focus |
เป็นการรวบรวมบทความและรายงานการวิจัย ซึ่งเป็นการศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับกลุ่มชาติพันธุ์ไท ผ่านมุมมองเชิงประวัติศาสตร์สังคมและวัฒนธรรม |
|
Theoretical Issues |
ผู้ศึกษาอาศัยหลักฐานทางประวัติศาสตร์และข้อมูลภาคสนามจากการลงพื้นที่พร้อมทั้งเรียนรู้ภาษาไท เพื่อให้เข้าใจและรับรู้ถึงจิตสำนึกทางประวัติศาสตร์ของกลุ่มชาติพันธุ์ไทให้มากขึ้น |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ชาวไทใหญ่ใช้ภาษาไทใหญ่เป็นภาษากลางที่ใช้สื่อสารกันและมีศัพท์ภาษาจีนปะปนกันบ้าง แต่ที่เมืองขอนและเมืองมาว ยังใช้ภาษาจีนท้องถิ่นยูนนานเป็นกลาง ดังนั้นชาวไทใหญ่จึงเติบโตมาเป็นคนพูดได้สองภาษา(หน้า187)
ชาวไทลาวหรือไทยอีสาน มีภาษาพูดและตัวอักษรในสมัยอาณาจักรโครตบูรณ์ แต่เพราะการถูกผนวกเป็นรัฐกับสยามจึงทำให้ตัวอักษรเหล่านั้นหายสาบสูญไป(หน้า11)
ชาวไทลื้อมีภาษาและตัวอักษรคล้ายคลึงกับอักษรล้านนาซึ่งได้รับอิทธิพลการเขียนมากจากพม่าทั้งยังมีภาษาจีนปะปนเข้าไปด้วย
ชาวไทอาหม ในระยะแรกใช้ภาษาไทใหญ่ต่อมาจึงเปลี่ยนเป็นอักษรภาษาอัสสัมคล้ายกับอักษรฮินดูแต่อย่างไรก็ตามภาษาไทอาหมก็หายหลังจากที่อังกฤษเข้ามาล่าอาณานิคม
ชาวไทโนรา ใช้ภาษาคะฉิ่นและภาษาอัสสัม |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
จากประวัติศาสตร์อาณาจักรของกลุ่มชาติพันธุ์ไท เกิดขึ้นภายหลังการสิ้นสุดลงของอาณาจักรน่านเจ้า อาณาจักรมอญ อาณาจักรศรีเกษตร อาณาจักรเวียดนาม อาณาจักรจัมปาและอาณาจักรขอมเมื่อประมาณศตวรรษที่ 11 อาศัยอยู่ในทวีปเอเชียเป็นส่วนใหญ่ นับตั้งแต่ตอนเหนือของประเทศเวียดนาม ตลอดจนตอนใต้ของประเทศจีน ประเทศลาวและประเทศไทย ทางตอนเหนือของประเทศพม่าจนไปถึงแคว้นอัสสัมทางประเทศอินเดียจึงทำให้กลุ่มชาติพันธุ์ไท มีชื่อเรียกมากมาย ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามที่อยู่อาศัยในแต่ละชุมชนหรือในแต่ละประเทศ(หน้า2) |
|
Settlement Pattern |
รูปแบบการตั้งถิ่นฐานของชาวไทใหญ่อยู่ในที่ราบลุ่มในหุบเขาที่เป็นบริเวณกว้าง ซึ่งร้อยละ30ในเขตพื้นที่ราบกลายเป็นที่อยู่อาศัยของกลุ่มไทใหญ่(หน้า180)
ลักษณะของบ้านเรือนของชาวไทใหญ่เป็นเรือนใต้ถุนสูง ใช้ไม่ไผ่เป็นส่วนประกอบหลัก ซึ่งภายใต้ถุนบ้านนิยมเลี้ยงสัตว์เลี้ยงไว้ เช่น วัว ควาย
นอกจากนั้นยังมีการสร้างเรือนเล็กไว้เป็นที่สำหรับเก็บข้าวซึ่งชาวไทใหญ่เรียกว่า ชานบ้าน เยข้าว มีลักษณะคล้ายกับกับเรือนในล้านนาหากเป็นเรือนไทใหญ่ในลักษณะสมัยใหม่จะไม่มีการเลี้ยงสัตว์และมีลักษณะเป็นเรือนสองชั้น เป็นเรือนไม่มีใต้ถุน
อย่างไรก็ตามวิถีชีวิตเป็นตัวกำหนดแบบบ้านเรือนของชาวไทใหญ่ ในขณะเดียวกันลักษณะบ้านเรือนก็เป็นตัวกำหนดให้ชาวไทใหญ่มีลักษณะวิถีชีวิตที่แตกต่างจากลุ่มชาติพันธุ์อื่นเช่นเดียวกัน(หน้า183) |
|
Demography |
ปัจจุบัน(พ.ศ. 2542)มีชาวไทใหญ่ที่อาศัยอยู่ในเขตใต้หรือมณฑลยูนนานประมาณ300,000คน และชาวไทใหญ่ในประเทศพม่าเมื่อปี ค.ศ.1965 ประมาณ 2ล้านคน ส่วนตัวเลขชาวไทใหญ่ในรัฐอัสสัม ยังไม่พบ |
|
Economy |
ชาวไทใหญ่ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเป็นเกษตรกรหลักโดยการทำไร่ทำนาด้วยลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่เอื้อแก่การทำเกษตรกรรมเพราะอาศัยอยู่ในพื้นราบลุ่ม ซึ่งจะมีการปลูกข้าวหนึ่งครั้งต่อปี แต่ก็มีผลผลิตที่สามารถมีกินได้ตลอดถึงสองถึงสามปี และเพราะเป็นการอยู่อาศัยในพื้นที่ราบทำให้การรวมกลุ่มง่ายต่อการสร้างวัฒนธรรมช่วยเหลือกันซึ่งทำให้เกิดการสร้างกิจกรรมการค้าขาย ซื้อของต่างแดนในช่วงนอกฤดูทำนา สิ่งเหล่านี้กลายเป็นวิถีชีวิตของชาวไทใหญ่ซึ่งสั่งสมจนกลายเป็นภูมิปัญญาไม่ว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการทำนา ปั่นฝ้าย ปลูกฝ้าย ทอผ้าและอื่นๆ นอกจากนั้นชาวเขาที่อาศัยอยู่ในบริเวณที่ราบลุ่มหุบเขา มีการหาสินค้าค้าขายนำมาแลกเปลี่ยนกับชาวบ้านที่อยู่ในบริเวณที่ราบลุ่ม เช่น ของป่า เครื่องจักสานเพื่อแลกกับข้าว เสื้อผ้า และสิ่งของจำเป็นในชีวิตประจำวัน (หน้า181) |
|
Political Organization |
ระบบการปกครองของไทใหญ่สามารถแบ่งออกเป็นสองระบบใหญ่คือระบบการปกครองแบบไทใหญ่และระบบการปกครองตามแบบจีน
ระบบการปกครองแบบไทใหญ่ยังแบ่งออกเป็น 2 ระบบ คือ
ระบบการปกครองในหอคำและระบบการปกครองในรูปแบบของท้องถิ่นหรือหมู่บ้าน ซึ่งการปกครองในหอคำผู้ที่มีอำนาจสูงสุดคือเจ้าฟ้า จะพำนักอยู่ในหอคำโดยหอคำกลายเป็นที่ทำงานเกี่ยวกับราชการหลายอย่าง ผู้ประทับตราออกหนังสือคำสั่งต่างๆนั้นเป็นหน้าที่ของนางจุ้มซึ่งเป็นเมียหลวงของเจ้าฟ้า อีกระบบหนึ่งคือการปกครองในรูปแบบการปกครองท้องถิ่น ซึ่งเจ้าฟ้าเองได้แบ่งอาณาเขตและให้เฒ่าเมืองซึ่งเป็นผู้ที่มีอายุ40ปีขึ้นไป และได้รับความไว้วางใจให้ช่วยเหลืองานราชการได้ ในแต่ละเมืองนั้นจะมีกั้งหรือปู่กั้งเป็นผู้ดูแลอีกที และในแต่ละหมู่บ้านเล็กๆก็จะมีปู่กาบหรือปู่สินซึ่งทำหน้าทีคล้ายกับตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน
อย่างไรก็ตามผู้ที่ได้ตำแหน่งเหล่านี้ย่อมต้องผ่านการแต่งตั้งจากเจ้าฟ้าแล้วทั้งสิ้น (หน้า203-205) ระบบการปกครองตามแบบจีนยังมีการใช้หอคำในลักษณะเดียวกันกับการปกครองแบบไทใหญ่ แต่ในรูปแบบของจีนมีการแบ่งการทำงานออกเป็น 3คณะ 6 แผนก คณะทำงานได้แก่
1.คณะทำงานของกลุ่มเจ้าฟ้า
2.คณะศาลพิพากษาคดี
3.คณะทหาร
ส่วนแผนกนั้นได้แก่ 1.แผนกหนังสือหรือห้องสมุด
2.แผนกเลขานุการ
3.แผนกส่งข่าว
4.แผนกคลังสิ่งของ
5.แผนกน้ำชา
6.แผนกครัว
ส่วนการปกครองในภายนอกยังคงใช้ระบบกั้งและบ้าน |
|
Belief System |
ไทใหญ่ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ โดยรับเอานิกายหินยานซึ่งได้รับอิทธิพลจากพม่าและล้านนา แต่ในเขตใต้มีนิกายศาสนาพุทธมากถึง 4นิกาย ได้แก่ กึงโยน ปอยจอง โตเหล่ และโตตี(โจตีหรือชุติ)
อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะต่างนิกายแต่ชาวไทใหญ่ทุกคนล้วนมีความเชื่อทางพุทธศาสนาไปในทิศทางเดียวกัน มีกิจกรรมทางศาสนาอย่างเคร่งครัด เช่น การทำบุญ เข้าวัด โดยมีปู่จอง ซึ่งเป็นหัวหน้าประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ดังนั้นเห็นได้ว่าวัดมีความสำคัญและเป็นศูนย์กลางของชาวไทใหญ่ เป็นที่พึ่ง และความหวังทางใจอย่างดี |
|
Education and Socialization |
เจ้าฟ้าไทใหญ่มีการจัดตั้งและสนับสนุนเรื่องการศึกษาในชุมชนที่ห่างไกล โดยจัดตั้งโรงเรียนเพื่อสอนภาษาจีน ซึ่งในช่วงแรกมีการบังคับให้ชาวบ้านพากันส่งลูกหลานเข้าเรียนและบังคับให้ส่งส่วยไปในตัวเพื่อเพื่อแลกกับการศึกษาของลูกหลาน หากไม่ยอมส่งลูกหลายเข้าเรียนจะต้องจ้างคนอื่นมาเรียนแทน ในปัจจุบันระดับการศึกษาของชาวไทใหญ่จบการศึกษาระดับพื้นฐาน หนุ่มสาวส่วนใหญ่เมื่อเรียนจบก็ช่วยพ่อแม่ทำไร่ทำนาและแต่งงานกันในอายุยังน้อย ฝ่ายหญิงอายุประมาณ16-18ปีส่วนฝ่ายชายอายุ20-22ปี (หน้า187) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
เนื่องจากสภาพภูมิอากาศที่ค่อนข้างหนาวทำให้ชาวไทยใหญ่ผู้สูงวัยมักแต่งตัวโดยสวมผ้าโพกหัวหรือหมวก ใส่เสื้อหนาวและพันหน้าแข้งเพื่อกันหนาว หากเป็นพื้นที่ในเขตเมืองบริเวณตลาดเช้าจะพบเจอหญิงไทใหญ่ที่เป็นแม่ค้าขายของซึ่งเป็นเขตทางใต้แม่ค้าที่นี้แต่งกายด้วยผ้าซิ่นดำหรือลายดอกสีทึบ ใส่เสื้อแขนยาวสีอ่อน ผ้าเนื้อบางและโพก แซ้วโห หรือผ้าโพกหัวที่ทำด้วยผ้าขนหนูสีอ่อนๆ |
|
Folklore |
ตำนานการกำเนิดของชาวไทใหญ่มีความเกี่ยวข้องกับพุทธศาสนากล่าวคือเรื่องไฟไหม้กำผ่า(โลก)ไฟไหม้ลุกลามไปถึงสวรรค์ซึ่งไหม้เป็นเวลาติดต่อกันหลายปีจนกระทั่งไฟค่อยๆดับไป จนมีฝนตกลงจากเม็ดเล็กปรอยๆกลายเป็นเม็ดใหญ่เท่าลูกมะขามจนน้ำท่วมโลกเลยไปถึงสวรรค์ชั้นบนสุด จนมีดอกบัวคำผุดขึ้นซึ่งขึ้นอยู่ระหว่างโลกกับสวรรค์มีความเชื่อว่าดอกบัวคำเป็นสิ่งของเครื่องใช้ประจำวันของพระพุทธเจ้า ขุนสางซึ่งเป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์ได้ชื่นชมถึงความงามของดอกบัวคำจึงเก็บมาเพื่อบูชาที่สวรรค์ ไม่นานนัก น้ำที่เคยท่วมก็ลดลง ดอกบัวก็ค่อยๆแห้งเหี่ยวตายกัน โลกมนุษย์เมื่อไฟมอดหมดแล้วดินในโลกมนุษย์ก็ส่งกลิ่นหอมจนบรรดาเทวดาบนสวรรค์พากันลงมาชิมดินในโลกมนุษย์ แต่เมื่อได้กินดินแล้วก็ไม่สามารถกลับสวรรค์ได้จึงต้องอาศัยอยู่บนโลกมนุษย์และเกิดรักใคร่กันจนมีลูกหลานสืบต่อมา นอกจากนั้นยังมีตำนานที่กล่าวถึงการเกิดของคนไทใหญ่อีกว่ามีชายอายุ 5,000ปีเดินมายังทางตะวันออกเพื่อหาเมียในขณะเดียวหญิงที่มีอายุเท่ากันกับชายผู้นั้นก็เดินทางมายังตะวันตกเพื่อหาสามี ทั้งสองบังเอิญเจอกันและพบรักทำให้กำเนิดลูกชาย 8 คน ลูกสาว 8คน ซึ่งต่อมาก็ได้แต่งงานแยกย้ายเป็นคนไทใหญ่ตามที่ต่างๆ แต่มีพี่ชายใหญ่ 2คนไม่ลงรอยกันทะเลาะกันตลอด จึงได้เชิญกษัตริย์ ซึ่งเป็นโอรสของขุนแสงให้ลงมาปกครองพร้อมกับมีผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญติดตามมาด้วย(หน้า190-191) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Other Issues |
การปรับของคนไทในสถานการณ์ต่างๆ ที่แตกต่างกัน หรือการเปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรมไทเมื่อเกิดการผสมผสานกับวัฒนธรรมของชนเผ่าอื่นๆ |
|
|