|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
นโยบายด้านความมั่นคงของชาติ, ม้ง, ชนกลุ่มน้อย |
Author |
สิทธิเดช วงศ์ปรัชญา |
Title |
ชนกลุ่มน้อยชาวไทยภูเขากับความมั่นคงของชาติ: กรณีศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ม้ง |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ม้ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้ง-เมี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุด มหาวิยาลัยรามคำแหง
(เอกสารฉบับเต็ม) |
Total Pages |
205 |
Year |
2550 |
Source |
ชนกลุ่มน้อยชาวไทยภูเขากับความมั่นคงของชาติ : กรณีศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ม้ง ดุษฎีนิพนธ์ เสนอต่อมหาวิทยาลัยรามคำแหง เป็นสาระสมบูรณ์ของการศึกษาตามหลักสูตรปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิต(รัฐศาสตร์) |
Abstract |
วิทยานิพธ์เล่มนี้เป็นการนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับปัจจัยภายในและภายนอกประเทศที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมชาวไทยภูเขากลุ่มชาติพันธุ์ม้งที่จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติและนำเสนอด้านยุทธศาสตร์ในการแก้ปัญหาชาวไทยภูเขากลุ่มชาติพันธุ์ม้ง
จากการเก็บรวบรวมข้อมูลเอกสาร ประสบการณ์การเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆและการเข้าไปใช้ชีวิตอยู่กับกลุ่มชาติพันธุ์ม้งของผู้ศึกษา โดยจะเน้นการศึกษาด้านพฤติกรรมของชาวไทยภูเขากลุ่มชาติพันธุ์ม้ง 3กรณีคือ ด้านความขัดแย้งในการอยู่ร่วมกันของคนต่างวัฒนธรรม, ด้านการแพร่ระบาดของยาเสพติดและด้านการอพยพข้ามชาติของม้งจากลาว ซึ่งเป็นข้อมูลพื้นฐานที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ทำงานเกี่ยวกับชาวเขาเผ่าม้งในการเรียนรู้และทำความเข้าใจในพฤติกรรมการดำเนินชีวิตที่จะมีผลต่อการดำเนินชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคมไทย |
|
Focus |
รวบรวมความรู้เกี่ยวกับปัจจัยภายในและภายนอกประเทศที่มีผลกระทบต่อพฤติกรรมของชาวไทยภูเขากลุ่มชาติพันธุ์ม้งใน 3กรณี ได้แก่ ด้านความขัดแย้ง,การแพร่ระบาดของยาเสพติด และการอพยพข้ามชาติพันธุ์ม้งจากลาว
จากการเก็บรวบรวมข้อมูลทางเอกสาร จากประสบการณ์การเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆและการเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง นำมาถ่ายทอดในเรื่องปรากฏการณ์และการเปลี่ยนแปลงทางสังคมด้านต่างๆ ของกลุ่มชาติพันธุ์ม้งรุ่นแรกจนถึงรุ่นปัจจุบัน เพื่อนำมาวิเคราะห์เชื่อมโยงกับนโยบายของรัฐด้านความมั่นคงของชาติ และนำเสนอยุทธศาสตร์ในการแก้ปัญหาเกี่ยวกับชาวไทยภูเขากลุ่มชาติพันธุ์ม้งต่อไป |
|
Theoretical Issues |
เขียนใช้นโยบายของรัฐความมั่นคง มาวิเคราะห์เชื่อมโยงกับปัจจัยสิ่งแวดล้อมภายในและภายนอกประเทศ ที่มีผลต่อพฤติกรรมด้านความมั่นคงของชาวไทยภูเขากลุ่มชาติพันธุ์ม้ง |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
-การสื่อสารระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ม้งด้วยกัน ทั้งม้งจีน,ม้งไทย,ม้งลาว,ม้งพม่าและม้งเวียดนาม จะมีสำเนียงการพูดแตกต่างกันออกไป กลุ่มชาติพันธุ์ม้งที่อยู่คนละประเทศ ไม่สามารถสื่อสารภาษาม้งได้ (หน้า 65)
-ลักษณะภาษาม้งรุ่นเก่าจะเป็นคำสั้นๆ แต่มีความหมายของการบอกสัญลักษณ์ที่ใช้ในการรบ (หน้า 64) |
|
Study Period (Data Collection) |
มกราคม พ.ศ. 2544 ถึง กันยายน พ.ศ. 2549 |
|
History of the Group and Community |
ม้งมีถิ่นฐานเดิมอยู่จีน ถือเป็นชาติพันธุ์ที่เก่าแก่ของจีน เนื่องจากมีบรรพบุรุษที่อยู่ในจีนแล้วแยกมาจากมองโกล จากการแพ้สงครามครั้งสุดท้ายให้แก่จีนในราชวงศ์ฮั่น แล้วได้อพยพเข้าสู่เอเชียใต้จากยูนานผ่านมาทางเมืองยอน เขตพม่าเข้าสู่ลาวมาอาศัยอยู่บนภูเขาสูง และได้อพยพเข้าสู่ไทย มี 2ช่วงใหญ่ๆ คือ ช่วงแรกเมื่อประมาณ 100-150ปีที่ผ่านมาเพื่อเข้ามาหาพื้นที่เพาะปลูก โดยการเดินเท้าเข้ามาตามแนวภูเขาจากประเทศลาวมาอยู่ที่ภูแว (เขตรอยต่อระหว่างอำเภอปัว กับอำเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่าน),ดอยช้าง อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย,ดอยอ่างขาง อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ และภูคา อำเภอนาแห้ว จังหวัดเลย แล้วกระจายออกไปในเขต 13จังหวัดของภาคเหนือ(หน้า 63-67) ช่วงที่ 2เมื่อประมาณ พ.ศ. 2518, 2521 และ 2525 ม้งลาวอพยพเข้าสู่ไทย เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองของลาว จากอาณาจักรลาวเป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2518(หน้า 68-69) ความเป็นชาติพันธุ์ของม้ง ถูกแบ่งโดยเขตพรมแดน เนื่องจากไทยเสียพรมแดนให้กับฝรั่งเศส ในครั้งที่ 3และครั้งที่ 4ม้งจึงมักถูกแบ่งว่าเป็นม้งไทย ม้งลาว หรือม้งเวียดนาม (หน้า 68) |
|
Settlement Pattern |
- ม้งมักอาศัยอยู่บนที่สูง ที่เป็นป่าเขาทางภาคเหนือของไทย 13จังหวัด และภาคอีสาน 1จังหวัด คือ จังหวัดเลย (หน้า 71) การตั้งถิ่นฐานของม้งในแต่ละพื้นที่จะมีความแตกต่างกัน คือ ม้งในจังหวัดเชียงใหม่ จะอาศัยในพื้นที่ที่มีอย่างจำกัด ส่วนใหญ่อาศัยอยู่บนพื้นที่ที่เป็นภูเขาและพื้นที่ลาดชัน ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ มักเป็นพื้นที่ทับซ้อนกับพื้นที่ราชการ โดยเฉพาะในเขตอุทยานแห่งชาติ,พื้นที่ป่าไม้ และพื้นที่ราชพัสดุ (หน้า 87) ม้งในพื้นที่จังหวัดตาก อาศัยอยู่ในพื้นที่ป่า ภูเขา ที่ดินเสื่อมคุณภาพ เนื่องจากการใช้ ปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลง เพราะขาดความรู้ด้านการเกษตร (หน้า 89) ส่วนม้งในพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์ จะอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ทางราชการจัดสรรให้ ซึ่งปัจจุบันมีปัญหาเรื่องความขัดแย้งระหว่างเจ้าของเดิมกับผู้ที่ได้รับสิทธิที่ราชการจัดสรรให้ (หน้า 92)
-ม้งเต๊าะ ที่อาศัยอยู่ทางจีนตอนเหนือ นิยมสร้างที่พักต่ำกว่าระดับผิวดิน เพื่อป้องกันอากาศหนาวเย็นและพายุทราย (หน้า 65) |
|
Demography |
ม้งจีนจากการสำรวจเมื่อปี พ.ศ. 2533 มีกว่า 7 ล้านคน มี 11 กลุ่ม คือ ม้งจั๊ว(ม้งลาย), ม้งด๊าว (ม้งขาว), ม้งเปล, ม้งชี, ม้งปั๊วะ (ฮั๊ว), ม้งซื่อ, ม้งเส่า, ม้งดู๊, ม้งตอจ๊า (ม้งซั๊ว) และม้งเต๊าะ (หน้า 65)
ม้งลาวมีประชากรหนาแน่นอยู่ที่แขงไชยบุรี, แขวงบ่อแก้ว,แขวงพงสาลี,แขวงบอลิคำไซ และแขวงเวียงจันทร์ มี 3กลุ่ม คือ ม้งขาว,ม้งดำ และม้งลาย (หน้า 67)
ม้งเวียดนามมีประมาณ 750,000 คร หรือประมาณ 1%ของประชากรทั้งหมด มี 5กลุ่ม คือ ม้งเขียว,ม้งแดง,ม้งดำ,ม้งลาย และม้ง Na meio (หน้า 67)
ม้งไทยที่ได้รับสัญชาติแล้ว มีจำนวน 153,955 คน และยังมีม้งลาว จำนวน 8,000คน และยังมีอีก 200คน ที่ลักลอบเข้ามาในไทย ที่อพยพเข้ามาพักพิงที่บ้านห้วยน้ำขาว ตำบลเข็กน้อย อำเภอค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ (หน้า 68) นอกจากนี้ยังมีม้งที่พักพิงอยู่ที่พักสงฆ์ถ้ำระบอก จังหวัดสระบุรี เมื่อรวมกันแล้วจะมีจำนวนทั้งสิ้น 170,653คน (หน้า 70) มีทั้งหมด 3กลุ่ม คือ ม้งขาว,ม้งดำ และม้งลาย (หน้า 67) |
|
Economy |
ม้งในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ได้รับการส่งเสริมด้านการเกษตรจากโครงการพระราชดำริหลายโครงการ โดยได้รับการส่งเสริมให้ปลูกพืชทดแทนเพื่อเลิกปลูกฝิ่น และพืชผลทางการเกษตรเมืองหนาว ไม้ดอก ไม้ประดับและไม้ผล (หน้า 87)
ม้งในพื้นที่จังหวัดตาก มีอาชีพเกษตรกรรมปลูกขิง ข้าวโพด ผัก มักมีการใช้ปุ๋ยเคมีจำนวนมาก ทำให้ดินเสื่อมสภาพ เนื่องจากขาดควมรู้ด้านการใช้เทคโนโลยี และขาดความรู้ด้านการบริหารจัดการ ทำให้ผลผลิตราคาตกต่ำ ไม่มีรายได้อื่นเสริม หลังฤดูเพาะปลูกม้งที่อยู่ในวัยทำงาน มักนิยมออกไปทำงานนอกบ้าน (หน้า 89)
ม้งในพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมบนพื้นที่สูงและรับจ้างทั่วไป สามารถแบ่งได้เป็น 3กลุ่ม ได้แก่
(1.) กลุ่มม้งกลุ่มที่ 1คือ เป็นม้งเดิม ที่ไม่ได้เข้าร่วมกลุ่มคอมมิวนิสต์ ม้งกลุ่มนี้จะมีฐานะดีที่สุด เนื่องจากมีพื้นที่ทำกินจำนวนมากที่ถือครองไว้ (หน้า 93)
(2.) ม้งกลุ่มที่ 2มีพลังทางเศรษฐกิจ เนื่องจากได้รับการสนับสนุนจากญาติพี่น้องที่อยู่นอกภูมิภาค ทั้งสหรัฐอเมริกา, อังกฤษ,ฝรั่งเศส, ออสเตรเลีย โดยจะมีการผลิตสินค้าประเภทหัตถกรรมส่งออกขายไปให้ญาติยังต่างประเทศ (หน้า 95)
(3.) ม้งรุ่นที่ 3เป็นม้งกลุ่มที่อพยพมาอยู่ที่บ้านห้วยน้ำขาว จะได้รับการช่วยเหลือด้านการเงินจากพี่น้องต่างประเทศ และได้รับการดูแลจากองค์กรภาคเอกชนและอื่นๆ (หน้า 95) |
|
Social Organization |
-ม้งรุ่นแรกที่เข้ามาอยู่ในไทย มีที่อยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง มักโยกย้ายที่พักอาศัยไปตามพื้นที่เพาะปลูกที่มีความอุดมสมบูรณ์ สำหรับม้งรุ่นที่ 2ที่มีอายุตั้งแต่ 35-60ปี จะมีแนวคิดที่เชื่อว่า แผ่นดินไทยเป็นของม้ง เพราะ ม้งถือว่าเป็นคนไทย อยู่ที่ไหนต้องอยู่ที่นั่น ต้องดูแลแผ่นดินเกิด ส่วนม้งรุ่นที่ 3ช่วงอายุตั้งแต่ 35ปีลงมา มีแนวคิดที่ว่า ถ้าม้งอยู่ที่ชุมชนไหน ต้องอยู่ดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมที่ชุมชนนั้น ไม่คิดโยกย้าย (หน้า 72)
- ม้งจะยอมรับนับถือผู้นำตระกูลแซ่ของตนเอง ซึ่งเป็นผู้นำตามธรรมชาติ และนับถือบรรพบุรุษ(ผี) (หน้า 73)
-ผู้ชายม้งจะแสดความเป็นผู้นำครอบครัวหรือผู้นำตระกูลแซ่ ด้วยการนิยมมีภรรยาหลายๆ คน และจะนำภรรยามาอยู่รวมกัน ในทางกลับกันผู้หญิงม้งจะไม่มีบทบาททางสังคมมากนัก ต้องเชื่อฟังและกระทำตามสามี ส่งผลให้ผู้หญิงม้งมีค่านิยมที่ชื่นชอบผู้ชายที่มีฐานะดี มีความเป็นผู้นำ (หน้า 73-74)
- ม้งจะมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นในระบบเครือญาติ จะมีความรักใคร่ผูกพันกันในกลุ่มเครือญาติ ทำให้ม้งมีสำนึกรักและภาคภูมิใจในความเป็นชาติพันธุ์ของตนเอง (หน้า 74)
ผู้ชายม้งนิยมแต่งงานกับผู้หญิงเย้า เนื่องจากค่านิยมของผู้ชายม้งที่ต้องการผู้หญิงที่ฉลาด ทำมาหากินเก่งและเชื่อฟังสามี นอกจากนี้ผู้ชายม้งยังต้องการแต่งงานกับผู้หญิงไทยพื้นราบ และมีความรู้สึกถึงสถานภาพทางสังคมที่ต่ำกว่า (หน้า 84)
หนุ่มสาวชาวม้งจะได้รับอิสระในการพบปะกัน พ่อแม่จะไม่กีดกันหรือห้ามปราม แต่มีข้อแม้ว่าต้องกลับมาก่อนท้องฟ้ามืด ในสมัยก่อนการพบปะกัน ฝ่ายชายจะไปเคาะฝาบ้านของฝ่ายหญิงที่ตนเองชื่นชอบ แต่ปัจจุบันมีการพัฒนาตามสมัยนิยมที่ใช้วิธีนัดหมายโดยการติดต่อทางโทรศัพท์เคลื่อนที่ (หน้า 80)
ม้งที่ปรากฏในงานศึกษาจะแบ่งออกเป็น 3รุ่น ได้แก่
(1.) ม้งรุ่นแรก ที่มีช่วงอายุตั้งแต่ 60ปีขึ้นไป จะดำเนินชีวิตแบบเรียบง่าย มีถิ่นที่อยู่อาศัยไม่เป็นหลักแหล่ง จะเปลี่ยนไปตามความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่เพื่อการเพาะปลูก จึงมักถูกมองว่าเป็นผู้บุกรุกทำลายป่า เนื่องจากมีแนวคิดที่ว่า “ม้งไม่มีดินแดนเป็นของตนเอง แต่จะยืมที่ดินผู้อื่นเลี้ยงสัตว์ ยืมถ้วยชามผู้อื่นใส่แกง ใช้ชีวิตไปตามเสียงนกเสียงกา”(หน้า 71)
(2.) ม้งรุ่นที่ 2ที่มีช่วงอายุตั้งแต่ 35-60ปี มีแนวคิดที่ว่า “ม้งอยู่ที่ไหนต้องอยู่ที่นั่น ต้องดูแลแผ่นดินเกิด แผ่นดินไทยเป็นของม้ง เพราะม้งเป็นคนไทย” ม้งรุ่นนี้จะมีกลุ่มที่เคยเข้าร่วมกิจกรรมการเคลื่อนไหวกับกลุ่มผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ทำให้ถูกปลูกฝังอุดมการณ์การกลับสู่สังคมไทย ส่งผลให้เกิดการผสมกลมกลืน กับสังคมไทย และชนพื้นราบ จึงมีบทบาทสำคัญในการเรียกร้องสิทธิและผลประโยชน์ในฐานะคนไทยเชื้อสายม้ง และยังเป็นแกนนำในการปลูกฝังค่านิยมดั้งเดิมแบบม้งให้คงอยู่ (หน้า 72)
(3.) ม้งรุ่นที่ 3ที่มีช่วงอายุตั้งแต่ 35ปี ลงมา จะมีแนวคิดเรื่องการอยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง ไม่โยกย้ายถิ่นที่อยู่อาศัย วิถีชีวิตจะมีความเป็นสมัยใหม่ เนื่องจากกระแสนิยมสมัยใหม่เข้ามามีอิทธิพล ทำให้เกิดการผสมกลมกลืนกับความเป็นไทยสมัยใหม่ และได้รับการศึกษาในระดับต่างๆ ไม่นิยมพูดภาษาม้งรวมทั้งการแต่งกายที่เป็นแบบชนพื้นราบ ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งระหว่างม้งแต่ละรุ่น เกี่ยวกับเรื่องวิถีชีวิต วัฒนธรรม เนื่องจากม้งรุ่นที่ 3จะไม่เข้าใจในแนวคิดของม้งรุ่นที่ 2ด้วยสาเหตุจากกระแสนิยมสมัยใหม่ แต่ม้งรุ่นนี้ก็ยังมีสำนึกในความเป็นชาติพันธุ์หลงเหลืออยู่ เนื่องจากพ่อแม่ปลูกฝังบทเรียนเรื่องความขัดแย้งที่ผ่านมา ซึ่งเป็นปัญหาเรื่องความไม่เสมอภาคทางสังคม และโอกาสทางการศึกษา เพราะม้งส่วนให่มีฐานะยากจน (หน้า 72-73)
- ม้งจะมีความรอบรู้และชำนาญพื้นที่ เพราะมีวิถีชีวิตที่คุ้ยเคยกับป่ามาตั้งแต่เกิด มีความหวงแหนถิ่นที่อยู่ และมีความผูกพันกันแบบเครือญาติทำให้ในการเข้าร่วมกิจกรรมม้งจะมากันทั้งครอบครัว (หน้า 78-79)
-ในแง่ของเศรษฐกิจและการโยกย้ายถิ่น ชาวม้งจะมีปรัชญาที่ว่า “ต้นไทรเมืองไทยให้ผลดีกว่าต้นไทรเมืองลาว ในขณะที่ต้นไทรในสหรัฐอเมริกาดีกว่าต้นไทรเมืองไทย” ซึ่งแนวคิดนี้ส่งผลให้ม้งบางส่วนที่อพยพมาจากลาว มีความคิดที่จะตั้งถิ่นฐานอยู่ที่สหรัฐอเมริกา เป็นต้น (หน้า 72)
-ในปัจจุบันม้งมี 11แซ่ มีจำนวนมากน้อยแตกต่างกันออกไป ได้แก่ แซ่ลี,แซ่เฮ่อ, แซ่ว่าง,แซ่หลอ, แซ่สง(ซ่ง),แซ่เถา(ท้าว),แซ่ห่า(ห่าน),แซ่ม้า,แซ่มัว,แซ่วือ(วื่อ), แซ่ท่อ และแซ่จาง(มีเฉพาะในจีน) (หน้า 73)
ด้านการแต่งงาน-ประเพณีการแต่งงาน ม้งจะใช้เงินแท่งเป็นค่าสินสอด (หน้า 84) |
|
Political Organization |
- ม้งจีน จะมีส่วนร่วมในการปกครองตนเอง โดยมีสิทธิพิเศษเช่นเดียวกับชาวจีนและชนกลุ่มน้อยอื่นๆ ไม่มีแนวคิดที่จะแบ่งแยกการปกครอง(หน้า 65-66)
-ม้งไม่เคยมีอุดมการณ์ทางการเมืองใดๆ และไม่เคยมีความรู้ด้านลัทธิการปกครองใดๆ เช่นกัน แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าปราบปราม จึงหลบหนีเข้าป่า และต่อมาได้เข้าร่วมฝึกอบรมกับพรรคคอมมิวนิสต์ที่คุนหมิง ที่จีน จึงทำให้มีความรู้เรื่องอุดมการณ์ทางการเมือง ผู้ที่หลบหนีเข้าป่าสามารถแบ่งได้เป็น 2ส่วน คือ พวกปฏิบัติงานที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองแบบคอมมิวนิสต์และพวกที่ไม่ได้ปฏิบัติงานที่ทางการเมืองใดๆ ถือว่าเป็นพวกมวลชน (หน้า 80)
-ปัจจุบัน ม้งได้รับการศึกษามากขึ้น ทำให้มีความรู้เรื่องอุดมการณ์ทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยมากขึ้น บางส่วนได้เข้าไปมีบทบาททางการเมืองท้องถิ่น (หน้า 82) เนื่องจากได้รับสถานภาพความเป็นพลเมืองไทยที่มีสิทธิ์เลือกตั้ง นอกจากนี้ ในอดีตที่ผ่านมา ม้งกลุ่มที่เคยเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ จะมีความมั่นใจกับอดีตนิสิต นักศึกษาที่ประสบผลสำเร็จทางการเมือง รวมทั้งพรรคการเมืองที่อดีตนิสิต นักศึกษาเหล่านี้สังกัดอยู่ ด้วยการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งให้ โดยปราศจากเงื่อนไข
-ม้ง จะมีผู้นำตามธรรมชาติหรือเรียกว่า “ผู้นำตระกูลแซ่” ซึ่งเป็นผู้นำตามธรรมชาติ(หน้า73) และผู้นำที่ทางการแต่งตั้งให้ |
|
Belief System |
ศาสนาสำคัญที่เข้าไปมีอิทธิพลมากที่สุดในกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง คือ ศาสนาคริสต์ ที่มีการเผยแพร่เข้าไปหลายพื้นที่ ที่ปรากฏให้เห็น คือ คริตจักรต่างๆ ได้แก่
(1.) พระแม่มารีและคริสจักรความหวังใหม่ จะมีการเข้าโบสถ์หรือใช้สถานที่แทนโบสถ์ ทุกๆวันเสาร์ (หน้า74)
(2.) พระเยซูทางชีวิตใหม่ จะมีการเผยแพร่ด้วยการใช้เอกสาร ส่งไปทางไปรษณีย์ให้เยาวชนม้ง โดยจะมีกิจกรรมให้ตอบคำถามที่จะส่งไปให้ทุกเดือนและมีรางวัลให้แก่ผู้ตอบคำถาม (หน้า 74-75)
(3.) คริสเตียน มีอิทธิพลต่อความเชื่อของม้ง เนื่องจากมีบทบาทในการสนับสนุนกิจกรรมให้ชาวบ้านและการเรียกร้องความเป็นธรรม สนับสนุนทุนการศึกษาให้กับเยาวชนชาวม้ง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ คริสเตียนกลุ่มนี้น่าจะมีประมาณ 18-20% ของชาวม้ง สำหรับคำสอนจะมีความแตกต่างกับวัฒนธรรมประเพณีของม้ง ซึ่งคริสเตียนจะให้เชื่อและนับถือพระเจ้าองค์เดียว (หน้า75)
(4.) ศาสนาพุทธ มีความสอดคล้องกับวัฒนธรรมประเพณีและนิสัยของม้ง ม้งมองว่าการเผยแพร่ยังไม่น่าสนใจเท่ากับศาสนาอื่น (หน้า 75)
(5.) ศาสนาหงเต้า (จากไต้หวัน) มีความคล้ายคลึงกับศาสนาพุทธ เน้นเรื่องการเคารพนับถือฟ้าดิน, อาจารย์,บรรพบุรุษ จะมีคำสอนที่สอดแทรกแนวคิดความไม่เป็นธรรมในสังคม โดยมีกิจกรรมร่วมกันเดือนละ 1ครั้ง เป็นที่นิยมในหมู่ชาวม้ง สถานที่ที่ใช้ในการเข้าร่วม คือ ศาสนาธรรมหงเต้า อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย (หน้า 74)
-ความเชื่อเรื่องผีบรรพบุรุษ ที่ปรากฏในประเพณีของชาวม้ง ที่ให้อิสระในการพบปะกันระหว่างหนุ่มสาว ซึ่งพ่อแม่จะไม่ห้ามปรามหรือกีดกันได้ โดยจะมีข้อแม้ว่าหากออกไปตอนสว่างต้องกลับมาก่อนฟ้ามืด หรือหากออกไปตอนมืดต้องกลับมาก่อนฟ้าสว่าง หากไม่ปฏิบัติตามนี้ ฝ่ายชายต้องรับผิดชอบและเสียค่าผี ในกรณีที่ฝ่ายหญิงมีลูกและหาผู้เป็นพ่อแม่ไม่ได้ให้ถือว่าเป็นลูกที่ฟ้าส่งมาเกิด (หน้า 80)
-ประเพณีกินข้าวใหม่ที่จะจัดขึ้นปีละ 1ครั้ง โดยนำเอาข้าวเปลือกที่เพิ่งเก็บเกี่ยวใหม่มาคั่ว และตำเอาเปลือกออก นำไปหุง ต้ม เพื่อรับประทานกับไก่ดำต้มสมุนไพรจีนและน้ำซาวข้าว โดยจะรับประทานร่วมกันภายในครอบครัว (หน้า 83) |
|
Education and Socialization |
ม้งที่อาศัยอยู่ในประเทศ จะมีสภาพความเป็นอยู่เท่าเทียมกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ในจีนและมีสิทธิเสรีภาพเช่นเดียวกับชาวจีน ได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานทั่วไปทั้งหมดและยังได้เรียนภาษาท้องถิ่น ควบคู่ไปกับภาษาจีนกลาง ทำให้เกิดความกลมกลืนกับคนจีนทั่วไป หากม้งต้องการศึกษาในระดับที่สูงขึ้นก็จะไม่ถูกกีดกัน (หน้า68)
-ม้งจีน ม้งไทย และม้งประเทศอื่น ไม่สามารถสื่อสานกันได้ เนื่องจากคำที่ใช้ในภาษาของแต่ละประเทศ และสำเนียงการพูดมีความแตกต่างกัน (หน้า 66)
-ม้งที่อยู่ในไทยนิยมใช้ภาษาของตนเองเป็นหลัก ทำให้ไม่มีความเข้าใจกันด้านการสื่อสาร ระหว่างคนพื้นราบ เนื่องจากม้งยังไม่ยอมรับการสื่อสารด้วยภาษาไทย (หน้า 79)
-ชาวม้งส่วนมากไม่ได้รับการศึกษา เนื่องจากปัญหาความยากจน ประการหนึ่งที่เป็นปัญหา คือ ความไม่เข้าใจกัน ในเรื่องสิทธิการใช้บัตรประชาชน,ด้านกฎหมาย และกฎระเบียบของราชการ (หน้า 79) เด็กชาวไทยภูเขากลุ่มชาติพันธุ์ม้งทั้งชายและหญิง นิยมเข้ารับการศึกษา แต่เนื่องจากปัญหาความยากจนทำให้ต้องเดินทางไปศึกษานอกพื้นที่ โดยอาศัยวัด หรือผู้อุปการะ ในพื้นที่ภาคกลาง เช่น สิงห์บุรี,อ่างทอง,อยุธยาและสระบุรี เพื่อโอกาสทางการศึกษา ซึ่งในปัจจุบันโรงเรียนประถมและมัธยมขาดแคลนเด็กนัดเรียน (หน้า 90) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ผลจากการแพ้สงครามครั้งสุดท้ายให้แก่จีนในสมัยราชวงค์ฮั่น
ทำให้ม้งต้องถูกต้องถูกจีนลงโทษ9 ชั่วอายุคน โดยการให้ม้งผู้ชายใส่ห่วงคอและมีโซ่ตรวนเป็นเครื่องพันธนาการ ม้งผู้หญิงให้เจาะหูใส่ห่วง (หน้า 63) ซึ่งต่อมาห่วงคอได้นำมาปรับปรุงเป็นเครื่องประดับเพื่อความสวยงามและใช้เป็นเครื่องเตือนความทรงจำ ม้งผู้ชายจะแต่งกายคล้ายชาวจีนทั่วไป แต่ยังคงเอกลักษณ์ความเป็นชนเผ่าจะใส่ห่วงคอส่วนม้งผู้หญิงจะใส่กระโปรงและเจาะหู (หน้า 65)
- ชาวม้งรุ่นเก่าที่มีอายุตั่งแต่ 50 ปี ขึ้นไป จะมีความสามารถในการขี่ม้าบนพื้นที่สูงตามภูเขา แต่ปัจจุบันไม่นิยมเลี้ยงไว้ใช่งานแล้ว นอกจากนี้ยังมีการแต่งกายที่คล้ายชาวมองโกลอีกด้วย (หน้า 64)
- ม้งด้วยกันจะรู้ว่าผู้ที่ตนเองพบเห็นนั้นเป็นชาวม้งที่มาจากประเทศใด เนื่องจากเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันของแต่ละประเทศที่แสดงอยู่บนเครื่องแต่งกาย ในปัจจุบันม้งจะนิยมแต่งกายแบบชนพื้นราบมากขึ้นโดยเฉพาะม้งที่อพยพออกนอกภูมิภาคจะไม่นิยมแต่งกายแบบม้ง (หน้า65) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ม้งไม่ต้องการให้เรียกว่า”แม้ว” เพราะถือว่าเป็นการดูถูกเหยียดหยามทางชาติพันธุ์ เนื่องจากชาวม้งเชื่อว่าคำว่า “แม้ว”เป็นคำแผลงมาจากคำว่า”แหมวซือ” หรือ “เหมียวซื่อ” ที่แปลว่า พวกหมดหนทาง, พวกเชลย (หน้า 63)
- ความสัมพันธ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ม้งกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ปัจจัยที่ก่อให้เกิดความสัมพันธ์คือ อิทธิพลจากพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยซึ่งม้งบางส่วนเข้าไม่มีส่วนร่วมในฐานะผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์(ผกค.) ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างม้งกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ จากปัญหาเรื่องการแย่งชิงพื้นที่ทำกินระหว่างม้งกับจีนฮ่อ ซึ่งเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าข้างฝ่ายจีนฮ่อ เนื่องจากฐานะทางการเงินดีกว่าและขาดการประชาสัมพันธ์ ม้งเห็นว่าฝ่ายตนไม่ได้รับความยุติธรรม เกิดกับแค้นใจและความยากไร้ทางวัตถุ เปิดโอกาศให้พรรคคอมมิวนิสต์เข้ามาแทรกแซง ทำให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงนำไปสู่การสู้รบในเขตพื้นที่ภาคเหนือ (หน้า 76, 78) ม้งที่เคยเข้าร่วมกิจกรรมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยทำให้มีความสัมพันธ์กับอดีตนิสิตนักศึกษาและคนเดือนตุลาคมที่ประสบผลสำเร็จทางการเมืองที่มีสถานะเป็นสหายร่วมอุดมการณ์จากการจัดกิจกรรมของกลุ่ม “อดีตเพื่อน”3จังหวัดทำให้ม้งมีความรู้สึกถึงความเป็นพวกเดียวกัน (หน้า 84) ม้งยังมีความสัมพันธ์กับกลุ่มว้าซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยสัญชาติพม่าจากความสัมพันธ์ระหว่างขบวนการต่อต้านลาวพรรคเจ้าฟ้าประชาธิปไตยกับกลุ่มว้า ซึ่งจีนฮ่อจากแผ่นดินใหญ่เข้ามาช่วยรบกับฝ่ายเจ้าหน้าที่ไทย เขตพื้นที่เขาค้อ 1ปี ทำให้เกิดความคุ้นเคยกันระหว่างว้ากับม้ง นอกจากนี้แกนนำขบวนการต่อต้านลาวกลุ่มพรรคเจ้าฟ้าประชาธิปไตย ต้องการความเห็นชอบจากผู้นำกระเหรี่ยงคริสต์ในการขออพยพกลุ่มม้งของตนไปที่เขตอิทธิพลบริเวณชายแดนไทย-พม่าด้านอำเภออุ้มผาง พบพระ แม่สอด และแม่ระมาด จังหวัดตาก เนื่องจากเห็นว่าทางการไทยมีนโยบายที่ชัดเจนในการผลักดันม้งออกจากที่พักพิงที่พักสงฆ์ถ้ำกระบอกอำเภอพุทธบาท จังหวัดสระบุรีและม้งด้านอำเภอพบพระยังมีความสัมพันธ์กับทหารกะเหรี่ยงพุทธซึ่งได้อนุญาติให้ม้งเข้าไปใช่พื้นที่ทำกินและเกี่ยวโยงกับกลุ่มผู้ค้ายาเสพติดในพื้นที่อีกด้วย (หน้า 83, 85, 86-87)
- ม้งกับเย้ามีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันมากตั้งแต่ในจีนจนถึงปัจจุบันเนื่องจากวันฒธรรมประเพณีวิถีชีวิตความเชื่อที่คล้ายกัน รวมทั้งคำบางคำที่ใช้เหมือนกัน เย้าจะมีความชำนาญในด้านค้าขายมากกว่าม้ง จึงเป็นสาเหตุทำให้ผู้ชายม้งนิยมแต่งงานกับผู้หญิงเย้า นอกจากนี้ยังนิยมแต่งงานกับคนไทยพื้นราบ เนื่องจากความรู้สึกถึงสถานภาพทางสังคมที่ต่ำกว่าจึงมีความต้องการเพิ่มสถานภาพของตนเองให้สูงขึ้น(หน้า 84)
- บทบาทผู้นำที่เป็นชาวไทยภูเขากลุ่มชาติพันธุ์ม้งไม่ว่าจะเป็นผู้นำตามธรรมชาติหรือผู้นำที่ทางราชการแต่งตั้งมีความตื่นตัวที่จะเข้าร่วมกิจกรรมกับภาครัฐและภาคเอกชนมากขึ้น โดยเห็นได้จากการจัดตั้งองค์กรขึ้นหลายองค์กร มีการประสานงานเครือข่ายต่างๆทั้งภายในและภายนอกประเทศ เช่น เข้าร่วมโครงการกับUNDP โครงการดับไฟป่าภูเขา เป็นต้น(หน้า 88) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างม้งกับการอยู่ร่วมของสังคมไทย มี 2 ระดับ ได้แก่
(1.) ระดับมหาภาค ที่เกิดจากกระแสโลกาภิวัตน์ ที่นำพากระแสทุนนิยมเข้ามาเปลี่ยนแปลงค่านิยม ส่งผลให้แนวความของม้งเปลี่ยนไป ทำให้เกิดการเลียนแบบตามกระแสสังคมสมัยใหม่
(2.) ระดับพื้นที่ซึ่งเกิดความขัดแย้งในการใช้ทรัพยากรร่วมกันที่เกิดขึ้นระหว่างม้งกับกลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่ข้างเคียงในการขยายที่ทำกิน, ความขัดแย้งระหว่างม้งกับหน่วยงานราชการเนื่องจากความจำเป็นต้องบุกเบิกพื้นที่เพื่อผลผลิตเชิงธุรกิจหรือการแสวงหาผลประโยชน์ของเจ้าหน้าที่รัฐ, ความขัดแย้งระหว่างม้งกับกลุ่มนายทุนที่เข้าไปบุกรุกพื้นที่, ความไม่เข้าใจกฎหมายจึงกระทำไปโดยความรู้เท่าไม่ถึงการ, ปัญหาที่ดินทับซ้อนกับพื้นที่ราชการ, การขาดความรู้ความเข้าใจในการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น การใช้ปุ๋ยเคมี (หน้า 98-99)
- ความขัดแย้งทางวัฒนธรรมที่พบ คือ ปัญหาความแตกต่างทางชาติพันธุ์ไม่มีความรุนแรงมากนักแต่ความขัดแย้งที่เป็นปัญหาสำคัญกว่า คือ ผลประโยชน์จากการดำรงชีพที่ไม่เป็นธรรม ก่อให้เกิดความสำนึกทางชาติพันธุ์ นำไปสู่การไม่ยอมรับซึ่งกันและกัน ทำให้เกิดความหวาดระแวงต่อกัน (หน้า 130) |
|
Other Issues |
ปัจจัยแวดล้อมภายในและภายนอกประเทศที่มีผลกระทบต่อพฤติกรรมด้านความมั่นคงของชาวไทยภูเขากลุ่มชาติพันธุ์ม้ง ปัจจัยภายในประเทศได้แก่
(1.) กระบวนการกำหนดนโยบายของรัฐการนำนโยบายไปปฏิบัติและประเมินผลยังมีปัญหา เนื่องจากความไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง, เจ้าหน้าที่ของรัฐเกิดความสับสนในภารกิจตนเอง เนื่องจากความรู้ความเข้าใจละเลยการปฎิบัติหน้าที่และอคติทางชาติพันธุ์ต่อชาวไทยภูเขากลุ่มชาติพันธุ์ม้ง (หน้า 129)
(2.) ความแตกต่างทางชาติพันธุ์และการอยู่ร่วมกัน ที่มีปัญหาในลักษณะของการไม่ยอมรับซึ่งกันและกัน(หน้า130)
3.ด้านสิทธิมนุษยชน ที่องค์กรสิทธิมนุษยชนไม่สามารถดำเนินการใดๆ ให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรม(หน้า143)
(4.) บทบาทองค์กรทางสังคม องค์กรของชาติพันธุ์, องค์กรของศาสนาและองค์กรพัฒนาเอกชนอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ที่มีการเคลื่นไหวทางสังคมก่อให้เกิดการสับสนุนด้านต่างๆ เพื่อการพัฒนาและการแก้ไขปัญหา (หน้า 144)
ปัจจัยภายนอกประเทศได้แก่
(1.) บทบาทของประเทศมหาอำนาจและการแทรกแซงจากต่างประเทศ
(2.) กระแสโลกาภิวัฒน์
(3.) นโยบายไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน
- ปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศที่มีผลกระ
ทบต่อพฤติกรรมของชาวไทยภูเขากลุ่มชาติพันธุ์ม้ง พอจะสรุปได้ดังนี้ ด้านนโยบายความมั่นคงและนโยบายของรัฐส่งผลต่อพฤติกรรมม้ง3 ประการ คือ ความขัดแย้งในการอยู่ร่วมกันของม้งกับสังคมไทย, การแพร่ระบาดของยาเสพติดและการอพยพข้ามชาติ |
|
Map/Illustration |
ภาพที่1แหล่งผลิตในประเทศที่สำคัญ
ภาพที่2 จุดนำเข้ายาเสพติด
ภาพที่3 เส้นทางลำเลี้ยงและจุดพักยาเสพติด
ภาพที่4 ภาพถ่ายผู้นำว้า(UWSP)
ภาพที่5 เส้นทางเคลื่อนย้ายมวลชนว้าติดพรมแดนไทย |
|
|